โมไดยืนบิดแขนเพื่อขับไล่ความปวดเมื่อยและสูดลมหายใจเข้าด้วยความรู้สึกสดชื่นกับอากาศบริสุทธิ์ยามเช้า เขาหันไปมองโซลย์ซึ่งกำลังช่วยรัคเชนน์ดับกองไฟแล้วเบ้หน้าอย่างนึกเบื่อหน่าย
ไม่ยอมห่างกันสักวินาทีเลยนะ
เด็กหนุ่มบ่นก่อนเดินไปหาฟอร์เซ็ตติที่ยืนจ้องไปทางทิศเหนือด้วยสีหน้าวิตก
ดูเหมือนเจ้าจะมีข่าวไม่ดี
ดวงตาสีฟ้าใสเลื่อนมามองโมไดและเลยไปทางโซลย์กับรัคเชนน์
ดูเหมือนราชันย์มารจะล่วงรู้ข่าวการมาของพวกเราแล้ว จอมเวทหนุ่มบอก ข้าสัมผัสถึงพลังอันน่ากลัวของเขาได้เมื่อตอนใกล้รุ่ง
เราควรเปลี่ยนเส้นทาง โมไดแนะแต่ฟอร์เซ็ตติกลับส่ายหน้า
ไม่ว่าเจ้าจะเลือกใช้เส้นทางไหนเขาก็สามารถรู้ได้อยู่ดี แล้วอีกอย่างทางนี้เป็นทางสะดวกที่สุดหากจะไปแซฟเวจย์
แล้วพวกเราจะเจอตัวอะไรกันอีก เด็กหนุ่มบ่น จอมเวทแห่งมาร์วัลลัสยิ้ม
ตราบใดที่พวกเรายังอยู่ในเขตของรัคเชนน์ จะไม่มีสัตว์ปิศาจตัวไหนบุกเข้ามาทำร้ายเจ้าได้เป็นอันขาด โมได
ขอให้จริงเถอะ
โมไดพึมพำและหันไปมองแม่ทัพแห่งมอร์เซลซึ่งกำลังเดินเคียงคู่กับรัคเชนน์ด้วยสีหน้าเป็นสุข
พวกเจ้าจะคุยกันอีกนานไหม
เด็กหนุ่มพูดขึ้น ดาร์คเอลฟ์สาวเลิกคิ้ว
เจ้าจะรีบไปไหนกัน เจ้าหนู หนทางสู่แซฟเวจย์ไม่หนีเจ้าไปแน่ไม่ต้องเป็นกังวล
ที่ข้าวิตกคือความปลอดภัยของลินซ์ สิ่งอื่นนอกจากนั้นข้าไม่สน โมไดตอบและเดินตามหลังฟอร์เซ็ตติไปทันที รัคเชนน์ทำสีหน้าแปลกใจและหันไปทางโซลย์
ทำไมเขาต้องโกรธข้าด้วย
เพราะเขาเป็นห่วงน้องสาวซึ่งอยู่ในปราสาทจอมมาร โซลย์ตอบ ใบหน้างดงามของดาร์คเอลฟ์สาวสลดลง
ข้าลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปเสียสนิท
ไม่เป็นไร แม่ทัพหนุ่มกล่าวอย่างอ่อนโยน โมไดเองก็ไม่ได้โกรธเคืองจริงจังอะไรนัก อย่าได้กังวลไปเลย หลังจากเดินทางผ่านไปเกือบตลอดวัน ทั้งหมดก็มาถึงผาน้ำตกขนาดไม่ใหญ่นัก รัคเชนน์เดินนำโซลย์ไปหยุดยืนที่ริมแอ่งน้ำพร้อมกับยิ้ม
สวยดังที่ข้าบอกใช่หรือไม่
แม่ทัพแห่งมอร์เซลมองทิวทัศน์โดยรอบด้วยความรู้สึกสดชื่น ละอองอันเย็นฉ่ำอันเกิดจากความแรงของน้ำตกซึ่งกระทบกับแผ่นหินถูกกระแสลมพัดผ่านมากระทบร่างของคนทั้งสี่ขับไล่ความเหน็ดเหนื่อยให้มลายหายไปราวกับปลิดทิ้ง เฟิร์นและมอสซึ่งงอกงามอยู่บนก้อนหินอันชุ่มชื้นมองดูคล้ายพรมสีเขียวนุ่มหนาน่านั่ง ดอกไม้หลากสีหลายพันธุ์แข่งกันผลิดอกเบ่งบานส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลไปจนทั่ว โซลย์ยิ้มเมื่อสายตาของเขาหยุดลงที่ร่างระหงของรัคเชนน์ สายลมเย็นพัดผ่านกายของดาร์คเอลฟ์สาวจนเรือนผมสีเงินพลิ้วกระจายยิ่งกอรปกับน้ำตกอันเป็นฉากหลังแล้ว ภาพของหญิงสาวตรงหน้างดงามยิ่งกว่ารูปเขียนอันวิจิตรจากช่างฝีมือชั้นยอดทั้งหมดของมอร์เซลมารวมกัน
สวยเหลือเกิน
แม่ทัพหนุ่มรำพึงออกมา รัคเชนน์ยิ้มอย่างอ่อนโยนในขณะที่โมไดนั้นเบ้หน้า
เหลือเชื่อที่คนอย่างเจ้าก็รู้จักพูดจาแบบนี้เป็น
เด็กหนุ่มกระซิบจากทางด้านหลังของเขาและกระโดดหนีออกไปทันทีเมื่อโดนสายตาดุดันของอีกฝ่ายจ้องกลับมา
คืนนี้พวกเราจะพักที่นี่ ฟอร์เซ็ตติกล่าวขึ้น พักผ่อนให้สบายเพราะเมื่อพ้นจากเขตนี้ไปเราก็จะเข้าสู่ชายแดนของแซฟเวจย์
ปลาของที่นี่กินได้ไหม โมไดพูดแทรกขึ้น จอมเวทหนุ่มหันมามองเขาด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความพิศวง
เจ้ากังวลเรื่องแค่นี้หรือโมได
