ตอนที่ 1
“ฉันจะไปทานข้าวกับพี่นัทนะ แกอยู่คนเดียวได้ไหม”
“ได้สิ สบายมาก” หนูพลอยกัดฟันตอบฝืนๆ คิดหลอนคืนแรกเพราะคิดมากเองเป็นตุเป็นตะว่าต้องมีบางสิ่งที่ไร้ลมหายใจอยู่รอบตัว จันทร์ในทรงจัดชุดเดรสเปรี้ยวสีส้มได้แต่ส่ายหน้า ยายหนูยังคงจินตนาการไปเรื่อยเปื่อยท่ามกลางความเงียบสลัดยามค่ำคืน
“แต่ แกต้องรีบกลับมานะ”
“กลัวผีล่ะสิ” จันทร์เจ้าตัวดีมันรู้ทัน หนูพลอยพยักหน้าแต่โดยดี
“ไม่ต้องพูดชื่อก็ได้” แล้วจันทร์เจ้าหัวเราะ ชะเง้อหน้าออกไปนอกหน้าต่างเมื่อเห็นว่ารถคันโก้ของลูกชายเจ้าสัวสาดแสงไฟส่องทางเข้ามาหน้าบ้าน
“ไปล่ะนะ แล้วจะรีบกลับมา” จันทร์เจ้ากระโดดเหยงๆ ออกไปท่าทางมีความสุข ผิดกับหนูพลอยที่ขมวดขาขึ้นชันเข่า ความเงียบเข้ามาเกาะกุมอีกครั้ง ไม่มีเสียงแจ้วๆ ของจันทร์เจ้าไม่มีเสียงใดๆ นอกจากจิ้งหรีดเรไรที่ร้องเซงแซ่ระงมไปทั่วบริเวณ
“ขึ้นไปข้างบนดีกว่า” หล่อนคิดได้อย่างไรนะว่าเขาตายไปแล้วเจ้าของบ้านผู้เศร้าสร้อยคนนั้น ร้อนลนวิ่งขึ้นมาห้องนอนโดยไม่คิดชีวิตรู้สึกได้ว่าราวกับว่าใครคนหนึ่งกำลังจับตามองอยู่ทุกฝีก้าว อดีตเรือนหอรอรักกลับกลายเป็นบ้านผีสิงไปทันทีทันใดโดยจินตนาการเรื่อยเปื่อยที่เติมแต่งจากหนูพลอยเอง เมื่อเข้ามาถึงห้องพักไม่รอช้ากระโดดขึ้นเตียงแต่ยังไม่ปิดไฟ เงยหน้าจ้องพัดลมติดเพดานหมุนแอดๆ ท่ามกลางเสียงลมพัดกระทบสีกับใบไม้ เพราะบ้านรินฟ้าไม่ได้ติดถนนแต่สองข้างทางขนาบกับสวนส้มโอคงไม่มีรถเดินผ่านไปมากลางดึกเพราะประตูสวนปิดตั้งแต่เย็นแล้ว
“ไม่ว่าคุณจะอยู่หรือตาย แต่อย่าได้กลับมาคืนนี้เลยนะ”หนูพลอยภาวนาพยายามข่มตายังไงก็ไม่หลับ คืนแรกมักเป็นเช่นนี้มีเรื่องให้คิดมากมาย
แกรก...แกรก...
เสียงฝีเท้าใครบางคนหรือตัวอะไรซักอย่างกำลังย่างสามขุมบนพื้นหญ้าช้าๆ ภาวนาอีกครั้งขอให้เป็นหมาแมวอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่คนหรือ เจ้าหล่อนดึงผ้าห่มคลุมโปงไม่อยากจะรับรู้โลกภายนอกอีก ดึกป่านนี้ใครจะมาเดินกราดอยู่สนามหญ้าหน้าบ้านในเมื่อบ้านนี้มีเพียงเธอ ความเงียบทำให้หล่อนได้ยินเสียงฝีเท้าได้ถนัดหูมันเร่งความเร็วมากขึ้นจนไปหยุดอยู่ที่ไหนสักแห่ง
"เจ้าประคุณช่วยลูกด้วยเทอญ ชายหนุ่มคนนั้นอย่ามาเบียดเบียนฉันเลยนะ คนรักของคุณเค้าก็มีครอบครัวแล้ว ฉัน...ฉันยังเรียนอยู่ อย่าได้มาเบียดเบียนเลย" ยกมือขึ้นมาพนม นิมิตภาพอันน่าสยดสยองของชายคนนั้น หน้าคงเละมีเลือดออกมานองท่วมหน้าน้ำหนองไหลเยิ้มหยดยาวเป็นตามทาง เสียงเคาะประตูปังๆ หน้าห้องนอน ยายหนูรีบลุกขึ้นยกมือขึ้นพนมสติเริ่มไม่อยู่กับล่องกับลอง อยากจะบ้าตายหรือสลบไปเลยดีไหม หล่อนไม่สวดมนต์เพราะสมาธินะโมตะสะหายไปแล้ว
"คุณหนู คุณหนู” ผีเรียกชื่อได้ถูก มันเก่งจริงที่รู้จักชื่อของเธอ
"คุณหนู คุณครับ คุณ...." เสียงชายคนนั้นออกจะมีอายุซึ่งในจิตนาการของหล่อนคิดว่าเขาน่าจะหนุ่มพอสมควร "คุณ...คุณ ครับ” เสียงคุ้นเหมือนกับชาติตระกูลราวกับคนคนเดียวกัน
"อย่ามาหลอกหลอนลูกช้างเลย ลูกจะทำบุญไปให้นะคะ มีอะไรก็ไม่ต้องมาให้เห็นกันโทงๆ แบบนี้ก็ได้นะคะ คือ...คือ ฉันเกรงใจน่ะค่ะ"
"คุณหนู คุณ อย่าลืมปิดหน้าบ้านด้วยนะครับ” ผีมันมาเตือน เอ๊ะ! หนูลืมตาขึ้นเหลียวมองเจ้าของเสียง เมื่อฟังจนแน่ใจว่าคือผู้ดูแลบ้านหลังนี้จึงวิ่งมาเปิดประตูหน้าห้อง พบชายวัยกลางคน ผมขาว รูปร่างผอมกะหร่องเหนียงมองหญิงสาวท่าทางกระวนกระวายใจน่าดู
"อ้าว! คุณลุงเองหรือคะ"
"เปิดไฟไว้จนเช้าไม่ดีนะครับ เดี๋ยวดึกๆ จะมีแมลงเม่ามันบินมาตายในหลอดไฟเดี๋ยวจะเป็นเรื่อง ผมแค่จะมาเตือนเพราะเห็นคนที่มาเช่าบ้านคนก่อนเขามีปัญหากัน"
"เออ...ค่ะ คือ..." หล่อนไม่กล้าตอบตามตรงว่ากลัวผี ชายวัยกลางคนเพ่งพินิจพลางขยับรอยยิ้มขึ้นเล็กน้อย
"ผมพอจะทราบว่าคุณหนูคงจะกลัวเรื่องผี แต่ผมรับรองว่าบ้านนี้ไม่เคยมีประวัติน่าสยองหรอกครับ"
"ค่ะ...หนูคงคิดไปเอง แต่ว่าเขา..." หนูพลอยอ้ำอึ้งละล่ำละลักไม่กล้าพูดต่อ คุณชาติตระกูลเดาใจถูกว่าหล่อนจะกำลังจะพูดต่อว่าอย่างไร
"เขาไม่ได้ตายหรอกครับ เขาเพียงแค่พักเท่านั้น"
"เอ๋ ทราบหรือคะว่าเขา..."
