Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
(นิยายกำลังภายใน) วิหคดั้นเมฆา ผู้กล้าฝ่ายุทธจักร ตอนที่ 59 ติดต่อทีมงาน

ความเจ็บปวดชำแรกเข้ามาอย่างดุดันในแวบแรกที่รู้สึกตัว สือหย่งหลุนรีบยกมือกุมหัวหวังบรรเทาอาการลงบ้าง พร้อมกันนั้นก็ได้ยินเสียงร้องอย่างเป็นห่วง

“พี่รอง เป็นอย่างไรบ้าง”

กลิ่นยาฉุนเฉียวกระทบจมูก  เด็กหนุ่มรับรู้ถึงสัมผัสบางเบาที่ประคองศีรษะตนขึ้น แล้วค่อยเห็นถ้วยยาจ่อตรงปาก

“พี่หย่งหลุนทานยาก่อนนะ”

มันทำตามเสียงฟ่านไป่หนิงอย่างว่าง่าย พอยาล่วงพ้นลำคอสักพัก ความเจ็บปวดก็เจือจางไปหลายส่วน จึงรีบยันตัวขึ้นพลางหันไปถามดรุณีน้อยที่นั่งอยู่ข้างเตียง

“ไป่หนิง เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม”

เท่านั้นเองทำนบความแข็งแกร่งของนางก็พังทลาย ฟ่านไป่หนิงซบหน้ากับบ่ากว้าง ปล่อยโฮอย่างไม่นึกอาย

สือหย่งหลุนทำตัวไม่ถูก ได้แต่โอบไหล่บอบบางนั้นไว้พร้อมตบหลังเบา ๆ แทนการปลอบประโลม “ร้องไห้ทำไมเล่า”

“ไป่หนิงเป็นห่วงพี่รองมาก” สือจินหลิงกล่าวจากโต๊ะกลางห้อง “พลังวัตรที่โอวฉีกวนใช้นั้นรุนแรงมาก นางกลัวพี่จะไม่ตื่น”

“เป้าหมายของมันควรเป็นข้า” ฟ่านไป่หนิงเอ่ยปนสะอื้น “จะได้ไม่มีใครต้องรับเคราะห์อีก”

สือหย่งหลุนระบายลมหายใจเบา ๆ นึกรู้ว่าระหว่างมันหมดสติไป น้องสาวคงเล่าถึงสาเหตุที่ทำให้มันติดตามนางไปทันเรียบร้อยแล้ว ระหว่างนั้นค่อยพบว่าในห้องนอกจากมันและสตรีทั้งสอง ยังมีโต่วอี้เหรินนั่งกอดอกพิงผนังอยู่ใกล้ประตูห้อง จึงทักขึ้น

“พี่หยุนเล่า”

“พี่หยุนไปติดต่อเจ้าของโรงเตี๊ยม ขอเช่าบ้านพักตากอากาศต่อ”

เด็กหนุ่มเพิ่งสังเกตว่าพวกตนกลับมาพำนักยังบ้านพักหลังเดิมนั่นเอง จึงว่า

“ปล่อยพี่หยุนไปคนเดียวไม่อันตรายหรือ”

“พี่หยุนบอกว่าหลังโอวฉีกวนฝากรอยอเวจีไว้แล้ว ภายในสามวันจะไม่ลงมืออีก พวกเราย่อมปลอดภัยไปช่วงหนึ่ง”

สือหย่งหลุนเผลอยกมือลูบแผลใต้ตา ก่อนพบว่าบริเวณนั้นมีผ้าปิดแผลไว้เรียบร้อย จึงก้มหน้าไปหาผู้รักษาของตน กระชับอ้อมกอดแล้วกล่าวเสียงแผ่ว

“พวกเรายังมีเวลาเตรียมตัวตั้งสามวันนะ อีกอย่างข้ารู้จักเจ้าดี หากมิวางหนทางรอดไว้เจ้าไม่มีวันไปท้าโอวฉีกวนเช่นนั้นแน่ ใช่ไหม”

ฟ่านไป่หนิงเงยหน้าจากไหล่ของมัน แล้วปาดน้ำตาขณะกล่าวเสียงแหบแห้ง

“แต่แผนนั่นมัน...ยังไม่แน่ว่าจะได้ผล”