ข้าไม่ได้กินอะไรที่มันหนักท้องมาเป็นเดือนแล้วนอกจากเนื้อเค็มเหม็นสาบของเขา เด็กหนุ่มบุ้ยใบ้ไปทางโซลย์ ถ้าปลาของที่นี่กินได้และเจ้าของไม่หวง ข้าก็อยากจะขอจับมากินสักสองสามตัว
ปลาในเขตนี้ไม่ได้รับผลจากอำนาจมืดของจอมมาร และข้าก็ไม่ใช่คนหวงของ เจ้าจะจับขึ้นมาเป็นอาหารสักกี่ตัวก็ย่อมได้แต่มีข้อแม้ว่าห้ามกินเหลือทิ้งเป็นอันขาด
ข้าจะกลืนให้หมดทั้งตัวไม่ให้เหลือแม้แต่ก้างเลยคอยดู
โมไดพูดพร้อมกับถอดเสื้อและวิ่งไปยังแอ่งน้ำอย่างรวดเร็ว โซลย์ส่ายหน้าด้วยความรู้สึกระอาผนวกกับเอ็นดูเมื่อเห็นร่างของเด็กหนุ่มกำลังดำผุดดำว่ายอย่างสนุกสนาน
พวกเจ้าไม่มาเล่นด้วยกันเรอะ
เสียงเขาตะโกนเรียกด้วยความร่าเริง รัคเชนน์ถึงกับหัวเราะออกมา
เป็นเด็กมนุษย์ที่ตรงไปตรงมาจริง นางหันไปทางแม่ทัพหนุ่ม เจ้าจะไปเล่นกับเขาก็ได้นะ
ข้าอยากนั่งอยู่ตรงนี้ โซลย์ตอบเสียงอ้อมแอ้ม ดาร์คเอลฟ์สาวยิ้ม
ความเย็นของสายน้ำจะช่วยผ่อนคลายความเมื่อยล้าและทำให้เจ้ารู้สึกสบาย ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นี่ไม่หนีไปไหนแน่ ไม่ต้องกังวล
แม่ทัพแห่งมอร์เซลยิ้มเก้อๆขณะที่ดวงตาเหลือบไปทางฟอร์เซ็ตติ จอมเวทหนุ่มยิ้มอย่างรู้ทัน
ข้าไม่ใช่นักฉวยโอกาส
เขาพูดสั้นๆ โซลย์จึงลุกขึ้นและเดินไปที่แอ่งน้ำ เสียงโมไดดังขรมสลับกับเสียงดุของแม่ทัพหนุ่ม รัคเชนน์มองดูร่างกำยำของโซลย์นิ่ง นางยิ้มออกมาจางๆ
เขาเป็นคนดี ฟอร์เซ็ตติเอ่ยขึ้น ดาร์คเอลฟ์สาวพยักหน้า
ข้ารู้ นางหันมามองจอมเวทหนุ่ม ดวงตาสีเทาสะท้อนแสงแดดยามเย็นเป็นประกาย ทั้งเขาและท่านรวมถึงหนุ่มน้อยผู้นั้นล้วนแล้วแต่เป็นคนดี
จอมเวทหนุ่มนิ่งไปเล็กน้อย รัคเชนน์ได้ยินเสียงระบายลมหายใจดังมาจากเขา
ข้าขอโทษ นางเอ่ยขึ้น ฟอร์เซ็ตติยิ้มอย่างอ่อนโยน
ไม่มีอะไรที่จะต้องมากล่าวขอโทษข้า จอมเวทแห่งมาร์วัลลัสกล่าว เจ้าคิดถูกที่เลือกเขา
สีหน้าของดาร์คเอลฟ์สาวสลดลง ฟอร์เซ็ตติเอื้อมมือมาแตะไหล่นาง
ขอเพียงเจ้ามีความสุข ข้าก็รู้สึกยินดีอย่างที่สุดแล้ว ชาเม่
รอยยิ้มอันอ่อนหวานปรากฏขึ้นบนใบหน้าแสนงาม รัคเชนน์กุมมือของจอมเวทหนุ่มอย่างแผ่วเบา
ขอบใจเจ้ามาก
ฟอร์เซ็ตติลดมือของเขาลงและหันไปมองโมไดที่กำลังเดินตรงเข้ามาหาพร้อมกับชูปลาสองตัวซึ่งกำลังดิ้นอยู่ในมือแล้วหัวเราะอย่างร่าเริงโดยมีโซลย์เดินตามหลังมา มือของเขามีปลาตัวเขื่องเช่นเดียวกัน
ข้าเพิ่งเคยเห็นคนจับปลาทีเดียวทั้งสองมือ เสียงแม่ทัพหนุ่มบ่น เจ้าหนูนี่ไวผิดมนุษย์
เจ้าแก่เกินไปต่างหาก เสียงโมไดโต้ทั้งที่ตาสอดส่ายหากิ่งไม้ขนาดพอเหมาะเพื่อนำมาใช้เสียบปลาย่าง
ข้าจะแบ่งให้เจ้าสักครึ่งตัวนะเจ้าจอมเวท เขาพูดขณะเหลาไม้ เจ้าจะเอาครึ่งไหนดี หัวหรือหาง
เด็กหนุ่มถามพลางปักไม้ที่มีปลาเสียบเรียบร้อยแล้วเอาไว้ข้างกองไฟและถูมือทั้งสองข้างไปมาระหว่างเฝ้ารอ ฟอร์เซ็ตติยิ้ม
ข้าไม่อยากแย่งเด็ก เขาพูด เชิญเจ้าตามสบายเถิด
ไม่ต้องเป็นห่วงข้า ข้ายังไม่หิว รัคเชนน์พูดเมื่อเห็นโซลย์มองมายังนาง โมไดชำเลืองมองแม่ทัพหนุ่มแล้วพูดขึ้น
หรือถ้าเจ้ากินไม่หมด จะแบ่งมาให้ข้าบ้างก็ได้
กินของเจ้าให้หมดก่อนเถอะ! โซลย์พูด
หลังจากอิ่มหนำสำราญกับอาหารมื้อเย็น โมไดอ้าปากหาวแล้วทำตาปรือคล้ายง่วงงุน ท่าทางของเขาทำให้ฟอร์เซ็ตติยิ้มและพูดออกมา
เจ้าจะนอนก็ได้นะ
แล้วเวรยามล่ะ เด็กหนุ่มถามเสียงอู้อี้ จอมเวทแห่งมาร์วัลลัสหัวเราะ
ข้าจะผลัดกับโซลย์และรัคเชนน์เฝ้าเจ้าไม่ต้องกังวล
