ภายในห้องทำงานของประธานกรรมการบริหาร บรรยากาศไม่ได้ระอุอย่างที่คนภายนอกคาดเดา การพูดคุยขอขมาคุณการุณ กับ คุณเพชรรัตน์ สำหรับปาจารีย์แล้วไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด เพราะภาสพัทธ์ออกหน้ารับผิดทุกอย่าง ตั้งแต่เริ่มเรื่องว่าเขาไปล่อลวงหล่อนมาได้ยังไง ซึ่งคุณเพชรรัตน์ใช้คำถามนี้จริงๆ เนื่องจากปาจารีย์ดูเด็กมาก พวกท่านคิดว่ายังเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย หากแต่พอรู้ว่าอายุเท่ากับแพทรียาจึงค่อยมีสีหน้าสบายใจขึ้นมาหน่อย แต่ก็ไม่วายว่าภาสพัทธ์หลอกเด็กอยู่ดี เพราะอายุห่างกันเจ็ดเกือบแปดปี
คำพูดของภาสพัทธ์นั้นเป็นสุภาพบุรุษสำหรับเธอมาก บอกมารดาว่าเขาเป็นฝ่ายตามตื๊อจนหล่อนใจอ่อน พอตั้งท้องก็เป็นเขาเองที่ยังไม่พร้อมแต่งงานจึงให้หล่อนทำเงียบไว้ก่อน พาเอาคุณเพชรรัตน์ออกอาการสงสาร ‘ลูกสะใภ้ปุปปับ’ ที่ต้องคอยอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ ตามใจ ‘เจ้าลูกชายวายร้าย’ ของตนเสียอย่างนั้น
“เอาเถอะ ไหนๆ อยู่ด้วยกันขนาดนี้ซ้ำยังใกล้จะคลอดอยู่อีกไม่กี่เดือน แม่คงทำอะไรไม่ได้...” ประโยคท้ายคนเป็นแม่หันไปส่งสายตาขุ่นใส่ลูกชายที่เข้าใจความหมายดี
...คุณเพชรรัตน์กำลังเสียดาย เพราะอดได้ธารทิพย์เป็นสะใภ้...
แต่ครั้นจะบ่นออกไปก็ใช่ที่ สงสารปาจารีย์ที่คงไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไร จึงได้แต่เก็บเงียบเรื่องนั้นไว้ไปเล่นงานเจ้าลูกชายทีหลัง คิดแล้วก็ถอนหายใจหันมาหา ‘ลูกสะใภ้ปุปปับ’
“แล้วนี่ผู้ใหญ่ทางเราเขารู้หรือเปล่า” คุณเพชรรัตน์ถาม ซึ่งดีนะภาสพัทธ์กับดิษพงศ์เตี๊ยมคำตอบไว้ให้แล้ว
“ยังไม่ทราบค่ะ” ปาจารีย์ตอบอย่างนบนอบ คนทำลูกสาวชาวบ้านท้องรีบต่อบทตามสคริพท์
“พ่อแม่ปุ่นเขาค่อนข้างถือเรื่องนี้มากครับ เราเลยยังไม่กล้าบอก ว่าจะรอให้คลอดก่อนแล้วค่อยไปขอขมา”
“เอาเด็กตาดำๆ มาเรียกร้องความเห็นใจว่างั้นเถอะ” คุณการุณเอ่ยขึ้นเป็นครั้งแรกในบทสนทนา สีหน้าระอาออกอาการตำหนิเล็กๆ ว่าผิดหวังในตัวลูกชายที่คิดได้แค่นี้
“แล้วพ่อจะให้ทำยังไงล่ะครับ เกิดทางบ้านปุ่นเขาไม่ยอมและเอาตัวลูกสาวกลับไป พ่อจะไม่ได้อุ้มหลานชายนะครับ” ประโยคนั้นทำเอาสองสามีภรรยาหันมามองหน้ากัน คุณการุณที่หน้าบึ้งๆ อยู่เมื่อครู่เริ่มมีสีหน้าดีขึ้น
“พูดใหม่สิเจ้าพัทธ์ พ่อได้หลานชายงั้นรึ”
“ครับ... เป็นหลานชายที่แข็งแรงสมบูรณ์มากด้วย” เรื่องเว่อร์นี่ภาสพัทธ์ถนัด ขนาดคุณเพชรรัตน์เองยังซ่อนความดีใจในประกายตาได้ไม่มิด ลูกชายคนโปรดจึงรีบลุกเดินไปหยิบภาพถ่ายอัลตร้าซาวด์มายื่นให้กับบิดาและมารดาดู ทำเอาทั้งคู่ดึงไปพิศชนิดที่หัวแทบจะโขกกัน
ซีอีโอหนุ่มหันมาลอบยิ้มให้หญิงสาวในลักษณะที่ตีความได้ว่า ...เห็นไหม งานนี้ผ่านฉลุย...
