Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เพลงรักในความฝัน The first love song บทที่ 17 ติดต่อทีมงาน

ต่อจากกระทู้บทที่ 16 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10716331/W10716331.html

เชิญอ่านต่อค่ะ
**********************************


บทที่17

ปรายจ้องมองตัวเองในกระจกเงาด้วยความรู้สึกตลกปนสมเพช อยากขยี้ผมแรงๆ เพื่อกำจัดรอยแสกหวีเรียบๆ ที่แม่จงใจทำให้เขาดูดีที่สุดในสายตานาง แต่ก็เปลี่ยนใจเพราะดูแล้วมันคงเป็นทรงผมที่เหมาะสำหรับคนที่เพิ่งหายป่วยหนัก ที่ผ่านไปเกือบจะ 3 เดือนแล้ว แต่ก็ยังดูแลตัวเองได้ไม่ดีนัก

แม้ไปตรวจร่างกายกี่ครั้งๆ ทีมแพทย์ยืนยันว่าไม่มีอะไรน่ากังวลอีก นอกจากโลหะบางชิ้นที่ถูกฝังไว้ในร่างกายเขาแทนชิ้นส่วนกระดูกแท้จริงซึ่งพังไปเพราะอุบัติเหตุ แต่เขาก็รู้ตัวดีว่าสมองเขาเลอะเลือน บางคราวเขาถามในสิ่งที่คนรอบตัวฟังแล้วยิ้มออกมาด้วยความตลกขบขัน จนบ่อยครั้งที่เขาบอกให้ตัวเองสงบปากอยู่คนเดียว

“พี่ปราย หนีมานั่งตรงนี้ทำไม ?” ปริมโผล่มาในชุดราตรีสวยน่ารักประสาวัยรุ่นแล้วนั่งแหมะลงข้างๆ พี่ชาย

“ก็ถ่ายรูปเสร็จแล้วนี่ ให้บ่าวสาวเขาทำหน้าที่เถอะ เดี๋ยวพี่ก็เด่นกว่าพวกเขา” ปรายคลำชายซี่โครงเบื่อๆ “ตั้งแต่เดินเข้างาน มีคนขอคลำแผ่นเหล็กที่ใช้แทนซี่โครงพี่สักยี่สิบคนได้แล้วมั้ง พอๆ กับคนที่ขออุ้มลูกสาวพี่เปรียว”

“อ้าว พี่ก็เด่นมานานแล้วนี่” ปริมยังหัวเราะคิก “ไหนๆ ขอดูหน่อย ถูกคลำมากๆ อะไหล่พี่มันจะขึ้นสนิมมั้ย”

“เอ๊ะ ไอ้นี่ เดี๋ยวเขกหัวเลย” ปรายกระชับเสื้อตัวนอกอย่างระแวง “ไป ไปช่วยดูแลแขกเหรื่อบ้าง ช่วยงานแต่งมากๆ จะได้มีโอกาสเป็นเจ้าสาวเหมือนคนอื่นเขา”

“ฮึ ไม่เห็นอยากเป็นเจ้าสาวใคร อยากอยู่กับพี่แบบนี้มากกว่าอีก” น้องสาวประจบประแจง แต่เห็นพี่ชายทำท่าเหนื่อยก็ยอมเลิกล้อ หอมแก้มให้กำลังใจพี่ชายเบาๆ แล้วผละกลับเข้างาน


ปรายมองเข้าไปในงานอีกที เสียงดนตรีและผู้คนพูดคุยกันแว่วมา เขาก็ตัดสินใจลุกเดินเลี่ยงผู้คนไปยังห้องเตรียมงานของทางโรงแรม เขาลากเก้าอี้ตัวหนึ่งไปวางที่ระเบียงแล้วนั่งลง ระเบียงกลาดเกลื่อนไปด้วยเศษใบไม้สีเขียว และกลีบดอกไม้หลากสี คงเป็นฝีมือของพนักงานโรงแรมซึ่งเตรียมข้าวของให้งานแต่ง ปรายหยิบกลีบกุหลาบขึ้นมาใส่มือแล้วเงยหน้าดูท้องฟ้า