โซลย์ซึ่งกำลังทำความสะอาดบรุนนาลาเงยหน้าขึ้น คิ้วเข้มของเขาขมวดมุ่นด้วยความรู้สึกระอาน้อยๆ
เจ้ารู้จักแต่กินกับนอนเท่านั้นหรือ โมได
ก็ข้ายังเด็กอยู่นี่ โมไดเถียง เจ้าเป็นถึงแม่ทัพมีหน้าที่ต้องคอยดูแลปกป้องเด็กไม่ใช่หรือ
ถ้าจะนอนก็จงรีบนอนให้หลับไปเลยไม่ต้องมาพูดมากให้ข้ารำคาญ แม่ทัพหนุ่มพูดตัดบท เด็กหนุ่มยิ้มล้อเลียนก่อนเอนตัวลงนอนและหลับไปแทบจะทันที รัคเชนน์มองเขาอย่างนึกเอ็นดู
เป็นเด็กที่อยู่ด้วยแล้วไม่รู้สึกเบื่อเลย
น่ารำคาญมากกว่า โซลย์บ่น พูดมาก กินจุ ขี้บ่น แต่ก็จริงใจ เขาผ่อนลมหายใจออกมา
บางครั้งข้ายังอดคิดไม่ได้ว่า พวกเราจะเครียดกันขนาดไหนหากไม่มีเจ้าหนูนี่มาด้วย
เขาเหมือนสายลมที่พัดผ่านผืนป่าอันบริสุทธิ์ ฟอร์เซ็ตติกล่าวจนเรารู้สึกผ่อนคลายทุกครั้ง
ใช่ ผ่อนคลายมาก แม่ทัพแห่งมอร์เซลพูดกลั้วหัวเราะ ดาร์คเอลฟ์สาวยิ้ม
ข้าอิจฉาพวกเจ้าจริงๆ นางก้มหน้าลง ข้าไม่เคยพบเพื่อนเช่นนี้สักคนในชีวิต
เจ้ามีแล้วมิใช่หรือ โซลย์กล่าวและเลื่อนสายตาไปที่ฟอร์เซ็ตติ เขาเฝ้าดูแลเจ้าด้วยความห่วงใยมาตลอด เพียงแต่เจ้าปฏิเสธที่จะรับมันต่างหาก
ข้าเพียงแต่..... รัคเชนน์ถอนหายใจ
เจ้าเพียงแต่ปิดกั้นตัวเองเท่านั้น แม่ทัพหนุ่มพูดต่อประโยค เขาเลื่อนมือที่แข็งแรงออกไปกุมมือของนางอย่างนุ่มนวล ข้าดีใจที่เจ้าเปิดใจยอมรับข้า
นัยน์ตาสีเหล็กมองจ้องดวงตาสีเทาสวยแน่วนิ่ง โซลย์ยกมือของนางขึ้นมาจุมพิตและแนบไว้กับใบหน้าของตน
ชีวิตข้าเป็นของเจ้า รัคเชนน์
ฟอร์เซ็ตติมองดูรัคเชนน์และโซลย์เงียบอยู่ครู่หนึ่งจึงปลีกตัวออกมา เขายืนมองดวงจันทร์กลมโตสีนวลสว่างกลางท้องฟ้า แสงของมันสะท้อนกับผิวน้ำตกส่องประกายระยิบระยับราวกับอัญมณี ขณะที่กำลังปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปกับความงามยามค่ำคืน จู่ๆร่างของเขาก็ไหวสะท้านราวกับถูกพลังงานบางอย่างพุ่งเข้ามาปะทะ มันเป็นพลังที่เต็มไปด้วยความอาฆาตมาดร้ายซึ่งแผ่กระจายอยู่รอบตัว จอมเวทหนุ่มหมุนกายและกวาดสายตามองด้วยความตื่นตระหนก
จอมมาร เขาพึมพำพร้อมกับยกมือขึ้นวางจรดไว้บนทรวงอกด้านซ้าย เขาพบข้าแล้ว
นิมป์ตัวน้อยโผบินออกมาจากพุ่มไม้ด้วยความตกใจ มันบินวนรอบกายของฟอร์เซ็ตติและร่อนลงเกาะบนไหล่ของเขา ร่างเล็กๆสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว จอมเวทหนุ่มจึงละมือจากทรวงไปแตะมันอย่างแผ่วเบา
ไม่ต้องกลัว เขายังไม่ลงมือกับพวกเราในตอนนี้แน่ เขาปลอบภูตน้อยทั้งที่ดวงตาสีฟ้าฉายแวววิตก แต่เมื่อใดที่ก้าวพ้นอาณาเขตของรัคเชนน์ เขาอาจจะจัดการกับพวกเราทันที
*/*/*/*/*
จริงดังที่รัคเชนน์กล่าว การเดินทางผ่านป่าทึบอันเป็นเส้นกั้นเขตแดนระหว่างมาร์วัลลัสและแซฟเวจย์ที่ฟอร์เซ็ตติเคยคำนวณไว้ว่าจะใช้เวลาราวๆแปดถึงสิบวันจึงจะผ่านพ้น กลับถูกย่นระยะให้เหลือเพียงหกวันด้วยพลังของดาร์คเอลฟ์สาว ในที่สุดทั้งหมดก็หยุดยืนอยู่ที่ชายป่า เบื้องหน้าเป็นเทือกเขาอันสลับซับซ้อนจนสุดสายตา ฟอร์เซ็ตติยกมือและชี้ไปเบื้องหน้า
นั่นคือช่องแคบมรณะ เส้นทางเดียวที่จะนำพวกเราเข้าสู่แซฟเวจย์ จากนี้ไปจงเพิ่มความระมัดระวังทุกย่างก้าว อย่าได้หลงเดินออกนอกเส้นทางที่ข้าหรือรัคเชนน์บอกเป็นอันขาด
โมไดและโซลย์มองตามมือของจอมเวทหนุ่มขณะที่ฟังเขาพูด ระหว่างเทือกเขาอันซับซ้อนมีช่องแคบขนาดใหญ่ทอดเป็นแนวยาวขวางกั้นระหว่างเทือกเขาทั้งสองฝั่ง หมอกสีเทาลอยต่ำอยู่ทั่วจนแทบมองไม่เห็นพื้น ฟอร์เซ็ตติก้าวขาออกจากป่าโดยมีรัคเชนน์โมไดและโซลย์คอยระวังด้านหลังเช่นเคย
