แต่อย่างน้อยแม้ร่างกายเป็นสัญลักษณ์ ใจก็ไม่ได้ตกอยู่ใต้เงื่อนไขอะไร ด้วยเหตุนี้เมื่อนึกถึงการทำอาหารให้ลอร์คาน เธอจึงนึกต่อไป ตอนอยู่ในคูหาหินเธอเป็นคนทำอาหารเสียส่วนใหญ่ แต่เวลาเดินทาง ลอร์คานจะเป็นคนทำ เขาคิดว่าเธอร่างกายไม่แข็งแรง เดินทางก็เหนื่อยอยู่แล้ว ตนทำเองจะดีกว่ากระมัง
หลังอาหาร เขามักต้มกาแฟ ระหว่างเดินทางกลับเผ่ารูฮาห์คราวนั้นลอร์คานกังวลเรื่องความฝันว่าเผ่าล่มสลาย ทั้งยังรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบต่อเธอ ชายหนุ่มจึงเกือบไม่ได้แตะต้องเหล้า เขาจะบดเมลํดกาแฟสีน้ำตาล ใส่หม้อต้มเล็ก ๆ แบบที่คนทรายมักจะพกพากัน กลิ่นกาแฟเข้ม ๆ กระจายไปทั่ว ลอร์คานต้มกาแฟที่ข้นจนมีตะกอนนอนก้นเป็นยาง แต่กลับไม่ยอมให้เธอดื่มแม้แต่นิดเดียว บอกว่าแรงเกินไป เมราลรำคาญหมั่นไส้ ยามสิงโตทรายดื่มอยู่ดี ๆ จึงถูกเธอจับหน้าหันมา จูบขโมยไปจากปากดื้อ ๆ ทั้งอย่างนั้นเอง
แน่นอน ลอร์คานโดนอย่างนี้ย่อมตกใจ ต่างคนต่างสำลัก เขามองเมราลหัวเราะสนุกทั้งยังกระอักกระไอ ความเขินอายก็กลายเป็นความโกรธขึ้นมา
"อย่าได้ทำอย่างนี้กับใคร!" ชายหนุ่มคำรามใส่
"ท่านคิดว่าข้าทำกับคนอื่นหรือไง"
ตอนนั้นลอร์คานไม่ตอบ เขาเพียงปาดมือเช็ดปาก อารมณ์ผสมผสานระหว่างความขุ่นเคืองกับไม่ทราบจะทำอย่างไร ผ่านไปพักหนึ่ง เมราลจึงได้แตะแขนเขา เอ่ยขอโทษเบา ๆ เขาก็ว่าไม่ต้องการให้เจ้าดื่มกาแฟ จะเป็นอันตราย ทั้งอย่าได้ดื้อดึงทำเช่นนี้กับคนอื่น จะเป็นอันตรายเช่นกัน เขาอายุมากกว่าเธอหลายปี ย่อมมีเวลาที่เห็นเธอเป็นเพียงเด็กไม่เข้าใจอะไร
แต่เขาไม่รู้ เธอไม่มีความคิดจะทำเช่นนี้กับคนอื่นหรอก ทั้งไม่รู้จักทำ และไม่ทราบว่าตนจะทำได้ด้วย เขาเป็นคนที่ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย...มากพอจะค้นพบสิ่งอื่นในตัวเอง เมื่อได้พบลอร์คาน เมราลจึงทราบว่าตนสามารถมีความกล้า ความห่าม และอิสรเสรีอย่างผู้หญิงคนทราย การพบคนบางคนก็ทำให้ได้พบตัวเอง
และเมื่อไม่มีลอร์คาน แม้บางสิ่งจะไม่สูญหาย แต่ก็มีบางสิ่งที่ราวสูญหายไปเช่นกัน
"ท่านเมราล" ใครบางคนเรียกมาจากประตูโรงครัว
เมราลหลุดจากภวังค์ เธอหันไปพบว่าเป็นเคล หญิงสีขาวแปลกใจ เขาไม่ใช่คนที่ตามมาอารักขาเธอ
"ท่านเคลมาจากวังเชียวหรือ"
"มาจากท่าเรือ มีเรือมา" หัวหน้านายทหารบอก ใบหน้ายังมีรอยเหงื่อจากการเร่งขี่ม้า "เรือของทัคทวาแห่งลาตา"
...