วิวจากด้านนี้ของโรงแรมไม่ใคร่จะสวยนัก แต่ลมเย็นๆ ที่ไม่หนาวจัดอย่างข้างในก็ทำให้ปรายจ้องมองท้องฟ้าด้วยความรู้สึกโล่งขึ้นกว่าเดิม ดวงดาวที่ยังพอมองเห็นบ้างเรียกสายตาให้เขาจับจ้องอยู่พักใหญ่ ก่อนเขาหลับตาลงฟังเสียงเพลงซึ่งบรรเลงโดยลูกศิษย์ของเจ้าบ่าว อาจเพราะไม่มีเสียงคนรบกวนหรือการฟังจากที่ไกลๆ บทเพลงคาใจเขาเพลงนั้นจึงฟังดูไพเราะเพราะพริ้งยิ่งขึ้น


“เฮ่อ ฟังแพลงนี้แล้วคิดถึงใครก็ไม่รู้” ปรายบ่นเมื่อฟังเพลงจบ ข้างนอกอากาศสดชื่นพอ เขาเลยถอดเสื้อสูทตัวนอกออก พบกระดุมเสื้อเชิ้ตตัวในเม็ดหนึ่งถูกปลดอยู่ ก็จำได้ว่าเมื่อครู่มีหญิงสูงวัยขอดูแผลเขา นางเคยเป็นพยาบาล รอยยิ้มเห็นใจของนางจึงทำให้เขารู้สึกอ่อนแอ เหมือนหัวใจถูกตอกย้ำว่าร่างกายเขาได้ถูดงัดแงะเอาอะไหล่บางชิ้นออกไปแล้วถูกแทนที่ด้วยอะไหล่เทียมชิ้นใหม่ เขายังเคยคิดอย่างไร้สาระว่าอวัยวะเทียมบางชิ้นที่หมอใส่ให้เขาอาจไม่ใช่ชิ้นส่วนสังเคราะห์ แต่อาจเป็นชิ้นส่วนมนุษย์คนอื่น เพราะบางครั้งเขารู้สึกเหมือนเป็นคนอื่น


“โอ๊ย คิดมากอาจบ้าได้” ปรายสะบัดศีรษะแรงๆ และตั้งใจกลับเข้างาน

แต่ไม่ทันลุกก็ได้ยินเสียงผู้หญิงสองคนเดินเข้ามาด้านหลัง เขาเดาว่าคงเป็นพนักงานโรงแรมเริ่มเก็บของ แต่ต้นประโยคที่พวกเขาคุยกันทำให้เขาเงี่ยหูฟัง

“หมอแก้มขอให้ช่วยขนดอกไม้ไปแต่งที่หอประชุมโรงพยาบาลจ้ะ พี่เลยคิดว่าวันนี้เราน่าจะให้เด็กๆ ขนอุปกรณ์พวกนี้กลับ พรุ่งนี้เราค่อยส่งใครมาขนดอกไม้ไปให้หมอเค้า”

“ค่ะ” เสียงเย็นๆ ของคนเป็นลูกน้องรับคำ “งั้นหนูเก็บของพวกนี้พลางเลยดีกว่า”

“ขอบใจจ้ะ งั้นพี่กลับไปดูข้างนอกนะ หมอแก้มมีเพื่อนๆ อยู่ในวัยแต่งงานเยอะแยะ เราต้องไม่ให้ขาดตกบกพร่อง งานแบบเราทำดีกันมาแค่ไหน ริบบิ้นผูกช่อดอกไม้หลุดนิดเดียวเสียชื่อไปเป็นปีเลยล่ะจ้ะ”

“แต่หนูให้เด็กผูกริบบิ้นอย่างดีแล้วนะคะ ตอนนี้สองคนนั้นก็เฝ้าตลอด”

เสียงคนที่แทนตัวเองว่าหนูรับปากอย่างมั่นใจออกมาทำให้ปรายแอบฟังต่อด้วยความขบขัน เขาคิดว่านายสาวหมายถึงว่าให้ระวังทุกอย่าง ไม่ได้หมายถึงริบบิ้นอย่างเดียว และเขาก็เข้าใจถูกเพราะนายสาวหัวเราะ

