Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
Journal of the Dragon 4th - Journey Begin & Blazing Prophet ติดต่อทีมงาน

อ่านฉบับ Extend และตอนย้อนหลังได้ที่
http://journalofthedragon.blogspot.com/2011/06/journey-4th-journey-begin-blazing.html

.....................................................

หนึ่งเดือนเต็มกับอีกห้าวัน หรือสามสิบหกวันหลังจากที่เจ้ามังกรลืมตาดูโลก ร่างกายที่เจริญเติบโตอย่างรวดเร็วผิดธรรมชาติของมัน จู่ ๆ ก็หยุดลงเอาดื้อ ๆ สังเกตได้จากอัตราการกินที่ลดลงอย่างครึ่งต่อครึ่ง มันกินน้อยลง นอนน้อยลง แต่ยังคงแข็งแรงสดชื่นเท่าเดิม ขนาดร่างกายมันจึงไม่แตกต่างกับเมื่ออาทิตย์ก่อนเลย ทั้งน้ำหนักและความยาว แต่ยังมีสิ่งที่เปลี่ยนไปอยู่ นั่นก็คือ ... ความสามารถในการบิน

เจ้ามังกรใช้เวลาห้าวันเต็มในการฝึกปรือฝีมือการบิน มันกิน นอน แล้วก็บิน วนเวียนอยู่อย่างนี้ทั้งวันตลอดห้าวัน พัฒนาทักษะการบินทุกรูปแบบที่มันจะนึกออก ทดลองเร่งความเร็วให้มากที่สุดเท่าที่มันจะทำได้ ทดลองบินขึ้นไปให้สูงที่สุดเท่าที่มันจะไปได้ รวมถึงทดลองการบินทรงตัวนิ่ง ๆ กลางอากาศแบบนกเหยี่ยวด้วย จากผลการทดสอบขีดความสามารถทั้งหมด ต้องบอกได้คำเดียวว่า น่าทึ่งสุด ๆ

แม้ตัวมันเองจะไม่รู้ค่าเป็นตัวเลข แต่มันสามารถทำความเร็วได้สูงสุดถึงสองร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมงในการบินระนาบ และถ้ากระแสลมเป็นใจ มันสามารถไปได้เร็วถึงสองร้อยห้าสิบ และหากเป็นการบินแบบทิ้งดิ่งล่ะก็มันทำความเร็วได้มากกว่าสามร้อยห้าสิบ แซงหน้าเหยี่ยวเพเรกริน (Peregrine falcon) นกที่เร็วที่สุดในโลกไปแบบขาดลอย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อเสีย มันพบว่าที่ความเร็วขนาดนั้น มันจะไม่สามารถหักเลี้ยวได้เลย ต้องพุ่งเป็นเส้นตรงเท่านั้น หรือถ้าเลี้ยวได้ก็ต้องเป็นวงกว้างมาก ๆ แถมที่ความเร็วขนาดนั้น มันจะหายใจไม่ออก ขีดจำกัดจึงอยู่ที่ว่า มันกลั้นหายใจได้นานแค่ไหน แต่ในความเป็นจริง มันคงไม่ค่อยได้มีโอกาสทำความเร็วขนาดนั้นบ่อยเท่าไหร่หรอก

ความเร็วปกติที่มันยังคงสามารถควบคุมทิศทางและเบรกได้อย่างอิสระ คือประมาณตั้งแต่หนึ่งถึงสี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง มันสามารถบินไปได้ทุกทิศทางแม้กระทั่งบินถอยหลัง แต่ก็ไม่เร็วมาก แค่ใช้ประโยชน์จากแรงเฉื่อยขณะกระพือปีกเท่านั้น จะไม่นับเลยก็คงได้

ส่วนการทดสอบด้านเพดานบินสูงสุด มันสามารถบินได้สูงกว่าสามหมื่นสี่พันฟุต หรือมากกว่าสิบกิโลเมตร แล้วก็พบว่ามันไม่สามารถไปสูงกว่านี้ได้ เพราะนอกจากไต่ระดับไม่ขึ้นแล้ว ยังหนาวเหน็บสุดขั้วแล้วยังหายใจลำบากอีกด้วย

เมื่อรู้ขีดจำกัดของตัวเองแล้ว มันก็หันมาฝึกบินเพิ่มระดับความชำนาญตามปกติที่ไม่สูงมากนัก จนเมื่อมันมั่นแล้วว่า มันได้สำเร็จวิชาการบินครบถ้วนทุกกระบวน มันก็เข้าสู่ภาวะเตรียมพร้อม กินให้อิ่ม นอนหลับอย่างเต็มตื่น ฟื้นฟูความเหนื่อยล้าทางกายจนฟิตเปรี๊ยะ

เช้าวันที่สามสิบเจ็ด...

