Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ศาสตราแห่งเดราเนียร์ บทที่ 20 กรามร์ ติดต่อทีมงาน

ศาสตราแห่งเดราเนียร์บทแรก
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=moonyforever&group=17

บทที่ 19 เส้นทางที่ถูกเลือก
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10687552/W10687552.html

<20>

กรามร์


ฝูงนิมป์บินล้อมรอบร่างของรัคเชนน์และส่งเสียงคล้ายกระดิ่งขนาดจิ๋วดังระงมราวกับพยายามร้องห้ามมิให้นางละทิ้งป่าไปจนดาร์คเอลฟ์สาวต้องยืนปลอบใจพวกมันอยู่เป็นเวลานาน ภาพของอารักษ์แห่งผืนป่าท่ามกลางเหล่านิมป์มองดูคล้ายนางฟ้าผู้แสนอ่อนโยนกำลังอยู่ในหมู่แฟร์รี่ตัวน้อย ช่างงดงามชวนมองจนทำให้โซลย์และฟอร์เซ็ตติถึงกับยืนตะลึงจ้องราวต้องมนตร์

“สวยเหลือเกิน” แม่ทัพแห่งมอร์เซลพึมพำออกมาโดยสายตายังคงมองร่างของรัคเชนน์แน่วนิ่ง โมไดถึงกับเลิกคิ้วสูงพร้อมกับหันไปทางจอมเวทหนุ่มซึ่งมีอาการแบบเดียวกัน

“เจ้าก็เป็นไปกับเขาด้วยเรอะ” เด็กหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงไม่ดังนัก ฟอร์เซ็ตติสะดุ้งน้อยๆและยิ้มแก้เก้อ

“ข้าเพียงแต่รู้สึกดีใจที่ได้เห็นรอยยิ้มของนางเท่านั้น”

โมไดหรี่ตาลงข้างหนึ่งคล้ายไม่เชื่อในคำกล่าวแก้ตัวของจอมเวทแห่งม์วัลลัส เขาหันไปทางโซลย์และกระซิบ

“เจ้าจะมองนางอีกนานไหม”

แม่ทัพหนุ่มหันขวับมาถลึงตาใส่แต่ไม่ได้พูดสิ่งใดโต้ตอบ เขาเหลือบตาไปยังฟอร์เซ็ตติที่กำลังยืนมองรัคเชนน์ด้วยสายตาฉายความเศร้าลึกๆ โซลย์ถึงกับถอนหายใจ

“ข้าขอโทษ” เขาเอ่ยสั้นๆจอมเวทหนุ่มทำสีหน้าฉงนพร้อมกับถาม

“เจ้าขอโทษข้าเรื่องอะไร”

แม่ทัพแห่งมอร์เซลเลื่อนสายตาไปทางรัคเชนน์แทนคำตอบ ฟอร์เซ็ตติยิ้มอย่างอ่อนโยน

“นางยินดีที่จะเดินเคียงข้างไปกับเจ้า นั่นเป็นสิ่งที่ข้ารู้สึกดีใจ”

“แต่เจ้า”

“ข้าไม่เป็นอะไร” จอมเวทหนุ่มตอบ “ตรงกันข้ามข้ารู้สึกยินดีเสียด้วยซ้ำที่ได้เห็นใบหน้าอันเต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มอย่างมีความสุขของคนที่ข้ารักและคนสำคัญในชีวิตของข้า”

เขามองหน้าโซลย์นิ่ง

“ขอเพียงแต่เจ้าอย่าได้ทำให้นางต้องเสียน้ำตาเท่านั้น”

“ไม่มีวันเป็นเช่นนั้นแน่” แม่ทัพหนุ่มกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าจะคอยปกป้องคุ้มครองดูแลนางให้ดียิ่งกว่าชีวิตของข้าเอง”

ฟอร์เซ็ตติวางมือลงบนไหล่ของโซลย์และกระชับแน่น

“ขอบใจเจ้ามาก”

เขาลดมือลงเมื่อเห็นรัคเชนน์โบกมือให้กับเหล่านิมป์ของนาง แต่กระนั้นก็ยังมีภูตจิ๋วตัวหนึ่งบินติดตามนางมาด้วยความดื้อดึงจนเอลฟ์สาวต้องเอ่ยปากดุมันด้วยเสียงไม่ดังนัก