ทั้งหมดเดินเข้าสู่ช่องแคบมรณะซึ่งเป็นเส้นทางไม่กว้างนัก มันมีทั้งปลักตมและก้อนหินอันเกิดจากการถล่มของภูเขาสลับกันไป ฟอร์เซ็ตติร่ายมนตร์เพื่อให้คริสตัลบนปลายไม้ของเขาเปล่งแสงเรืองรองออกมาขับไล่ความมืดสลัวอันเกิดจากหมอกสีเทาซึ่งแม้จะไม่หนาทึบนักแต่ก็ทำให้ไม่สามารถมองเห็นทางได้สะดวกนัก
พยายามเดินบนก้อนหิน อย่าได้เหยียบลงไปบนดินเป็นอันขาดแม้ว่ามันจะดูแห้งและแข็งก็ตาม
จอมเวทหนุ่มกล่าวเตือน ทั้งสี่เดินตามกันไปโดยไม่มีการพูดคุยกันเหมือนทุกครั้ง ความเงียบอันน่าอึดอัดสร้างความตึงเครียด ฟอร์เซ็ตติชำเลืองตาอย่างระวังเมื่อได้ยินเสียงครางต่ำๆดังออกมาจากหลืบผาโดยรอบ โซลย์เลื่อนมือไปแตะด้ามบรุนนาลาและพร้อมที่จะชักมันออกมาทุกเวลาในขณะที่โมไดกุมรันนิ่งเอาไว้แน่นจนเหงื่อชุ่ม
พวกเบิร์ก รัคเชนน์กระซิบ จอมเวทหนุ่มผงกศีรษะอย่างเคร่งขรึม
พวกมันจะไม่ลงมาโจมตีพวกเราจนกว่าจะค่ำ เขากล่าวกับนาง ต้องเร่งพวกเขาให้พ้นจากบริเวณนี้โดยเร็วที่สุด
ฟอร์เซ็ตติเร่งฝีเท้าของตนให้เร็วขึ้นกว่าเดิม พวกที่เหลือต่างพากันเดินตามด้วยความรู้สึกสงสัยแต่ไม่มีผู้ใดเอ่ยปากถาม ท้องฟ้าอันมืดสลัวค่อยๆดำมืดลงทุกขณะ จอมเวทหนุ่มมองด้วยสายตาวิตก
อีกสองสามไมล์ก็จะพ้นเขตนี้แล้ว เร่งฝีเท้าเร็วเข้า
เขาร้องบอกเพื่อนทั้งสาม จากการเดินธรรมดาจึงเริ่มเปลี่ยนเป็นกึ่งเดินกึ่งวิ่ง จนโมไดทนเก็บความสงสัยเอาไว้ไม่ได้จึงถามขึ้น
พวกเรากำลังหนีอะไรกัน
เบิร์ก รัคเชนน์ตอบ ปิศาจภูเขาซึ่งนิยมกินเนื้อมนุษย์เป็นอาหาร มันคือฝันร้ายสำหรับพวกเราทุกคน
เสียงครางต่ำๆเริ่มใกล้เข้ามาทุกขณะคล้ายกำลังตีวงโอบล้อมคนทั้งสี่ แสงอาทิตย์สุดท้ายหายลับไปจากขอบฟ้า ความมืดปกคลุมไปจนทั่ว โซลย์ดึงบรุนนาลาออกมาจากฝักเมื่อเห็นดวงตาสีเขียวเรืองแสงไม่ต่ำกว่าร้อยดวงท่ามกลางความมืด มันกำลังเคลื่อนที่ไปมาอย่างรวดเร็ว เสียงครางดังระงมน่าขนลุก
เดินต่อไปอย่าหยุด
เสียงฟอร์เซ็ตติร้องบอก คริสตัลสีฟ้าเปล่งแสงสว่างมากขึ้นกว่าเก่า มันทำให้ทุกคนมองเห็นสิ่งรอบตัวได้อย่างรางๆ
แต่ข้ามองไม่เห็นทางแล้ว
โมไดร้องบอก จอมเวทหนุ่มกัดฟันแน่น
เจ้าจะไม่สามารถมองดูโลกได้อีกตลอดกาลหากหยุดในตอนนี้
เงาร่างสีดำขนรุงรังวิ่งตัดหน้าฟอร์เซ็ตติไปอย่างรวดเร็ว เขาชะงักและยื่นไม้เท้าออกไปข้างหน้า
พวกมันล้อมเราเอาไว้หมดแล้ว
จอมเวทหนุ่มพูด โซลย์กระชับบรุนนาลาในมือและเอี้ยวตัวไปมองทางด้านหลัง เงาสีดำสามสี่เงากระโดดออกมาจากซอกหินพุ่งเข้าใส่เขาอย่างรวดเร็ว แม่ทัพแห่งมอร์เซลตวัดดาบในมือตัดร่างของพวกมันจนขาดเป็นสองท่อนด้วยความว่องไว เสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้นในความมืด โมไดดึงรันนิ่งของเขาออกมาทันที
รันนิ่งใช้กับพวกนี้ไม่ได้ ฟอร์เซ็ตติพูด มันจะอาศัยก้อนหินหลบการโจมตีของเจ้า
แล้วจะสู้มันด้วยวิธีไหนดี
ดาบกับไฟและหนีให้เร็วที่สุด
จอมเวทหนุ่มกล่าวพลางเหวี่ยงไม้เท้าตีร่างเล็กขนรุงรังซึ่งกระโจนเข้าใส่เขาต็มแรง รัคเชนน์ตวัดดาบของนางฟันอสูรทุกตัวที่เข้ามาใกล้ๆอย่างไม่ปรานี
พวกมันมีมากเหลือเกิน ดาร์คเอลฟ์สาวร้องและยกเท้าเตะเบิร์กตัวหนึ่งที่แยกเขี้ยวขู่นางจนกระเด็น เราตั้งรับมันไม่ไหวแน่
ฟอร์เซ็ตติหันไปทางโซลย์ เขาพยักหน้า บรุนนาลาเปล่งแสงสีแดงราวกับไฟเมื่อเขากวัดแกว่งเป็นวง
อัซซ์บรุนน์!