“ฮ่าๆ พี่หมายถึงทุกอย่างต้องประณีตจ้ะ เพราะผลตอบแทนคือคำบอกต่อจากคู่สมรสที่น่าเชื่อถือ”

“อ๋อ ค่ะ คุณหมอแก้มกับอาจารย์ปริญญ์เป็นคู่แต่งงานที่เหมาะกันจนน่าอิจฉามากเลยค่ะ”

“แม๊ อยากเป็นเจ้าสาวมั่งล่ะซี” นายสาวหัวเราะก่อนตามด้วยการพูดเบาลงเล็กน้อย “นี่ๆ น้องเจ้าบ่าวยังว่าง เพิ่งหายเดี้ยงแบบนั้น สวยๆ แบบเราไปคลอเคลียหน่อยอาจมีลุ้น ฮ่าๆ”

ปรายไม่รู้ว่าลูกน้องจะเชื่อฟังนายหรือไม่ หรือจะสวยแค่ไหน แต่เขารีบใส่กระดุมเสื้อทันที และยังขยี้ผมเรียบๆ นั้นให้ยุ่งขึ้นเล็กน้อย  แต่พอจะคว้าเสื้อสูทมาสวมทับก็ต้องชะงักมือ เพราะเสียงตอบเย็นๆ จากผู้หญิงคนนั้น

“คนน้องคงไม่โรแมนติกอย่างพี่ชายค่ะ คอยดูสิ... หายเดี้ยงเมื่อไหร่ ก็คงตีปีกบินขึ้นฟ้า ไม่เห็นค่าผู้หญิงคนไหนพอที่จะขอแต่งงานหรือรักใครเป็นหรอกค่ะ !!!”

“ฮ่าๆ อย่าไปเชื่อหนังสือพิมพ์นัก พี่เห็นเค้าก็น่ารักดีนี่ ปล่อยให้แม่จูงไปโน่นมานี่ ผอมเหลือแต่ลูกตาแป๋วๆ”


“ฮึ ไม่หมดฤทธิ์หรอกค่ะ นี่ก็หายไปตั้งนานแล้ว คงไปให้ใครป้อนข้าวป้อนน้ำแล้วมังคะ”

ปรายได้ยินแล้วไม่รู้จะดีใจหรือสมเพชตัวเองกันแน่ เพราะมั่นใจว่าสาวคนที่พูดอยู่คงแอบมองไก่ป่วยอย่างเขามาตั้งแต่งานเลี้ยงเริ่ม และนึกขอบใจนายสาวที่คิดเหมือนเขาอีก


“นี่แอบมองเขาอยู่ละเซ้” นายสาวเลิกกระซิบกระซาบ “เอ๋... ตั้งแต่ทำงานกันมาเพิ่งเห็นเราพูดมากและว่าคนอื่นเป็นเอาวันนี้นี่เอง”


“นั่นสิคะ เลยเสียเวลาทำงานเลย งั้นหนูเก็บของเสร็จแล้วจะรีบตามพี่ออกไปนะคะ”


“อุ๊ย ต้องขอบคุณแม่น้องดาวจริงๆ ที่ส่งลูกสาวใช้งานใช้การได้มาให้ แบบนี้ค่อยว่างใจหน่อย”


นายสาวผละไปทิ้งให้ลูกน้องเริ่มเก็บข้าวของ ปรายโล่งใจที่เสียงนินทาเงียบลง เขากะจะย่องกลับทางอีกประตู เพราะไม่อยากเผยตัวให้สาวเจ้าอึดอัด และที่สำคัญเขาเองไม่ค่อยมีความมั่นใจที่จะพูดกับผู้หญิงแปลกหน้าเท่าใด แต่... สมองเขาคงไม่ปกติจริงๆ เพราะเพิ่งนึกถึงชื่อที่เจ้านายเรียกลูกน้องครั้งสุดท้ายเมื่อครู่


เขาจึงทักทายสาวแปลกหน้าไปด้วยน้ำเสียงทั้งเบาทั้งไม่มั่นใจ

“สวัสดีครับ... เอ่อ... คุณชื่อดาวหรือครับ ?”