ท่าเรือหลักของเกาะมังกรขาวไม่ใหญ่นัก เรือที่เทียบอยู่ส่วนใหญ่เป็นเรือประมง ส่วนเรือมังกรขาวลำใหญ่ซึ่งคนทั้งเผ่าโคแรนนิอิดเคยอาศัยตลอดพันปีไม่ได้อยู่ที่ท่านั้น หากแต่จอดอยู่ในเวิ้งอ่าวห่างออกไปสองสามเส้น ด้วยเหตุนี้เมื่อกองเรือของทัคทวามาเทียบ จึงกลับกลายเป็นการเน้นความใหญ่โตโอ่อ่าและเหนือกว่าหลายขุมของลาตา
"นอกจากเรือหลวงของเขาแล้ว ยังมีเรือรบอีกห้าลำ และเรือเร็วอีกประมาณสามสี่ลำได้ ตัวทัคทวาเองไม่ยอมขึ้นฝั่ง" เคลบอกเมราลขณะอยู่บนรถม้า "เขาบอกว่ามีข้อห้ามมาแต่โบราณ เจ้าเกาะลาตาจะขึ้นเกาะมังกรขาวไม่ได้ จึงขอให้ท่านเมราลเป็นผู้ขึ้นเรือเขา จะได้พบปะสนทนากัน"
"แล้วท่านเคลเห็นว่าอย่างไร" หญิงสีขาวถาม
"อาสลายืนยันว่าพวกลาตามีความเชื่อเช่นนั้นจริง แต่ข้าก็ไม่อยากให้ท่านไปอยู่นั่นเอง" หัวหน้านายทหารบอก "ท่านเมราล ข้าให้คนไปแจ้งพวกนักบวชแล้ว หากมีอะไรก็พร้อมรับมืออยู่"
สำหรับเผ่าโคแรนนิอิด นักบวชคือกลุ่มคนที่ใช้เวทมนตร์ได้ ไม่ได้สืบทอดกันตามสายตระกูลเหมือนคนอาชีพอื่น ๆ ทั่วไป แน่นอนว่าย่อมมีคนส่วนหนึ่งที่เป็นนักบวชทั้งไม่มีพลัง เพียงต้องการบำเพ็ญพรตเพื่อการบรรลุผลทางจิตใจ แต่การคัดเลือกนักบวชส่วนใหญ่ก็ยังคงอาศัยพลังเป็นหลัก หลายสิบปีที่ผ่านมา พลังของเผ่าโคแรนนิอิดเสื่อมลงเรื่อย ๆ จนเมราลและพวกผู้เฒ่าต่างพากันร้อนใจเรื่องการเปิดประตูมิติ กระนั้นนักบวชที่มีอยู่ก็ถือว่ามีพลังพอใช้ได้ ถึงอย่างไรเผ่าโคแรนนิอิดก็เป็นเผ่าเวทมนตร์ คล้ายกับพวกคนทางเหนือของเกาะเสือนั่นเอง
"หากจำเป็นจริง ๆ จะใช้พลังปิดเกาะเสียก็ได้" เคลเอ่ยต่อไป
"อย่าเลย เรามาตั้งรกรากบนแผ่นดินแล้ว จะอยู่โดยไม่ติดต่อกับคนอื่นไปตลอดกาลได้อย่างไร" หญิงสีขาวบอกเรียบ ๆ "ข้าจะขึ้นเรือของทัคทวา แต่คงต้องเตรียมตัว"