“มีเรื่องหนึ่งที่ข้าอยากจะถามเจ้า” โซลย์เอ่ยขึ้น “ชื่อเดิมของนางคืออะไร”

“เจ้าควรจะถามนางด้วยตัวเอง” จอมเวทหนุ่มตอบ “เพราะพวกเราจะไม่ก้าวก่ายหรือถือวิสาสะบอกกล่าวนามของผู้อื่นให้ใครฟังเป็นอันขาด แม้ว่าเขาคนนั้นจะเป็นญาติสนิทที่สุดก็ตาม”

“ข้าเข้าใจ” แม่ทัพแห่งมอร์เซลกล่าว เขาส่งยิ้มให้กับรัคเชนน์ซึ่งกำลังเดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าบึ้งตึงโดยมีร่างเล็กๆของนิมป์ตัวหนึ่งนั่งบนไหล่

“เขาขอตามไปด้วย” นางพูดขึ้นทันที “ทั้งๆที่ข้าบอกแล้วว่ามันอันตรายมาก”

ปีกบางใสของภูตป่ากระพือขึ้นลงสองสามครั้งก่อนจะลู่ลงไปทางด้านหลังเมื่อดาร์คเอลฟ์สาวส่งสายตาดุกับมัน โซลย์หัวเราะพร้อมกับก้มหน้าลงไปหานิมป์ตัวนั้น

“ท่าทางเขาจะห่วงเจ้ามากนะ ตกลงพาเขาไปด้วยก็แล้วกัน แต่ห้ามเจ้าบินเล่นไปมาตามอำเภอใจเป็นอันขาด เข้าไจหรือไม่”

แม่ทัพหนุ่มทำสีหน้าขึงขังใส่ภูตตัวน้อย เสียงกระดิ่งขานรับด้วยรอยยิ้มกว้าง รัคเชนน์ชำเลืองตามองดูมันด้วยกิริยาเง้างอน

“อย่าทำตัวเป็นภาระกับข้าก็แล้วกัน”

“ข้าจะช่วยเจ้าดูแลเขาอีกแรง” โซลย์กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน โมไดซึ่งยืนกอดอกมองดูอยู่ห่างๆทำหน้าเบ้และทำเป็นแกล้งส่งเสียงไอ

“สายมากแล้ว พร้อมจะออกเดินทางกันได้หรือยัง”

แม่ทัพหนุ่มตวัดสายตาดุไปทางเขา แต่เด็กหนุ่มทำหน้าราวกับไม่สนใจ โซลย์จึงหันไปทาง
ฟอร์เซ็ตติซึ่งกำลังยืนคอยด้วยท่าทางสงบ

“พวกเราพร้อมแล้ว” เขาพูด จอมเวทหนุ่มยิ้มและหมุนตัวออกเดินนำหน้าตามด้วยโมได ส่วนโซลย์นั้นเดินเคียงข้างรัคเชนน์และชวนนางพูดคุยไปเรื่อยๆ

“ป่าแห่งนี้ร่มเย็นดีเหลือเกิน”

“เพราะข้าไม่ปล่อยให้พวกมาร์วัลลัสหรือแซฟวีเล็ดรอดเข้ามาตัดหรือทำลายต้นไม้” ดาร์คเอลฟ์สาวตอบ “น่าเสียดายที่สัตว์ป่าส่วนใหญ่ถูกพลังของจอมมารทำให้คุ้มคลั่งและวิ่งเตลิดออกไปทำร้ายคนข้างนอก พวกมันถูกฆ่าตายจนเหลือน้อยเต็มที”

“หากกำจัดราชันย์ปิศาจได้ ทุกอย่างคงกลับเป็นปรกติ” แม่ทัพหนุ่มกล่าวรัคเชนน์ยิ้ม

“ข้าก็หวังให้มันเป็นเช่นนั้น”

โซลย์นิ่งเงียบไปชั่วขณะ เขากวาดตามองรอบตัวพร้อมกับถาม

“ที่นี่นอกจากสระน้ำที่เจ้าชอบไปนั่งเล่นแล้ว ยังมีแหล่งน้ำอื่นอีกหรือไม่”