เปลวไฟรูปจันทร์เสี้ยววิ่งออกจากปลายดาบพุ่งเข้าใส่ร่างอัปลักษณ์ขนรุงรังจนมันแตกกระจาย พวกที่เหลือพากันวิ่งหลบไปยังซอกหินและร้องคำราม
รีบไป เร็ว!
จอมเวทแห่งมาร์วัลลัสเร่งเสียงดัง รัคเชนน์รีบวิ่งนำหน้าออกไปทันที นางเหวี่ยงดาบไปมาเพื่อสกัดกั้นมิให้พวกเบิร์กรุกเข้ามาขวางทางโดยมีโมไดวิ่งตามไปติดๆ
เจ้าไปก่อน
โซลย์ร้องบอกฟอร์เซ็ตติและหันไปฟันร่างเล็กแคระที่วิ่งเข้ามาหา จอมเวทหนุ่มสั่นหน้า
ไปพร้อมกัน
เขาวางมือบนไม้เท้า แสงสว่างเจิดจ้าพุ่งวาบออกมา เบิร์กทั้งหลายต่างยกมือขึ้นป้องหน้า ทั้งสองจึงฉวยโอกาสวิ่งออกจากที่นั่นจนเต็มฝีเท้า
เสียงโห่ร้องอย่างโกรธแค้นดังไล่หลังคนทั้งสี่มาจนถึงปากทางออกของช่องแคบมรณะ เงาสีดำจำนวนมากยืนออกันอยู่พร้อมกับโบกมืออันใหญ่โตของมันไปมาด้วยความคั่งแค้นที่เหยื่ออันโอชะหลุดรอดเงื้อมมือไปได้ โมไดหันไปมองดูพวกมันอีกครั้งก่อนเอ่ยถามฟอร์เซ็ตติ
พวกมันเป็นตัวอะไรกันแน่
ปิศาจแห่งช่องแคบมรณะ จอมเวทตอบ ในอดีตพวกมันเป็นเพียงภูตตัวเล็กๆที่ออกล่าแค่สัตว์ป่าเท่านั้น แต่เมื่อได้รับพลังของจอมมารพวกมันจึงมีรูปร่างใหญ่ขึ้นและเพิ่มความดุร้ายจนกล้าทำร้ายมนุษย์หรือนักเดินทางแล้วนำกลับไปกินเป็นอาหาร
บริวารของจอมมารที่ใช้เส้นทางนี้ก็ต้องโดนพวกมันสังหารด้วยสิ เด็กหนุ่มพูด ฟอร์เซ็ตติสั่นหน้าช้า
ถึงมันจะดุร้ายมากเพียงใดก็ไม่กล้าพอที่จะลงมือทำร้ายคนของราชันย์ปิศาจแน่ จอมเวทหนุ่มหันไปทางรัคเชนน์และเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
เจ้าไม่เป็นอะไรนะ
ข้าสบายดี ขอบใจ
นางตอบสั้นๆก่อนเดินไปหาโซลย์ ฟอร์เซ็ตติมองตามนางเงียบๆครู่หนึ่งจึงเลื่อนสายตามองไปที่ดวงจันทร์ซึ่งกำลังลอยเด่นอยู่กลางท้องฟ้าอันมืดมิด
ที่นี่โล่งเกินไป เขาเปรยขึ้นและลดสายตาลงกวาดมองไปโดยรอบ เราต้องหาที่กำบังสายตาก่อนที่เหล่าผีดิบจะมาพบ
ทั้งหมดจึงรีบออกจากที่นั่นและไปพักที่กลุ่มหินขนาดใหญ่ซึ่งอยู่ไม่ไกลนักจนกระทั่งถึงรุ่งเช้า โซลย์ปีนขึ้นไปยืนบนก้อนหินและมองจ้องออกไปเบื้องหน้า เทือกเขาสีเทาทะมึนตั้งตระหง่านเห็นได้อย่างชัดเจนแม้จะเป็นระยะทางไกล
แซฟเวจย์ จอมเวทหนุ่มเอ่ย จอมมารสร้างเทือกเขาอเวจีด้วยพลังของเขาเพื่อป้องกันปราสาทซึ่งตั้งอยู่ด้านใน
เจ้ารู้ได้อย่างไรกัน
องค์มีย์อาร์สร้างภาพให้ข้าดูก่อนเดินทางออกจากมาร์วัลลัส ฟอร์เซ็ตติตอบ เขาหันไปมองโมไดซึ่งกำลังยืนมองเทือกเขาของราชันย์มารด้วยดวงตาแข็งกร้าว
ลินซ์อยู่ที่นั่นใช่ไหม
เด็กหนุ่มถามเสียงห้วน จอมเวทหนุ่มผงกศีรษะแทนคำตอบ โมไดมองหน้าเขา
พวกเราไปกันเถอะ
ร่างปราดเปรียวของโมไดกระโดดลงจากก้อนหินอย่างว่องไว เขายืนกอดอกรอโซลย์และ ฟอร์เซ็ตติซึ่งเดินตามมาพร้อมกัน
จะไปกันแล้วหรือ รัคเชนน์เงยหน้าขึ้นจากนิมป์ซึ่งกำลังนั่งร้องเพลงอยู่บนมือของนางเอ่ยถาม แม่ทัพแห่งมอร์เซลพยักหน้า ดาร์คเอลฟ์สาวจึงลุกขึ้นเดินไปสมทบกับคนทั้งสาม
