Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
xxx บ่วงพันธการ..บทที่ ๖ xxx ติดต่อทีมงาน

“จะบ้าเรอะ ! แค่นี้ฉันก็สะอิดสะเอียนเต็มทนแล้ว ฉันไม่มีวันแต่งงานกับคุณเด็ดขาด”
เมธิกาตวาดลั่น ทันทีที่อชิระบอกถึงความต้องการ

“แต่ผมมีข้อเสนอมาแลกกับอิสระตลอดชีวิตของคุณนะ”

“ฉันไม่เชื่ออะไรคุณทั้งนั้น”

ชายหนุ่มถอนใจยาว เมื่อมาถึงจุดนี้ ตัวเขาก็ไม่สามารถผ่อนปรนอะไรได้เช่นกัน
“คุณไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากทางที่ผมกำหนดให้เท่านั้น คือ หนึ่งแต่งงานอยู่กับผมหกเดือน หลังจากนั้นผมจะปล่อยคุณไป และทางเลือกสุดท้าย นั่นก็ขึ้นอยู่กับตัวคุณว่าพร้อมที่จะเป็นดาราดังรึยัง เพราะรับรองเลยว่า ผมจะปั้นคุณให้ดังทะลุฟ้าจนเดินไปที่ไหนๆก็จะมีแต่คนจำหน้าคุณได้”

เมธิกากัดฟันจ้องเขม็ง น้ำตาแห่งความเคืองแค้นหลั่งรินเป็นสาย และอดไม่ไหวที่จะทุบรัวไปบนแผงอกแกร่งเต็มแรง พร้อมพรั่งพรูคำพูดออกมา
“คุณมันก็ดีแต่รังแกคนที่ไม่มีทางสู้ ถ้าอยากมีเมียก็ไปหาคนอื่นสิ ทำไมจะต้องมาวุ่นวายกับฉันด้วย”

อชิระปล่อยให้เธอรัวกำปั้นอยู่หลายหมัดจนเริ่มเจ็บจึงคว้าสองข้อมือบางมายึดไว้มั่น ยิ่งสร้างความเกรี้ยวกราดให้อีกฝ่ายที่ยังระบายแค้นไม่หนำใจ
“ไปให้พ้นเลยนะ ไอ้สารเลว !” พร้อมขยับขาแตะเข้าหน้าแข้งเสียหนึ่งพลั่ก แต่ก็ไม่ถูกจังๆ เพราะอีกฝ่ายขยับหนีอย่างรู้ทัน และตอบโต้ด้วยการบีบข้อมือแน่นขึ้น จนเมธิกาหน้าเหย

“โอ้ย ! ฉันเจ็บนะ”

“ก็หยุดแผลงฤทธิ์สักทีซิ แล้วก็ทำตามที่ผมพูดซะดีๆ”

เมธิกากลืนก้อนสะอื้น รับรู้ถึงความมืดมนกำลังคืบคลานครอบคลุมจนไร้หนทางออก..ดวงตาฉ่ำนองช้อนขึ้นมองสบดวงตาคมกริบสีน้ำตาลเจือด้วยแววอ้อนวอน..จนจิตใจที่คิดว่าแข็งแกร่งกลับอ่อนยวบด้วยความสงสารจับใจ
“..ขอร้องล่ะ..ปล่อยฉันไปเถอะนะ คุณไปหาคนอื่นที่เขาพร้อมจะทำทุกอย่างที่คุณต้องการเถอะ..ฉันไม่มีอะไรเหลือให้คุณแล้ว..ได้โปรดขอชีวิตที่เหลือของฉันคืนเถอะนะ..”

แล้วก็ก้มหน้าสะอึกสะอื้นบีบคั้นให้ฝ่ามือใหญ่ที่พันธนาการแน่นหนาเริ่มคลายออก เลื่อนมาสัมผัสเพียงแผ่วเบากับลาดไหล่ละมุน ก้มหน้าพูดด้วยโทนเสียงนุ่มนวล

“ขอโทษนะเมธิกา ผมเองก็ไม่อยากทำให้คุณเสียใจเหมือนกัน มันอาจจะเป็นพรมลิขิตที่กำหนดให้เราต้องลงเอยกันแบบนี้ แต่ผมขอให้คำสัญญาว่า ระหว่างที่เราอยู่ด้วยกัน ผมจะไม่รังแกคุณเด็ดขาด และคุณสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติทุกอย่าง ขอแค่ให้ทนอยู่กับผมหกเดือนเท่านั้น แล้วคุณจะเป็นอิสระ”

เมธิกามองสบเขาอย่างไม่เข้าใจ และนัยน์ตาคมเรียวสีน้ำตาลที่ทอดมองแลอ่อนโยนจนไม่อยากเชื่อ ว่าจะเป็นสายตาของคน คนเดียวกันกับที่ข่มขู่เธออยู่เมื่อครู่
“..ฉันไม่เข้าใจ..ถ้าคุณไม่ต้องการฉัน แล้วทำไมต้องแต่งงานกันด้วย คุณปล่อยฉันไปตอนนี้เลยก็ได้ ทำไมต้องรออีกตั้งหกเดือน”