"ไม่ทราบหรอกครับ แต่อย่ากังวลเรื่องผีเลย” หล่อนโล่งใจเมื่อฟังคำยืนยันจากปากของผู้ดูแลบ้านรินฟ้าก็พอให้ได้อุ่นใจว่าจะไม่มีวิญญาณของเขาชายหนุ่มเจ้าของบ้านรินฟ้ามาป้วนเปี้ยนในยามค่ำคืนแน่นอน คุณชาติตระกูลจากไปพร้อมตะเกียงเก่าๆ ไว้ใช้นำทาง หนูพลอยปิดห้องให้สนิทกลับมายังที่นอนคอยเตือนตัวเองถึงความบ้าบอในความเพ้อเจ้อ เรื่องเหล่านั้นไม่มีอะไรน่ากังวลมันล้วนแต่มาจากความคิดที่สร้างมาทำหลอนตนเองล้วนๆ บ้านหลังนี้ไม่เคยมีประวัติน่ากลัวสยดสยอง หล่อนควรเชื่อในสิ่งที่คุณชาติตระกูลยืนยัน
“หนู..หนู..หนูตื่น” ออกจากความฝันอันแสนสงบ จันทร์เขย่าไหล่เพื่อนเล็กน้อยเมียงมองเมื่อเห็นปฏิกิริยาตอบสนองจากหนูพลอยที่เริ่มเขยื้อนตัวช้าๆ ในเช้าตรู่ของวันถัดไป
“แกกลับมาตั้งแต่เมื่อไร”
“เมื่อคืนแล้วล่ะ ฉันรีบกลับมาเพราะเห็นว่าแกอยู่คนเดียว จริงๆ ฉันกินข้าวกับพี่นัทแค่ปากซอยนี่เอง”
“ทำไมล่ะ แกน่าจะไปสนุกกับพี่นัทนะ” หนูพลอยยกมือขึ้นมาขยี้ตาขจัดความพล่ามัว จันทร์เจ้าเขยิบตัวเล็กน้อยลดน้ำเสียงราวกับกระซิบ
“ฉันเป็นห่วงแกน่ะสิ ฉันเห็นแกหน้าซีดตอนฉันจะออกจากบ้านแต่พอกลับมาเห็นแกหลับปุ๋ยก็หายห่วง” หล่อนจะคลั่งตายตอนที่จันทร์เจ้าออกจากบ้านแค่ก้าวแรกแต่เพราะคุณชาติตระกูลที่ทำให้เธอหายกังวลจากเรื่องในอดีตของบ้านนี้ ถึงแม้จะยังสร้างเรื่องขึ้นเองมาไม่หยุดหย่อนตลอดทั้งคืน
“แต่เมื่อคืนมีเรื่องจะเล่าให้ฟัง” จันทร์เจ้าลดน้ำเสียงขึ้นอีกนิด หนูพลอยเบิกตากว้างอยากรู้อยากเห็น
“มีอะไรหรือ”
“ฉันเห็นใครไม่รู้ยืนหน้าบ้านทำท่าพิรี้พิไรชอบกล”
“คุณชาติตระกูลน่ะเมื่อคืนแกมาเตือนเรื่องให้ปิดไฟหน้าบ้านไม่อย่างงั้นแมลงเม่าจะเข้าไปตายในหลอดไฟ”
“ไม่ใช่น่ะหนู คนที่ฉันเห็นเขาไม่ใช่คุณชาติตระกูล เขาหนุ่มกว่านั้นเป็นชายหนุ่มร่างสูง อายุอานามราวๆ ยี่สิบเก้าหรือสามสิบได้ เขายังหนุ่มน่ะ” ยายหนูเริ่มไขว้เขว จันทร์เจ้าสีหน้าจริงจังและไม่คิดว่าเธอจะหลอกกัน
“เธอเห็นหน้าเขาไหม”สาวผมดำตรงถามรักษาสีหน้าไว้ถึงแม้ภายในใจจะปั่นป่วน
“ไม่เห็น แต่รู้ว่าเขาเป็นชายหนุ่ม ไม่ได้แก่ พูดจริงนะ” จันทร์เจ้าไม่รู้ว่าเขามาทำอะไรที่นี่ รู้แต่เพียงว่าเขาเป็นชายหนุ่มปริศนาผู้มาเยือนโดยไร้เสียงตอบรับและหนูพลอยก็พยายามที่จะหลอกตัวเองว่าเขาเป็นคนที่เดินหลงทางผ่านมาหรือจะเป็นวิญญาณอย่างที่ภายในใจโต้แย้ง...ว่าคิดมากไปเอง
การย้ายเข้ามาในบ้านรินฟ้า ซึ่งเลื่องชื่อด้วยเรื่องอดีตรักของชายปริศนา ทำให้หนูพลอยได้หวนกลับมาคิดได้ว่าชายที่มาเยือนในคืนนั้นอาจจะเป็นเจ้าของบ้านคนเดิมซึ่งลือกันว่าหายสาบสูญไปหลายปีแล้วแต่ไม่ได้หมายความว่าเสียชีวิตไปแต่อย่างไร จึงไม่น่าแปลกอะไรหากวันหนึ่งที่เขาจะกลับมาเยี่ยมเยียนอดีตบ้านหลังงามที่เคยสร้างมาด้วยความตั้งใจและความรัก หล่อนจัดเสื้อผ้าชุดนักศึกษาให้เข้าที่เป็นระเบียบขยับเข็มขัด ยืนหมุนไปมาอยู่หน้ากระจก หยิบหวีขึ้นมาสางผมยาวตรงปัดหน้าม้าบางๆ ให้ได้ทรงก่อนหันไปหยิบหนังสือและสมุดลงกระเป๋าหิ้ว วันนี้มีเรียนแต่เช้าเริ่มต้นด้วยวิชาภาษาอังกฤษธุรกิจ จันทร์เจ้ายังคงเหลือบมองเพื่อนเป็นระยะก่อนจะปริปากหลังจากเงียบไปนานพอควร
