เคียรากำลังตำหนิตนเอง
ตอนอยู่ในวัง เธอลงห้องเครื่องไปทำนมร้อนใส่น้ำผึ้งถวายเจ้าหญิงแอชลีนน์ก่อนเข้าบรรทมจนชิน ชนิดที่เจ้าหญิงทรงเรียกหารสมืออยู่เสมอ ไม่น่าจะเผอเรอถึงขั้นปล่อยให้นมในหม้อเดือดล้น และส่งกลิ่นไหม้อย่างนี้เลย
แต่ในเมื่อทำลงไปแล้ว หญิงสาวจึงได้แต่ต้มนมชุดใหม่อย่างระมัดระวังขึ้น ...ทั้งๆ ที่ใจกระวนกระวาย
ใกล้เวลานัดของท่านดูลัสเข้าไปทุกที แต่เจ้าหญิงแอชลีนน์ยังไม่เข้าบรรทมเลย กลับทรงพระอักษร (เล่มที่ชายคนทรายนำมาให้จากจวน) เพลินอยู่
เคียราไม่กล้าทำนมร้อนไปถวายเร็วเกิน ด้วยกลัวจะไม่แคล้วถูกวางลืมไว้บนโต๊ะจนเย็นชืดและต้องทำใหม่ ทั้งๆ ที่ใส่ยาลงไปแล้ว จึงได้รอจนกระทั่งเจ้าหญิงตรัสว่าเทียนเหลือสั้นเท่าไรจึงจะไปเข้าบรรทม และลงครัวมาเมื่อใกล้เวลานั้น
นมชุดใหม่น่าจะอุ่นได้ที่แล้ว นางกำนัลสาวยกหม้อลงมา ค่อยๆ รินนมร้อนใส่ถ้วยกระเบื้อง และเติมน้ำผึ้งลงไป คนให้เข้ากัน ...เมื่อนั้นเองที่เธอได้ยินเสียง
“เคียรา”
หญิงสาวสะดุ้ง และหันกลับไป
“ท่านดูลัส!”
เขาแต่งกายด้วยชุดเสื้อกางเกงสีเข้มทะมัดทะแมงแปลกตา ซ้ำสีหน้ายังเคร่งเครียด แทบดูไม่สู้ดีในบรรยากาศมืดสลัวที่มีเพียงแสงไฟในเตาทำอาหาร กับแสงตะเกียง
“เจ้าหญิงยังไม่ได้เสวยยาอีกหรือ” ชายหนุ่มถาม
เคียราไม่แน่ใจว่าเธอคิดไปเองหรือไม่...ว่าในเสียงของเขามีแววคาดคั้น
“ข...ขอโทษค่ะ ข้า...ข้าเผลอทำนมไหม้ เลยต้องต้มใหม่ แต่ตอนนี้ทำเสร็จแล้ว จะยกขึ้นไปเดี๋ยวนี้เองค่ะ”
หญิงสาวหยิบถ้วยกระเบื้องและจานรองขึ้นวางบนถาด แล้วพยายามยกถาดขึ้นด้วยมือที่สั่นระริก กระทั่งเกิดเสียงดังเคร้งใหญ่เมื่อก้นถ้วยกระทบกับจานรอง กับคำถามต่อมาของชายอีกคนในห้อง
“ใส่ยาแล้วหรือยัง”
เธอรู้สึกร้อนวาบที่ท้ายทอย เพิ่งนึกได้ว่าตนลืมไปเสียสนิท “ข...ขอโทษค่ะ”
นางกำนัลสาววางถาดลงที่เดิม ครั้นแล้วก็ล้วงหยิบขวดยาที่ใส่ไว้ในเสื้อคลุม พยายามหมุนเปิดฝาด้วยมือที่สั่นเทา...แต่ไม่ทันมือใหญ่คว้ามันเอาไว้
“ข้าทำเอง เจ้าไปสงบสติอารมณ์เสีย มือจะได้นิ่งกว่านี้”
