Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
หวานรัก ณ ปลายดง - 11 ติดต่อทีมงาน

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10680694/W10680694.html

บทที่ 11

ในความทรงจำของสามแสน พี่ชายเป็นเจ้าของรูปร่างสูงใหญ่ ผิวคล้ำเล็กน้อย ใบหน้าเข้มค่อนไปทางดุ ดวงตาเรียวใหญ่ดำสนิทต้องฉายประกายเย็นชา

จมูกของเขาจะสวยมาก โด่งเป็นสันตรง คิ้วดกเข้ม ผมหยักศกดกดำ ยามที่เขาเดินไปใกล้แสงแดด มันก็จะส่องสะท้อนเป็นเงาชุ่มชื่น ดูมีชีวิตชีวา บุคลิกภายนอกแลกระด้างไว้ตัว แต่สามแสนก็สัมผัสความอบอุ่นใจดีของเขาได้

เหมือนชายคนนี้ เธอมาหยุดยืนประจันหน้า ขอสบตาเรียวดำคมกล้ากับประกายชาเย็นในนั้นอีกสักอึดใจ พิศจมูกโด่งสวย พิศผมหยักศกยาวปรกต้นคอ ดูเหมือนว่ามันเพิ่งจะแห้งหมาดๆ อาภรณ์ผ้าเนื้อหยาบก็เหมือนกัน

เขาเท้าสะเอว มองสามแสนเหมือนปรายตา หรือชำเลือง หรือแลผ่านหางตา ด้วยท่วงท่ายโสที่สามแสนคุ้นเคยนักหนา

"พี่ชาย" แล้วเธอก็เปล่งคำอันแสนตื้นตันออกมา

"อืม" เขาพยักหน้ายอมรับ ลดมือลงจากสะเอว ชี้ไปบนต้นไม้ "เห็นงูตัวนั้นไหม"

"ตอนนี้เห็นค่ะ แต่เมื่อกี้นี้ไม่เห็น" สามแสนหันไปมอง แล้วตอบยิ้มๆ น้ำตายังรื้นระบายความปีติในใจ

"ทีหน้าทีหลังก็จำไว้ ทุกๆ ก้าวของป่า ประมาทไม่ได้"

"ค่ะ พี่ชาย สามแสนขอบคุณ.. "

"นี่ ทำอะไร"

เขาปัดมือสามแสนออก ถอยหนีไปด้านข้างสองก้าว ทำหน้ายุ่งเหมือนรำคาญมารยาทดีๆ ของสามแสน

เขายังคงเป็นผู้ชายไว้ตัวไม่เคยเปลี่ยนเลย สามแสนหัวเราะออกมาเบาๆ มีความสุขกับการได้เจอพี่ชายในดวงใจ ได้ซึมซับอิริยาบถเก่าๆ และไม่ได้เจอมานานตั้งห้าปี

"เอ้อ นี่หมายความว่า.. "

"ค่ะ ลุงเก่งกาจ" สามแสนหันมาบอกด้วยรอยยิ้มกว้าง "นี่คือพี่ชายของสามแสน ขอบคุณลุงเก่งกาจมากเลย ที่พาสามแสนมาเจอเขาจนได้"

"แม่หนูนี่คือ.. "

"สามแสน" ภภีมเฉลยขรึม ตัดคำถามของลุงแม้น "เด็กผู้หญิงหลงป่าเมื่อห้าปีก่อนไง"

"อ้อ"

ลุงแม้นครางเหลือเชื่อ พลางชำเลืองไปสำรวจแม่หนูขึ้นๆ ลงๆ แกจำสามแสนไม่ได้หรอก เพราะเห็นหน้าจริงจังแค่หนเดียว

"เรากลับเพิงพักเถอะ" ภภีมตัดบท "เธอก็เหมือนกัน ทีหน้าทีหลังอย่ามาเดินเล่นแถวนี้คนเดียว มันอันตราย"

"ค่ะ พี่ชาย"

สามแสนรับคำนอบน้อม เธอยิ้มหวานส่งให้ เขาเห็นหรือเปล่าก็ไม่ทราบ ใบหน้าขรึมเมินไว้ตัว ร่างสูงก็ก้าวนำไปก่อน สามแสนหันไปคุยกับนายเก่งกาจด้วยน้ำเสียงร่าเริงว่า