ที่นี่เป็นดินแดนของแซฟเวจย์ อาณาจักรของราชันย์มารผู้เหี้ยมโหด จงระวังตัวทุกๆฝีก้าวอย่าได้ประมาทเป็นอันขาด
จอมเวทหนุ่มกล่าวเตือนทุกคนก่อนหมุนกายเดินนำออกไปเช่นทุกครั้ง พวกเขาเดินผ่านทุ่งศิลาซึ่งเต็มไปด้วยก้อนหินน้อยใหญ่ตั้งระเกะระกะอยู่ทั่ว แสงจากดวงอาทิตย์ที่ส่องลงมาสร้างความร้อนจนร่างกายของทุกคนแทบจะไหม้เกรียม หินทุกก้อนถูกเปลวแดดแผดเผาจนบังเกิดไอเต้นระริก ชนิดหากใครเกิดเผลอไผลไปสัมผัสอาจจะได้รับรอยไหม้ดุจโดนไฟลวก
ฟอร์เซ็ตติเร่งฝีเท้าของตนให้เร็วขึ้นจนกระทั่งนำเพื่อนร่วมทางผ่านพ้นทุ่งศิลาไปได้ตอนใกล้ค่ำ พวกเขาผลัดกันเฝ้าเวรระวังยามอย่างระมัดระวังตลอดทั้งคืน จนรุ่งอรุณของวันใหม่เวียนมาถึง ทุกคนจึงได้เห็นหนทางข้างหน้ากระจ่างชัด โมไดถึงกับร้องออกมา
นี่มันอะไรกัน
หล่มทราย
จอมเวทตอบ เขามองดูทางข้างหน้าด้วยสายตาหวั่นวิตก มันเป็นผืนแผ่นดินราบเรียบกว้างออกไปจนสุดสายตาโดยมีเทือกเขาอเวจีของจอมมารเป็นฉากหลังสีเทาทะมึน แม้จะมีต้นไม้ขนาดเล็กขึ้นอยู่บ้างประปราย แต่บนพื้นดินอันราบเรียบนั้นกลับมีหล่มทรายกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป บางหล่มยังคงมีมือของผู้เคราะห์ร้ายโผล่ขึ้นมาในท่าไขว่คว้าเพื่อหาสิ่งยึดเหนี่ยวขณะร่างจมลง ฟอร์เซ็ตติหันไปมองโซลย์และโมได
พวกเจ้าจงเดินตามข้าทุกฝีก้าวอย่าได้เผลอแตกกลุ่มออกจากกันเป็นอันขาด ไม่เช่นนั้นอาจจะพลาดตกลงไปในหล่มทรายได้
ข้าจะเดินรั้งท้ายให้ รัคเชนน์พูดขึ้น โซลย์ทำท่าจะท้วงแต่นางยกมือห้ามพร้อมกับก้าวเท้าลงไปยืนบนหล่มทรายท่ามกลางสายตาตระหนกของแม่ทัพแห่งมอร์เซล ทั้งเขาและโมไดอ้าปากค้างอย่างตกตะลึงเมื่อเห็นร่างระหงยังคงยืนอยู่บนพื้นผิวมิได้จมหายไปแต่อย่างใด
เจ้าทำได้อย่างไร โซลย์ถาม ดาร์เอลฟ์สาวยิ้ม
กายของเหล่าเอลฟ์ทั้งหลายเบาดุจขนนก นางตอบ ทั้งข้าและเขาจะไม่มีวันจมลงไปในบ่อทรายเหล่านี้
หากเข้าใจดีแล้วก็จงรีบเร่งเดินทางต่อโดยเร็ว เพราะย่อมไม่เป็นการดีแน่หากพวกเราต้องเจอกับสมุนของจอมปิศาจในสถานที่แบบนี้
ฟอร์เซ็ตติกล่าวพร้อมกับเริ่มต้นเดินนำ เขามักจะใช้เท้าหยั่งลงไปบนผิวดินก่อนทุกคนและย่ำจนแน่ใจว่าบริเวณนั้นมิใช่หล่มทรายจึงก้าวนำเพื่อนของเขา มันเป็นการเดินทางที่เต็มไปด้วยความล่าช้าพวกเขาต้องพักค้างคืนบนพื้นดินแข็งๆที่มีเพียงน้อยนิดท่ามกลางหล่มทรายโดยมีเสียงกรีดร้องของเหล่าผีดิบดังโหยหวนมาตามสายลมเป็นระยะ
รุ่งขึ้นของอีกวัน การเดินทางของคนทั้งสี่ก็ยังเต็มไปด้วยความเชื่องช้า และเมื่อพวกเขาเข้าสู่เขตพื้นที่ป่าละเมาะอันแห้งแล้งซึ่งเป็นเขตสุดท้ายของหล่มทราย ทุกคนก็ต้องพบกับความตระหนกเมื่อกองทัพของเหล่าโจรซึ่งคะเนจากสายตาว่ามีกำลังคนไม่ต่ำกว่าร้อยยืนรออยู่โดยเล็งธนูจ้องตรงมาที่พวกเขา เสียงโจรผู้เป็นหัวหน้าร้องสั่งทันทีเมื่อเห็นร่างของพวกเขาปรากฏในสายตา
ยิง!