“เพราะแม่ของผมคงอยากได้คุณเป็นลูกสะใภ้ไงล่ะ เราถึงต้องแต่งงานกันฉุกละหุกแบบนี้ ผมแค่อยากเห็นท่านมีความสุขก็เท่านั้น”

“แต่แม่ของคุณกำลังมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น แล้วถ้ารู้ว่าฉันถูกบังคับให้แต่งงาน แม่ของคุณยังจะมีความสุขอยู่อีกเรอะ”

“ผมถึงให้คุณเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับไงล่ะ”

“แล้วถ้าถึงวันที่ฉันอยู่จนครบหกเดือน แม่ของคุณจะไม่ว่าอะไรเรอะที่เราแยกทางกัน”

“เรื่องนั้นไม่มีปัญหา..คนเราถ้าอยู่ด้วยกันไม่ได้ ก็ต่างคนต่างไป เรื่องแบบนี้แม่ของผมท่านก็พอจะเข้าใจ”

แม้จะยกมารดามาอ้าง แต่เหตุผลหลักๆนั้น เป็นเพราะต้องการเวลาในการเชื่อมสัมพันธไมตรีกับบิดาของเธอซึ่งถ้าสามารถทำให้บุริมทร์เชื่อได้สนิทใจจนกล้าที่จะเปิดเผยข้อมูลที่ต้องการได้ก่อนหกเดือน พันธะระหว่างเขากับเมธิกาก็ไม่จำเป็นต้องยืดเยื้อต่อไป

“..นี่ตกลงว่า..ฉันไม่มีทางเลือกอื่นเลยสินะ..” เมธิกาพึมพำอย่างสิ้นหวัง

“มันคงต้องเป็นอย่างนั้น”
สองฝ่ามือใหญ่ค่อยคลายออกจากไหล่บางเปลี่ยนมาซุกลงในกระเป๋ากางเกง สายตาแปรเปลี่ยนเป็นเฉยชาดังเดิม

“แล้วฉันจะมั่นใจได้อย่างไง ว่าคุณจะไม่ทำอะไรฉันอีก ในเมื่อ คราวที่แล้วคุณก็ยังเบี้ยวเลย”

“เพราะคุณตั้งใจที่จะเบี้ยวผมก่อนนะ เรื่องคราวนั้นจึงถือว่าเราเจ๊ากัน แต่ครั้งนี้จะไม่มีการบิดพลิ้วเด็ดขาด ถึงแม้จะไม่มีเอกสารอะไรมารับรอง แต่คนอย่างผมรักษาคำพูดเสมอ”

อชิระยืนยันหนักแน่นทั้งน้ำเสียงและสายตาที่จ้องมองสบสายตาครุ่นคิดอย่างสับสนของอีกฝ่าย
“ถ้าแม่ของคุณเข้าใจในชีวิตจริงๆ เราก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ถึงหกเดือนก็ได้..แค่สอง สาม เดือนก็น่าจะพอแล้ว”

“มันสั้นไป” เขาตอบเสียงห้วน แต่เมื่อเหลือบเห็นแววตาอ้อนวอนยังคงฉ่ำชื้นด้วยคราบน้ำตา ก็อดที่จะใจอ่อนไม่ได้ “..เอาเป็นว่า ผมลดเวลาให้คุณลงมาอีกหนึ่งเดือน และการต่อรองของเราจบแต่เพียงเท่านี้ ถ้าขืนคุณยังคงงอแง ผมอาจเปลี่ยนใจให้คุณอยู่กับผมเป็นปีเลยก็ได้”

เมื่อเจอคำขู่แบบนี้เข้า เมธิกาจำต้องเงียบมองเขาอย่างขื่นขม แค่นเสียงตัดพ้ออย่างเจ็บแค้น
“คุณมันทั้งเลว แล้วก็เห็นแก่ตัวที่สุด” และสะบัดหน้าเดินกลับไปที่รถ


พิมพ์กมลเห็นว่าเพื่อนกำลังเดินกลับมาแล้วจึงหันไปสั่งให้ศราปลดล็อกประตู ซึ่งชายหนุ่มก็ทำตามแต่โดยดี และไม่กี่นาที ร่างเพรียวกลมกลึงที่ไม่ลืมคว้ากระเป๋าสะพายไปด้วยก็ถลาถึงตัวเพื่อน เขาจึงตามลงไปบอกพี่ชายถึงเรื่องที่เหนือความคาดหมาย

“เมย์..เขายังต้องการอะไรจากเธออีก”

เมธิกาปาดน้ำตาที่ยังซึมไหล ก่อนแค่นเสียงบอกเพื่อน
“เขาต้องการให้ฉันแต่งงานด้วย”

“แต่งงาน !” พิมพ์กมลเบิกตากว้างอย่างคิดไม่ถึง และเมื่อตั้งสติได้ก็หันไปทางบุคคลต้นเรื่องอย่างขัดเคือง “คุณทำกับเพื่อนฉันถึงขนาดนี้ยังไม่พออีกเรอะ ทำไมต้องลากเพื่อนฉันให้ตกนรกไปทั้งชีวิตด้วย”