“มีน้ำตกอยู่ที่เชิงเขาด้านหน้าไม่ไกลจากที่นี่นัก” ดาร์คเอลฟ์สาวตอบ “เจ้าถามทำไมหรือ”

“ข้าเพียงแค่อยากรู้เท่านั้น” เสียงเงียบไปเล็กน้อย “ ที่นั่นสวยหรือไม่”

“งามมากทีเดียว” รัคเชนน์ตอบด้วยสีหน้าเบิกบาน “เจ้าจะเห็นฝูงปลานับพันว่ายอยู่ในแอ่งน้ำอันเกิดจากผาน้ำตกสูงไล่ระดับลงมาเป็นชั้นๆ ไอละอองอันเย็นฉ่ำอันเกิดการสายน้ำกระทบแผ่นหินลอยฟุ้งกระจายไปจนทั่ว ดอกไม้มากมายขึ้นอยู่ตามพื้นดินลาดโดยรอบส่งกลิ่นหอมจนเจ้าไม่มีทางจำแนกได้เลยว่ามันเป็นกลิ่นของดอกไม้ชนิดใด”

“ข้าชักอยากเห็นเสียแล้วสิ” โซลย์พูดด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นแล้วมองดูนิมป์ซึ่งบินออกจากไหล่ของดาร์คเอลฟ์สาวไปวนเวียนรอบๆตัวของโมได เสียงเด็กหนุ่มบ่นสองสามคำก่อนจะยอมให้มันนั่งลงบนบ่าของเขา

“มีอีกเรื่องที่ข้าอยากจะถามเจ้า” เขาเอ่ยเบาๆ “แต่ข้ากลัวว่าเจ้าจะรู้สึกรำคาญกับความอยากรู้อยากเห็นของข้า”

รัคเชนน์หันมามองและยิ้ม

“ข้าไม่เคยรู้สึกรำคาญท่านเลยสักครั้ง หากเป็นเรื่องที่ข้าตอบได้ ข้าก็จะตอบ”

“คำว่าความงามในภาษาของเอลฟ์พูดว่ายังไง”

ดาร์คเอลฟ์สาวหันมามองหน้าโซลย์ ดวงตาสีเทาเต้นไหวระริกคล้ายกับรู้เท่าทันในคำถามของอีกฝ่าย รอยยิ้มอันอ่อนโยนประดับบนเรียวปากอิ่มก่อนเอ่ยตอบ

“ชาเม่” นางเลื่อนสายตาไปอีกด้าน “และนั่นเป็นนามของข้า หากเจ้าอยากจะรู้”

รัคเชนน์เร่งฝีเท้าของตนเดินไปหาฟอร์เซ็ตติซึ่งนำหน้าอยู่ไม่ห่าง โซลย์ยิ้มให้กับตัวเองด้วยหัวใจที่เปี่ยมล้นไปด้วยความสุขขณะทวนชื่อของนาง

“ชาเม่”

*/*/*/*/*
ดาม่อนเดินเข้าไปในห้องโถงกลางของปราสาทแห่งแซฟเวจย์ เขารู้สึกแปลกใจเมื่อพบว่าจอมมารมิได้นั่งอยู่บนบัลลังก์ของเขาเหมือนทุกครั้ง หัวหน้าโจรกวาดตามองไปโดยรอบ

“เขาไม่อยู่หรอก”

เสียงใสๆดังมาจากทางด้านหลังของบัลลังก์ คิ้วเข้มเลิกสูงด้วยความรู้สึกสนเท่ห์เมื่อเห็นลินซ์เดินออกมาและนั่งลงบนยกพื้นข้างที่นั่งของจอมมาร

“นี่เจ้า...”ดาม่อนพูดด้วยความรู้สึกแปลกใจอย่างที่สุด “เจ้าไม่เป็นอะไรหรือ”

“แค่เจ็บแขนนิดหน่อยตอนถูกเขาลากมา” เด็กน้อยตอบพร้อมกับชูแขนข้างหนึ่งให้ดู รอยช้ำเขียวขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนต้นแขนข้างนั้น หัวหน้าโจรเม้มปากตนเองแน่น

“ข้าจะเอายามาให้”