มีม้าเร็วไปยังวัง และกลับมาพร้อมกับเครื่องแต่งกายชุดใหม่ รวมทั้งสิ่งอื่น ๆ ที่เมราลต้องการ ระหว่างเวลานั้น ผู้เฒ่าและคนสำคัญหลายคนก็ถูกเชิญมา เคลออกจะงุ่นง่านอึดอัด เขาบอกว่าไม่ได้คิดดูถูกพลังของเมราล แต่เวลานี้พวกคนหนุ่มที่เป็นกำลังสำคัญไปเกาะสิปา แม้เพียงสามสิบคนจะไม่ถือว่ามาก แต่ทุกคนรวมทั้งเกจล้วนเป็นกำลังสำคัญ อีกอย่างหนึ่งก็ใช่ว่าโคแรนนิอิดจะมีคนหนุ่มมากมาย
"มันเลือกมาตอนคนหายไปส่วนหนึ่งหรือไง" หัวหน้านายทหารหงุดหงิด
"คนของเราน้อย" เมราลพูดตามความเป็นจริง "ข้าคิดว่าในสายตาลาตา เขาจะมาจะไปเมื่อไรก็ไม่ต่างกัน จะเหยียบเราให้ราบไม่ได้ยากอะไร"
"จะให้มันดูว่าไม่ยากอะไรเป็นอย่างไร" เคลขึ้นเสียง แต่แล้วเขาก็รู้สึกตัว จึงเอ่ยขอโทษออกมา
ระหว่างนั้น คนอื่น ๆ ย่อมออกความเห็น สำหรับคนโคแรนนิอิดที่ไม่ได้ติดต่อใครนานเป็นพันปี ความคิดว่าปิดเกาะเสียด้วยเวทมนตร์น่าจะดีกว่าย่อมเป็นความคิดแรก ๆ ไม่มีใครอยากให้เมราลไปเสี่ยง แต่หญิงสีขาวมองต่างกัน
"เราส่งคนไปสิปาแล้ว ขอร้องเขาแล้ว จู่ ๆ ปิดเกาะทำเหมือนไม่มีความสัมพันธ์ย่อมเป็นไปไม่ได้" เธอบอก "จะปฏิเสธว่าข้าป่วย ไปหาไม่ได้ก็คงพอได้ แต่ถ้าหากทำอย่างนั้น ก็ไม่แน่ว่าทัคทวาจะใช้เป็นข้ออ้างอะไร ถ้าเขาใช้เป็นข้ออ้างว่าเรามีใจเป็นศัตรู พวกที่ไปเกาะสิปาจะเป็นอย่างไร หรือถ้าเขาไม่ว่า แต่ยังหวนกลับมาอีก ข้าจะป่วยทุกครั้งย่อมเป็นไปไม่ได้"
ว่ากันตามจริง คนอื่นเห็นว่าเมราลร่างกายบอบบางอ่อนแอ ทั้งยังรู้สึกว่าเธอเป็นผู้นำสำคัญ จึงรู้สึกเป็นห่วงไม่อยากให้ออกไป แต่ตัวเมราลเองนั้นแม้ตระหนักสภาพร่างกายของตนดี ทว่าไม่เคยมีความกลัวแม้แต่น้อย เธอไม่กลัวการเข้าวังไปพบกษัตริย์อันเซลมาเมื่อกาลก่อนอย่างไร เวลานี้ก็ไม่กลัวทัคทวาเหมือนกัน ที่จริง เมราลไม่เคยกลัวใครเลย แม้กระทั่งเทรมิสเมื่อเป็นสัตว์ร้าย หญิงสีขาวเติบโตมากับพลังอำนาจมหาศาลตั้งแต่แรก เธอไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองจะเป็นอันตรายไปได้อย่างไร
"ข้าไม่เป็นไร" เธอบอกทุกคน "หากพวกท่านไม่สบายใจ ขอให้พวกนักบวชเตรียมตัวไว้ ภายในหนึ่งชั่วโมงหากข้าไม่ส่งสัญญาณและไม่กลับมา ก็ให้ใช้พลังนำตัวข้ากลับมาได้เลย"
...