“แกคิดว่าเมื่อคืนเป็นอะไรกัน...คนหรือผี” จันทร์เจ้าไม่จบประเด็นที่คุยค้างกันไว้ตั้งแต่เมื่อเช้า หนูพลอยพยายามจะลบความทรงจำนี้เสียแต่ก็ทำไม่สำเร็จสักทีเพราะจันทร์เจ้าเองที่ทำให้หล่อนกลับมารื้อฟื้นอีกครั้ง
“จะถามทำไม เขาจะเป็นคนหรือผีก็มีค่าเท่ากัน เขาไม่มาทำร้ายเราก็ดีแล้ว” หนูพลอยมองในโลกแง่ดีไว้ก่อน ถึงแม้ในใจร้องขอไว้ว่าอย่าได้เป็นอย่างหลังเลย
หนูพลอยและจันทร์เจ้าเดินทางมาถึงมหาวิทยาลัยวันนี้คนพลุกพล่านตั้งแต่หน้าตึกยันท้ายตึก ทั้งสองเรียนต่อที่ห้อง 402 ตึกกลิ่นมาลีซึ่งจัดได้เป็นสถานที่เก่าแก่พอสมควร ตึกหลังนี้เป็นของภาควิชามนุษยศาสตร์แต่ทั้งสองเป็นเด็กบริหารฯ จึงไม่คุ้นทางตึกนี้มากนักแต่ก็พอถามทางเด็กในคณะนี้ได้จนมาถึงห้องเรียนโดนสวัสดิภาพ หนูพลอยและจันทร์เจ้าเดินสวนผู้คนที่ทะลักออกจากชั้นเรียนซึ่งใช้ห้องนี้ก่อนหน้า เร่งฝีเท้าเดินเข้าไปจองที่ทางเพื่อจัดการกับงานที่ยังมีให้ทำอีกมากรายงานที่อาจารย์สั่งก็ยังมีล้นมือจวนเอือม จันทร์เจ้าจอมขี้บ่นไม่ทนเท่าไรโอดจะเป็นจะตายอาจจะมีดร็อปแต่เห็นว่าจะยังไม่สมควรเพราะอยู่ปีสี่แล้วอีกไม่กี่เดือนก็จบเป็นเรื่องเป็นราว
“มาแต่เช้าเลยสองสาว” หนูพลอยเหลียวกลับไปมองหญิงสาวหน้าตาสดสวย บนใบหน้าแต่งเครื่องสำอางได้เหมาะกับรูปหน้ารวมทั้งการแต่งกายที่เข้ายุคเข้าสมัย
“มนสิกาน มาแต่เช้าเหมือนกันนะ” หนูพลอยร้องทัก มนสิกานเป็นเพื่อนรักอีกคนในกลุ่มทั้งสามมักตามกันไปเป็นเงาตามตัวแต่เพียงมนสิกานไม่ได้ร่วมเช่าบ้านรินฟ้าด้วยกันเนื่องจากหล่อนเป็นคนในพื้นที่ไม่จำเป็นต้องเช่าบ้าน ส่วนหนูพลอยเป็นคนเชียงใหม่เดินทางมาเรียนไกลเลยต้องหาที่พำนักที่ประหยัดและใกล้กับมหาวิทยาลัยมากที่สุดเช่นเดียวกับจันทร์เจ้าที่เป็นสาวเมืองใต้แต่ผิวขาว หน้าหมวยเนื่องจากพ่อแม่เธอเป็นคนเชื้อสายจีนที่ไปลงหลักปักฐานอยู่ที่นั่น
“เป็นยังไงบ้างบ้านรินฟ้าหลังนั้น”มนสิกานรีบทรุดตัวนั่งโต๊ะข้างๆ จันทร์เจ้าเตรียมปากรอไว้แล้ว
“ขนแขนจะลุก” จันทร์เจ้ายกมือขึ้นลูบแขนตนเอง มนสิกานเบิกตากว้างกระวีกระวาดตรงมาท่าทางสนใจ
“ทำไมหรือ ไหนบอกว่าบ้านนั้นเป็นเรือนหอรอรัก มิยักกะรู้ว่ามีผี”
“ไม่มีหรอก จันทร์เจ้าคิดไปเอง” หนูพลอยซึ่งจัดได้ว่าปอดแหกที่สุดในเรื่องสิ่งที่ไม่มีลมหายใจแต่ยังกัดฟันสู้ในคำยืนยันของตนเอง
“แล้วผู้ชายคนนั้นที่มายืนหน้าบ้านรินฟ้าล่ะ” จันทร์เจ้าไม่หยุดหันมาแย้งหน้ายุ่ง
“เขาเป็นใครก็ช่างนะ แต่ไม่ใช่ผีหรอก” ไม่มีสิ่งไหนทำให้หนูพลอยไขว้เขวได้ มนสิกานหัวเราะคิกหล่อนเป็นสาวอารมณ์ดี ซึ่งจัดได้ว่ามีเสน่ห์ ไม่มีชายไหนหลุดพ้นเงื้อมมือของหล่อนเพราะเสน่ห์แสนเย้ายวนคารมดีและบวกกับความมนุษย์สัมพันธ์เป็นเลิศ
“สงสัยจะเป็นเจ้าของตำนานรักแสนเศร้าของบ้านหลังนั้น”
“ตายจริง หากเขามาจริงก็อยากจะเห็นหน้าดูซิจะหล่อจริงหรือเปล่า” จันทร์เจ้าเป็นไปกับเขาด้วย หนูสมทบด้วยรอยยิ้ม “มาหรือไม่มาก็ทวงบ้านคืนไม่ได้เพราะตอนนี้พวกฉันเช่ากันอยู่”