"สามแสนดีใจจังค่ะ ในที่สุด ภารกิจของเราก็สิ้นสุดลง อ้อ พี่ชายคะ" เธอตะโกนเบาๆ "พี่หมอฝากความคิดถึงมาด้วยนะคะ"

อยากเห็นสีหน้าเขาจังเลย เท่าที่เห็นจากข้างหลัง เขาแค่พยักหน้า หรือพยักพเยิดก็ไม่ทราบ แต่มันก็เป็นความหมายว่า 'รู้แล้ว'

"นี่หมายความว่านายดุเป็นพี่ชายที่คุณสามแสนเข้ามาตามหาจริงๆ หรือครับ ผมละเชื่อเลย" นายเก่งกาจปรารภขำๆ

"ค่ะ แล้วตกลงว่า พี่ชายเป็นคนคนเดียวกันกับที่ลุงเก่งกาจและลุงปัญญาเดากันหรือเปล่าคะ"

"ก็คนนี้ละครับ" นายปัญญายอมรับ

"เอ้อ แม่หนู" ลุงแม้นคุยบ้าง "ลุงต้องขอโทษด้วยนะ จำแม่หนูไม่ได้จริงๆ ไม่นึกเลยว่าจะได้เจอกันอีก แต่มาคราวนี้ ดูเป็นสาวสะพรั่งขึ้น"

"ค่ะ ก็สามแสนโตแล้วนี่คะ ตอนนั้น สามแสนอายุสิบเจ็ด แต่ตอนนี้ สามแสนยี่สิบสอง แก่ลงไปตั้งเยอะ แต่สามแสนเรียนจบแล้วนะ พกใบปริญญาบัตรมาอวดพี่ชายด้วย อยากให้พี่ชายภาคภูมิใจในตัวสามแสน"

ภภีมฟังทุกคำ กรอบหน้าเข้มระบายด้วยรอยยิ้มเอ็นดูกึ่งวาบหวาม หัวใจช้ำและแห้งผาก ชุ่มชื่นขึ้นมาอย่างประหลาด

น้ำคำเจื้อยแจ้ว เสียงใสร่าเริง เปรียบได้ดั่งฝนเม็ดแรก มันไม่ได้หยดลงบนเม็ดทรายหย่อมหนึ่ง แต่มันหยดลงบนทะเลทรายอันแห้งแล้งผืนเวิ้งว้างทีเดียว

อยากเหลียวกลับไปยลวงหน้าเรียวของคนดี เมื่อคืนก่อน เพิ่งจะฝันเห็นชุลียา หล่อนมาหาแล้วพูดจาแปลกๆ เมื่อครู่นี้ ก็ฉวยโอกาสตอนสามแสนจ้องเขม็ง รีบตรึงวงหน้าหวานอย่างดื่มด่ำ

มันบอกไม่ถูกจริงๆ ว่า ความซาบซ่านที่ก่อเกิดรวดเร็วเบื้องหลังท่วงท่าชาเย็น มันคือความสุขที่ได้เจอหน้าชุลียา หรือตื้นตันที่มีโอกาสเจอสามแสนอีกครั้ง

คุณหมอแสวงบุญพูดถูกแล้ว ความรักที่เขามีให้ต่อสามแสนไม่บริสุทธิ์ เขาระลึกเสมอว่า สาวสวยคนนี้ คือตัวแทนของภรรยาผู้ตายจาก

ตลอดชาตินี้ เขาลืมสุดที่รักไม่ได้ และถ้าหากว่าสามแสนไม่บังเอิญมีใบหน้าเหมือนหล่อน เขาก็คงไม่เกิดจิตเสน่านอกลู่นอกทางกับเด็กคนนี้

หนุ่มใหญ่กลืนก้อนขมขื่น เก็บรอยยิ้มเพียงเสี้ยวนาที ซ่อนภวังค์ร้าวราน ทอดฝีเท้าหนักและมั่นคง ย่ำพื้นกรวดทราย ขึ้นสู่เพิงพัก สองโสตก็ฟังสามแสนเจรจาไปเรื่อย

"คุณลุงชื่ออะไรคะ"

"ชื่อลุงแม้น"

"อ้อ สามแสนจำได้ค่ะ พี่หมอเคยเล่าให้ฟัง"

"เล่า"