มันก็พร้อมที่จะออกจากป่า...

...............................................................

เช้าตรู่ เจ้ามังกรขึ้นไปยืนอยู่บนส่วนปลายของแท่นหินรูปคอกิ้งก่าติดริมทะเลสาบ มันยืนเหยียดตรง ปีกทั้งสองข้างกางออกครึ่งหนึ่ง ลำคอและศีรษะชูเชิดหางปล่อยราบแต่ไม่แตะพื้น มันจึงแลดูสง่างามราวกับรูปปั้นที่มักตกแต่งอยู่ในสถาปัตยกรรมระดับสูง ข้างตัว มีใบไม้ขนาดใหญ่ที่บรรจุลูกไม้บด มันเตรียมมาเพื่ออะไรสักอย่าง

มันยืนนิ่งชูคอหลับตาพริ้ม ปลดปล่อยประสาทสัมผัสทั้งหกให้เป็นอิสระ สูดอากาศยามเช้าเข้าจนเต็มปอดแล้วค่อย ๆ ผ่อนออกอย่างไม่รีบร้อน ดื่มด่ำกับกลิ่นทุกกลิ่นที่สัมผัสได้ สดับฟังเสียงทุกเสียงที่ผ่านเข้ามา ทั้งเสียงนก แมลง สัตว์ป่า เสียงลม น้ำ และแม้กระทั่งเสียงใบไม้กระทบกัน จากนั้นมันก็คาบส่วนปลายทั้งสองของใบไม้ สะบัดเหวี่ยงโปรยเศษลูกไม้บดลงสู่ผิวน้ำด้านล่าง แล้วยืนสงบนิ่ง

ขอบคุณปลาทั้งหลาย ที่เป็นอาหารยังชีพให้แก่เรา...

ขอบคุณทะเลสาบ ที่เป็นแหล่งน้ำให้แก่เรา...

ขอบคุณต้นไม้ ที่มอบร่มเงาให้แก่เรา...

ขอบคุณสัตว์ป่า ที่เป็นทั้งเพื่อนและอาหารแก่เรา...

ขอบคุณป่า ที่เลี้ยงดูเรา...

ขอบคุณขุนเขา ที่ช่วยฝึกฝนเรา...

นี่เป็นพิธีกรรมขอบคุณที่มันนึกขึ้นได้ตามสัญชาติญาณที่ฝังอยู่ในสายเลือด เจ้ามังกรนึกทบทวนทุกสิ่งทีกอย่างที่เกิดขึ้นตลอดหนึ่งเดือนกว่า ว่ามันได้มีปฏิสัมพันธ์กับอะไรมาบ้าง แล้วกล่าวขอบคุณสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด ในฐานะของมังกร สิ่งมีชีวิตที่เกิดมายืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกธรรมชาติ มันต้องตระหนักและสำนึกบุญคุณของทุกปัจจัยที่ทำให้มันมีชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้

และวันนี้ ก็เป็นวันที่มันจะไปจากป่าแห่งนี้

คิดแล้วก็น่าใจหาย แม้จะเป็นแค่ช่วงสั้น ๆ แต่มันก็ได้อะไรหลายอย่างจากการอาศัยอยู่ในป่านี้ จนมันรู้สึกผูกพัน มีแม้กระทั่งเสี้ยวหนึ่งในใจที่อยากจะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ไปเรื่อย ๆ ตามประสาสัตว์ป่า แต่อีกใจหนึ่งที่ใหญ่กว่าและทรงพลังมากกว่า คือการออกตามหาพวกพ้องที่อยู่ที่ไหนสักแห่งข้างนอก

การที่จะต้องคิดว่า ตัวเองเป็นคนเดียวของเผ่าที่เหลืออยู่บนโลก มันน่ากลัวสุดขั้วหัวใจเลยล่ะ...