“อยากเห็นหน้าแล้วสิ อยากรู้ว่าเขาจะลืมรักเก่าได้หรือยังมันท้าทายดีออก” มนสิกานเข้าขั้นว่าจะสนใจเขาคนนั้นเสียแล้ว หนูพลอยและจันทร์เจ้าสบตากันเหมือนจะรู้ความ
“หากจะเทียบไปพอมีอายุแล้วนะ” ยายหนูลองแหย่ให้หล่อนเขว แต่ก็รู้ดีกว่าคนอย่างมนสิกานไม่มีอะไรทำให้หวั่นไหวได้ง่ายๆ
“ก็ลองดูสิ ไม่มีใครปฏิเสธฉันพวกเธอก็รู้” บางที นี่อาจจะเป็นนิสัยส่วนหนึ่งที่ของมนสิกาน ที่ทำให้เพื่อนนึกเป็นห่วง หล่อนกำลังสนใจในสิ่งที่ท้าทายนี้เสียแล้วแต่เบื้องหลังเรื่องราวเหล่านี้มีเงื่อนงำที่ยังคงซ่อนเร้น ไม่รู้ว่าต่อจากนี้ไปจะเกิดอะไรขึ้น มนสิกานอาจแค่ได้ฝันเพ้อหรือเธออาจจะได้สัมผัสถึงสิ่งที่ปรารถนาได้ในวันหนึ่ง หนูพลอยวางหนังสือลงบนโต๊ะจัดแจงปากกาสมุดออกมาเรียบร้อย หล่อนสัญญากับตัวเองว่าจะตั้งใจเรียนเพราะอีกไม่กี่อาทิตย์ก็จะมีสอบย่อย ภายในห้องสโลบยังคงจ้อแจ้ไปด้วยเสียงของเหล่านักศึกษาช่างเจรจาคงเพราะยังไร้เงาอาจารย์ผู้สอนการสนทนาจึงดูออกรส
“รู้ไหมว่าอาจารย์หม่อมราชวงศ์จรูลแกเข้าโรงพยาบาล”ยายหนูวางปากกาเหลียวมองมนสิกานที่เปิดประเด็นข่าวขึ้นเป็นคนแรก
“จริงหรือ อ้าว! วันนี้เราก็ไม่ต้องเรียนแล้วสิ” จันทร์เจ้าเปล่งน้ำเสียงแสนสดใสเพราะบุคคลที่กำลังกล่าวถึงเป็นอาจารย์ผู้มีหน้าที่สอนรายวิชานี้ และในชั่วโมงนี้อาจจะไม่มีการสอนเข้าทางหล่อนพอดี
“อ่อ เสียใจ เขาบอกว่าจะมีอาจารย์มาสอนแทน เป็นอาจารย์พิเศษชั่วคราว” มนสิกานเล่ากราวๆ เป็นฉากๆ ราวกับเห็นมากับตา
“เห็นทีว่าจะจริง มานู้นแล้ว” หนูพลอยหูตาไว เมื่อมีบุคคลแปลกหน้าเดินมาหน้าห้อง ชายหนุ่มแปลกหน้า เดินตรงมาหยุดเครื่องฉายสไลด์วางหนังสือลงมาดกระฉับกระเฉง เขาตัวสูงพอสมควร แววตาคมลึก ใบหน้าเรียวคมจัดว่าหล่อ
“สวัสดีนักศึกษาทุกคน ผมนรัชกุล เปี่ยมฤทธา ได้รับหน้าที่มาสอนพวกคุณแทนหม่อมราชวงศ์จรูลหวังว่าจะไม่เป็นการขัดอารมณ์ในการเรียนเมื่อครั้งเก่า” เขาดูเป็นผู้ใหญ่ที่น่าเชื่อถือ ผมดำสนิท นัยแววตานิ่งสนิทไม่มีทีท่ากังวลลังเล เหล่านักศึกษาพากันเงียบกริบ ชายหนุ่มคนนั้นกวาดตามองรอบห้องเมื่อเห็นว่าทุกคนประจำที่นั่งเรียบร้อยดีแล้วจึงเริ่มสอนหน้าชั้นเกี่ยวกับเรื่อง Resume
ยายหนูพยายามจะตั้งใจฟังเขาแต่เพราะเผลอตัวที่ทำให้จิตของหล่อนล่องลอยออกไปนอกหน้าต่าง คิดเรื่องไม่เป็นเรื่องมากมายรวมถึงบ้านรินฟ้าในมือจับปากกาปั่นยิกๆ หวัดไปกับลวดลายรูปภาพแรงเงาบนกระดาษได้อย่างดี บ้านสีขาวแสนสวยช่างสวยราวกับเทพนิยาย กลิ่นดอกแก้วยังคงหอมติดจมูก สายลมและแสงแดดอ่อนๆ ในยามเช้าทอประกายกระทบกับผ้าม่านลายลูกไม้หน้าห้อง
“บ้านสวยดีนะ”
หล่อนสะดุ้ง! เงยหน้าขึ้นเมื่อสบตากับเขาซึ่งยืนอยู่ด้านหน้า นรัชกุลฉวยกระดาษไปจากเธอเก็บรายละเอียดลายเส้นทุกตัวที่วาดลงไปด้วยความตั้งใจ เหล่าเพื่อนพากันส่งสายตาขำขันมาทางของหนูพลอยด้วยท่าทีละเหี่ยใจ จันทร์เจ้าและมนสิกานทำสีหน้าผะอืดผะอมพากันเงยมองคุณรัชกุลที่วางกระดาษลงบนหนังสือเรียน
“วาดสวยดีนะ ไม่ทราบว่าที่นี่คือที่ไหน” ยายหนูอ้าปากค้างคงเพราะไม่คิดว่าเขาจะถาม
“บ้าน...บ้านรินฟ้าค่ะ บ้านที่ฉันกับเพื่อนเช่าอยู่ในตอนนี้”หล่อนตอบเก้กัง เขาพยักหน้านิ่งๆ