"ค่ะ สงสัยว่าพี่ชายคงจะเป็นคนเล่าเรื่องของลุงแม้นให้พี่หมอฟังอีกต่อกระมังคะ พี่หมอเล่าว่า ลุงแม้นก็มีส่วนช่วยชีวิตสามแสน ช่วยหารถหาเกวียน พาสามแสนไปส่งโรงพยาบาล ถ้าไม่ได้ลุงแม้น ป่านนี้ สามแสนจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้"

"โอ๊ย ไม่ต้องเก็บไปคิดเลยแม่หนู เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เราคนกันเอง ช่วยกันได้ก็ช่วยกันไป"

"ค่ะ ขอบคุณลุงแม้นมากนะคะ"

สามแสนกราบลงที่ไหล่หนา โดยที่เจ้าของไม่ปัดป้อง เธอหัวเราะคิก แล้วอดเหน็บแนมไปยังพี่ชายไม่ได้ว่า

"ต๊าย ลุงแม้นน่ารักออกค่ะ ไม่หยิ่ง ไม่ถือตัว ไม่ไว้ตัว นี่ถ้าเป็นพี่ชายละก็ เขาไม่ยอมให้สามแสนกราบง่ายๆ หรอกนะ เมื่อกี้นี้ ลุงแม้นเห็นไหมคะ"

"อ้อ เห็นๆ นายดุเขาก็เป็นอย่างนี้แหละ"

ลุงแม้นหัวเราะลงลูกคอ รู้สึกสบายใจและเพลินอย่างบอกไม่ถูก แม่หนูคนนี้คุยเก่ง แต่ออกแนวน่าฟัง ต่างจากใบพลูคนสวย พูดเพ้อเจ้อไร้สาระ ฟังนานไปก็รำคาญ จนกลายเป็นเบื่อ

"เอ้อ ทำไมลุงแม้นเรียกพี่ชายว่านายดุคะ"

"ก็เรียกตามหน้าเขานั่นแหละ" ลุงแม้นบอกแล้วหัวเราะขำๆ "ตอนถามว่าชื่ออะไร เขาก็บอกว่า อยากเรียกอะไรก็เรียกเถอะ"

"จริงด้วยค่ะ เหมือนสามแสนเลย ตอนนั้นสามแสนก็ถามอย่างนี้เหมือนกัน เขาก็บอกหยิ่งๆ แบบนี้แหละ อยากเรียกอะไรก็เรียกเถอะ สามแสนไม่รู้จะเรียกอะไร ก็เลยเรียกพี่ชาย"

"เออ นั่นสิ ลุงก็ไม่รู้จะเรียกอะไร เห็นว่าหน้าตาดุดันดี เลยเรียกนายดุ ชาวบ้านแถวนี้พลอยเรียกตามไปด้วย ลูกเล็กเด็กแดงเกิดมารุ่นใหม่ๆ ก็เรียกอาดุ ลุงดุ แต่ก็ไม่ค่อยกล้าเข้าใกล้หรอก กลัวลุงดุ อาดุ กันเป็นแถว "

"จริงด้วยค่ะ" สามแสนเริ่มปากเสียอีกแล้ว "สามแสนก็กลัว พี่ชายน่ะดุออก สามแสนยังจำได้เลย เขาจับสามแสนบีบจมูกกรอกยาต้ม บังคับเสียงเหี้ยมเกรียมเลยนะ อ้าปาก กลืน อย่าอ้วก อย่าสำลัก กลืนให้หมด ให้หมด ใจร้ายที่สุด ช่างไม่รู้บ้างเลยว่า ตอนนั้นสามแสนขมมาก"

คนฟังสามคนหัวเราะกันไป ครึกครื้นกับเสียงเข้มๆ พยายามเลียนแบบให้ดุดันเหมือนต้นฉบับ แต่ไม่นานนัก เสียงหัวเราะก็ค่อยๆ เงียบไปเอง เพราะต้นฉบับหันกลับมาอวดหน้าหยิ่งเย็นชา พยักพเยิดก่อนปล่อยเสียงขรึมไว้ตัวออกมาตอบโต้ว่า

"แล้วเป็นยังไง หายหรือเปล่า"

"หายสิคะ แต่กว่าจะหาย สามแสนขมคออยู่ตั้งนาน"

"ขมคอกับป่วยตาย จะเอายังไง นี่ถ้าฉันรู้ว่าปากเธอมันอกตัญญูแบบนี้ ฉันคงไม่ต้มยาจับกรอกให้เสียเวลาทำมาหากิน ทำคุณบูชาโทษจริงๆ "