ทัคทวายืนดูอยู่ที่ดาดฟ้าเรือ เขาเห็นเมราล เชอยินปรากฏตัวออกมา...น่าจะเป็นเธอ ไม่ควรเป็นคนอื่นได้ แม้มองระยะไกลก็ยังเห็นว่าสวมเกราะเกล็ดและหมวกเกราะ รวมทั้งกระโปรงยาวสีขาว เส้นผมของเธอเป็นสีขาวเงินเลยกัน ยาวเลยพ้นเกราะเกล็ดออกมา
ทัคทวากำระเบียงดาดฟ้าเรือโดยไม่รู้ตัว
เขาวางหน้าเฉยต่อหน้าทูตและทุกคนมาตลอด ทว่าที่จริงนับแต่ได้เห็นภาพของเมราล ในใจก็มีความรู้สึกหลากหลาย เขาไม่เคยบอกใครมาก่อนว่านับแต่เป็นเด็กอายุเพียงสี่ห้าขวบ ตนก็ฝัน ความฝันหลอกหลอนตลอดมานับได้หลายสิบปี
ความฝันมักเป็นเช่นนี้...เขาเข้าไปในป่า ในความฝันร่างกายของเขาเป็นเด็กสี่ห้าขวบเสมอ ไม่เคยเติบโตขึ้นมา จิตใจก็ราวเด็กสี่ห้าขวบเช่นกัน มีความตกใจ กังวล หวาดกลัว เดินไประหว่างต้นไม้อันหนาแน่นของป่าฝนแห่งหมู่เกาะลาตา ฝ่ากิ่งไม้และพุ่มไม้มืดครึ้ม เบื้องบนมีพรรณไม้ต่าง ๆ สานสอดกันแทบจะปิดท้องฟ้า เสียงในป่าเงียบประหลาด ไม่มีทั้งแมลง นก หรือสัตว์ใด ชวนให้ยิ่งรู้สึกหวาดกลัว
เมื่อหวาดกลัวมากนัก เด็กชายจึงเริ่มวิ่ง ขาเปล่าเปลือยถูกกิ่งไม้เกี่ยวครูดแต่เกือบไม่รู้สึกอะไร วิ่งไป วิ่งไป ผ่านความหนาทึบของต้นไม้ ความอับชื้นเฉอะแฉะของใบไม้ที่ทับถมมานับปี ครั้นแล้วชั่ววินาที ตรงหน้ากลับไม่มีทั้งความทึบและความชึ้นอีกต่อไป
เขาเห็นแสงสว่าง รู้สึกดีใจก็เร่งวิ่งไปอีก ทว่าวิ่งถึงที่ มือแหวกกิ่งไม้ออกแล้วจึงกลับชะงัก เขาพบว่าตนมาถึงลานโล่งกลางป่า เป็นลานแปลกประหลาด ไม่มีทั้งความทึบชื้นแต่อย่างใด แสงแดดสาดส่องลงมาสู่พื้นหญ้า ลานเป็นวงกลม ไม่ใหญ่นัก...น่าจะมีเส้นผ่าศูนย์กลางเพียงไม่กี่หลา กลางลานมีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งคุกเข่าทับขาอยู่ เขาแหวกพุ่มไม้ออกไปเผชิญหน้านางพอดี
นางมีดวงตาแดง เขาจำได้ แดงราวกระต่ายขาว นางจ้องมองเขา แต่เขาอ่านไม่ออกว่าภายหลังดวงตาลึกล้ำราวบ่อน้ำโบราณนั้นมีอะไร หรือบางทีอาจเพราะเขากลัวจนต้องหลบสายตานางทุกครั้งก็ได้ หลบวูบครั้นแล้วก็มองอย่างอื่น มองชุดขาวยาวแปลกตาที่นางใส่ ราวกับใยแมงมุมบางเบา หรือถักทอมาจากแสงดาว มองเส้นผมยาวที่สยายไปบนพื้น เป็นสีเงินยวงพระจันทร์ มองริมฝีปากที่แดงราวกับโลหิต และผิวที่ขาวราวกับปุยดอกฝ้ายยามเพิ่มปริแตกออกมา
ทัคทวายืนตัวแข็งเสมอ ในความฝันนั้น แต่ทุกครั้งเช่นกัน หญิงดังกล่าวจะค่อย ๆ ลุกขึ้นมา นางจะเดินมาช้า ๆ ราวกับลอยอยู่เหนือพื้นดิน
...อยากได้หรือไม่ใช่...นางจะก้มลง กระซิบข้างหูเขา...อยากได้ก็กลับมาเอาไป...