ลูกธนูนับร้อยดอกพุ่งเข้าไปในป่า หลายดอกปักติดแน่นบนต้นไม้ในขณะที่อีกหลายสิบดอกวิ่งเฉียดร่างของคนทั้งสี่ไป พวกเขาก้มตัวหลบอย่างรวดเร็วโดยใช้ต้นในป่าเป็นที่กำบัง
ทำอะไรสักอย่างสิเจ้าจอมเวท โมไดพูดขึ้น ขืนปล่อยให้พวกมันยิงเราอยู่แบบนี้มีหวังตัวพรุนแน่
ข้าไม่สามารถใช้สมาธิร่ายเวทได้ ฟอร์เซ็ตติร้องบอก คงต้องอาศัยฝีมือของโซลย์กับรัคเชนน์แล้ว
ข้าจะสั่งให้ต้นไม้พวกนี้หลบทางให้พลังดาบเวทของเจ้า รัคเชนน์พูดขึ้น และจัดการกับเจ้าพวกนั้นไปพร้อมกันเลยทีเดียว ดวงตาสีเทาเปล่งประกายแวววาววับ นางพร่ำมนตราด้วยภาษาเอลฟ์รัวเร็ว
เสียงเอียดอาดดังมาจากต้นไม้ในป่าแห่งนั้น เหล่ากองโจรพากันหยุดการโจมตีและมองหน้ากับด้วยความรู้สึกฉงน ฉับพลันรากไม้จำนวนนับร้อยรากก็ผุดขึ้นจากผืนดินพุ่งเข้าใส่ร่างสมุนชั้นต่ำของจอมมาร มันตวัดพันรอบตัวของพวกเขาและลากหายเข้าไปในป่า บางคนถูกดึงกลับเข้าไปในผืนดินในขณะที่อีกหลายคนโดนกระชากลงไปในหล่มทราย พวกโจรพากันทิ้งอาวุธและหันหลังวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต โซลย์รีบยืนขึ้นและตวัดบรุนนาลาในมือพร้อมกับร่ายเวทด้วยน้ำเสียงดุดัน เปลวไฟรูปจันทร์เสี้ยวพุ่งวาบออกจากดาบวิ่งไล่ตามกลุ่มโจรเหล่านั้นและตัดร่างของพวกมันจนขาดเป็นสองท่อนหลายสิบคนในครั้งเดียว โมไดก้าวออกมาจากที่ซ่อนเขายกรันนิ่งและทำท่าจะเหวี่ยงมันออกไปแต่ฟอร์เซ็ตติกลับจับข้อมือของเขาเอาไว้แล้วร้องห้าม
รันนิ่งของเจ้าไม่สามารถวิ่งผ่านต้นไม้เหล่านี้ไปได้หรอก ปล่อยให้โซลย์กับรัคเชนน์เขาจัดการกันสองคนดีกว่า
เป็นครั้งแรกที่เด็กหนุ่มยอมลดอาวุธในมือของตัวเองลงและเก็บรันนิ่งกลับเข้าซองโดยดี จอมเวทหนุ่มมองเขาด้วยความแปลกใจแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา เสียงห้าวๆของโซลย์ดังขึ้น
พวกมันหนีกระเจิงไปกันหมดแล้ว
รีบออกไปจากที่นี่ก่อนที่พวกนั้นจะย้อนกลับมาอีกครั้งดีกว่า
รัคเชนน์แนะ ฟอร์เซ็ตติพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของคนทั้งสอง เขารีบเดินนำเพื่อนออกจากป่าหล่มทรายอย่างรวดเร็ว
เส้นทางต่อจากป่าที่พวกเขาเพิ่งจากมาเป็นพื้นดินแห้งแล้ง สายลมร้อนผ่าวพัดผ่านเสียงหวีดหวิวพาละอองผงคลีดินฟุ้งกระจาย ยิ่งเวลาผ่านไปจนกระทั่งดวงอาทิตย์ลอยขึ้นไปอยู่กลางท้องฟ้า นักเดินทางทั้งสี่ต่างรู้สึกเหนื่อยล้าจนแทบไร้เรี่ยวแรงโดยเฉพาะอย่างยิ่งเอลฟ์ที่เคยอาศัยอยู่แต่ในผืนป่าอันอุดมอย่างรัคเชนน์ นางรู้สึกเหน็ดเหนื่อยจนแทบทรงกายไม่อยู่หลายครั้ง ลำคอแห้งผากราวกับผืนทราย แต่ด้วยหัวใจอันทรหดทำให้ดาร์คเอลฟ์สาวไม่ยอมแสดงความอ่อนล้าออกมาให้ผู้ใดเห็น แต่ รัคเชนน์หารู้ไม่ว่าโซลย์นั้นได้ลอบสังเกตกิริยาของนางอยู่ตลอดเวลาด้วยความเป็นห่วง
เราน่าจะพักสักหน่อย
เขาเอ่ยขึ้น ฟอร์เซ็ตติหันมามองดูโซลย์และเลื่อนไปดูรัคเชนน์ แต่โมไดกลับแย้ง
จะให้พักตรงไหน แถวนี้ไม่มีอะไรพอที่จะใช้บังแดดได้เลยสักอย่าง
แต่... แม่ทัพหนุ่มทำท่าจะพูด ฟอร์เซ็ตติกลับขัดขึ้น
แข็งใจเดินต่อไปข้างหน้าอีกสักนิด ที่นั่นมีเนินดินสูงพอที่จะใช้อาศัยเป็นร่มเงาได้ชั่วคราว
