บรรพที่ 16
คิดถึงแต่ผู้ชาย ทั้งที่ตัวเองเป็นนักบวช น่าทุเรศสิ้นดี คำปรามาสนั้นแสบร้อน
ยังติดตรึงอยู่ในใจ แม้กระทั่งยามที่ตื่นขึ้นมาแล้วก็ตาม
ปัณฑารีย์ลุกพรวดพราดขึ้นมาด้วยอาการเหงื่อโทรมกาย หล่อนหายใจหอบจนตัวโยน
นัยน์ตายังสอดส่องไปทั่วห้องไม่อาจควบคุมอารมณ์ให้เป็นปรกติได้ เหตุการณ์เมื่อครู่
มันช่างชัดเจนยิ่งนัก แม้กระทั่งรสสวาทจากท่านธุวานันท์ หล่อนคงคิดถึงชายในฝัน
ของตนเองมากเกินไป หรืออาจเพราะท่านไม่ได้มาหาเธอร่วมสิบวันแล้วก็เป็นได้
ปัณฑารีย์ผู้นี้คิดถึงท่านยิ่งนัก...สาวใหญ่ยกมือขึ้นกุมอกข้างที่ตรงกับหัวใจ
แล้วจึงทอดถอนหายใจออกมา
รสชาติจากเพศรสในความฝันยังติดตรึง ความรู้สึกดื่มด่ำกำซาบแทรกไปทุกอณู
ของร่างกาย ราวกับได้รับการสัมผัสปรนเปรอสวาทจากบุรุษอันเป็นที่รัก มิใช่เป็นเพียง
แค่ความฝัน น่าเสียดายนัก...หากในความฝันนั้นมีคนมาขัดจังหวะ ทำให้เพลงรัก
เร่าร้อนที่กำลังบรรเลงต้องหยุดชะงักลงกลางคัน จนอารมณ์วาบหวามค้างคา
ยิ่งคิดถึงหล่อนก็ยิ่งกระหายในเรือนร่างเอกบุรุษเช่นท่านธุวานันท์ ยิ่งรำลึกก็ยิ่งคุมแค้น
คนที่เข้ามาเป็นใครกันถึงได้บังอาจเช่นนี้ หล่อนยังนั่งหัวเสียอยู่อีกครู่ใหญ่ ก่อนจะ
ปัดความคิดตกค้างออกจากใจ
ยังดีที่เป็นความฝัน...ไม่ได้เกิดขึ้นจริง
นักบวชโฉมงามพึมพำออกมา แต่แล้วก็ชะงักงันไปเมื่อพบว่าความฝันนั้นชัดแจ้ง
อย่างน่าประหลาด เมื่อหวนคิดถึงใบหน้าของชายที่บุกเข้ามา ใบหน้าหล่อเหลา
ปานเทพบุตร รูปกายสะอาดสำอาง สวยสมตลอดทั้งเรือนร่าง แม้จะไม่ได้ทรงเสน่ห์
ดึงดูดให้ไฟดำกฤษณาก่อลุกโชนขึ้นอย่างท่านธุวานันท์ก็ตามที แต่ก็มิใช่ชายที่ใครจะ
มองข้ามไปได้ ใบหน้านี้คุ้นเคยยิ่งนักเหมือนเคยเห็นที่ใดมาก่อน รูปโฉมเลอลักษณ์
เพียงนี้หล่อนไม่น่าหลงลืมไปได้ หล่อนรู้จักเขาแน่นอน...
ภามิน ชลันธีร์!! ชื่อนั้นผุดขึ้นมาในความนึกคิด หล่อนเบิกตาค้างแล้วเลื่อนตัว
ลงจากเตียง
ไม่! นี่ไม่ใช่แค่ฝัน...นะ..นี่มัน นิมิต!! หล่อนอุทานออกมาเมื่อตรึกตรองจบ
แต่แล้วหญิงผู้ครองตำแหน่งญาตาก็คอแข็งค้างไปชั่วขณะ คิ้วเรียวโก่งงามขมวดเข้าหากัน
จนหัวคิ้วย่น หล่อนผุดลุกขึ้นมาค้นหาเอาแฟ้มในตู้เก็บเอกสารส่วนตัวทันที ไม่นานนัก
ก็เจอแฟ้มดังกล่าว ปัณฑารีย์นั่งลงจดจ่อกับประวัติบุคคลตรงหน้า ประวัติของเขา
ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ เขาไม่ได้เข้าร่วมขบวนการใด และยังดำรงตนเป็นหนอนหนังสือ
หมกมุ่นกับวิชาการอีกด้วย
ญาตาคนงามนั่งนิ่งจ้องมองรูปถ่ายของชายหนุ่ม หล่อนจ้องมองราวกับว่าภามินตัวจริง
ยืนอยู่ตรงหน้า และนักบวชหญิงพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะค้นหาความจริงจากเขา
มีบางสิ่งติดค้างอยู่ในใจซึ่งปัณฑารีย์ไม่อาจให้คำตอบหรืออธิบายกับตนเองได้ว่า
หล่อนติดใจสิ่งใด...นอกไปจากใบหน้า จริงอยู่ใบหน้าเลิศลักษณ์นั้นชวนให้ติดตรึง
อยู่ไม่ใช่น้อย ทว่าความหล่อเหลาไม่ใช่สิ่งที่หล่อนให้ความสะดุดใจ แต่เป็นดวงหน้า
ของเขาต่างหาก..ยิ่งเพ่งพิศก็ยิ่งฉงน จนกระทั่งใบหน้าของใครบางคนในความทรงจำ
ที่ถูกเลือนหายไปตามกาลเวลา ค่อยแทรกขึ้นมาแล้วซ้อนทับใบหน้าของภามิน แม้มิได้
ซ้อนทับลงสนิทได้ทุกส่วนสัดจนเป็นดวงหน้าของคนๆ เดียวกันก็ตามที แต่ก็ทำให้หล่อน
ต้องตะลึงค้างไปทันทีที่นึกออก
ดามิสา!! ญาตาปัณฑารีย์หลุดนามนี้ออกมา ดวงหน้าของหล่อนซีดเผือดลงทันที
ความรู้สึกยามนี้ไม่ต่างกับถูกวิญญาณผู้ตายตามหลอกหลอน
ดามิสา นามนี้เป็นเสี้ยนหนามเล็กๆ ในใจมาตั้งแต่ครั้งยังเยาว์วัย หล่อนนึกถึงเด็กหญิง
วัยไล่เลี่ยกัน เด็กหญิงเจ้าของนามนั้นเกิดในสายสกุลเดียวกัน นับได้ว่าเป็นเครือญาติ
เด็กหญิงที่ว่ามีนามว่า ดามิสา ปาฏิรา ปัณฑารีย์ไม่เคยลืมหล่อนไปจากใจได้เลย
ไม่ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรก็ตาม ทั้งนี้เพราะดามิสาเป็นคู่แข่งเพียงคนเดียวที่เคยมี!