“ขอบคุณมาก” ลินซ์กล่าวเสียงใส ดาม่อนมองดูใบหน้าไร้เดียงสาของเด็กน้อยซึ่งกำลังนั่งลูบรอยช้ำบนแขนของตนแล้วขมวดคิ้ว

“ทำไมเขาถึงไม่ลงมือกับเจ้า”

บุตรีแห่งเดฟล่อนเงยหน้าขึ้น ดวงตาสีฟ้าใสจ้องหัวหน้าโจรนิ่ง นางสั่นหน้า

“ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน” ลินซ์ทำท่าคิด “หลังจากที่จอมมารพาข้ามาที่นี่ เขาพูดคุยกับข้าสองสามคำและสั่งให้ข้าอยู่ตรงนี้ห้ามออกไปไหนทั้งนั้น”

“ดีแล้วที่เจ้าทำตามคำสั่งของเขา” หัวหน้าโจรกล่าว “เพราะด้านนอกของปราสาทไม่ใช่ที่ที่เด็กผู้หญิงอย่างเจ้าจะออกไปเดินเล่น”

เด็กน้อยมองหน้าดาม่อนอย่างพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งจึงพูด

“เจ้าดูไม่เหมือนโจรคนอื่นเลยสักนิด”

“ข้าเป็นโจร จะแตกต่างไปจากพวกเดียวกันไปได้อย่างไร”

“คำพูดและการวางตัวของเจ้าต่างจากคนพวกนั้นมาก” ลินซ์พูดพลางเดินเข้าไปหาดาม่อนพร้อมกับยกมือขึ้นแตะไปบนอกด้านซ้ายของเขา “เจ้าไม่ได้เป็นชาวมอร์เซล”

แม้จะรู้สึกตกใจในคำพูดของเด็กน้อยที่ยืนอยู่ตรงหน้า แต่หัวหน้าโจรก็ยังคงระวังรักษาทีท่าเอาไว้มิได้แสดงกิริยาใดออกมานอกจากคำถามสั้นๆ

“เจ้ารู้ได้อย่างไร”

“หัวใจของเจ้าพูดเช่นนั้น” ลินซ์เอียงหน้ามองดูเขา “น่าแปลกที่สุดก็คือถึงเจ้าเป็นคนดุร้ายแต่กลับมีหัวใจอันภักดี”

ดาม่อนปัดมือของเด็กน้อยออกทันที เขาลุกขึ้นและพูดเสียงเรียบ

“โจรอย่างข้าไม่เคยภักดีกับใคร”

“ใจเจ้าไม่ได้บอกเช่นนั้น” ลินซ์เถียงเสียงแผ่ว “เจ้าปวดร้าวยามนึกถึงความพินาศของแซฟวีในขณะเดียวกับที่เจ้าไม่ต้องการฝืนคำสั่งของจอมมาร”

หัวหน้าโจรแห่งแซฟเวจย์ยืนขบกรามแน่นจนเป็นสันนูนเมื่อได้ยินคำพูดของเด็กหญิงตัวน้อย เขาจ้องมองดูลินซ์นิ่งก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“สำหรับความภักดีนั้นข้ายอมรับ แต่เรื่องความปวดร้าวที่เห็นแซฟวีล่มสลายนั้นไม่เป็นความจริงเลยแม้แต่น้อย” ร่างสูงกำยำก้มตัวลง “ข้าดีใจจนอยากจะหัวเราะออกมาดังๆเสียด้วยซ้ำตอนเห็นอาณาจักรนั่นถูกไฟเผาจนวอดวาย”

“ท่านฝืนใจกล่าวในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความรู้สึกของตนเอง” บุตรีแห่งเดฟล่อนพูดด้วยน้ำเสียงเศร้า ดาม่อนยืดตัวขึ้นและตวาดเสียงดัง

“พอที!” เขาก้าวถอยหลังออกมาสองสามก้าว “เลิกพูดเรื่องเหลวไหลไร้สาระได้แล้ว ข้าไม่รู้ว่าเจ้าทำแบบนี้ได้อย่างไร แต่หากยังขืนทำเป็นล่วงรู้ถึงจิตใจของคนอื่น จอมมารคงไม่ละชีวิตเจ้าอีกต่อไปแน่”

หัวหน้าโจรแห่งแซฟเวจย์จ้องหน้าลินซ์เขม็ง

“ข้าจะไปเอายามาให้ จงนั่งรออย่างเงียบๆอย่าได้เอ่ยวาจาใดออกมาอีกเป็นอันขาด!”