เพราะฉะนั้น มันจึงออกตามหาพวกพ้อง ไม่ว่าจะอยู่ซอกมุมไหนของโลกนี้ก็ตาม

ว่าแล้ว เจ้ามังกรก็ระโจนออกจากส่วนปลายของหิน กางปีกโผทะยานสู่ความว่างเปล่าอย่างมั่นใจ ร่างกายของมันร่อนถลาลงนิดหน่อยก่อนจะไต่ระดับขึ้นตามจังหวะการกระพือปีก ไม่นาน มันก็บินอยู่เหนือป่าที่ความสูงประมาณร้อยเมตร มุ่งตรงไปยังทิศทางที่มังกรขาวตัวนั้นมุ่งหน้าไป หรือก็คือ ทางทิศใต้

...ลาก่อน บ้านป่า..

มันกล่าวลาเป็นครั้งสุดท้าย แล้วมุ่งหน้าไปอย่างไม่มีวันถอยหลังกลับ...

...........................................................

ด้วยความเร็วอันน่าอัศจรรย์ ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงมันก็ออกพ้นแนวป่าที่มันเคยต้องใช้เวลาเดินร่วมค่อนวัน ผ่านเข้าสู่พื้นที่กสิกรรมที่มันเคยเข้ามาเล่นซน ภาพจากมุมสูงยิ่งทำให้มันรู้สึกทึ่งไปกับสิ่งที่เห็น พื้นที่ราบถูกแบ่งออกเป็นตาราง ๆ อย่างเป็นระเบียบ แต่ละบล็อกปลูกต้นไม้เรียงเป็นแถวเป็นแนว แลดูสวยงาน แต่ก็ผิดธรรมชาติ อย่างไรก็ดี มันไม่คิดจะลงไปเยี่ยมเยียนที่นั่นอีกในเวลานี้

พ้นจากนี่ไป ก็จะเป็นสถานที่ ๆ มันไม่เคยพบเห็นมาก่อน
ที่นั่นจะเป็นแบบไหนกันนะ? จะมีตัวอะไรอยู่บ้าง? จะมีมังกรแบบมันอยู่รึเปล่า?

แค่คิด ก็ตื่นเต้นแล้ว

มันบินไต่ระดับขึ้นไปเหนือเมฆเพื่อมองโลกจากมุมสูง ไม่รู้ค่าเป็นตัวเลขก็จริง แต่นี่เป็นระดับความสูงเดียวกับที่พวกนกอพยพเป็นระยะทางไกล ๆ บินกัน สูงมากจนเมื่อมองจากพื้นก็แทบจะไม่สังเกตเห็นตัวมันด้วยซ้ำ แต่สำหรับเจ้ามังกรนั้นตรงกันข้าม มันมองเห็นโลกเบื้องล่างเป็นรัศมีกว้าง และตื่นตาตื่นใจไปกับภาพทิวทัศน์ใหม่ ๆ ของภูมิประเทศที่ค่อย ๆ ผ่านเข้ามาในสายตา ตั้งแต่ทุ่งหญ้าสีเขียวขจีที่มีฝูงสัตว์นับร้อยกำลังแทะเล็มหญ้า ที่ราบลุ่มชื้นแฉะริมฝั่งแม่น้ำ ทะเลสาบใหญ่กลางแนวหุบเขาที่มีผนังโค้งประหลาด ๆ กั้นอยู่ด้านหนึ่ง

นั่นคือเขื่อน แต่เจ้ามังกรไม่รู้

สิ่งประดิษฐ์น้ำมือมนุษย์มากมายผ่านเข้ามาในสายตา แต่มันไม่รู้ว่าคืออะไร มันเห็นทั้งเสาไฟฟ้าแรงสูงตั้งตระหง่านเรียงเป็นแถว มันก็นึกว่าเป็นต้นไม้ชนิดหนึ่ง สายไฟมันก็นึกว่าเป็นเถาวัลย์ เห็นบ้านคนก็แค่ก้อนหินรูปร่างแปลกตา เห็นรถยนต์ก็ว่าเป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง

โลกภายนอกมีสิ่งที่มันไม่เคยเห็นไม่รู้จักอยู่เต็มไปหมด

แต่ก็ยังไม่มีวี่แววของมังกรสีขาวตัวนั้น

หลังจากบินมาได้ค่อนวัน ดวงอาทิตย์เริ่มเคลื่อนมาอยู่เหนือหัวค่อนไปทางด้านหน้า แสงแยงตามันจึงเริ่มมองอะไรไม่ค่อยชัด แถมการบินสวนลมทำให้ใช้แรงมากกว่าปกติเป็นสองเท่า เจ้ามังกรจึงตัดสินใจมองหาที่แวะพักที่แนวโขดหินที่เรียงรายเป็นแนวยาวราวกับกำแพงธรรมชาติ อยู่ห่างออกไปข้างหน้าไม่กี่กิโลเมตร

พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ!

“!!!?”

ทันใดนั้นเอง มันก็ถูกห้อมล้อมด้วยสีขาวจำนวนมหาศาลและเสียงร้องเซ็งแซ่ เจ้ามังกรตกใจจนทำอะไรไม่ถูก วิสัยทัศน์ทั้งหมดถูกบังจนมองอะไรไม่เห็น สีขาวจำนวนมหาศาลนี้ก็หมุนวนเคลื่อนที่ไปมาทุกทิศทางลานตาไปหมด จนเจ้ามังกรยังสับสนไม่รู้บนรู้ล่าง มารู้สึกตัวอีกที มันก็เสียหลักถลาเข้าไปชนกับโขดหินอย่างจัง

ผล่อก!! - “แอ๊ก!?”

มันหยุดชะงัก จากความเร็วห้าสิบ เหลือศูนย์ในพริบตา แล้วก็ร่วงลงไปพังพาบอยู่กับพื้นริมฐานของผนังหิน

อูย...

ไม่ได้นับดาวแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ...

หลังจากผ่านไปครึ่งนาที และด้วยความเคยชินกับความซุ่มซ่ามทำให้ต้องหัวกระแทกอยู่บ่อยครั้ง มันก็เริ่มฟื้นตัวอย่างรวดเร็วกลับมายืนบนขาทั้งสี่ได้อีกครั้ง สะบัดหัวอีกนิดหน่อย ก็หายเป็นปลิดทิ้ง

เมื่อมันเงยหน้าขึ้น มันก็อ้าปากค้าง เพราะสิ่งที่เห็น... สิ่งที่ห้อมล้อมรอบตัวมันทุกทิศทางสามร้อยหกสิบองศา สิ่งที่ทำให้มันถึงกับสับสนทิศทาง คือฝูงนกสีขาวจำนวนนับร้อยไม่สิ นับพันตัวบินอยู่เต็มท้องฟ้าใกล้กับพื้นดิน นี่คือนกนางนวล (Gull) ระหว่างรวมฝูงหากินแถมชายฝั่ง การมาของสัตว์ปีกขนาดใหญ่อย่างเจ้ามังกรได้สร้างความแตกตื่นให้กับฝูงนกนางนวลและแตกฮือขึ้นมาพร้อม ๆ กัน

“อู่...” เจ้ามังกรทำหน้าเบ๊ เพื่อพบว่าพื้นที่มันเหยียบอยู่ เต็มไปด้วยมูลนกจำนวนมาก

สงสัย ความคิดที่จะแวะพักตรงนี้ดูจะผิดมหันต์เสียแล้ว

มันปีนขึ้นกำแพงหินอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้ลื่น จนเมื่อขึ้นมาถึงข้างบน มันก็พบกับอีกหนึ่งทิวทัศน์ที่ทำให้มันต้องเบิกตาโพลงอ้าปากค้างอีกรอบ

น้ำ

น้ำ

แล้วก็น้ำ

ผืนน้ำสีครามเข้มแต้มด้วยเกลียวคลื่นแตกฟองสีขาวกว้างใหญ่ไพศาลทอดตัวไกลสุดสายตา มันว่าทะเลสาบใหญ่แล้วนะ นี่ใหญ่ยิ่งกว่าตั้งไม่รู้กี่ร้อยเท้า พื้นที่สีน้ำเงินที่มันเห็นอยู่ลิบ ๆ ตอนบินครั้งแรก คือไอ้นี่เอง เกิดมาได้เดือนเศษ เจ้ามังกรก็ได้เห็นทะเลเป็นครั้งแรก