นักบวชหญิงเปิดแฟ้มประวัติขึ้นมาดูอีกครั้ง ชื่อมารดาของภามิน ชลันธีร์...กรอกไว้ว่า
ดามิสา แม้ไม่ได้มีประวัติมารดาของเขาแนบมาด้วยก็ตาม ปัณฑารีย์ทอดถอนหายใจ..
ไม่ผิดแน่ ใบหน้านั้น...
เขาเป็นลูกชายเธอเองหรือนี่.... เสียงถอนหายใจยืดยาว หากไม่ขุ่นข้องเท่าเก่า
หล่อนยอมรับว่ามองผ่านชื่อมารดาของภามินไปอย่างไม่สนใจนัก เพราะไม่ได้เห็น
ความสำคัญใดๆ อีกทั้งชื่อดามิสานี้ก็มีซ้ำกันได้ แต่ใครจะรู้ว่าโชคชะตาเล่นตลก
ความตายนำดามิสาไปแต่แล้ว ไยมัจจุราชจึงส่งหล่อนให้หวนคืนมาอีกเล่า!!
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
นามสกุลโดยกำเนิดของดามิสาคือ ปาฏิรา ซึ่งเป็นตระกูลใหญ่อันสืบเชื้อสายมา
ยาวนานตั้งแต่แรกก่อตั้งประเทศ และแตกหน่อเนื้อมาจนถึงปัจจุบัน ดามิสาเกิดใน
สกุลเดียวกับปัณฑารีย์ หากเป็นคนละสายแต่ก็ล้วนมาจากสายหลักด้วยกันทั้งคู่ ทั้งสอง
จึงชามีคนสำคัญ โดยเฉพาะกับตระกูลปาฏิราที่ยังคงยึดติดกับความเชื่อโบราณ
ความสำคัญของบุตรตรีจึงเทียบเท่ากับการเป็นธิดาของนางพรายนีราผู้คุ้มครองประเทศ
ในนามของปาฏิราผู้ปรากฏในปฐมบทแห่งการเริ่มประเทศวิปุลา ด้วยฐานะของอัศวิน
ผู้ติดตามราชันย์ผู้นิราสมาจากทิศประจิม เดิมทีปาฏิราเป็นทั้งครูและอัศวินทางด้านศาสนา
มีหน้าที่ดูแลรักษาศาสนา จวบจนกระทั่งวันที่เขาพบกับบุตรีแห่งนีรา และดำรงสกุล
ปาฏิรามานับตั้งแต่นั้น...
ธิดาแห่งปาฏิราจึงได้ชื่อว่าเป็นบุตรีแห่งนางพรายไปโดยปริยาย หากเรื่องนี้มิได้เป็นแค่
ตำนานที่เล่ากันต่อมาๆ เท่านั้น เด็กหญิงในตระกูลปาฏิรากลับมีอำนาจลี้ลับแฝงอยู่ในร่าง
พวกหล่อนล้วนแล้วแต่มีรูปโฉมสะคราญตา ราวเป็นนางพรายในร่างมนุษย์ อีกทั้งยังมี
ดวงจิตที่สว่างไสวกว่าผู้ใด ธิดาแห่งนางพรายจึงสามารถนิมิตถึงสิ่งลี้ลับ บอกลางเหตุต่างๆ
ได้ล่วงหน้าและแม่นยำยิ่งนัก
ทว่ามีแต่เด็กหญิงเท่านั้นที่ได้อำนาจแห่งนีรา ไม่เคยมีเด็กชายได้รับพลังนี้ไปแม้แต่คนเดียว
ยิ่งไปกว่านั้นก็มิใช่ว่าเด็กหญิงแห่งปาฏิราทุกคนจะมีเวทดังกล่าว ดังนั้นเด็กหญิงใดที่มี
มนตราแห่งนางพรายติดตัวมา จะถูกเลี้ยงดูมาราวกับเป็นเทพธิดาน้อยๆ ความสำคัญ
ของพวกหล่อนจึงไม่ต่างกับเจ้าหญิงแห่งราชวงศ์ไทวาวัต นางพรายน้อยๆ เหล่านี้เป็น
ความหวังของครอบครัว เป็นตัวแทนแห่งอำนาจบารมี และเหนือสิ่งอื่นใดคือความภาคภูมิ
ในสายเลือดแห่งปาฏิรา