...อะไร...เขาถาม ไม่แน่ใจว่าเสียงดังในใจ หรือเปล่งจากปากตน
...อะไรที่เจ้าอยากได้ มาเอาไป...
ครั้นแล้วทุกครั้งเขาก็จะตื่นจากฝัน เหมือนเข้าใจ เหมือนไม่เข้าใจ
“ได้ ข้าจะมาเอาไป” จ้าวเกาะลาตาพึมพำขณะมองเมราลลงเรือ
..................................................................................................................................................................
"ยังไม่บอกลอร์คหรือ" เซรีถามขึ้น
ลอร์คานออกจากห้องไปแล้ว เขาขุ่นเคืองก็ไม่คิดอยู่นาน ไม่ได้รับปากว่าจะไปด้วยกันจนถึงเกาะมังกรขาว หรือจะเปลี่ยนเรือกลับไปก่อน
"รอให้เขาเย็นลงก่อนจะบอก" เทรมิสพูด "มันยังเป็นเพียงข้อสันนิษฐาน ข้ายังไม่อยากให้เขาว้าวุ่นมากไป"
เซรีมองพ่อมด ถึงผ่านไปหลายปีอย่างไร ชายหนุ่มก็ยังคงรักษาข้อดีและข้อเสียของเขาไว้อย่างครบถ้วน เทรมิสมักดูแลคนอื่น แต่เมื่อไรที่เขารู้สึกไม่แน่ใจ ไม่ทราบว่าเรื่องจะกลายเป็นดีหรือร้าย ชายหนุ่มมักพยายามทำให้อีกฝ่ายไม่กังวลใจ เขาจะไม่เอาเรื่องร้ายไปบอกคนอื่นจนกว่าจะจำเป็น
ที่จริงความนี้ กระทั่งกับเซรี เทรมิสก็ยังมาบอกเอาหลังออกเรือมาแล้วเหมือนกัน เขาว่าท่านเซรี ขออภัยที่บอกล่าช้า แต่เรื่องนี้ตลอดมาข้ายังไม่ทันนึก และไม่แน่ใจ เพิ่งมารู้สึกว่ามีความเป็นไปได้มากเมื่อก่อนไปพบลอร์คที่รูฮาห์ไม่นาน
เขาบอกว่าเกาะมังกรขาวมีบางสิ่งที่ทำให้ข้าเริ่มไม่แน่ใจ
ไม่หรอก เกาะนั้นไม่ได้มี "ปัญหา" อย่างที่คนทั่วไปเข้าใจ พื้นที่ด้านในเกาะดินค่อนข้างดี ทำไร่ไถนาได้ มีเวิ้งอ่าวให้จอดเรือ กระแสน้ำใกล้ ๆ ไหลมาปะทะกันจึงมีปลาพอสมควร ในป่าก็มีสัตว์ มีพืชผล มีไม้ นอกจากนั้นมันยังเป็นเกาะภูเขาไฟที่ดับแล้ว จึงน่าจะมีแร่ธาตุอื่น ๆ เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม โคแรนนิอิดไม่ได้อยู่ด้วยเพียงของเหล่านั้น พวกเขาเป็นเผ่าพันธุ์เวทมนตร์คล้ายกับคนทางเหนือของอันเซลมา แม้จะแตกต่างกันมาก