“สวยดีนะ แต่คงจะไม่ใช่ในห้องนี้ถ้าอยากจะกลับบ้านมากก็เอาหนังสือเก็บลงกระเป๋าแล้วเดินออกไปได้เลย ผมไม่ถือจะไปตอนนี้เลยก็ได้” เขาฉีกยิ้มเชือดเฉือน หนูพลอยหน้าร้าวทั้งอายทั้งขายหน้ามากที่โดนดุเอากลางชั้น เขาผายมือออกไปหน้าประตูแต่หล่อนยังคงนิ่งเพราะไม่คิดจะเอาอนาคตอีกหนึ่งเดือนไปแลกแค่เรื่องความสะเพร่าในวันนี้
“ออกไปได้เสมอนะ” เขาย้ำก่อนเดินไปหน้าชั้นเรียน โดยไม่เหลียวแม้แต่ปลายสายตามาทางเธออีกเลย ผู้ชายคนนั้นเหมือนจะใจดีแต่ก็ไม่ใช่ เขาตำหนิหนูพลอยด้วยคำพูดและวาจาที่เรียกว่าเชือดกันนิ่มๆ จันทร์เจ้าและมนสิกานก้มหน้างุดคงเพราะไม่อยากจะโดนกันอีกคู่หนึ่งถึงแม้จะส่งสายตามาให้กำลังใจเพื่อนเป็นพักๆ แต่ไม่สามารถปริปากได้มากกว่านี้
ยายหนูนั่งเศร้าเมื่อกลับถึงบ้านรินฟ้า วันนี้มนสิกานขอมาค้างคืนด้วยอีกคนคงเพราะหลงเสน่ห์ในรอยอดีตแห่งรักของบ้านหลังนี้ ผิดกับหนูยังรู้สึกแคลงใจกับเรื่องน่าอายเมื่อเช้า เพื่อนทั้งสองเข้าใจดีเพราะเห็นว่านรัชกุลก็พูดไม่รักษาน้ำใจกันเกินไป ต่างเข้ามาปลอบใจหนูพลอยที่ยังคงพิงเสายกมือขึ้นเกลียดอกไม้สีเหลืองในแจกัน
“ฉันไปรู้มาว่าเขาทำงานที่ไหน เห็นบอกว่ารู้จักกับอาจารย์หม่อมด้วย” จันทร์เจ้าผู้มากด้วยความสามารถเรื่องของชาวบ้านกล่าว
“อ่อ...เด็กเส้นว่างั้น” มนสิกานเท้าคางพูดพลางเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง ดูจะไม่กินเส้นกับอาจารย์พิเศษคนนั้น แต่ในแววตาลึกๆ หล่อนหลงเสน่ห์เขาบ้างแล้วเหมือนกัน
“คงไม่ถึงอย่างงั้นหรอกนะ ฉันว่าเขาคงจะแค่รู้จักกับอาจารย์หม่อม เห็นว่าคงจะเก่งทางด้านนี้เลยให้มาสอนแทน แต่ที่รู้ๆ เขาลือกันว่าคุณนรัชกุลน่ะมีไร่องุ่นเป็นของตนเอง” จันทร์เจ้าเสริมเติมแต่งได้อย่างภาคภูมิใจ
“อ่อ เขาคงจะเป็นพวกรักสันโดษน่ะเลยไม่รู้ล่ะสิว่าการทำร้ายจิตใจคนอื่นแบบนี้มันทำให้ฉันน่ะคิดมากแค่ไหน” หนูพลอยพูดน้ำเสียงน้อยเนื้อต่ำใจ สองสาวเหลียวกลับมามองส่งสายตาเห็นใจให้เพื่อน
“อย่าเครียดไปเลยน่ายัยหนู ก็หล่อนน่ะเป๋อตลอดศก ฉันน่ะเห็นหล่อนน่ะใจลอยไปไหนต่อไหนตั้งแต่คุณนรัชกุลเริ่มสอนประโยคแรกแล้ว ไอ้เราก็อุตส่าห์ส่งสายตาเตือนแต่แกก็หลับในจนได้ที่ฉันกะแล้วว่ามันต้องเป็นแบบนี้เห็นเขามองเธอเขม็งแต่เธอก็ไม่รู้ตัวอีก” มนสิกานเทศน์ให้จนได้ ยายหนูก็ผิดจริงที่ไม่ตั้งใจเรียนทั้งๆ ที่เตือนตนเองแล้วว่าจะต้องไม่มีอะไรผิดพลาดในวันนี้
“ฉันก็พอจะรู้” ถึงอย่างไรก็เถียงไม่ออก
“อย่าไปคิดมากน่า ยัยมนด้วยไม่ต้องว่าเรื่องของคนอื่นแกน่ะมาพักที่นี่มีจุดประสงค์อะไร” เจ้าจันทร์หันไปจับผิดเพื่อนผู้มาเยือนบ้าง มนสิกานยิ้มเล็กน้อย
“ฉันก็แค่อยากจะรู้น่ะสิว่าชายหนุ่มคนนั้นที่เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้จะมาที่นี่อีกไหม”
“ถ้าเขายังไม่ลืมล่ะ” หนูพลอยแกล้งถาม
“ถ้าเขาไม่ลืม ฉันจะเป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้เขาได้พบรักใหม่น่ะสิ” มนสิกานมีความหวังและมั่นใจมากว่าหล่อนจะทำให้รอยร้าวในอดีตของชายปริศนาลบเลือนไปได้แต่ก็ไม่น่าแปลกเพราะหล่อนมีเสน่ห์ท่วมท้นจึงมั่นใจว่าผู้ชายทุกคนต้องติดกับเธอและอาจจะรวมถึงเขาเจ้าของบ้านหลังนี้