เสียงคลื่นน้ำที่ถาโถมเข้าสู่ชายหาด กระทบโขดหินแตกเป็นพรายฟองสีขาว

เสียงลมทะเล (Sea Breeze) พัดอื้ออึงเข้าสู่ฝั่ง

เสียงนกนางนวลที่คละเคล้ากับเสียงทั้งสองที่ว่ามา

แสงอาทิตย์ที่สะท้อนแสงระยิบระยับอยู่บนผิวน้ำ แต้มผืนน้ำสีครามเข้มให้ดูโดดเด่นสวยงามจับตา

กลิ่นของท้องทะเล (กลิ่นเกลือ กลิ่นสาหร่ายเน่า และกลิ่นฉุนของซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ความคิดที่ว่ากลิ่นทะเลดีต่อสุขภาพนั้น ผิดทั้งเพ)

มันลืมหมดทุกสิ่งทุกอย่าง นั่งมองท้องทะเลอยู่ท่ามกลางฝูงนกนางนวล ดวงตาทั้งสองส่องประกายระยิบระยับตามแสงสะท้อนบนผิวน้ำ ในป่ามันคือสัตว์ที่ตัวใหญ่ที่สุดที่เอาชนะเจ้าป่าหน้าเก่าอย่างหมีได้ แต่ที่โลกภายนอก มันช่างเล็กจิ๋วเสียเหลือเกิน มีสัตว์อีกนับล้านที่มันยังไม่เคยรู้จัก มีเรื่องราวอีกมากมายนับไม่ถ้วนที่มันต้องเรียนรู้ ข้ามผืนน้ำที่ดูเหมือนจะกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตนี้ไป จะมีอะไรอีก? โลกใบนี้ช่างกว้างใหญ่ไพศาลเหนือคณานับ

ป่าที่มันอยู่ ก็แทบจะไม่ต่างกับกะลาครอบ

เมื่อได้มาเห็นอย่างนี้แล้ว เจ้ามังกรก็ยิ่งเชื่อมั่น ว่าพวกพ้องพงศ์เผ่ามังกรของมัน อาศัยอยู่ที่ไหนสักแห่งในโลกนี้
มันไม่รู้สึกท้อเลยสักนิด เมื่อคิดว่าจะต้องบินข้ามท้องน้ำอันกว้างใหญ่

ตรงข้าม มันกำลังสั่น อยากที่จะบินเต็มแก่

บินไปให้สุดขอบฟ้า ที่เห็นอยู่ลิบ ๆ เส้นที่ตัดแบ่งระหว่างผืนน้ำกับท้องฟ้า

มันจะได้เจอกับอะไร

เรื่องราวแบบไหนที่รอคอยมันอยู่

โลกแบบไหนที่มันกำลังจะได้เผชิญ

เจ้ามังกรรู้ได้โดยสัญชาติญาณ ว่าการบินข้ามทะเลในเวลากลางวันไม่ใช่ความคิดที่ดี กระแสลมที่พัดโหมเข้าสู่ชายฝั่งจะทำให้การบินยากลำบากกว่าเดิม ช้ากว่าเป็นเท่าตัว และเหนื่อยเป็นสองเท่า มันไม่รู้ว่าจะต้องบินไปไกลแค่ไหน และนานแค่ไหน จึงเลือกวิธีการบินที่ออมแรงที่สุดไว้ก่อน

สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือ รอ แต่จะทำอะไรเพื่อฆ่าเวลาดีล่ะ?

มันมองไปยังชายหาดที่มีคลื่นน้ำซัดสาดอยู่ตลอด ตอนอยู่ในป่า แหล่งน้ำแหล่งเดียวคือลำธารเอื่อย ๆ และหนองน้ำนิ่ง ๆ มันไม่เคยเจอคลื่นน้ำซัดฝั่งมาก่อน แถมมองดูฝูงนกที่บินขึ้นบินลงจากอากาศสู่ใต้น้ำ เห็นแล้วก็น่าสนุก

เล่นน้ำดีกว่า

ว่าแล้ว เจ้ามังกรก็วิ่งกึ่งกระโดดด้วยท่าทีลิงโลดลงไปสู่ชายหาด แล้วมุ่งหน้าเข้าใส่คลื่นลูกล่าสุดที่กำลังจะซัดเข้ามา

ซ่า!! – “อุก!?”