“ข...ขอโทษค่ะ”
เคียรากุมสองมือเข้าด้วยกันอย่างประหม่าที่หน้าตัก เพิ่งตระหนักได้ว่ามือและนิ้วของเธอเย็นเพียงไร...ทั้งๆ ที่เพิ่งทำงานใกล้เตาไฟกับของร้อนมาแท้ๆ
หญิงสาวเฝ้ามองขณะที่ชายหนุ่มเทยาใสลงไปในถ้วยนมจนหมดขวด และคนช้าๆ
“เดี๋ยวข้าจะยกถาดขึ้นไปกับเจ้า แต่จะรออยู่หน้าห้องบรรทมของเจ้าหญิง ถึงอย่างไรก็ต้องทำให้พระองค์เสวยให้หมด เข้าใจไหม”
“...ค่ะ แต่ว่า...” นางกำนัลสาวกลืนน้ำลายฝืดๆ “เมื่อ...ทรงตื่นจากบรรทม...ท่านดูลัสจะ...จะพูดให้องค์หญิงทรงเข้าพระทัยได้หรือคะ”
“นั่นเป็นหน้าที่ของข้า ไม่ใช่เรื่อง...” เสียงของชายหนุ่มแข็งขึ้นแวบหนึ่ง ก่อนจะกลับอ่อนลง “...ที่เจ้าต้องห่วง”
“ข...ข้าขอโทษนะคะ แต่ว่า...” เคียราพยายามฝืนน้ำตา และความหวาดกลัวที่รุมเร้าใจ “ข้า...ได้ยินจากทั้งองค์หญิงและคนทรายนั่น ว่าท่านเจ้ามณฑลอุลทูร์อยู่เบื้องหลังการลอบปลงพระชนม์ ข้า...ข้าเลยเกรงว่าเจ้าหญิงจะทรงไม่ยอมฟังท่านง่ายๆ ถ้าท่านบังคับให้พระองค์กลับไปด้วยวิธีนี้”
หญิงสาวเห็นมือของดูลัสชะงักค้าง ริมฝีปากเม้มแน่นหักลงตรงมุม แม้ไม่อาจเห็นใบหน้าของเขาโดยตรง
“แล้วเจ้าเชื่อมันงั้นหรือ” เสียงถามของชายหนุ่มแผ่วต่ำ แทบมีแววกล่าวหา
“ม...ไม่อยู่แล้วค่ะ” เคียรารีบตอบพร้อมกับสั่นศีรษะ “ท่านแฟคท์นาจะทำอย่างนั้นได้ยังไง...ข้าคิดว่าคนส่วนมากในธีร์ดีเรต้องไม่เชื่ออยู่แล้ว แต่...แต่คนทรายนั่นทำให้เจ้าหญิงทรงเชื่อ หากท่านไม่อธิบายเรื่องนี้กับพระองค์ แต่ดึงดันพากลับไป อาจจะมีแต่เสียนะคะ”
“ข้าอธิบายแน่ แต่ไม่ใช่ตอนนี้” ดูลัสตอบเรียบเฉยตามเดิม ท่าทางของเขาดูสงบขึ้น “เรามีเวลาแค่คืนเดียว ในการพาเจ้าหญิงออกไปจากยาร์ลาธ จะเสียเวลามากไปกว่านี้ไม่ได้”
“ค...ค่ะ” หญิงสาวรับคำ กระนั้นยังไม่อาจห้ามคำถาม “ท่านแฟคท์นา...ไม่ได้ทำอย่างนั้นจริงๆ ใช่ไหมคะ”
ชายหนุ่มเงียบไปชั่วอึดใจ แต่แล้วก็ตอบเสียงแข็ง “หากเจ้าเชื่อ ก็ไม่ควรจะถาม”
“ข...ขอโทษค่ะ” เคียราละล่ำละลัก “ข้าแค่...แค่สงสัยว่า...”