เจ้ารู้ได้ยังไง เด็กหนุ่มถาม จอมเวทยิ้ม
ข้าเป็นคนสายตาดี
เขาตอบสั้นๆก่อนเหลือบมองดาร์คเอลฟ์สาวด้วยความเป็นห่วงและหมุนตัวเดินนำหน้าไปอีกครั้ง หลังจากใช้เวลาเดินต่ออีกราวครึ่งชั่วโมง ทั้งหมดจึงเห็นเนินดินสูงหลายเนินมองคล้ายลอนคลื่นกระจายอยู่ทั่วบริวเณ ฟอร์เซ็ตติจึงพาพวกเขาไปหยุดในร่องระหว่างเนินเหล่านั้น ความสูงของมันช่วยบดบังความร้อนของแสงอาทิตย์ได้เป็นอย่างดี โซลย์รีบดึงถุงหนังของเขาออกมาและส่งให้รัคเชนน์
เจ้าดื่มก่อน
ขอบใจ
ดาร์คเอลฟ์สาวรับถุงน้ำมาจากเขาและเปิดจุกออกดื่มด้วยท่าทางกระหาย นิมป์ตัวน้อยซึ่งหลบอยู่ในอกเสื้อของนางรีบบินออกมาเกาะถุงพร้อมกับทำสายตาละห้อย รัคเชนน์เทน้ำลงบนฝ่ามือของนาง ภูตตัวจิ๋วรีบบินขึ้นไปและก้มหน้าลงดื่มน้ำที่ดาร์คเอลฟ์สาวรินไว้ให้อย่างเร็ว
เจ้าจะล้างหน้าด้วยก็ได้นะ
แม่ทัพแห่งมอร์เซลพูดขึ้น รัคเชนน์ยิ้มและส่ายหน้านางส่งถุงหนังคืนให้กับเขาพร้อมกับกล่าว
น้ำเป็นสิ่งมีค่ายิ่งสำหรับเวลานี้ไม่เป็นการดีแน่หากข้าจะนำมาใช้ในเรื่องไร้สาระเช่นนั้น
การได้เห็นเจ้าสดชื่นขึ้นไม่ใช่สิ่งไร้สาระ แม่ทัพหนุ่มตอบ ขอเพียงได้เห็นเจ้ารู้สึกสบายข้าก็พอใจ
ใบหน้าของดาร์คเอลฟ์สาวแดงระเรื่อขึ้นทันที นางก้มหน้าลงมองดูนิมป์ซึ่งกำลังกลิ้งตัวบนน้ำในฝ่ามือของนางด้วยท่าทางเก้อเขิน โมไดเกาคางของตัวเองสองสามครั้งก่อนหันไปทางฟอร์เซ็ตติ
เจ้าไม่อยากเห็นข้าสดชื่นบ้างเรอะ
ข้าไม่เห็นว่าเจ้าเหน็ดเหนื่อยเลยสักนิด จอมเวทหนุ่มสวนทันควัน เด็กหนุ่มหัวเราะพร้อมกับเอนตัวพิงผนังดิน
ร้อนขนาดนี้พวกเราจะเดินทางต่อไปได้ยังไงกัน เขาบ่น โซลย์ถอนหายใจหนักๆ
ไม่มีเส้นทางอื่นแล้วหรือฟอร์เซ็ตติ
ไม่มี
จอมเวทหนุ่มตอบสั้นๆ เขายืนมองเปลวแดดอันร้อนแรงซึ่งกำลังเต้นระริกอยู่กลางอากาศด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความหนักใจ
จะเดินทางต่อคงต้องรอให้แดดอ่อนลงกว่านี้เสียก่อน เขาพูด แต่แบบนี้จะทำให้เราเสียเวลาไปในแต่ละวันหลายชั่วโมงเลยทีเดียว
เราเปลี่ยนเป็นการเดินทางในตอนกลางคืนได้หรือไม่ โมไดถาม ฟอร์เซ็ตติสั่นหน้า
เสี่ยงเกินไปที่จะทำแบบนั้น การปะทะกับกองโจรยังรับมือได้ง่ายกว่าการต่อสู้กับเหล่าผีดิบและอสูรร้าย คงต้องใช้วิธีออกเดินทางกันแต่เช้าตรู่และหาที่พักยามเที่ยง จากนั้นจึงเร่งเดินทางต่อให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้
ข้าคิดว่าน่าจะเป็นแบบนั้น จอมเวทหนุ่มพูด แต่ข้ากลัวว่าจอมมารจะ...........
คำพูดเงียบหายไป โมไดและโซลย์มองดูร่างในชุดขาวซึ่งยืนตัวแข็งนิ่งด้วยความสงสัย ทั้งคู่ต่างตระหนกเมื่ออยู่ๆท้องฟ้าที่มีแสงเจิดจ้าก็มืดครึ้มอย่างฉับพลัน เมฆสีเทาหม่นเคลื่อนเข้ามาบดบังดวงอาทิตย์จนดับลงในพริบตา มวลอากาศรอบตัวที่ร้อนอบอ้าวกลับแปรเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกจนกายสั่นสะท้าน ฟอร์เซ็ตติกระชับไม้เท้าในมือแน่นเมื่อเสียงหัวเราะต่ำทุ้มดังก้องกังวานท่ามกลางกลุ่มเมฆาสีเทาทะมึน
ดีใจที่ได้พบกับเจ้าอีกครั้ง เจ้าลูกครึ่งชั้นต่ำ
จากคุณ |
:
moony (Moony_Lupin)
|
เขียนเมื่อ |
:
21 มิ.ย. 54 13:19:07
|
|
|
|