สามแสนเม้มปากยิ้ม ชำเลืองไปหลิ่วตาขำๆ กับชายวัยปลายคนทั้งสาม ใบพลูตะโกนเจื้อยแจ้วมาจากลานครัว ร่างปราดเปรียวโผมาเกาะแขนหนุ่มใหญ่ พลางถามลอยๆ ขึ้นว่า

"อาดุมาอยู่ตรงนี้เอง หายไปไหนกันมาจ๊ะ ใบพลูไปช่วยแม่ยกผักเดี๋ยวเดียวเอง กลับมาอีกที หายหัว เอ๊ย หายไปกันหมด ทั้งอาดุ ทั้งพ่อ ลุงแม้น ลุงปัญญา ไปไหนกันมา ไปไหนมาหรือจ๊ะอาดุ"

สามแสนอดขำสาวชาวดงไม่ได้ หล่อนเปลี่ยนเสียงกับกิริยาได้เร็วจัง ห้วนกระด้างถลึงตากับคนแก่ แต่พอกับคนหนุ่ม ก็ฉอเลาะอ่อนหวาน ชายตาเย้ายวนเหมือนทอดสะพานพิลึก

"ไม่ใช่กงการของแก เรื่องของผู้ใหญ่ เด็กก็ไสหัวไปเว้ย" นายเก่งกาจกระชากเสียงไล่บุตรสาว

"เอ๊ะ พ่อนี่ยังไง" บุตรสาวก็แหวใส่ไม่ยอมแพ้ "บ้านช่องไม่ค่อยได้กลับละสิ ถึงได้มองไม่ออกว่าใบพลูโตเป็นสาวแล้ว ไม่ใช่สาวธรรมดานะ สาวสวยมากเสียด้วย จริงไหมจ๊ะอาดุ"

หนุ่มใหญ่ส่ายหน้ารำคาญ ก่อนจะผละไปเฉยๆ ทิ้งให้ใบพลูคนสวยเท้าสะเอวหงุดหงิด ในแววตาก็ตัดพ้อ ลุงแม้นกับนายปัญญาหัวเราะขำๆ สาวสวยก็เลยเหลียวขวับมากัดปากตาข้น โกรธว่าโดนผู้ใหญ่เยาะเย้ยซ้ำเติม

"แกอย่าให้มากไป ออกนอกหน้าไม่เข้าเรื่อง ไปเกาะแกะอาเขา น่าเกลียด" นายเก่งกาจกึ่งเอ็ดกึ่งปราม

"เอ๊ะ พ่อนี่ยังไง ไม่เกาะแกะอาดุ แล้วจะให้ใบพลูไปเกาะแกะใคร ก็อาดุเขาเป็นหวานใจของใบพลูนี่ อ้อ สามแสน" ตอนท้ายก็ย้ายเป้าหมาย "เป็นยังไงบ้าง อาดุของฉัน หล่อเข้มไหม แก่ไปหน่อย แต่ก็ดูดีที่สุดในป่าละแวกนี้ล่ะ ฉันรักเขาที่สุดเลย"

"รักหรือ" สามแสนจ้องตาเป็นประกายของคนพูด

"ฮื่อ รักหมดหัวใจเลย เธอก็จำไว้ด้วยล่ะ มองแต่ตา ชมแต่ปาก แต่ถ้าใจคิดแย่งเมื่อไหร่ ฉันเอาตายเลยนะ"

"ใบพลู" นายเก่งกาจรีบเอ็ด แววตาเกรงใจสาวชาวกรุงจัง

"โอ๊ย เลิกทำเสียงขึงขังเสียที ใบพลูเบื่อจัง นี่คงไปฟังแม่เป่าหูมาละสิ ถึงได้คิดจะห้ามใบพลูอีกคน ไปฝันเถอะไป๊ อาดุจ๋า อาดุ รอใบพลูด้วย ใบพลูไปช่วยหิ้วถังตะปูนะ"

ตอนท้าย สาวชาวดงจอมแก่นก็ป้องปากตะโกนร่าเริง โผร่างปราดเปรียวอ้าวๆ ทิ้งวงสนทนาทางนี้ไว้เบื้องหลัง สามแสนเห็นหล่อนวิ่งไปทันพี่ชายหิ้วถังตะปู หล่อนยื้อแย่ง แล้วเขาก็ยกให้ดื้อๆ ท่าทางเหมือนรำคาญมากกว่าตามใจ