“ต้องได้ผลซิ” สือหย่งหลุนพูดอย่างหนักแน่น “จนกว่าจะได้แก้แค้นให้ท่านพ่อ ข้าไม่มีวันยอมตายหรอก ไม่ว่าเจ้าจะมีอุบายแบบไหน ข้าจะทำจนสำเร็จให้ได้”

“ใช่แล้ว” สือจินหลิงสนับสนุน “เจ้ามีแผนอันใดก็ลองว่ามาเถอะ”

ฟ่านไป่หนิงหลุบเปลือกตาครุ่นคิด ที่ผ่านมานางหลงมั่นใจในความฉลาดของตน จนบัดนี้ค่อยทราบว่าโลกช่างกว้างใหญ่ไพศาล เปรียบแล้วนางก็เหมือนแค่แมลงตัวเล็ก ๆ ที่ถูกบี้ตายได้ง่ายดายเหลือเกิน

แต่ตอนนี้มิใช่เวลามานั่งคร่ำครวญ พวกนางต้องร่วมมือกันเอาชีวิตรอดต่อไปให้ได้!

ดรุณีน้อยลืมตาขึ้นในฉับพลัน ดวงตาแห้งผากซึ่งผ่านการร้องไห้มาหลายครั้ง บัดนี้ปรากฏแววกระจ่างใสขึ้นมาบ้างแล้ว

“แผนของข้าจะสำเร็จได้” นางผายมือไปทางประตูห้อง “จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากท่านเท่านั้น”

โต่วอี้เหรินเลิกคิ้วเล็กน้อย ผละจากผนังมานั่งหลังตรง เอ่ยว่า

“ข้าไม่เข้าใจ”

“ฝีมือของโอวฉีกวนเหนือชั้นจากพวกเรามาก ดังนั้นจังหวะเดียวที่เราอาจสวนกลับได้...” นางเคาะนิ้วลงที่กลางหน้าผากเหนือหว่างคิ้ว “ก็คือช่วงที่มันใช้ลมปราณในวิชาดรรชนีรอยอเวจี ซึ่งจะมีการป้องกันตัวน้อยที่สุด”

“เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าโอวฉีกวนใช้พลังวัตรเจาะกะโหลกคน มันอาจฝึกจนนิ้วมือแข็งแกร่งดุจเพชรจนให้แทนอาวุธก็เป็นได้” สือหย่งหลุนสงสัย

“ตอนข้าชันสูตรร่างของอาคุนและอาถวน พบว่าเนื้อสมองตรงที่นิ้วโอวฉีกวนทะลวงเข้าไปเละเป็นโจ๊กเชียว ซึ่งลักษณะแบบนี้มักพบในศพที่เริ่มเน่าแล้ว แต่อาคุนกับอาถวนเพิ่งตาย ดังนั้นมันจึงเกิดจากสาเหตุเดียว...”

สือหย่งหลุนเริ่มเข้าใจ “เจ้ากำลังจะบอกว่าสมองของเหยื่อวิชารอยอเวจีถูกพลังวัตรบดขยี้จนแหลกใช่หรือไม่ เพราะตำแหน่งที่เจ้าตรวจนั้นเลยจากช่วงที่นิ้วทะลวงไปถึงแล้ว สมองในส่วนนั้นจึงไม่ควรเป็นแบบนี้”

ฟ่านไป่หนิงพยักหน้า “ในเมื่อพวกเรารู้เช่นนี้ หากสามารถย้ายลมปราณรอยอเวจีไม่ให้ทำอันตรายแล้วสวนกลับขณะโอวฉีกวนยังไม่ทันตั้งตัว ก็อาจสยบมันได้”

นางประสานตากับโต่วอี้เหริน กล่าวทีละคำ

“ข้าจึงอยากขอร้องให้ท่านสอนวิชาดูดลมปราณที่ท่านใช้บนเวทีประลองผู้นำสี่ตระกูลแก่พี่หย่งหลุน”

ทุกคนในห้องล้วนประหลาดใจไม่ต่างกัน คงมีแต่สือหย่งหลุนที่ทราบแก่ใจว่า ดรุณีน้อยเสนอเช่นนี้ด้วยมีเจตนาแอบแฝง

ทั้งที่ตัวเองตกอยู่ในอันตราย นางยังอุตส่าห์คิดแผนล้วงความลับจากโต่วอี้เหรินไปพร้อมกันได้อีก!