ด้วยความประมาทและไม่ทันระวัง น้ำทะเลทะลักเข้าปากมาเต็ม ๆ แถมยังกลืนเข้าไปอึกใหญ่ ๆ รสเค็มจัดของน้ำทะเลทำให้ประสาทของเจ้ามังกรช็อคสนิท หน้าเขียวปั๊ด แล้วเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำ ก่อนจะสำรอกเอาน้ำเกลือออกมาจากกระเพาะ

อ้วววกกกก!!!!

เค็ม!! อะไรมันจะเค็มขนาดนี้!! เจ้ามังกรรีบถอยกรูดออกจากคลื่นลูกถัดไปที่กำลังเข้าซัด หน้าซีดเผือด เกิดอาการแหยงน้ำทะเลขึ้นมาทันใด

มันทั้งขากทั้ง:-)น้ำลายอยู่บนหาดทรายพักใหญ่กว่าจะหมดรสเค็ม น้ำพวกนี้ไม่ใช่น้ำที่จะดื่มกินได้ตามปกติ ตรงกันข้าม ความเค็มจัดของมันยิ่งทำให้เจ้ามังกรรู้สึกกระหายน้ำเข้าไปอีก มันจึงไม่มีทางเลือก ตัดสินใจบินกลับลึกเข้าไปในฝั่งเพื่อหาน้ำกิน ความคึกที่อยากจะเล่นน้ำทะเลสลายหายไปหมดสิ้น

มันเลือกลำธารที่ใกล้ที่สุดที่หาได้ กินน้ำจืดเพื่อล้างปากท้องจนกระทั่งกลับมาสดชื่นได้เหมือนเก่า จากนั้นก็มองหาร่มเงาเหมาะ ๆ ใต้ต้นไม้เพื่อหลบพักหลับนอนเอาแรง ถ้าสัญชาติญาณของมันถูกต้อง มันจะข้ามทะเลในเวลากลางคืนนั่นหมายถึงมันต้องบินตลอดคืน นอนเสียแต่ตอนนี้ดีที่สุด

..............................................................

ท้องฟ้ายามค่ำคืนพร่างพราวไปด้วยหมู่ดาว สว่างไสวโดดเด่นด้วยพระจันทร์เพ็ญ กลายเป็นแสงนวลที่สวยงามสะอาดตา พื้นโลกเบื้องล่างกลายเป็นอาณาเขตที่มืดสลัวและไร้สีสัน แต่ถึงกระนั้น นี่ก็คือความงดงามของโลกแห่งรัตติกาล ตรงข้ามกับโลกแห่งทิวากาล ที่ซึ่งแสงอาทิตย์เจิดจ้าจะสาดส่องทุกสิ่งทุกอย่างโดยไม่แบ่งแยก และสิ่งที่กำลังโบยบินอยู่บนท้องฟ้ายามค่ำคืนเหนือโลกทั้งสองใบนี้ ก็คือสิ่งมีชีวิตบินได้ที่มีร่างกายยาวกว่าสี่เมตร

มังกร...

มันโบยบินอาบแสงจันทร์และสายลมยามค่ำคืนไปพร้อมกับมองโลกที่ดำมืดเบื้องล่าง และกำลังอิ่มเอมไปกับมัน

ทันใดนั้นเอง

ฟุบ!!