ภาพที่ภาสพัทธ์โอบเอวปาจารีย์ไปส่งคุณการุณและคุณเพชรรัตน์ตรงหน้าประตู ดึงดูดสายตาพนักงานหน้าฟร้อนท์และล็อบบี้ให้มองไปเป็นตาเดียว ยิ่งตอนที่คุณเพชรรัตน์วางฝ่ามือรับไหว้ปาจารีย์พร้อมรอยยิ้มหวาน สร้างความเบิกบานให้ดิษพงศ์ที่ยืนส่งอยู่ไม่ห่างเป็นพิเศษ ผ่านด่านผู้ใหญ่ฝ่ายนี้เรียบร้อยแล้ว รอบหน้าเตรียมเจอด่านหินซึ่งคนที่รับบทหนักสุดในด่านนั้น หนีไม่พ้นสาวมาดแมน…
‘บุศรัณย์จะบอกความจริงเรื่องอนาวินให้แพทรียารู้และยอมรับกับแผนการส่งต่อลูกของตนให้เติบโตในฐานะลูกของพี่ชายได้อย่างไร’
เสียงดนตรีสไตล์แบลเลิดดังคลอเบาๆ ในหูฟังขณะหญิงสาวพริ้มตาหลับบนผ้าถักแถบสวนสาธารณะใจกลางเมืองนิวยอร์ค ปล่อยให้แสงแดดยามเช้าอาบไล้ร่างกายโดยหนุนตักของเพื่อนรักที่เคยเติบโตมาด้วยกัน
“ไม่หนาวเหรอ” เสียงนั้นกระซิบข้างหูทำเอาคนบ้าจี้หลุดขำเล็กน้อย
“ไม่เท่าไหร่หรอก กำลังดี” ใบหน้าจิ้มลิ้มยิ้มตอบทั้งที่ยังพริ้มตาหลับ คนฟังยังไม่วายดึงผ้าพันคอผืนใหญ่ขึ้นมาคลุมไหล่ซ้อนให้อีกทบ ... บุศรัณย์เพิ่งได้มาอยู่ต่างประเทศระยะยาวแบบนี้เป็นครั้งแรก คำว่าเย็นสบายของคนคุ้นเคยอากาศที่นี่อย่างแพทรียา ยังจัดว่าเย็นพอตัวในความรู้สึกสาวมาดแมน จู่ๆ คุณหนูเล็กของบ้านเทพธาราก็บ่นถึงพี่ชายขึ้นมา
“นึกว่าพอรู้แล้ว พี่พัทธ์จะมาหาบ่อยๆ เสียอีก”
“ที่นู่นงานยุ่งมาก คุณพัทธ์ถึงได้ส่งบุศย์มาอยู่เป็นเพื่อนคุณแพทไง”
“เรียกคุณอีกแล้ว” ดวงตาหวานเหลือบค้อนเจ้าของตักอุ่น “ขอได้ไหมบุศย์ ช่วยเรียกแพทเฉยๆ เหมือนอย่างที่เรียกคราวก่อน ฟังแล้วมันอุ่นใจกว่าเยอะเลย”
“ก็เรียกอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว ไม่ว่าจะคุณแพท คุณพัทธ์ หรือแม้แต่คุณดิษ”
“สองคนนั้นเค้าแก่กว่า บุศย์จะเรียกอย่างนั้นมันก็ไม่แปลก แต่เราอายุเท่ากันนะ”
“แต่คุณเป็นลูกท่าน...” สาวหล่อพูดได้แค่นั้น แพทรียาก็ยกมือขึ้นมาอุดหูเบือนหน้าหนีไปอีกทาง หากไม่ติดว่าท้องอยู่เจ้าหล่อนคงงอนลุกพรวดพลาดไปแล้ว