"เอ้อ คุณสามแสนอย่าไปถือสานะครับ ใบพลูมันก็พล่ามเพ้อเจ้อไปเรื่อยตามประสาเด็ก"

"ไม่เด็กแล้วนะคะลุงเก่งกาจ ใบพลูก็อายุไล่เลี่ยกับสามแสนแล้ว ติดแค่ว่า เธออยู่ในนี้ ไม่ได้เรียนหนังสือ น่าเสียดายออก ท่าทางใบพลูฉลาด มีไหวพริบ มีมนุษยสัมพันธ์ หากได้เรียนดีๆ สูงๆ ก็คงจะดีไม่น้อย"

"โอ๊ย ชาวป่าชาวดงอย่างเรา เรียนจบมัธยมต้นมัธยมปลายก็พอใช้ทำมาหากินแล้วละครับ เก็บของป่า ล่าสัตว์ ไม่ต้องใช้ใบปริญญาก็ทำได้ครับ"

"เขาสองคนเป็นแฟนกันหรือคะ"

"โอ๊ย แฟนเฟินอะไรกันแม่หนู" ลุงแม้นรีบแก้ข่าว "ไปฟังอะไรไอ้ใบพลูมันเพ้อเจ้อ นายดุน่ะ เขาไม่สนมันหรอก"

"แล้วสนใครคะ"

"โอ๊ย ใครก็ไม่สนทั้งนั้นละแม่หนู เจ้าหมอนี่มันรักสันโดษ หวงความโสด ไม่อย่างนั้น มันคงอยู่กับความวังเวงในชีวิตไม่ได้จนถึงวันนี้หรอก พูดไปพูดมา นี่ก็เกือบจะครึ่งทางชีวิตของมันแล้วนะนี่"

"แปลกนะครับ" นายเก่งกาจเปรยตามที่ใจคิด "นายดุเขาไม่คิดจะหาใครมาเป็นเพื่อนตอนแก่สักคนหรือ อยากรู้จัง ก่อนจะเข้ามาอยู่ป่า เคยมีแฟนเหมือนชาวบ้านบ้างหรือเปล่า"

"มีค่ะ แต่คงเป็นเพราะว่า ไม่มีใครสักคนดีที่สุดพอที่เขาจะเลือกมาแทนที่คนเก่า ชีวิตวังเวงจึงกลายเป็นทางเลือกสุดท้ายที่เขาเดินเข้าไป แล้วไม่คิดจะถอยกลับออกมา"

"หมายความว่ายังไงครับ"

นายเก่งกาจกับนายปัญญา ถามขึ้นพร้อมกัน ลุงแม้นไม่ได้ถาม หากแต่แววตาที่มองสีหน้าสลดลงเล็กน้อยของคนพูด ก็เริ่มฉายความคิดสุขุมตามประสาคนผ่านโลกมามาก

"ไม่มีอะไรหรอกค่ะ สามแสนพูดตามที่คิดน่ะ"

"อ้อ ครับ เอ้อ แล้วนี่คุณสามแสนจะทำยังไงต่อไปครับ ตอนนี้ก็เจอพี่ชายแล้ว" นายเก่งกาจเปลี่ยนเรื่อง

"ก็คงต้องอยู่ที่นี่ต่อไปสักระยะค่ะ สามแสนยังไม่รู้เลยว่าต้องใช้เวลาเกลี้ยกล่อมพี่ชายนานแค่ไหน เขาใจแข็งออก จะยอมออกจากป่าพร้อมสามแสนดีๆ หรือเปล่าก็ไม่รู้"

"ท่าจะยาก" ลุงแม้นพึมพำ "นายดุคุ้นเคยกับการอยู่ป่าแล้วล่ะ เขาอยู่ที่นี่มาตั้งยี่สิบปี ไม่เคยมีวันไหนบ่นอยากกลับบ้านกลับเมืองให้ได้ยินสักวัน"

"สามแสนจะทำให้ได้ค่ะ ถ้าทำไม่ได้ สามแสนก็จะขออยู่กับเขาที่นี่ จะไม่ขอก้าวกลับออกไปจากป่าผืนนี้แม้แต่ก้าวเดียว ถ้าพี่ชายไม่กลับออกไปพร้อมกับสามแสน"