คนที่ถูกทักก็ถึงกับตกใจ และทันทีที่เธอเปิดไฟอีกดวงสว่างโร่ ข้าวของในมือเธอถึงกับร่วงหล่นลงพื้น

“คะ... ค่ะ... สวัสดีค่ะ คุณ... คุณรู้จักฉัน ?”

“ไม่... ผมแค่ฟังจากที่เจ้านายคุณพูด ผมเดาว่าคุณชื่อดาว” ปรายสำรวจผู้หญิงร่างสูงตรงหน้า ถ้าเป็นดาวที่เขาอยากพบ คงเป็นดาวของปริม ไม่ใช่ดาวของปริญญ์กับแม่แน่ๆ


“คะ... คุณมายืนอยู่ตรงนี้นานหรือยัง ?”

“ผมเพิ่งยืนตรงนี้” ปรายยังไม่หยุดสำรวจผู้หญิงสวย คำตอบเขาอาจทำให้สาวสวยทำท่าโล่งใจ แต่ก็แค่ครู่เดียว เพราะเขายิ้ม... “แต่นั่งอยู่นานแล้ว แค่หนีหนาวเอง ไม่ได้แอบมาให้ใครป้อนข้าวป้อนน้ำ...”


รอยยิ้มกลางแสงไฟชัดๆ และคำพูดของผู้ชายตรงหน้าทำให้สาวสวยลังเลจนต้องรีบปาดเหงื่ออันพร้อมใจกันแตกพรึ่บบนหน้าผากอย่างควบคุมไม่อยู่ “เอ่อ... งั้นคุณพักต่อนะคะ ดิฉันไม่รบกวนแล้ว”


“อ้าว... ไม่เก็บของเหรอ ผมว่าจะช่วยเก็บนะนี่” ปรายไม่ได้แค่พูด เขาคุกเข่าลงกับพื้นเริ่มเก็บของจริงๆ เพราะนึกเห็นใจที่เผยให้เจ้าตัวรู้ว่าเขาได้ยินคำนินทานั้น เลยอยากไถ่โทษโดยการช่วยเก็บข้าวของจำพวกกรรไกร มีด ขดลวด ริบบิ้นม้วนใหญ่ๆ และของอีกไม่กี่ชิ้นใส่ถุงเครื่องมือที่วางไว้บนโต๊ะมุมห้องอย่างเก้ๆ กังๆ จนเสร็จเรียบร้อย แล้วเขาก็มองบนพื้น ถามสตรีที่ยังยืนนิ่งงันเหมือนถูกสาป

“แล้วพวกเศษใบไม้ กลีบดอกไม้พวกนี้จะทำไงครับ ?”


“มันร่วงลงพื้นไปแล้วจะให้เก็บขึ้นมาอีกรึไง ?!” น้ำเสียงผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือกลับดูไม่ปลื้มในน้ำใจนัก


“ครับ ?” แล้วปรายก็หยุดสื่อสาร สายตาผู้หญิงทำให้เขาปวดศีรษะขึ้นมาตะหงิดๆ เขาถอยกลับไปนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิม รู้สึกหมดเรี่ยวแรงจนคิดถึงไม้เท้า ถ้ามีมันเขาคงจะเดินออกไปจากตรงนี้ได้ง่ายขึ้น เขาควานหาโทรศัพท์ แต่เงาผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างหลังยังไม่ไปไหนดั่งรีรออะไร ทำให้เขาไม่กล้าโทรหาน้องสาว


ในที่สุดหญิงสาวก็เอ่ยอะไรออกมาก่อน

“ที่เหลือนี่ทางโรงแรมจะช่วยจัดการให้ ขอบคุณที่ช่วยค่ะ”

น้ำเสียงนั้นอ่อนลงแม้จะเย็นยะเยือกอยู่บ้าง “เอ่อ... ผม ผมมีปัญหาทางสมองน่ะ ผมเคยรู้จักคุณหรือเปล่า”

“ไม่ค่ะ เราไม่เคยรู้จักกัน ดิฉันขอตัวไปทำงานต่อแล้วค่ะ”

ดาวทำท่าจะจากไปจริงๆ แต่ปรายกลับยังเรียกเธอไว้ “เดี๋ยวครับ.... แต่ผมว่าเราอาจเคยรู้รักจักกัน ไม่งั้นคุณคงไม่คุยกับนายคุณแบบนั้นหรอก”