ร่างกำยำหมุนตัวก้าวออกไปทันทีที่สั่งจบ ลินซ์มองตามหลังดาม่อนด้วยดวงตาเศร้าก่อนนั่งลงแล้วกอดเข่าของตนเอง เด็กน้อยซุกหน้าลงบนท่อนแขนและสะอื้นเบาๆ

“ข้าไม่ชอบเสียงเด็กร้องไห้”

เสียงทุ้มต่ำดุดันดังขึ้น ลินซ์สะดุ้งสุดตัวและเงยหน้า เด็กน้อยรู้สึกตกใจเมื่อเห็นร่างสูงทะมึนของคอร์ฟคาคาร์สกำลังยืนมองนางด้วยสายตาเย็นชาแน่วนิ่ง

“จะหยุดร้องเองหรือให้ข้าหักคอเจ้า”

จอมมารกล่าวเสียงต่ำ ลินซ์ชำเลืองมองกรงเล็บของเขาและรีบปาดน้ำตา

“ข้าไม่ได้ร้องเสียงดังสักหน่อย” เด็กน้อยเถียงเสียงแผ่ว คิ้วเข้มของราชันย์ปิศาจขมวดเข้าหากันด้วยความรู้สึกขัดใจ

“จะมีเสียงหรือไม่มีเสียงข้าก็ไม่ชอบ” เขาเดินไปนั่งบนบัลลังก์ของตนและหันมาทางบุตรีแห่งเดฟล่อนพร้อมกับแสยะยิ้ม

“แต่ถ้าเป็นเสียงกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดทรมานแล้วล่ะก็” เสียงหัวเราะกระหึ่มในลำคอ “มันจะไพเราะน่าฟังกว่ามาก”  

สีหน้าที่กำลังแสดงความหงุดหงิดของเขาแปรเปลี่ยนเป็นกระหยิ่มยินดีเมื่อได้เห็นดวงหน้าไร้เดียงสาซีดเผือดลง คอร์ฟคาคาร์สเอนกายพิงพนักบัลลังก์

“เจ้าคุยอะไรกับดาม่อน”

เขาถามเสียงห้วน ลินซ์ส่ายหน้าแทนคำตอบ จอมปิศาจจ้องนางด้วยสายตาดุดันก่อนกระชากเสียงถามอีกครั้ง

“ข้าถามว่าเจ้าคุยอะไรกับดาม่อน!”

“เขาแค่ถามข้าว่าบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่าเท่านั้น” เด็กน้อยตอบจอมมาร เขาหรี่ตาลง

“แล้วเจ้าเจ็บตรงไหน”  

ลินซ์นั่งนิ่งไม่ตอบคำ คอร์ฟคาคาร์สเอนตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยพร้อมกับขยับมือของตน ร่างของเด็กน้อยไหลเลื่อนเข้าไปหาเขาอย่างรวดเร็วราวกับถูกกระชาก นางร้องอุทานออกมาเมื่อถูกอุ้งมืออันแข็งแกร่งบีบแขนอย่างแรง

“เจ้าตอบคำถามเจ้าหัวหน้าโจรนั่นแต่กลับไม่ยอมอ้าปากพูดกับข้าซึ่งเป็นราชันย์ของที่นี่ ดูเหมือนศักดิ์ศรีของข้าจะด้อยเสียจนเจ้าคร้านจะคุยด้วยใช่ไหม”

“ข้าแค่คิดว่าเจ้าคงไม่ใส่ใจกับความเจ็บปวดของผู้อื่นเท่าใดนัก จึงไม่กล้าเอ่ยปากบอก” ลินซ์เถียง จอมมารแห่งแซฟเวจย์จ้องนางเขม็งแล้วยิ้ม

“ข้าไม่ใส่ใจความเจ็บปวดของเจ้าพวกชั้นต่ำเหล่านั้น แต่ข้าพอใจกับการได้เห็นสีหน้าบิดเบี้ยวเหยเกและเสียงร้องอ้อนวอนขอความเมตตาจากพวกมัน” อุ้งมือแกร่งกระชับแน่นขึ้น ดวงตาสีดำอันเย็นชาทอประกายเมื่อเห็นเด็กหญิงตัวน้อยขบปากตนเองแน่นคล้ายพยายามสะกดความเจ็บปวด