ผู้ใหญ่สามคนเหลือบมองตากันปริบๆ น้ำคำของสาวชาวกรุงหนักแน่นเหมือนภูเขาเชียว แววตาเด็ดเดี่ยวก็แลมั่นคงเหมือนภูเขาอีก ทั้งสามแอบคิดคล้ายๆ กันว่า สามแสนเป็นสาวในเมือง หุ่นก็บอบบางอรชรเท่านี้ ไม่น่าจะทนตรากตรำในป่าอันกันดารได้นานนัก

มันก็อาจจะเป็นไปตามที่ทั้งสามแอบคิดนั่นล่ะ หากว่าสามแสนมีเป้าหมายเพียงแค่ว่า จะมาเกลี้ยกล่อมพี่ชายให้กลับบ้าน แต่มันก็ไม่ใช่ แล้วทั้งสามก็ยังไม่ทราบในเวลานี้ว่า ที่สามแสนดั้นด้นมาถึงปลายดงแห่งนี้ได้ ก็เพราะ 'รักพี่ชาย'



ป้ามาลีเป็นหญิงชาวบ้านวัยห้าสิบเศษ นางอ้วนมากเลย แต่กลับเคลื่อนไหวคล่องแคล่ว ไขมันที่พอกตูมเต่งตามร่างกาย กระเพื่อมเป็นลอนๆ ตลอดเวลา สามแสนเห็นแล้วเกือบหลุดหัวเราะตั้งหลายหน นางเป็นคนใจดี ช่วยจัดแบ่งมุมที่พักให้ ปัดกวาดเรียบร้อย

เวลายิ้ม ฟันของนางขาวมาก ผมสีดอกเลาเกล้ามวยแซมดอกไม้ป่าสีเหลืองอ่อน ท่าทางจะหวงทรงผมมากด้วย ไม่ว่าจะทำอะไรแต่ละที เป็นต้องพามือไปแตะๆ ลูบๆ คล้ายสำรวจว่า มันย้วยหรือรุ่ยร่ายบ้างหรือเปล่า

"เอาละจ้ะ เสร็จแล้วแม่หนู พักผ่อนตามสบายนะ ได้ยินไอ้เจ้ากาจมันบอกว่า เดินป่ามาตั้งสองวันสามวันไม่ใช่หรือ คงพักผ่อนไม่เต็มที่หรอก"

"ค่ะ ขอบคุณนะคะ ป้ามาลีใจดีมากเลย สวยมากด้วย" สามแสนชมจากใจ

"อุ๊ย ปากหวาน ไม่ต้องชมคนแก่หรอก ไอ้พวกหนุ่มอ่อนหนุ่มแก่แถวนี้ มันก็แข่งกันชมแข่งกันจีบ จนป้าปวดหัวกับพวกมันจะตาย เฮ้อ เกิดมาเป็นคนสวยก็ต้องทำใจอย่างนี้ละนะ อันที่จริงก็ไม่ได้สบายเหมือนที่ใครๆ พากันคิดสักหน่อย"

สามแสนหัวเราะเบาๆ นางเป็นคนสวยก็จริง แต่ก็ไม่สวยมากจนน่าจะมีใครมารุมจีบได้ ถ้าเปลี่ยนเป็นใบพลูก็ว่าไปอย่าง รายโน้นทั้งสาวเปล่งปลั่ง ทั้งสวยบาดจิต เจ้าตัวประกาศห้าวหาญและหวงแหนว่า พี่ชายเป็นหวานใจ ห้ามใครแตะใครแย่ง

สามแสนอยากรู้จังว่าพี่ชายมีใจไมตรีตอบด้วยไหม เธอไม่ใช่คนเข้าใจอะไรยากหรอก หากทราบว่าเขามีนางในดวงใจแล้ว เธอก็จะถอยกลับไปเงียบๆ เอง

ราวป่าข้างหน้าค่อนข้างโปร่ง แซมด้วยพงไผ่พอสวย เปลวแดดยามบ่ายแก่ส่องจัดเป็นประกายขาวจ้าเหนือยอดไม้

ต้นอะไรก็ไม่ทราบ สูงและใหญ่มาก น่าจะต้องใช้คนโอบสักสองสามคนกระมัง มันชูความแข็งแรงมั่นคงบนเนินดินสีน้ำตาลอ่อน สามแสนเห็นเปลยวนผูกโยงล้อลม มีหมอนใบเล็กวางเสร็จสรรพ เหมือนจะเป็นหนังสือการ์ตูนอีกเล่มหรือสองเล่มตั้งเคียงอยู่ด้วย