จุดแสงสีส้มปรากฏขึ้นท่ามกลางพื้นโลกที่ดำมืด จากนั้นก็แผ่ขยายอย่างรวดเร็วไปทุกทิศทาง ไม่กี่วินาที โลกที่ดำมืด ก็ถูกแทนที่ด้วยท้องทุ่งแห่งเปลวไฟสีแดงฉานลุกโชติช่วงชัชวาล ไอร้อนระอุรู้สึกได้ขึ้นมาถึงบนฟ้าสูง สะเก็ดไฟสีแดงลอยฟุ้งไปทั่ว กลุ่มควันหนาทึบเข้าปกคลุมท้องฟ้า สะท้อนแสงสีแดงของเปลวไฟแลดูน่าสะพรึงกลัว เสียงแตกเปรี๊ยะ ๆ ของสิ่งที่กำลังถูกเผาไหม้ได้ยินมาถึงข้างบน แทรกด้วยเสียงร้องโหยหวนของสัตว์ป่าที่กำลังดิ้นรนอยู่ในเปลวไฟ มันมองเห็นกวางตัวหนึ่งที่มีไฟลุกท่วมวิ่งหนีออกมาจากกองเพลิงก่อนจะสิ้นแรงล้มลงตายอย่างน่าอนาถ

เจ้ามังกรร่อนลงมาดูภาพที่เห็นด้วยสีหน้าตื่นตะลึง

ทันใดนั้นเอง เสียงเฮดังสั่นนับร้อย ๆ เสียงก็ดังขึ้นจากฟากหนึ่งของทุ่งสีเพลิง ตามด้วยเสียงเสียดสีของโลหะ จากนั้นสัตว์ยักษ์สีดำมะเมื่อมก็เคลื่อนออกมาจากกองเพลิง แม้ดูไกล ๆ ก็รู้สึกได้ ว่าเจ้านี่ทรงพลังและน่าเกรงขามมาก ขาของมันเป็นแผงเหล็กขนาดใหญ่ที่สามารถบดขยี้ได้ทุกอย่าง หัวป้อม ๆ ของมันมีเขายื่นยาวออกมาโดดเด่น จากนั้นรอบตัวพวกมัน ก็คือฝูงสัตว์สองเท้านับร้อย ๆ ที่ส่งเสียงเฮราวกับจะปลุกขวัญ

ต่อจากการปรากฏตัวของฝูงสัตว์สองเท้ากับสัตว์โลหะยักษ์ ก็เป็นเสียงคำรามน่าเกรงขามประสานกันนับร้อย ๆ เสียงของสิ่งมีชีวิตอีกชนิด เจ้ามังกรรู้ได้ทันทีว่านั่นคือเสียงมังกร

บนทุ่งสีเพลิง ฝั่งตรงข้ามกับฝูงสัตว์สองเท้า คือมังกรนับร้อยตัวที่โผออกมาจากเปลวไฟพร้อมส่งเสียง ขู่คำรามกึกก้องไปทั่วท้องฟ้า ทางนี้เต็มไปด้วยมังกรหลากหลายขนาด หลายสายพันธุ์ หลายรูปร่าง ทั้งสองฝ่ายประจันหน้ากันอยู่บนทุ่งสีเพลิง และเจ้ามังกรสามารถบอกได้ทันทีว่า ทั้งสองฝ่าย ไม่ได้ตั้งใจจะมาจัดงานสังสรรค์กันแน่ ๆ แววตาของทั้งเจ้าสัตว์สองเท้า และเหล่ามังกรฉายแววดุดันและกระหายที่จะเข่นฆ่า ไม่ผิดแน่ นี่คือสงคราม

โดยไม่มีสัญญาณเตือน ทั้งสองฝ่ายพุ่งเข้าใส่กันพร้อมกับส่งเสียงราวกับคลุ้มคลั่ง สัตว์เหล็กยักษ์พ่นเปลวไฟออกจากปลายเขา ก่อนจะเกิดการระเบิดรุนแรงขึ้นอีกฝั่งหนึ่ง และมีมังกรอย่างน้อยสองตัวดับดิ้นเพราะมัน ฝั่งมังกรเองก็รุกเข้าประชิดพร้อมกับพ่นไฟแผดเผาเหล่าสัตว์สองเท้าจนไหม้เป็นจุณ ต่างฝ่ายต่างก็เข้าห้ำหั่นกันเพื่อให้ตายกันไปข้าง อย่างไม่มีท่าทีจะผ่อนปรนหรือเลิกรา

เจ้ามังกรได้แต่ดูสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความสับสนและทำอะไรไม่ถูก

ทุกวินาทีที่ผ่านเลย ทั้งสองฝ่ายก็ยิ่งล้มตายมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็ไม่มีใครคิดจะถอย

เสียงกรีดร้อง

เสียงคำราม

เลือด

ไฟ

ระเบิด

ภาพทุกอย่างถูกสับต่อเข้าสู่สายตาของเจ้ามังกรที่ยังไม่เดียงสาราวกับเป็นการยัดเยียด ผัดเปลี่ยนหมุนเวียนอย่างรวดเร็วเหมือนฟิลม์หลาย ๆ ม้วนที่ถูกตัดเป็นชิ้น ๆ แล้วเอามาต่อกันโดยไม่เรียง เต็มไปด้วยความสับสนอลหม่านจับต้นชนปลายไม่ถูก จนกระทั่ง...