“จะไม่ขอให้ข้าปล่อยหรือ”

“หากเจ้าพอใจก็คงทำแบบนั้นเอง” ลินซ์ตอบ คอร์ฟคาคาร์สหัวเราะเสียงดังพร้อมกับคลายมือที่บีบแขนชองเด็กน้อยออก

“ปากกล้าเกินตัวนัก” เขาเอนกายพิงพนักบัลลังก์อีกครั้ง “ได้คุยกับเจ้านี่นับเป็นการแก้เบื่ออย่างหนึ่งได้เหมือนกัน”

เขายกแขนข้างหนึ่งขึ้นเท้าใบหน้าของตน ดวงตาคมยังคงจ้องมองลินซ์แน่วนิ่ง

“ข้าจะปล่อยให้เจ้านั่งเล่นตามสบายแต่อย่าได้ส่งเสียงดังรบกวนข้าขณะพักผ่อนเป็นอันขาด และที่สำคัญ” ประกายวาววับอันน่ากลัวปรากฏขึ้นในตาอันดุดัน “อย่าได้ก้าวออกไปจากห้องนี้ถ้ายังอยากมีลมหายใจ”

บุตรีแห่งเดฟล่อนพยักหน้ารับแทนการใช้คำพูด คอร์ฟคาคาร์สจึงปิดเปลือกตาของตน ลินซ์ชำเลืองมองดูเขาอย่างระมัดระวังจนแน่ใจว่าจอมมารล่วงเข้าสู่นิทรารมย์แล้วจึงค่อยๆชะโงกหน้าไปจ้องจนใกล้และเอื้อมมือออกไป

“อย่าได้ทำแบบนั้น”

เสียงดาม่อนพูดขึ้นด้วยสีหน้าตระหนก เขารีบเดินตรงมาหาลินซ์และดึงร่างของเด็กน้อยออกมาให้ห่างจากบัลลังก์ของราชันย์ปิศาจ

“ลองคิดภาพเจ้าถูกฉีกกระชากทั้งเป็นเพียงเพราะไปรบกวนการนอนหลับของเขาดูสิ” เขากล่าวด้วยเสียงดุแต่ไม่ดังนัก บุตรีแห่งเดฟล่อนกลืนน้ำลายลงคอด้วยความรู้สึกสยอง

“ข้าเพียงแค่อยากจะเห็นภายในใจของเขาเท่านั้น”

“อย่าหาความตายใส่ตัว” ดาม่อนพูดพลางชำเลืองตามองไปทางจอมมาร “แค่เขายอมละชีวิตของเจ้าเพียงชั่วขณะก็อย่าเพิ่งคิดว่านั่นคือความเมตตา”

“ข้าเคยพบผู้คนมามาก ต่อให้เป็นคนที่ใจร้ายที่สุดก็ยังมีความอ่อนไหวอยู่ภายในใจ”

ลินซ์เถียงเขา หัวหน้าโจรยิ้ม

“แต่ราชันย์มารไม่ช่คน เจ้าอย่าลืมนำถึงข้อนี้ไปเสียสิ” ดาม่อนส่งห่อยาให้กับเด็กน้อย “ข้าเอายานี่มาให้ ทาตรงรอยช้ำให้ทั่วพรุ่งนี้ก็จะหาย” เขาหมุนตัวทำท่าจะเดินออกไปบุตรีแห่งเดฟล่อนรีบร้องถาม

“เจ้าไม่อยู่เป็นเพื่อนข้าหรือ”