แต่ก็มีความคล้ายคลึงกันอย่างหนึ่ง คือล้วนเป็นเผ่าพันธุ์ที่ผูกติดกับประตูมิติ คนทางเหนือผูกพันกันโลกสัตว์ภูต คนโคแรนก็เช่นกัน พวกเขาต้องการประตูมิติเสมอมา ว่าไปแล้วตอนที่พบเกาะมังกรขาวแรก ๆ เทรมิสยังยินดีและอัศจรรย์ใจ สถานที่มีประตูมิติอยู่ไม่ใช่หาง่าย ๆ อย่าว่าแต่ที่นั่นเป็นเกาะร้างยังไม่มีใครจับจองเลย
กระนั้นแม้ผ่านไปหลายปีแล้ว เมราลก็ยังคงเปิดประตูไม่ได้ พวกคนโคแรนนิอิดย่อมร้อนใจ แต่ทุกคนก็ทราบว่าจะเปิดประตูไม่ใช่เรื่องง่าย จึงอดทนรอ เทรมิสก็ช่วยหลายเรื่อง รวมทั้งค้นหาข้อมูลและสอบถามจากผู้อาวุโสคนเหนือหลายคน แต่ในที่สุดเมราลกลับยังคงเปิดประตูไม่ได้อยู่นั่นเอง เทรมิสจึงบอกเธอว่าจะไปเยือน
เมื่ออธิบายถึงตรงนี้ พ่อมดก็นิ่งไปนิดหนึ่ง
"แต่ข้าเริ่มกลัวว่า มันอาจจะเปิดไม่ได้เพราะสาเหตุอื่น" เขาว่า
"หือ" เซรีไม่เข้าใจ
"ข้าเริ่มกลัวว่าที่ประตูเปิดไม่ได้ เป็นเพราะตัวท่านเมราลเอง" เทรมิสบอก เมื่อเจ้าหญิงยังแสดงสีหน้าฉงน พ่อมดจึงอธิบายต่อไป "ประตูมิติมีมากมาย บางแห่งก็แคบเล็ก บางแห่งก็ใหญ่โต บางแห่งเปิดไปเป็นอีกโลก บางแห่งเปิดแล้วก็บังเกิดพลัง บางดินแดนมีประตูพลังเปิดอยู่ แต่ไม่รู้ไม่เข้าใจ คนในดินแดนนั้นก็รับผลกระทบจากพลังของประตูโดยไม่รู้ตัว"
อีกฝ่ายรับในคอ ยังคงไม่เข้าใจ
"ปรกติแล้ว หากว่าพลังในมิติสอดคล้องกับพลังภายนอก การเปิดก็ไม่ถึงกับยากอะไร" เทรมิสบอก "ดังนั้นความเป็นไปได้อย่างหนึ่งจึงได้แก่ตัวท่านเมราลเองนั้นไม่สอดคล้องกับประตู เธอเป็นผู้พยายามเปิดมันอยู่คนเดียวมาตลอด และทุกคนก็คิดว่าถูกต้องดีอยู่แล้วที่เธอทำอย่างนั้น แต่ถ้าหากว่าข้าไปถึงแล้วขอให้คนอื่นลองดู และเขาเกิดเปิดได้ ก็หมายความว่าปัญหาคือตัวท่านเมราล"
"แล้วอย่างไร"