ด้านบุตรบุญธรรมสกุลโต่วก็แสดงสีหน้าเย็นชาได้คงเส้นคงวา

“เหตุใดข้าต้องทำตามเจ้า”

“เพื่อตอบแทนที่พี่หย่งหลุนช่วยชีวิตท่านจากน้ำมืออาจารย์สามบนเวทีอย่างไรเล่า”

ฟ่านไป่หนิงจ้องตอบแววตาลุกวาวของโต่วอี้เหรินอย่างไม่สะทกสะท้าน การต่อสู้ด้านหลังกรงขังนั้นนางได้ฟังจากสือหย่งจวินจนหมดแล้ว จึงเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นไพ่ตายโดยเฉพาะ

โต่วอี้เหรินขบกรามแน่น อันที่จริงภายหลังจากการประลองชิงผู้นำสี่ตระกูลแล้ว บิดาบุญธรรมของมันก็ไม่สนใจวิชาภูตฉกฉวยอีก ดังนั้นถ้าจะถ่ายทอดให้บุคคลอื่นย่อมไม่ถือเป็นข้อห้ามอันใด

“ก็ได้” มันตอบเสียงห้วน ดรุณีน้อยจึงกล่าวต่อหน้าตาเฉย

“นอกจากนี้ ข้าขอยืมถุงมือต้านพสุธาของท่านด้วย” พอเห็นอีกฝ่ายเริ่มชักสีหน้านางก็ขยายความว่า “นอกจากลมปราณแล้วต้องยอมรับว่านิ้วมือของโอวฉีกวนก็แข็งแกร่งไม่เบา โลหะต้านพสุธาคงนำมาช่วยตรงนี้ได้”

โต่วอี้เหรินเบื่อหน่ายจะซักไซ้มากความ ดังนั้นรับคำสั้น ๆ “ได้”

เมื่อตกลงกันเสร็จแล้ว ฟ่านไป่หนิงก็อธิบายแผนการต่อ

“ข้าว่าเราควรพำนักรอพี่ใหญ่ยังที่นี้ เพราะอย่างไรพี่ใหญ่กับอี้เหนียงคงพาคนช่วยเหลือกลับมาทันแน่ จึงควรให้พี่หย่งหลุนพักรักษาตัวและฝึกวิชาในบ้านพักเพื่อรับมือกับโอวฉีกวน”

สือหย่งหลุนผงกศีรษะเป็นเชิงเข้าใจ แล้วกล่าวกับโต่วอี้เหรินว่า

“หากไม่เป็นการรบกวนเกินไป ข้าจะขอยืมถุงมือต้านพสุธาตั้งแต่ตอนนี้เลยได้หรือไม่”

โต่วอี้เหรินนิ่วหน้า แต่เมื่อเห็นว่าจะมอบของยามใดย่อมไม่ต่างกัน จึงเอ่ยว่าจะไปหยิบมาให้ก่อนลุกหายจากห้องไป

“น้องสาม” เด็กหนุ่มเอ่ยต่อ “ข้าหิวแล้วล่ะ พอมีอะไรเหลือบ้างไหม”

รอจนสือจินหลิงออกไปหาของกินให้พี่ชายแล้ว ฟ่านไป่หนิงค่อยเปรยว่า

“อ้างจนคนไปกันหมด พี่หย่งหลุนมีอันใดจะซักไซ้ข้าหรือ”

อีกฝ่ายถอนหายใจดังเฮือก มิได้แปลกใจที่นางล่วงรู้ความคิดตน

“แผนนี้มีขึ้นเพื่อหลอกเค้นเคล็ดวิชาจากโต่วอี้เหรินหรือเพื่อรับมือโอวฉีกวนจริง ๆ กันแน่”

ฟ่านไป่หนิงทอดสายตามองคนเจ็บซึ่งกำลังเอนหลังพิงหัวเตียง

“นับตั้งแต่ออกเดินทางมาข้าก็เริ่มแปลกใจมากขึ้นทุกที ทั้งความสงสัยว่าข้าพาคุณชายสามโต่วมาทำไม ทั้งยังล่วงรู้แผนที่ข้าคิดหลอกล่อโอวฉีกวนไปเจรจา สุดท้ายยังมาเอ่ยดักทางข้าไว้อีก ข้ามิได้รู้สึกไปเองใช่ไหมว่าพี่ดู...”