“คุณแพท...” มือเรียวยืนไปแตะไหล่บางให้หันหน้ากลับมา ทว่าดวงตาหวานยังคงส่งแรงค้อน เฮ้อ... เห็นแล้วชวนให้นึกถึงปาจารีย์ขึ้นมาจับใจ ทำไมผู้หญิงน่ารักๆ ถึงแสนงอนเหมือนกันไม่มีผิด ผู้หญิงหน้าหล่อแอบไม่เข้าใจ
“ขอเถอะนะบุศย์ เรียกแพทเฉยๆ เหมือนตอนที่เรายังเด็กได้ไหม มันฟังดูสนิทใจกว่า” เหตุผลนั้นทำเอาบุศรัณย์ย้อนนึกถึงวัยเยาว์ ใช่... เมื่อก่อนก็เคยเรียกแค่ชื่อเล่น แต่พอโตขึ้นเรื่อยๆ ความเดียงสาก็ทำให้ต้องเติมคำว่า ‘คุณ’ เพิ่มเข้ามาเพื่อความเหมาะสม “บุศย์... ขอบคุณนะที่มาอยู่เป็นเพื่อนแพท” คนที่นอนหนุนตักดึงมือเธอขึ้นมากอดไว้แนบอกพลางส่งรอยยิ้มหวาน บรรยากาศชวนซึ้งแบบนี้มันทำให้สาวหล่อแทบกลั้นขำในลำคอไม่อยู่
“เอ้อ... บรรยากาศมันแปลกๆ นะว่าไหม เกรงจะเกิดตำนานรักบนผ้าถักกลางสนามยังไงไม่ทราบ” ประโยคนั้นพาเอาคนหน้าหวานหัวเราะเสียงกังวานใสก่อนตีมือคนหน้าหล่อว่า ‘บ้า...’
ท้องฟ้าใสๆ ไร้เมฆที่เรียกกันว่าเคลียร์สกาย ทำให้หัวใจคนแหงนหน้ามองฟ้าล่องลอยไปหาคนรักที่อยู่แสนไกล
“ไม่รู้ป่านนี้พี่วินจะทำอะไรอยู่เนอะ ฉบับที่แล้วเขียนบอกว่างานยุ่งมาก แต่ก็ยังไม่ลืมคิดถึงแพท” คนย้อนนึกถึงจดหมายแย้มยิ้มอย่างมีความสุข “เสียดายจัง ที่นั่นสัญญาณโทรศัพท์ไม่ดี แพทอยากเล่าให้พี่วินฟังว่าแต่ละวันลูกของเราแรงเยอะขนาดไหน ดิ้นเก่งชะมัด”
“ก็ลองบอกขึ้นไปบนฟ้าสิ ฝากสายลมพาเรื่องเล่านี้ไปถึงเขา” บุศรัณย์แสร้งแนะนำทำเป็นเรื่องขำขัน หากลึกๆ ในดวงตามีประกายเศร้าและความสงสารแฝงอยู่
คนที่นอนหนุนตักบุศรัณย์ เบือนสายตาไปยังท้องฟ้าอย่างหมายจะรับมุขล้อเลียน
“สายลมขา ฝากความคิดถึงของแพทไปหาพี่วินด้วยนะคะ” หญิงสาวขำกับคำพูดของตัวเอง ทว่าเมื่อมองขึ้นไปเบื้องบนอีกครั้ง ความคิดถึงนั้นก็พลันล้นเอ่อขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ราวกับมีใบหน้าของชายคนรักปรากฏซ้อนทับขึ้นมาบนผืนฟ้า พาให้แพทรียายิ่งคิดถึง
“เมื่อไหร่จะกลับมาคะ... แพทไม่ชินเลยกับชีวิตที่ไม่มีพี่วิน... ยิ่งมองไปตรงที่ๆ เคยมีเราก็ยิ่งเหงา...”