"เมื่อเปิดประตูมิติแล้ว พลังทั้งหมดในบริเวณนั้นก็จะตกอยู่ภายใต้ระบบของประตูมิติ ถ้าหากข้อสันนิษฐานข้อนี้ถูกต้อง ท่านเมราลใช้เวลานานขนาดนี้ยังเปิดไม่ได้ ก็หมายความตัวเธอนั่นเองที่มีบางสิ่งขัดแย้งกับพลังด้านในมาก และขวางระบบไว้ เมื่อเธอเป็นคนขวางระบบไว้ ก็เท่ากับเธอขวางสิ่งที่จำเป็นกับเผ่า ทำให้เผ่าไม่สามารถเป็นเผ่าเวทมนตร์ต่อไปได้ ดังนั้นแม้คนอื่นเปิดได้ แต่ตัวเธออยู่ตรงนั้นก็ยังคงขวางอยู่ดี จะก่อให้เกิดความแปรปรวนมาก หากจะแก้ไขก็มีสองวิธี อย่างหนึ่งคือเธอสละพลังเดิมของตัวเองไป และจากนั้นจะเรียนใหม่ได้หรือเปล่าไม่ทราบ กับตัวเธอเองต้องไปจากที่นั่น ไปอยู่ที่อื่นที่ไม่ขัดกับพลังในตัว"
เซรีตกใจ หลังจากครุ่นคิดครู่ใหญ่ หญิงสาวก็เอ่ยออกมา
"เพราะอย่างนั้น เทรมิสจึงพยายามจะให้ลอร์คไปด้วยให้ได้ใช่ไหม"
พ่อมดรับในคอ
"แต่นั่นเป็นเพียงข้อสันนิษฐานของข้า มันอาจไม่เกิดขึ้นก็ได้" เขาบอกต่อไป "ข้าไม่อยากให้ลอร์คคิดว่ามันจะเกิดขึ้นแน่ ๆ หรือตัวท่านเมราลเองกังวลจนเกินไป ถ้าหากมันเกิดขึ้น ความเป็นไปได้หนึ่งคือท่านเมราลก็แต่งงานกับลอร์ค มาอยู่เมืองทราย แต่ข้าไม่อยากให้ลอร์คคาดหวังอย่างนั้น...มันขึ้นกับท่านเมราลเอง"
พ่อมดไม่ได้คิดแต่ฝั่งของพี่ชายตน เขาคิดถึงใจเมราลด้วย บางทีคงเพราะอย่างนี้ เทรมิสจึงตัดสินใจไม่ถูกว่าควรบอกสิงโตทรายตรง ๆ หรือไม่ และควรบอกเมื่อไร หากบอกเร็วไปก็จะคาดหวังมาก แต่หากบอกช้าย่อมเตรียมตัวไม่ทัน เขาไม่แน่ใจในการนำไปบอกเมราลเช่นกัน มันยังเป็นเพียงข้อสันนิษฐาน แต่เทรมิสย่อมทราบดีว่ามันจะโยกคลอนสิ่งที่เธอเคยเชื่อมั่น และสร้างความกลัดกลุ้มกังวลให้หญิงสีขาวมากเท่าไร
"ก็ยังมีเวลาอีกพักหนึ่งกว่าจะไปถึงไหน" พ่อมดในปัจจุบันเอ่ยขึ้น "ข้าคิดว่าคงต้องพูดกับเขาตรง ๆ อยู่นั่นเอง ลอร์คเป็นคนอย่างนั้น ข้าจะบอกท่านเมราลด้วย แต่จำได้ว่าที่เกาะนั่นจะมีพิธีใหญ่จึงดึงไว้ก่อน รอให้พิธีผ่านไป ท่านเมราลจะได้ไม่จิตใจว้าวุ่นระหว่างมีงาน"
แต่เทรมิสก็คาดผิดไป เวลาหนึ่งเดือนที่เขานึกว่าจะมี ที่จริงกลับไม่มีเลย
จากคุณ |
:
ลวิตร์
|
เขียนเมื่อ |
:
วันสุนทรภู่ 54 23:57:38
|
|
|
|