“ตอนจอมมารหลับนี่หรือ ไม่ล่ะเด็กน้อยข้ายังอยากมีลมหายใจยืดยาวต่อไปอีก” ร่างกำยำก้าวออกไปจากห้องทันทีที่กล่าวจบทิ้งให้ลินซ์นั่งนิ่งอยู่เพียงลำพัง เด็กน้อยดึงขวดยาออกมาและจัดแจงเปิดจุกเทของเหลวสีเหลืองอำพันใส่มือแล้วทาบนต้นแขนของตนเอง หลังจากเก็บยาที่ดาม่อนให้จนเสร็จเรียบร้อย ลินซ์จึงนั่งไล่สายตาสำรวจรอบห้องและหยุดตรงร่างของจอมมารอีกครั้ง ปากเล็กน่ารักเม้มเข้าหากันราวกับลังเลใจ เด็กหญิงตัดสินใจลุกขึ้นและเดินอย่างเข้าไปหาราชันย์ปิศาจอย่างเงียบกริบ ลินซ์ยืนพิจารณาใบหน้าดุดันที่กำลังหลับอยู่ครู่หนึ่งจึงเอื้อมมือของตนออกไปข้างหน้า ร่างเล็กๆสั่นสะท้านขึ้นมาเมื่อรู้สึกถึงพลังอันมหาศาลซึ่งแผ่ออกมาจากร่างในชุดดำทะมึน เสียงร้องเซ็งแซ่จนฟังไม่ได้ศัพท์ลอยวนอยู่รอบกายของจอมมาร บุตรีแห่งเดฟล่อนถึงกับชะงักมือที่กำลังจะสัมผัสทรวงอกของจอมปิศาจพร้อมกับหอบหายใจ

“นี่มันอะไรกัน”

เด็กน้อยคิด นางตัดสินใจเลื่อนมือของตนเข้าไปอีกจนปลายนิ้วสัมผัสกับผ้าคลุมสีดำ เสียงร้องตะโกนดังลั่นสวนเข้ามาในจิตสำนึกของลินซ์ทันที

“ฆ่า!”

“ทำลายพวกมัน!”

“แก้แค้น!”

ร่างเล็กๆสะดุ้งสุดตัวเมื่อมืออันแข็งแกร่งของคอร์ฟคาคาร์สคว้าแขนของนางไว้ ดวงตาสีดำแปรเปลี่ยนไปเป็นสีแดงก่ำด้วยความโกรธเกรี้ยวขณะที่จ้องมองใบหน้าเด็กน้อยเขม็ง

“เจ้ากำลังทำอะไร!”

จอมปิศาจกระชากเสียงถามพร้อมกับยืดกายนั่งตัวตรง เขาดึงร่างของลินซ์มายืนตรงหน้าและใช้กรงเล็บจิกไปบนไหล่ทั้งสองข้าง

“ข้าถามว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่นังเด็กน้อย!”

“ข้าไม่ได้ทำอะไร”

เด็กหญิงตอบเสียงสั่น คอร์ฟคาคาร์สขบกรามตนเองแน่น

“โกหก!” เขาตวาดเสียงก้อง “เจ้าคิดว่าข้านอนหลับจนไม่รู้ถึงสิ่งที่เจ้ากำลังทำกับข้าหรือ นังเด็กโอหัง!”

“ข้าเพียงแค่อยากดูว่าเจ้าหลับจริงๆหรือไม่เท่านั้น”

ลินซ์เถียง จอมมารหัวเราะด้วยน้ำเสียงน่ากลัว

“เจ้าคิดว่าข้าโง่มากใช่ไหมจึงได้กล้าสร้างเรื่องแก้ตัวอันน่าขำแบบนี้ออกมา” ดวงตาสีแดงเพลิงหรี่ลง “ข้ารู้ว่าเจ้ามีพลังที่สามารถอ่านใจคนได้และเจ้ากำลังใช้พลังนั้นกับข้า”

“ข้าไม่มีพลังอะไรที่เจ้าว่านั่น...” เสียงของเด็กน้อยขาดหายไปเมื่อจอมมารบีบกรงเล็บของเขาให้แน่นขึ้น ร่างของลินซ์สั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด

“อย่ามาทำปากแข็งนังเด็กน้อย ข้ารับรู้ถึงพลังบางอย่างของเจ้าตั้งแต่พบกันที่มอร์เซลแล้ว และเมื่อได้เห็นกิริยาประหลาดของนังดาร์คเอลฟ์นั่นยิ่งทำให้ข้ามั่นใจว่าเจ้ามีอะไรที่แปลกไปจากผู้อื่นจนกระทั่งเห็นเจ้าคุยกับดาม่อน”