หญิงสาวเริ่มบอกเล่าความรู้สึกในใจไปกับสายลม ราวกับว่ามันจะส่งถึงอนาวินได้จริงๆ คำพูดเหล่านั้นพาให้คนฟังอย่างบุศรัณย์ยิ่งรู้สึกหนักหน่วงในหัวใจ... ตัวหล่อนเองหาใช่ไม่เคยมีความรัก เพราะปัจจุบันก็ยังรักอยู่ ทว่าสำหรับหล่อนแล้ว ความรักคือสิ่งชโลมใจ หาใช่อากาศหายใจ อย่างที่น้องสาวของภาสพัทธ์เป็น...
เมโลดี้เพลงรักเก่าๆ แสนคลาสิคจากหูฟังที่เคลื่อนตกไปคล้องอยู่รอบคอของแพทรียา แว่วเสียงแผ่วเบาเพราะพริ้ง ความทรงจำกับบทเพลงนั้นทำให้น้ำใสๆ ให้ไหลจากดวงตาหวานหยดลงมาตรงข้างแก้ม...
บุศรัณย์ถึงกับต้องปิดเปลือกตาไม่มองภาพนั้น ด้วยเกรงว่าจะไม่อาจกักกลั้นความรู้สึกในใจของตนเองได้ ...ผู้หญิงที่นอนหนุนตักเธออยู่ตอนนี้ ช่างน่าสงสารเหลือเกิน...
กลิ่นสบู่หอมฟุ้งนำมาก่อนตัว ปาจารีย์ที่อยู่ในชุดนอนกางเกงขายาวสีขาวกำลังนั่งขัดสมาธิมองดูรูปอัลตร้าซาวด์จึงเงยหน้าขึ้นมาได้จังหวะสบสายตาภาสพัทธ์พอดี น่าแปลก... สบู่แบบเดียวกันแท้ๆ แต่เมื่ออยู่บนกายเขากลับหอมคนละแบบกับที่ติดอยู่บนกายเธอ คิดเพียงเท่านั้นก็หันมาสนใจรูปในมือต่อ
“ชอบเหรอ” เสียงทุ้มที่ดังขึ้นมาข้างหู ทำเอาหญิงสาวสะดุ้งตกจากโซฟานอนของตนเอง ภาสพัทธ์มองร่างเล็กที่ลงไปนั่งจุมปุ๊กอยู่กับพื้นแล้วก็ขำ “ขวัญอ่อนจริงๆ แม่คุณ” แซวพลางดึงมือเล็กให้ลุกขึ้นมา ความคิดนึงแว่บเข้ามาในหัวปาจารีย์อย่างไม่ทันตั้งตัว ...ร่างกายของภาสพัทธ์หลังจากเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ทั้งหอม ทั้งเย็น ให้ความรู้สึกว่าน่ากอดพิลึก...