"เปลยวนตรงนั้น สามแสนไปนอนเล่นได้ไหมคะป้ามาลี"

"อ้อ ได้เลยแม่หนู ของพวกเรากันเองนี่แหละ ใครว่างหรือใครเหนื่อยก็จะแวะมานอนเล่นเอาแรง แถวนั้นลมดีด้วย นอนเพลินๆ สักประเดี๋ยวก็หลับไม่รู้ตัว แม่หนูไปนอนตรงนั้นก็ได้ หลับไปเลย ไม่ต้องเกรงใจ ตอนเย็นป้าจะมาปลุกไปกินข้าวให้เอง"

"ขอบคุณมากค่ะ อ้อ แล้วราวไม้ตรงนั้นละคะ" เธอชี้ไปยังราวแข็งแรง ตั้งถัดออกไปไม่ห่างจากเปลยวนนัก "สามแสนใช้ตากเสื้อผ้าได้ไหม"

"ได้เลยแม่หนู เอาสิ เอ้อ เสื้อผ้าเปียกหมดนี่นะ ให้ป้าช่วยไหม"

"ไม่ต้องค่ะ สามแสนทำเองดีกว่า รบกวนป้ามาลีเรื่องที่พักก็เกรงใจแล้วค่ะ"

ป้ามาลีหัวเราะลงลูกคอ บอกความเป็นคนอารมณ์ดี นางพาร่างอ้วนมากกลับไปสมทบกับเพื่อนในลานครัว ทิ้งสามแสนให้ง่วนกับการรื้อเป้

เสื้อผ้าเปียกน้ำหมดเลย โชคดีที่สำเนาใบปริญญาบัตรเก็บใส่ไว้ในซองพลาสติกหนาอย่างดี ไม่อย่างนั้น คงเปื่อยยุ่ยก่อนทันได้อวดพี่ชายล่ะ

สามแสนใช้เวลาตากเสื้อผ้าไม่ถึงสิบนาที เธอสะบัดเป้สองสามที แล้วสวมลงบนหัวเสาไม้ง่ายๆ เลย สายลมจากป่าพัดมาไม่ขาดสาย สามแสนชอบดูเสื้อผ้าปลิวพลิ้ว ไม่ยกเว้นแม้แต่ซองพลาสติกใส

"คอยดูเถอะ พอพี่ชายเห็น พี่ชายต้องภาคภูมิใจกับสามแสน ต้องชมว่าสามแสนเก่งมาก นี่สามแสนตั้งใจหนีบมาอวดโดยเฉพาะเลยนะ"

เธอพูดกับมันอย่างมีความสุข จูบเบาๆ อย่างนึกสนุก แล้วค่อยบิดเนื้อบิดตัว ย้ายร่างซนไปหย่อนในเปลยวน ออกแรงเล็กน้อย มันก็แกว่งไปแกว่งมา

ตรงนี้ลมดีจริงอย่างที่ป้ามาลีบอกเลย สามแสนสูดอากาศด้วยท่าทางชื่นใจ ขยับตัวหาท่าเหมาะๆ แล้วพริ้มตาลง ไม่นานเธอก็หลับ



ภภีมปรากฏตัวเงียบๆ ร่างสูงหยุดใกล้ซองพลาสติกใส แตะนิ้วลงลูบนุ่มนวล มุมปากย้อมยิ้มเอ็นดูเจือรักแสนซึ้ง

สามแสนของเขาเรียนจบแล้ว เขาเพิ่งจะทราบวันนี้เองว่า เธอชื่อ นางสาวสามแสน เปรมผาพิศ น้ำตารื้นอย่างปีติ มันร้อนอยู่ในเบ้าแดงก่ำ เขาปล่อยให้มันไหลโดยไม่กักขัง พลางโน้มลงจูบชิดชื่อคนดี

"พี่ดีใจกับสามแสนด้วย ภาคภูมิใจในความสำเร็จของคนดี คนเก่งของพี่ สามแสนเป็นคนเก่งในหัวใจพี่เสมอ"

เสียงทุ้มแผ่วพึมพำเครือๆ ตาช้ำก่ำปรายไปจับอาภรณ์สีสดใสเต็มราว นึกภาพตอนเธอลุยลำธารหนีกระสุนปืน แล้วอดเวทนาไม่ได้นายเก่งกาจเล่าไปชมไปว่า เธอเก่งมาก มีความอดทน และปรับตัวให้กลมกลืนกับสภาพกันดารในป่าได้ดี