ใบหน้าอันน่ากลัวก้มลงมาหาลินซ์จนแทบจะชิด

“ข้าจึงรู้ชัดว่าเจ้ามีพลังที่สามารถอ่านจิตใจของผู้อื่นได้” คอร์ฟคาคาร์สยืดตัวขึ้นและผลักร่างของเด็กหญิงตัวน้อยจนกระเด็นไป “ไหนลองบอกข้าทีสิว่าเจ้าอ่านอะไรจากใจของข้าได้บ้าง”

“หัวใจของเจ้ามีแต่การทำลาย” ลินซ์ตอบเสียงฉะฉาน ใบหน้าไร้เดียงสาจ้องตาจอมมารอย่างไม่เกรงกลัว “รอบกายของเจ้ามีแต่วิญญาณของพวกคนชั่วคอยบงการ”

ราชันย์ปิศาจหัวเราะเสียงดังด้วยความขบขันหลังจากที่ได้ฟังคำกล่าวของเด็กหญิงตรงหน้าจบลง

“รอบกายของข้ามีแต่วิญญาณของคนอื่นคอยบงการหรือ น่าขำเหลือเกินนังเด็กน้อย” จอมมารพูดเสียงกระหึ่ม “ข้าเพียงแค่ปล่อยให้จิตของเจ้าพวกชั้นต่ำเหล่านั้นออกมาหลอกล่อเจ้าเพียงชั่วครู่เท่านั้น”

ร่างสูงลุกขึ้นและเดินตรงไปหาลินซ์ เขาก้มตัวลงและคว้าแขนเล็กๆมาวางไว้บนแผ่นอกพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงคำราม

“ลองอ่านใจข้าดูอีกครั้งแล้วบอกว่าเจ้าพบอะไร”

ใบหน้าไร้เดียงสาฉายความแปลกใจเมื่อครั้งนี้ไม่สามารถอ่านหรือได้ยินเสียงใดๆดังออกมาจากร่างทะมึนตรงหน้า คอร์ฟคาคาร์สผลักร่างของลินซ์ออกและกล่าว

“เจ้าไม่มีวันอ่านใจข้าได้หรอก นังเด็กน้อย เพราะว่าข้าไม่มีก้อนเนื้อที่พวกมนุษย์อย่างเจ้าเรียกว่าหัวใจ”

รอยยิ้มเยาะประดับบนปากบางซีดอันน่ากลัว แล้วจู่ๆร่างสูงก็ชะงัก ดวงตาสีแดงหรี่ลง ริมฝีปากเยาะเมื่อครู่เหยียดออกจนกลายเป็นแสยะ ใบหน้าที่น่าสะพรึงหันไปทางทิศใต้ราวกับกำลังจ้องดูใครหรืออะไรบางอย่าง

“ในที่สุดเจ้าก็ทรยศข้า”

จอมมารพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงต่ำเย็น เขาสะบัดผ้าคลุมสีดำและยื่นมือข้างหนึ่งออกมา เปลวเพลิงสีแดงฉานเต้นระริกอยู่บนอุ้งมือ ลินซ์มองเห็นร่างเล็กๆของอะไรบางอย่างลอยอยู่ในเปลวไฟ

“จงกำจัดนังดาร์คเอลฟ์นั่นและสังหารผู้ที่ตามมันมาให้หมดทุกคน”

คอร์ฟคาคาร์สร้องสั่งเงาร่างในเปลวเพลิง มันเคลื่อนไหวไปมาคล้ายน้อมรับก่อนจะสลายไป จอมมารรวบกรงเล็บเข้าหากันและหันมาหาบุตรีแห่งเดฟล่อน

“เจ้าคงจะยินดีหากได้รู้ว่าผู้วิเศษชั้นต่ำนั่นกำลังจะมาที่นี่” เขาเหยียดยิ้มอย่างน่ากลัว “และเตรียมเสียใจกับการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของมันเอาไว้ด้วยนังเด็กน้อย เพราะบริวารของข้ากำลังจะฆ่ามันในอีกไม่ช้า”

ใบหน้าของลินซ์เผือดลงทันทีพร้อมกับพึมพำออกมาด้วยความตกใจ

“ท่านฟอร์เซ็ตติ”


*-*-*-*-*

จากคุณ : Moony_Lupin
เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 13:18:16




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com