“เฮ้ย คิดไรเนี่ย” ปาจารีย์กัดริมฝีปากล่างพึมพำกับตัวเอง ภาสพัทธ์ซึ่งได้ยินไม่ถนัดจึงได้แต่เลิกคิ้ว ก่อนถือวิสาสะนั่งข้างๆ ดึงภาพอัลตร้าซาวด์หลานชายของตนมาพลิกดู
“จมูกโด่งแน่ๆ ” เขามองภาพแล้วก็อมยิ้ม ทำเอาปาจารีย์อดยิ้มตามไม่ได้ ภาสพัทธ์หันมาสบตาจากนั้นก็ขมวดคิ้ว “เธอนี่ชอบแอบมองฉันนะเนี่ย คิดอะไรรึเปล่า” คำถามจากชายหนุ่ม ทำให้หญิงสาวหน้าเหวอไปถนัดตา
“เปล่านะคะ ปุ่นแค่คิดว่าคุณพัทธ์ยิ้มหวานดี เลยมองเพลินก็เท่านั้น” ทีท่าโบกไม้โบกมือปฏิเสธจริงจัง ทำเอาคนถูกชมว่ายิ้มหวานต้องกลั้นขำ
“ฉันก็แซวเล่นไปอย่างนั้นเอง ไม่เห็นต้องตกใจจริงจังขนาดนี้ก็ได้”
“ก็คุณพัทธ์น่ะ...” คนโดนแกล้งนึกอยากจะเถียงแต่ก็เปลี่ยนใจ ได้แต่อมลมไว้ในปากจนแก้มป่อง
“เธอนี่นะ... ชมผู้ชายว่ายิ้มหวานได้ไง” เจ้าของวงหน้าคมคายส่ายหน้า
“แล้วจะให้ชมว่ายังไงล่ะคะ ก็ยิ้มหวานจริงๆ นี่”
“งั้นก็ไม่ต้องชม ฉันจะไม่ยิ้มให้เธอเห็นแล้ว” ฝ่ายนั้นบอกเสียงเรียบ หน้าตาย
“เอ๊า ซะอย่างงั้นน่ะ... อยู่ด้วยกันสองคน ถ้าคุณพัทธ์ทำหน้าเหมือนส้วมเต็มตลอด ปุ่นคงเสียสุขภาพจิตแย่” ภาสพัทธ์ฟังแล้วก็หันมาตวัดตาวาบ
“นี่เธอว่าฉันทำหน้าเหมือน... เหมือนคนท้องผูกงั้นเหรอ”
“เปล่านะคะ ปุ่นแค่เปรียบเปรยเฉยๆ” คนตัวเล็กเบิกตาตกใจในคำกล่าวหา คุณพระคุณเจ้า ผู้ชายคนนี้เลือดลมเดินเร็วอย่างที่ยัยบุศย์บอกไว้จริงๆ เสียด้วย
“แต่ถ้าคุณพัทธ์ยังทำหน้าอย่างนี้ ปุ่นว่าชักจะใกล้เคียงแล้วล่ะค่ะ ไม่เอาเนอะ ยิ้มดีกว่า หล่อกว่าตั้งเยอะ” ไม่ว่าเปล่า เจ้าหล่อนดันปลายนิ้วชี้ทั้งสองไปยกยิ้มที่มุมปากของเขาด้วย
เจ้าของห้องนิ่งอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะยันตัวลุกจากโซฟา ปล่อยให้ผู้อาศัยยกสองนิ้วชี้ค้างทำตาปริบๆ
คนลุกหนีไม่วายบ่นพึมพำเสียงดัง “เธอแต๊ะอั๋งฉัน ไว้จะบอกยัยบุศย์” ถ้อยคำนั้นทำเอาคนถูกขู่ลอบขัน
“กล้าจริงรึเปล่าคะ ระวังน๊าแทนที่บุศย์จะโกรธปุ่น อาจจะโกรธคุณแทนก็ได้” ปาจารีย์ย่นปลายจมูกท้า
ภาสพัทธ์เลยออกเสียงอิ๊อ๊ะในลำคอขณะตวัดขาขึ้นไปนั่งบนที่นอน แขนยาวเอื้อมไปหยิบหนังสือตรงหัวเตียงมาเปิด ทว่าปากยังไม่ปิด
แก้ไขเมื่อ 22 มิ.ย. 54 02:52:41
จากคุณ |
:
อัยย์เนญ่า (Nyah)
|
เขียนเมื่อ |
:
22 มิ.ย. 54 02:52:10
|
|
|
|