..............................................................

“!?” เจ้ามังกรลืมตาตื่นขึ้น

มันชูคอมองไปรอบตัวอย่างรวดเร็วเพื่อให้แน่ใจว่ามันอยู่ในที่ ๆ ควรจะอยู่ ใต้ต้นไม้ใหญ่ใกล้กับลำธาร แล้วถอนหายใจด้วยความโล่งอกพลางบอกกับตัวเอง แค่ฝัน...

...?

ว่าแต่... เราฝันอะไรหว่า?

มันเอียงคอฉงน เช่นเดียวกับมนุษย์ สมองของเจ้ามังกรไม่ให้ความสำคัญกับความฝันมากไปกว่าภาพความสับสนขณะเรียบเรียงข้อมูล (Defragment) เมื่อตื่นขึ้น ก็จะลืมอย่างรวดเร็วไม่ว่าเจ้าตัวจะอยากจำแค่ไหนก็ตาม น้อยครั้งที่จะจำได้ สำหรับเจ้ามังกร มันลืมความฝันเมื่อครู่เสียจนสนิท...

ช่างมัน ไปดีกว่า...

มันอ้าปากหาวแล้วลุกขึ้นบิดขี้เกียจ มันหลับไปนานแค่ไหนอันนี้ไม่รู้ แต่ตอนนี้ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว น่าจะเลยช่วงหัวค่ำเข้ามาพอสมควร ก็น่าจะหลับนานพอดู แหงล่ะ มันตั้งใจจะนอนชดเชยทั้งคืน ไม่ได้หวังงีบหลับแค่สองสามชั่วโมงอยู่แล้ว

เมื่อกลับมาที่ชายหาด มันก็พบว่าแม้จะเป็นที่เดียวกัน แต่ในเวลากลางคืนนั้นต่างออกไปสุดขั้ว ฝูงนกนางนวลนับพันที่เคยบินว่อนตอนนี้ไม่มีเหลือแม้แต่ตัวเดียว พวกมันกลับไปหลบนอนอยู่ตามแนวโขดหินริมฝั่งที่อยู่ห่างออกไป ผืนน้ำที่เคยเป็นสีครามเข้มยามกลางวัน ตอนนี้ดำมืดราวกับจะดูดกลืนทุกสิ่งทุกอย่างที่เฉียดเข้าไปใกล้ แสงจันทร์สะท้อนไหวเป็นริ้ว ๆ อยู่บนเกลียวคลื่นแลดูสวยงามไปอีกแบบ

ที่สำคัญกว่า คือกระแสลม ที่ตรงข้ามกับตอนกลางวัน

เจ้ามังกรกระโดดขึ้นไปบนแนวโขดหินริมฝัง สัมผัสกับกระแสลมบก (Land Breeze) ที่พัดออกสู่ทะเลในเวลากลางคืน นี่คือความเป็นใจของกระแสลม ด้วยเงื่อนไขต่าง ๆ เหล่านี้ มันจะสามารถทำความเร็วได้มากกว่าปกติสองเท่าด้วยแรงเท่าเดิม ทำให้นี่ คือช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการบินข้ามทะเล

มันมองไปที่เส้นขอบฟ้า ตัดแบ่งระหว่างผืนน้ำดำมืด และท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้ม จินตนาการถึงเรื่องราวต่าง ๆ นา ๆ ที่กำลังรอให้มันไปพบ จากนั้นก็กางปีกโผทะยานออกสู่อากาศอย่างมั่นใจ

จากคุณ : Hyper Takuto
เขียนเมื่อ : 28 มิ.ย. 54 05:02:38




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com