“ว่าอะไร”
หญิงสาวชะงักไป เริ่มลังเลที่จะบอก...ว่าหากเจ้ามณฑลอุลทูร์ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการลอบปลงพระชนม์ แล้วเหตุใดดูลัสจึงรับจะนำสารไปมอบให้แก่บิดา ราวกับยอมจำนนต่อคำข่มขู่นั้น
“ว่า...พยานหลักฐานที่คนทรายอ้างว่ามี...น่ากลัวขนาด...ต้องใช้วิธีนี้อย่างเดียวเลยเหรอคะ ถ้าท่านแฟคท์นาบริสุทธิ์...ก็น่าจะล้างมลทินให้ตัวเองได้ไม่ใช่เหรอคะ เราไม่ควรพิสูจน์ให้องค์หญิงทรงเชื่อก่อนเหรอ”
“จะสืบคดีต้องใช้เวลานาน แล้วหากยังประทับอยู่ที่นี่ต่อไป คนทรายนั่นก็มีแต่จะล้างสมององค์หญิง เจ้าก็เห็นแล้วไม่ใช่หรือ” เขาย้อนถาม “มันให้เจ้าหญิงทรงทำแต่เรื่องอันตราย ถึงขั้นจะให้ทรงม้าศึก ต่อให้นั่นเป็นพระประสงค์ของพระองค์เอง ก็เป็นแค่เรื่องอันตรายและไร้ประโยชน์เท่านั้น ข้าตั้งใจทำเช่นนี้เพื่อไม่ให้เกิดสงคราม พวกมันไม่มีสิทธิ์หรือความชอบธรรมที่จะพาตัวพระองค์มาแต่แรกแล้ว และท่านพ่อของข้าก็ไม่มีวันยอมถูกข่มขู่ด้วยเรื่องแบบนี้แน่ ต่อให้พวกเราเชิญเสด็จเจ้าหญิงกลับไปถึงเมืองหลวง พวกมันก็ไม่มีทางเรียกร้องอะไรได้ ขืนพูดออกไป พวกมันเองต่างหากจะกลายเป็นกบฏแผ่นดิน”
...เช่นนั้นหรือ...
เคียรานึกถึงคำแย้งของท่านดูลัสในกาลก่อน กับหลายๆ เรื่องที่เจ้าหญิงแอชลีนน์ทรงอยากทำ ...ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ กฎต้องเป็นกฎ ...ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ มันไม่ถูกต้อง ...มันไม่ปลอดภัย ท่านดูลัสสามารถรับรองได้อย่างหนักแน่น ว่าทุกการกระทำของตนมีกฎเกณฑ์และความถูกต้องสนับสนุน
แล้วทำไมถึงไม่แย้งให้ชัดเจนเล่า...ว่าท่านแฟคท์นาไม่ได้ลอบปลงพระชนม์ ทำไมไม่รับรองให้เธอแน่ใจ หญิงสาวจะได้รู้ว่าการช่วยเหลือเขาคือสิ่งที่ควรทำ คือความถูกต้อง
‘ข้าก็หวังว่า...ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไรลงไป เจ้าก็จะไม่เสียใจในภายหลังนะ’ ...คำพูดของหญิงคนทรายกลับแวบขึ้นในความรู้สึก
เธอกำลังจะทำเช่นนั้นอยู่หรือเปล่า
...แต่ถอยหลังได้อีกหรือ...
เคียราสั่นศีรษะน้อยๆ แล้วกลั้นใจก้าวเข้าไปหาถาดใส่ถ้วยเครื่องดื่ม หลังเห็นดูลัสวางมือจากการคนแล้ว ทว่าชายหนุ่มกลับยกมันขึ้นเสียเอง
“เจ้านำทางไปยังห้องบรรทม ข้าจะถือเอง ยามีแค่ขวดเดียว เราจะเสียมันไปไม่ได้”
“ค่ะ” นางกำนัลสาวได้แต่รับอย่างจำนน
ดูลัสเรียกคนของเขาซึ่งแต่งชุดสีดำทะมัดทะแมงเช่นกันเข้ามา เขาสั่งชายคนนั้นให้ดับไฟในเตาให้เรียบร้อย และเฝ้าอยู่จนกว่าจะได้รับสัญญาณใหม่
เคียราเดินผ่านชายร่างใหญ่คนนั้นไปด้วยฝีเท้าแข็งขัด ลำคอร้อนผ่าว ไม่กล้าถามเลยว่าดูลัสกับบริวารเข้ามาได้อย่างไร เข้ามากันกี่คน
...และเด็กรับใช้กับทหารยามรายรอบบ้านหลังนี้พากันหายไปที่ใด อีกทั้งอยู่ในสภาพใด
* * * * *
จากคุณ |
:
Anithin
|
เขียนเมื่อ |
:
24 มิ.ย. 54 23:08:56
|
|
|
|