“ตามใจจะทำอะไรก็ทำแต่ฉันไม่เอาด้วยหรอกนะฉันกลัว”
หนูพลอยลืมตาโพลงในความมืดเพราะไอ้ความอยากรู้อยากเห็นที่ทำให้ไม่สามารถข่มตาหลับได้เสียที จันทร์เจ้าและมนสิกานพักห้องเดียวกันผ่อยหลับไปแต่หัวค่ำกะว่าจะมาคั้นเอาเรื่องหนุ่มปริศนาแต่กลับไปเฝ้าพระอินทร์ก่อนใคร ผิดกับหล่อนที่ไม่อยากจะเจอแต่ก็ยังข่มสติไม่ให้คิดเรื่องต่างๆ ได้แต่สักที เจ้าหล่อนนอนมองพระจันทร์นวลผ่องผ่านหน้าต่างหัวนอน คืนนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่ง ดาวระยิบระยับเต็มฟ้าชวนน่ามอง แถบชานเมืองไม่ค่อยมีแสงไฟทำให้ท้องฟ้าในยามค่ำคืนช่างเงียบสงบมองเห็นดาวระยิบระยับได้ชัดเจน มองไปพาให้นึกเคลิ้มเข้าสู่ห้วงนิทรา อากาศเย็นๆ ปะทะกับลมเอื่อยๆ พัดผ่านม่านลายลูกไม้กระพือเบาๆ
แต่........
ในระหว่างนั้น เสียงฝีเท้าเดินสอกแสกบนผืนหญ้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ คล้ายกับคืนแรกที่ได้ยิน...แต่พยายามไม่คิดมากอาจจะเป็นคุณชาติตระกูลที่ออกสำรวจความเรียบร้อยบริเวณบ้าน วันนี้หนูพลอยปิดไฟหมดทุกดวงและไม่คิดว่าชาติตระกูลจะทะเล่อทะล่าวิ่งขึ้นมาเคาะประตูให้ลงไปดับไฟเหมือนวันก่อน
แกรก...แกรก....
หล่อนนอนฟังฝีเท้าคู่นี้ไปเรื่อยๆ คราวนี้หยุดอยู่ด้านล่างตรงบานหน้าต่างห้อง โธ่!…อย่าคิดมากสิ คุณชาติตระกูลคงสำรวจว่าปิดไฟนอนหรือยัง หนูพลอยพยายามจะไม่คิดมากหากถ้าเจ้ากระถางดอกไม้เล็กบนขอบหน้าต่างไม่พลัดหล่นลงไปด้านล่าง หล่อนสะดุ้งสุดตัวลุกขึ้นนั่งฉับไว ลมแรงพัดผ้าม่านสะบัดใส่กระถางใบกระจิดหล่นจากขอบหน้าต่าง หล่อนดันตัวขึ้นเกาะราวหน้าต่างก้มลงไปมองด้านล่าง ช่วงวินาทีนั้นที่ได้เห็นใครบางคนเงยหน้าสบตาเธออย่างจัง เงาดำร่างสูงใหญ่นั้นจับจ้องมายังเธอเขม็ง ผู้ชายร่างสูงชะรูดและดูอายุราวๆ สามสิบ ตามที่จันทร์จันทร์เคยบอกไม่มีผิด หนูพลอยตาค้างแข็งทื่อไปทั้งตัวที่น่าแปลกที่เขามักมาในยามค่ำคืน...ถ้าไม่ใช่คน...แล้วเป็นอะไร! หลังจากที่ตะลึงงันอยู่นานยกมือขึ้นปิดปาก ไม่คิดว่าโตจนป่านนี้จะเห็นผีได้เต็มตาได้ขนาดนี้ ผี! นี่มันผีแน่ๆ!!!
"อ๊าย!!!" วินาทีนั้นหล่อนหน้าซีด ร้องลั่นบ้านทำอะไรไม่ถูกใจมันเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ หล่อนเพิ่งรู้ว่าไอ้การที่นั่งดูละครแล้วเห็นพวกเหล่านักแสดงในเรื่องมันวิ่งหนีผีมันหวาดเสียวสู้เจอตัวต่อตัวไม่ได้ตอนนี้อัมพาตกินโดยชั่วคราว จันทร์เจ้าและมนสิกานวิ่งถลาเข้ามาเปิดไฟทั่วบ้านราวกะมีเรื่องมีราวใหญ่โต พุ่งเข้ามาเขย่ายายหนูที่ยังสั่นเป็นเจ้าเข้า
"หนูเป็นอะไรนั่น” จันทร์เจ้าถามเร็วปรื๋อ หนูยังคงปิดตาชี้มือไปด้านล่าง
"ผะ...ผะ...ผี มัน มันอยู่นู้น” สองสาวชะเง้อหน้ามองข้ามผ่านหน้าต่างไปด้านล่าง สบตาให้แก่กัน
"ผีมันอยู่ไหนล่ะ ไม่เห็นจะมี" มนสิกานดูจะไม่เชื่อเพราะลองมองไปก็มีแต่สนามหญ้าและกระถางดอกไม้ที่หล่นไปแตกกระจาย
"เธอน่ะทำกระถางดอกไม้ตกไปล่ะสิ เลยคิดว่าผี".