“ฉัน... รู้จักคุณผ่านหนังสือพิมพ์ค่ะ หวังว่าคุณคงไม่ถือโกรธที่ฉันนินทาคุณ”


“ไม่นี่... ผู้คนพูดแบบนั้นเยอะแยะ ผมชินแล้ว”


“พวกเขาก็พูดไปงั้นๆ แหละค่ะ” ทั้งน้ำเสียงและแววตาของดาวอ่อนลงไปอีก “อีกไม่นาน...ก็ลืม”


“ครับ อีกไม่นาน... นี่เพิ่ง 9 เดือนเอง ยังไม่ถึงปีเลย” ปรายยิ้มออกเมื่อดาวไม่ก้าวหนีอีก แต่เขาไม่รู้จะคุยอะไร สมองพาลตื้อขนาดเสียงเพลงข้างนอกก็แทบไม่ได้ยิน เขาได้แต่คิดถามในสิ่งที่อยู่ในใจจนไม่สนใจว่ามันจะไร้สาระแค่ไหน “ผมขอถามอะไรตรงๆ หน่อยนะครับ น้องสาวผมบอกว่ามีผู้หญิงชื่อดาวไปเยี่ยมผม ใช่คุณหรือเปล่า ?”

ดาวได้ยินคำถามถึงกับยกมือกอดอกดั่งอยากปกป้องตัวเองจากความรู้สึกอะไรบางอย่าง เธอหลบสายตาของเขาโดยการเหม่อมองท้องฟ้า รู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ จนปลายนิ้วเผลอถูกัน

“อุ๊ย !” เธอสะดุ้งอุทานออกมาเพราะปลายเล็บไปเกี่ยวกับร่องรอยหนามกุหลาบตำไปหลายครั้งตั้งแต่ช่วยคนงานขนดอกไม้มาตบแต่งที่นี่ตั้งแต่บ่าย


เสียงอุทานของเธอทำให้ปรายลุกจากเก้าอี้โดยอัตโนมัติทั้งที่รู้สึกราวกับจะเป็นลมเมื่อครู่ “คุณเป็นอะไร ?”


ดาวพินิจมองเสื้อผ้าหลวมโพรกเพรกของผู้ชายจอมลวงโลกที่เธอเคยทั้งรักทั้งแค้นตรงหน้าอย่างไม่แน่ใจ เธอแอบสังเกตตั้งแต่ในงานแล้วว่าเขาแทบไม่แตะอาหารหรือ เครื่องดื่มใดๆ ท่าทางเขายังไม่หายดีจริงๆ เธออยากสะบัดความเจ็บใจไว้เบื้องหลังเรื่องเธอกับเขาเสียที แต่แววตาเหมือนเด็กไร้เดียงสาและอยากรู้ของเขาทำให้เธอนึกอยากพูดความจริง

“ฉัน...สารภาพก็ได้ ว่าฉันไปเยี่ยมคุณมาจริงๆ ค่ะ ฉันพบคุณปริม แล้วฉัน...”

แต่ดาวไม่ทันพูดจบ ปรายก็รีบเอ่ยออกมาเสียก่อนด้วยความโล่งในอกที่อย่างน้อยเขาก็ได้พบคนที่อยากรู้แล้วหนึ่งคน “ขอบคุณที่ไปเยี่ยมผม... ผมว่าแล้ว เราต้องเคยเป็นเพื่อนกัน”


“ฉันแค่เคยทำงานในบริษัทคุณตอนฉันจบใหม่ๆ ก็เท่านั้นเองค่ะ” ดาวไม่รับคำทึกทักเป็นเพื่อน และยังรวบลมหายใจเฮือกใหญ่ จะพูดอะไรต่อ แต่อาจเพราะท่าทางที่ไม่รู้อะไรเลยของปรายหรือลัษณะของคนเพิ่งหายป่วยหนักที่ไม่เหลือสภาพผู้ชายเห็นแก่ตัวใจร้ายอย่างเมื่อก่อน และ...เมื่อจ้องตาเขากลับไปนานๆ ... ทำให้ดาวใจอ่อน อะไรๆ ที่เคยสั่งสมไว้ในหัวใจกดดันให้ทุกอย่างในใจไหลออกมาเป็นน้ำตาแทนคำพูด