ไม่บ่นหรือเรื่องมาก มีอะไรให้กิน เธอก็กิน จัดที่ตรงไหนให้นอน เธอก็นอน ถึงเวลาตื่น จะก่อนฟ้าสาง หรือฟ้าสางแล้ว เธอก็ตื่นง่ายดาย ไม่งัวเงียพิรี้พิไร

รอยยิ้มอบอุ่นแฝงแรงรักตราตรึงย้อมใบหน้าเข้มดุให้แลอ่อนโยนลง ภภีมจรดจูบชิดชื่อคนดีอีกครั้งอย่างผูกพัน ก่อนจะผละย้ายมานั่งยองๆ หน้าเปลยวน

ช่วยเกี่ยวปอยผมที่ลมระรวยมาคลอเคลียสันจมูก ถือโอกาสลูบเบาๆ แตะแผ่วๆ ทั่ววงหน้าเรียว อยากจูบอย่างแรงกล้า อยากกอดรัดให้หายโหยหา

"จะกลับมาทำไมกันสามแสน ทำไมไม่ปล่อยให้เรื่องของเราจบลงแค่ในคืนนั้น" เขาพึมพำร้าวราน "รู้หรือเปล่า ว่าพี่ปวดใจมาก พี่รักสามแสน คิดถึงทุกวันทุกคืน แต่พี่ก็ให้มันกับสามแสนไม่ได้ มันไม่บริสุทธิ์ ไม่ซื่อ มันมีตะกอนอดีตของพี่เจือปนจนแยกไม่ออก ไม่น่ากลับมาเลยสามแสน ไม่น่ากลับมาเลย"

มือใหญ่หยาบเลื่อนกุมมือเล็กบอบบาง ผิวนวลขาวตัดกับผิวคล้ำจัดจนเห็นได้ชัด น้ำตาร้าวรานหยดลงบนนิ้วเล็ก ภภีมลอบจรดจุมพิต ประทับความโหยหาลึกซึ้ง

แล้วค่อยโยกมาแนบทรวงร้อนผ่าว กุมนุ่มและบีบแผ่วอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งได้ยินเสียงตะโกนเรียกของใบพลู ร่างสูงใหญ่ จึงค่อยรีบย้ายปราดไปนั่งใกล้ที่พักตัวเอง ทำทีไม่รู้ไม่ชี้

"อาดุ มาอยู่ตรงนี้เอง ใบพลูนึกแล้ว เมื่อกี้นี้เห็นหลังไวๆ มาทำอะไรจ๊ะ"

หล่อนเจรจาฉอเลาะน่ารักผ่านเสียงแหลมใส หากเปลี่ยนเป็นนายขิง เจ้าตัวคงหัวใจพองโต ปลาบปลื้มยิ่งกว่าได้ขึ้นสวรรค์ แต่กับภภีม เขาฟังแล้วเฉยๆ

"กลับที่พัก จะมาทำอะไร ก็มาหาผ้าผ่อนไปผลัด เรานั่นแหละ มาทำอะไรแถวนี้ ไม่ไปช่วยงานในครัว วันๆ ก็ดีแต่แก่นกะโหลกไม่เข้าท่า หลีกซิ อาจะไปอาบน้ำ"

เขาลุกแล้วยันไหล่มนหยาบๆ เจ้าของไหล่ทำปากยื่น ทอดแววตาน้อยใจให้เห็น เขาเห็นแต่ไม่เห็นใจ สามแสนในเปลยวนเริ่มขยับ ทำให้เขาต้องรีบฉากหลบ ไม่อยากให้คนดีตื่นมาเห็น เกรงว่าจะพ่ายแพ้แรงรักในใจ

แค่มองตาเธอไม่นานมากตรงริมลำธารเมื่อตอนบ่าย หัวใจก็เกือบจะละลายอยู่แล้ว ขืนเปิดโอกาสให้เธอพาตัวมาใกล้ ความเข้มแข็งและแข็งขืนจอมปลอม ก็จะพานโดนกร่อน หมดมาดเย่อหยิ่งไว้ตัวกันพอดี

จากคุณ : รัชนีกานต์
เขียนเมื่อ : 23 มิ.ย. 54 17:58:14




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com