"เปล่านะ ผีจริงๆ มันจ้องมาทางห้องฉัน แล้วมันก็อยู่ตรงนั้นน่ะ" หล่อนยังยกมือขึ้นชี้ไปจุดๆ นั้น แต่ตอนนี้ผีไม่อยู่แล้วทั้งๆ ที่ยังยืนอยู่เมื่อตะกี้
"เพ้อน่ะสิ หล่อนน่ะคงจะกึ่งหลับกึ่งตื่นพอได้ยินเสียงกระถางตกไปก็คงฝันว่าไปเจอผี” จันทร์เจ้าไม่เชื่อหาว่าเพื่อนเพ้ออีกต่างหาก
"ฉันพูดจริงนะ จันทร์เจ้าจำได้ไหมที่แกเคยบอกว่ามีผู้ชาย เคยมาด้อมๆ มองๆ น่ะ ฉันคิดว่าน่าจะคนเดียวกัน" คราวนี้จันทร์เจ้าชะงักเหลียวมองมนสิกานบ้าง
"จริงนะมน ฉันเห็นเขามายืนด้อมๆ มองๆ หน้าบ้านเมื่อวาน"
"แปลว่าไม่ใช่ผี” มนสิกานยังยืนยันคำตอบเดิม หนูพลอยไม่แน่ใจว่าเขาคือคนหรือผี รู้แต่ว่าเขาก็น่ากลัวพอสมควรเวลาที่อยู่ในความมืด
"ก็ใครจะไปรู้ก็เล่นมายืนอยู่มืดๆ แบบนั้น แต่จะคิดไปเขาเข้ามาทำไมกัน” หนูพลอยจับเอาประเด็นสำคัญมาคิดถ้าไม่ใช่ผีแล้วจะเป็นอะไร
"พอล่ะไม่อยากคิดมากแล้ว ฉันง่วงมากเลยพรุ่งนี้ค่อยคิดได้ไหม” จันทร์เจ้าพูดตัดบท มนสิกานเห็นด้วยอีกคน
"ยัยหนูแกควรทำสมาธิตั้งสติดีๆ ล่ะ คืนนี้แกก็ข่มตาหลับไปก่อน พรุ่งนี้เราก็ค่อยมาว่ากันอีกทีนะ" พวกเพื่อนๆ ไม่เป็นทุกข์เป็นร้อนเสียเลย ทั้งๆ ที่มีใครไม่รู้เหยียบย่างเข้ามาในบ้านตัวเองแท้ๆ หล่อนถอนใจนึกน้อยใจครามครัน เมื่อสองสาวเดินจากไปพร้อมปิดไฟให้เรียบร้อย ความอยากรู้อยากเห็นของยายหนูก็เพิ่มทวีคูนขึ้นเป็นเท่าตัว
ไฟทุกดวงถูกดับลงเรียบร้อย แต่หนูพลอยกลับเดินย่างสามขุมลงมาด้านล่าง จะให้เห็นดำเห็นแดงกันไปข้างว่าเขาเป็นใครถึงได้ชอบทำลับๆ ล่อๆ ตอนกลางค่ำกลางคืน และก็รีบร้อนลืมเอาไฟฉายลงมาจนได้คิดแล้วนึกโมโหแต่ให้ขึ้นไปอีกก็เสียเวลา ยายหนูกวาดตามองด้วยความระมัดระวังสำรวจไปรอบๆ ถึงแม้จะเห็นทางไม่ค่อยชัดแต่ก็พอมีแสงรำไรจากดวงจันทร์ผ่านจากประตูหน้าต่างมาบ้างเล็กน้อย
แวบ....
ร่างหนึ่งผ่านห้องรับแขกที่อยู่ไวๆ หล่อนเบิกตาโตนึกตกใจในความกล้าของบุคคลนั้นว่าแท้จริงนั้นคือเจ้าของบ้านหรือว่าจะเป็นขโมย หล่อนเดินมาหยิบแจกันดอกไม้ตรงมายังลานห้องรับแขกจุดที่เกิดเหตุใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ พวกโจรขโมยมันมีใจคอโหดเหี้ยมมันอาจจะฆ่าเราได้
"ขึ้นไปเรียกเพื่อนๆ มาดีกว่า" หนูพลอยพูดกับตนเอง เหลียวหลังกลับไปแต่ชนร่างใครคนหนึ่งเข้าโครมใหญ่ จะเป็นใครซะนอกจากมัน! เขาโอบหล่อนไว้ไม่ให้ล้ม หนูพลอยถลึงตาขึ้นเมื่อพบว่าหน้าของของเขานั้นใกล้กับแทบชิดแต่เพราะความมืดที่ทำให้ไม่สามารถเห็นโครงหน้าเขาได้ชัดเจนรู้แต่เพียงว่าหล่อนคุ้นตาราวกับเคยเห็นที่ไหนมาก่อน นี่เขาเป็นใคร...ผี...หรือคน หรืออะไรกันแน่
"เป็นอะไรไหมครับ" นั่นเสียงของเขา หนูพลอยตะลึงงันส่ายหน้าเทาใบหน้าร้อนผ่าวรู้สึกว่าเวียนหัวจวนตั้งศีรษะไม่อยู่ เจ้าหล่อนหายใจถี่จับภาพที่ปรากฏเริ่มเลือนหายไปในพริบตาเหลือเพียงแต่ความมืดที่เข้ามาบดบังทุกสิ่งอย่าง ตัวของหล่อนเบาหวิวลอยล่องอยู่ในหมู่ควันขาวที่คลุมตัวโอบรับในห้วงนิทราอันสงบ
"เมื่อคืนน่ะเพ้อหาแต่ผี พอตอนเช้าก็นอนหลับไม่ยอมตื่น” เสียงคุยกันระหว่างจันทร์เจ้าและมนสิกานปลุกให้หนูพลอยตื่นออกจากฝันร้าย หล่อนลืมตาขยับตัวขึ้นเหลียวมองสาวๆ ที่หันกลับมามองท่าทางละเหี่ยใจ
"ตื่นแล้วหรือแม่คุณ" จันทร์เจ้าแขวะให้ ยายหนูยกมือขึ้นลูบผมตัวเองด้วยความมึนงง
"แกน่ะละเมอน่ะรู้ไหม ฉันตื่นมาเห็นแกนอนอยู่ที่เก้าอี้ด้านล่าง"จันทร์เจ้าพูดต่อโดยไม่เว้นลมหายใจ
"เอ๊ะ!"