และเขาก็มองเห็น... “คุณ คุณร้องไห้ทำไมน่ะ”

“คุณ... จำฉันไม่ได้เลยสักนิดจริงๆ เหรอ”


“ผม... ผมจำไม่ได้” ปรายจ้องมองน้ำตาบนแก้มของดาวอย่างไม่รู้จะทำเช่นไร เขาจำเรื่องที่เขาเคยเอาเปรียบผู้หญิงได้ดี บางคนเด่นชัดทั้งหน้าตาและชื่อนามสกุล แต่ข่าวคราวคนพวกนั้นที่ไปมีชีวิตปกติสุขแล้วทำให้เขารู้ดีว่าไม่จำเป็นต้องกลับไปรื้อฟื้นให้ใครอึดอัดอีก แต่กับผู้หญิงตรงหน้าเขา... เขาจำไม่ได้...


น้ำตาบนแก้มผู้หญิงสวยดูน่าทุกข์ใจชวนเบือนหน้าหนี แต่ปรายไม่อยากหนีปัญหาโดยการหลบสายตา เขาจึงพยายามจ้องกลับแทบไม่วางตา ...เวลาผ่านพ้นไปแค่ครู่เดียว แต่อาจด้วยสายลมไหวมาเบาๆ หรือเห็นปลายนิ้วเรียวๆ ถูกป้ายเช็ดน้ำตาบนแก้มเธอ มันทำให้เขารู้สึกเหมือนตกอยู่ในความฝัน ....


เมื่อตื่นจากฝัน เขาก็...ถึงกับเกือบล้มเซ... เพราะความทรงจำบางเรื่องโผล่พรวดเข้ามาในสมองเป็นฉากๆ เขาเคยเห็นเธอป้ายน้ำตาด้วยหลังมือมาก่อน... อารามตื่นเต้นทำให้เขารีบคว้ามือเธอไปกุมไว้อย่างตกใจ

“คุณ... คุณทำงานที่ผมไม่นาน ทำไม่กี่วัน แล้ว...” และเขาก็เรียงลำดับคำพูดไม่ถูก แต่เมื่อเธอจะดึงมือกลับ เขาก็ยื้อไว้พร้อมระล่ำระลักพูดต่อ “ดาว... ผมรู้จักคุณ... ทำไมผมลืมง่ายจัง เราเพิ่งคุยกันไปไม่กี่เดือนนี่เอง !”


“ไม่มีทางค่ะ ฉันไม่เคยคุยอะไรกับคุณ หลังจากเกิดเรื่อง เราแทบไม่พูดกัน...”


“ไม่จริง เรา... เราคุยกันแล้ว” ปรายยังตะกุกตะกักเถียงไปอย่างไม่แน่ใจว่าเธอเคยเล่าเขาที่ไหนมาสักครั้ง แต่เมื่อเธอยังคิดยื้อมือ เขาจึงเลิกยืนยันเป็นพร่ำขอโทษ “ผมขอโทษ ผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจ”


เสียงขอโทษย้ำๆ ของปรายทำให้ดาวหยุดยื้อมือ และปล่อยให้เขาจับทั้งสองมือไว้อย่างนั้น จนกระทั่งความทะนงในใจกลับเข้ามาอีกรอบ เธอก็พยายามแกะนิ้วออกจากมือเขาอย่างไม่อยากแยแสอะไรอีก เธอควรคิดถึงงานที่รออยู่

แต่ปรายกุมมือเธอไว้ เขาสำรวจตรวจตราผู้หญิงตรงหน้าอย่างรู้สึกผิด ยิ่งมือเธออยู่ในอุ้งมือเขานาน เขายิ่งจำเธอได้ขึ้นใจภาพแจ่มชัด ผิดลิบลับกับเมื่อครู่

“งานนี้เหมาะกับคุณกว่างานบริษัทเจ้าป้องจริงๆ”