“ฉลาดขึ้น” สือหย่งหลุนจบประโยคหน้าตาเฉย “เทียบกับแต่ก่อนที่โง่งมกว่านี้ใช่ไหม”

ดรุณีน้อยอมยิ้มพลางส่ายหน้า “ข้าจะบอกว่ารอบคอบขึ้นต่างหาก แต่ก่อนพี่น่ะไว้ใจคนง่ายเกินไป มักคิดว่าผู้อื่นคงตรงไปตรงมาเหมือนที่ท่านปฏิบัติต่อผู้อื่น การที่พี่รู้จักระแวงสงสัยและคิดการณ์ล่วงหน้าได้ก็นับว่าดียิ่งแล้ว แต่ไฉนถึงเปลี่ยนแปลงเร็วเพียงนี้”

สือหย่งหลุนหลุบเปลือกตาครุ่นคิด หลังจากเหตุการณ์ที่ท่านย่าสอนให้เห็นข้อด้อยของตนเองเมื่อคราวที่เรียกตัวมันไปพบศิลาเหนือมณีตอนอยู่ตระกูลสือ เด็กหนุ่มก็นำกลับมาใคร่ครวญอย่างจริงจังแล้วจึงยอมรับว่าความมุทะลุไม่คิดหน้าคิดหลังของตนนำพาแต่ความเดือดร้อนมาตลอด ทั้งตอนที่บุกไปช่วยฟ่านไป่หนิงยามถูกเจ้าเมืองน้ำมรกตคุมตัวไว้จนทำให้นางเสียแผน ทั้งตอนพยายามเจรจาต่อรองกับอาจารย์สามบนเวทีประลอง มันมิเคยมีความก้าวหน้าแม้แต่น้อย ตั้งแต่นั้นมาจึงพยายามปรับปรุงตัวอย่างสุดความสามารถ

“ข้าตอบได้คำเดียว” สือหย่งหลุนกล่าวเสียงจริงจัง “เพราะเจ้า”

“ข้าหรือ” ดรุณีน้อยชี้ใส่ตัวเองด้วยใบหน้าเหรอหรา

“ใช่ เวลาข้าว้าวุ่นสับสนก็จะนึกว่าหากเป็นเจ้าจะคิดอย่างไร แล้วไม่นานก็คล้ายเห็นหนทางโผล่ขึ้นมา”

คนฟังต้องเผลอหัวเราะกิ้ก “เช่นนั้นลองย้อนกลับไปคำถามเมื่อครู่ ฟ่านไป่หนิงในตัวพี่บอกว่าข้ากำลังวางอุบายเค้นถามคุณชายสามโต่ว หรือวางแผนรับมือโอวฉีกวนกันเล่า”

“ฟ่านไป่หนิงในตัวข้าบอกว่า...” สือหย่งหลุนทวนคำด้วยแววตาสัพยอก เมื่อเห็นว่าดรุณีน้อยคลายความเศร้าไปบ้างแล้ว “...ไม่ต้องเดาให้เสียเวลา เพราะไม่ช้าก็เร็วเจ้าก็ต้องเฉลยอยู่ดี เพื่อให้รีบข้าเตรียมตัวรับมือโอวฉีกวน”

ฟ่านไป่หนิงแสร้งทำหน้าย่น “ข้าชักไม่มั่นใจแล้วว่าควรชอบพี่แบบเมื่อสมัยก่อน หรืออย่างที่เป็นในตอนนี้กันแน่”

**********

จากคุณ : จันทร์พันฝัน
เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 54 17:10:09




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com