"ก็ใช่น่ะสิ ไม่รู้ตัวเลยหรือไง” มนสิกานยังมีสีหน้างงงวย หนูพลอยรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืนแต่ไม่พร้อมจะเล่า หล่อนต้องการถามจากคุณชาติตระกูลว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใครกันแน่
"สรุปเมื่อคืนเราก็ไม่เจอหนุ่มเจ้าของบ้านรินฟ้า” จันทร์เจ้าหน้าเง้า ทำให้หนูพลอยฉุกคิดได้ว่าชายหนุ่มผู้มาเยือนอาจจะเป็นเขาชายหนุ่มผู้มีอดีตอันปวดร้าว
“ถ้ามีดวงได้เจอก็คงได้เจอน่า”มนสิกานแย้งขึ้นโดยมีสายตาของหนูพลอยเหล่มองตาม
“ถ้าเขาไม่มีชีวิตแล้วล่ะ คือหมายถึงเขาเป็นบุคคลที่ไม่มีลมหายใจ”หนูแย้ง จันทร์เจ้าและมนสิกานหันมามองขวับ
“หล่อนก็คอยแต่คิดว่าเป็นผีสางตลอดศกแหละ”จันทร์เจ้าว่า
“ถึงไม่ใช่ผีเกิดเขาเป็นคนร้าย เป็นคนไม่ดีจะทำยังไง มันเสี่ยงไปไหมที่อยากจะเจอเขา”
“ยัยหนู แกคิดมากไปหรือเปล่า พวกฉันไม่ได้จะไปทำอะไรไม่ดีไม่ร้ายเขานี่ เราแค่อยากรู้จักเขาเท่านั้น”มนสิกานเสริมขึ้นมีจันทร์เห็นด้วยอีกแรง
“ฉันรู้สึกมีลางสังหรณ์แปลกๆ ไม่รู้สิคิดว่าคงมีเบื้องหน้าเบื้องหลังน่ะ เลยไม่อยากจะเสี่ยงแค่เรามาอาศัยบ้านเขาแล้วจะตามจับตัวเขาอีกมันรู้สึกไม่ดี”
“ฉันว่าแกควรตรวจลางสังหรณ์ของแกก่อนไหมยัยหนู ว่าวันนี้จะโดนคุณนรัชกุลจัดการไม้ไหนอีกหลังจากเมื่อวานก็เกือบโดนไล่ออกนอกห้องครั้งหนึ่งแล้ว”มนสิกานตอกย้ำความหลัง หนูพลอยชะงักเมื่อภาพของผู้ชายใบหน้าเย็นชาไร้อารมณ์ปรากฏขึ้นในโสตประสาทรบกวนความสุขในเช้าวันใหม่ได้ในทันที
“ฉันภาวนาว่าจะไม่ทำเรื่อยน่าอายอีก ฉันล่ะเบื่อจริงๆ เขาคงหมายหัวฉันไว้แน่ ถ้าเผลอหลับในห้องนิดหน่อยเขาคงจะเดินมาไล่ฉันออกห้องแน่”หนูพลอยเป็นคนช่างจินตนาการโดยเฉพาะเรื่องไม่ดีที่มักจะสร้างภาพได้ดีกว่าคิดเรื่องดีๆ
“หล่อนคงต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งใหญ่เลยถ้าจะไม่ให้เกิดเรื่องผิดพลาด เขาดูจะเขม่นเธอมากกว่าคนอื่น”จันทร์เจ้าทำให้ยิ่งเสียขวัญ ยายหนูพ่นลมออกจากปากอยากจะล้มตัวนอนต่อและลืมเรื่องราวที่เกิดเมื่อวานไปให้หมด
“เป็นวันใหม่ที่ไม่ค่อยดีเลย”หล่อนบ่นยกมือขึ้นเท้าทางหงอยเหงาไม่น่าเปิดประเด็นเรื่องเขาคนนี้เลย นอกจากจะเสียบรรยายกาศแล้วยังบั่นทอนจิตใจให้แย่ลงไปเรื่อยๆ ราวกับดูดพลังจนหมดสิ้นไป
“วันนี้มีเรียนบ่ายเดี๋ยวฉันจะกลับบ้านก่อน ส่วนแกสองคนจะไปไหนอีกไหมในช่วงเช้า”มนสิกานถาม จันทร์กรอกตาคิด
“ฉันมีนัดกับพี่นัทน่ะ”
“แล้วยัยหนูล่ะ”
“ฉันหรือ...” กรอกตาคิด มีบางสิ่งที่อยากจะรู้มากขึ้นบางทีการได้รู้จักคนที่ดูแลบ้านหลังนี้อาจทำให้ปริศนาที่เก็บค้างมาจากเมื่อคืนคลีคลายมาบ้าง และนี่อาจเป็นธุระที่หนูพลอยต้องไปหาเขาในเช้าวันนี้
ขอบพระคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ^^ อาจมีการปรับปรุงเรื่องต้องขออภัยนะคะ
แก้ไขเมื่อ 29 มิ.ย. 54 21:05:59
แก้ไขเมื่อ 29 มิ.ย. 54 11:38:57
แก้ไขเมื่อ 28 มิ.ย. 54 23:14:17
แก้ไขเมื่อ 27 มิ.ย. 54 21:43:38
แก้ไขเมื่อ 27 มิ.ย. 54 21:40:13