“คุณคงจำทุกอย่างได้แล้วสินะ แต่ปล่อยเถอะค่ะ ดิฉันจะไปทำงาน” เมื่อมือยังไม่เป็นอิสระ เธอจึงหลบสายตาส่อแววดีใจของเขา “ฉันว่าบางสิ่งบางอย่างให้มันเลือนหายไปในอดีต ดีกว่าไปรื้อฟื้นมัน”

แต่ปรายกลับตรงกันข้าม เขาอยากรู้อะไรอีกมากมาย “คุณสบายดีหรือเปล่า”

“สบายดีค่ะ และดีขึ้นทุกวันตั้งแต่ทราบข่าวว่าคนที่เคยทำให้ฉันเจ็บปวดปางตายรอดชีวิตแล้ว”

“ผมคงเคยทำให้คุณรู้สึกแย่มาก ผมขอโทษ”

“แม้มันจะผ่านช่วงชีวิตที่ฉันอยากได้ยินคำนี้ไปแล้ว แต่ก็ยินดีที่ได้ฟังค่ะ”

“คุณยัง... รักผมหรือเปล่า”

“ฉันเคยบอกอย่างนั้นเหรอคะ ?” ดาวถามหน้าเข้ม “แต่ไม่ว่าคุณพูดเล่นหรือพูดจริง ดิฉันว่าเราอย่าไปพูดคำว่าความรักเลย ปล่อยให้มันอยู่ที่เดิมได้แล้ว และฉันก็ไม่อยากกลับไปแตะอะไรที่เกี่ยวกับหัวใจอีก”


“แต่... คุณเคยบอกว่ารักผม” ปรายยืนยันแม้จะรู้สึกเหมือนคนสำคัญตัวผิดอย่างคนโง่ เขาจับหัวไหล่สองข้างของเธอไว้แล้วจ้องไปในดวงตา “อดีตผมอาจไม่ควรค่าต่อความรักของคุณ แต่ผมมั่นใจว่าผมเปลี่ยนตัวเองไปในทางที่ดีขึ้นแล้ว... มันคงไม่สายเกินไปที่เราจะเริ่มต้นใหม่ด้วยกัน”


แต่แววตาของดาวกลับสื่อให้เขารู้ว่าเธอไม่เข้าใจ จนในที่สุดเขาก็คุกเข่าลง

“ดาว... เราแต่งงานกันเถอะ”


“คุณปราย !!!” ท่ามกลางเสียงตกใจผสมงุนงงนั้น ดาวถอยหนีไปหนึ่งก้าว “คุณขอฉันแต่งงานทำไม เราแทบไม่รู้จักกัน และคุณแน่ใจได้ไงว่าฉันรักคุณ เพราะฉันเคยเผลอนอนกับคุณ ? หรือคุณได้ยินใครพูดเรื่องฉันมา !?”

“ผมไม่รู้... แต่ผมมั่นใจว่าคุณรักผม และผมว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้องสำหรับเราสองคนแล้ว”

“สิ่งที่ถูกต้อง ?” ดาวทวนคำซ้ำ “คุณขอฉันแต่งงานเพราะจำได้ว่า...เคยนอนกับฉันอย่างนั้นเหรอคะ ?”

“ดาว แต่คุณเคยบอกนี่ว่าคุณรักผม แม้ผมจะเป็นคนไม่ดี... แล้วทำไม ?”

“โอ ดูคุณมั่นใจมากว่าฉันเคยรักคุณ”

“มันไม่ใช่ความจริงหรอกหรือ ?” ปรายถามอย่างไม่มั่นใจ แล้วสายตานิ่งๆ ของเธอก็เหมือนคำสั่งให้เขายอมปล่อยมือเธอเป็นอิสระ เขาคงเข้าใจอะไรผิดพลาดไปจริงๆ เขาถอยกลับมานั่งแหมะลงบนเก้าอี้อีกครั้ง พยายามคิดว่าเคยพบกันครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ แต่ยิ่งคิดก็แค่ยิ่งปวดศีรษะ เสียงรื่นเริงแว่วมายิ่งทำให้หูอื้อ “ผมคงสมองเลอะเลือนไปแล้ว อย่าถือสาผม”

จากคุณ : rainfull
เขียนเมื่อ : 23 มิ.ย. 54 22:41:32




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com