อชิระไม่สนใจในคำต่อว่านั้น แต่ผละจากน้องชายก้าวเดินเข้าหาเธออย่างเชื่องช้า
“ผมขอเก็บปืนของคุณไว้ชั่วคราวก่อน”

เมื่อจู่ๆเขามาขอสิ่งที่เธอจะใช้ป้องกันตัวกันง่ายๆแบบนี้ พิมพ์กมลก็อึ้งไปเหมือนกัน และเริ่มขยับถอยอย่างระแวงระวัง  เมื่อร่างเขาเข้ามาใกล้ทุกขณะ จนกระทั่งรู้สึกถึงอันตรายถ้าหากปล่อยให้เขารุกคืบเข้ามาใกล้กว่านี้ หญิงสาวจึงชักปืนออกมาจากกระเป๋าสะพายเล็งใส่เขา ท่ามกลางสายตาตื่นตระหนกของเมธิกา ซึ่งไม่คิดว่าเพื่อนจะมีปืนติดตัวมาด้วย ในขณะที่อชิระไม่มีทีท่าสะทกสะท้านเลย

“หยุดแค่ตรงนั้นล่ะ ขืนเข้ามาอีกก้าวเดียว ฉันเป่าคุณแน่”

“คุณมากับผมสองคน รับรองว่าปลอดภัยที่สุดแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องทุ่นแรงอะไรหรอก” เขายังคงก้าวเข้ามาเชื่องช้า เรียบเรื่อย สายตาเรียวคมกริบส่องประกายวาววับให้อีกฝ่ายขนลุกขนชันและก้าวถอยอย่างไม่รู้ตัว

“ฉันบอกให้หยุดไง ถ้าคนอย่างคุณไว้ใจได้จริง..”

ยังไม่ทันที่พิมพ์กมลจะพูดจบ ร่างเพรียวก็ปราดเข้าประชิดในฉับพลัน และเพียงชั่วพริบตา ปืนที่อยู่ในมือเธอ บัดนี้ตกไปอยู่ในมือเขาเรียบร้อยในขณะที่หญิงสาวได้แต่ยืนตะลึงงัน

“จำไว้นะสาวน้อย เจ้าสิ่งนี้น่ะมีไว้ยิง ไม่ได้มีไว้ขู่ ถ้าใจไม่ถึงแบบนี้ทีหน้าทีหลังก็อย่าริอาจแตะต้องมันอีก” พูดพร้อมถอดกระสุนออกมาจากรังเพลิงจนหมด ก่อนจะขว้างทิ้งลงไปในคูน้ำข้างทางและคืนวัตถุที่ไร้ประโยชน์คืน

“หวังว่าคงไม่พกลูกกระสุนมาด้วยนะ แล้วก็อย่าเล่นอะไรแผลงๆอีก ไม่งั้นจะจับคุณมัดไว้ท้ายรถ”

ทั้งสายตาและน้ำเสียงที่พูดออกมา พิมพ์กมลคาดเดาได้ว่า ไม่ใช่คำขู่แน่..และจากเหตุการณ์ที่เพิ่งถูกเขาแย่งปืนไปจากมืออย่างง่ายดาย เรื่องที่จะจับเธอมัดนั้นคงกลายเป็นเรื่องขี้ประติ๋วสำหรับเขาเลยล่ะ

และเมื่ออชิระเดินกลับไปขึ้นรถ เมธิกาก็เข้ามาเกาะแขนเพื่อน
“ไม่เห็นบอกกันมั่งเลย ว่าแกเอาปืนมาด้วย”

“ก็เพื่อความอุ่นใจน่ะ”

“แต่เท่าที่เห็น ฉันว่ามันกลายเป็นเครื่องมือที่กลับมาทำร้ายตัวเองนะ”

พิมพ์กลมหน้าแหย “ก็ใครจะไปคิดล่ะว่าจะถูกแย่งปืนไปได้ง่ายๆแบบนี้ ฉันแค่เผลอนิดเดียวเอง พี่แกก็เข้ามาแย่งปืนไปซะฉิบ” แล้วก็พ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิดในความอ่อนหัดของตัวเอง..คงจะจริงอย่างที่เขาพูด ว่าปืนมีไว้ยิง ไม่ได้มีไว้ขู่ “ฮึ ! ถ้ามีโอกาส คราวหน้าแม่จะยิงไม่เลี้ยงเลย ไม่มัวมาเงื้อง้าแบบนี้แล้ว”

“ยัยบ้า เดี๋ยวก็ได้ติดคุกกันหัวโตหรอก” เมธิกาเอ็ดเพื่อน ก่อนที่ศราจะส่งเสียงเรียก

“เชิญขึ้นรถครับ คุณผู้หญิง”

พิมพ์กลมมองเขาอย่างพาลๆ กระซิบบอกเพื่อน “แล้วคนแรกที่ฉันจะยิงก็คือหัวนายคนนี้ล่ะ ฮึ!”



ตัวรถเลี้ยวผ่านเข้าประตูที่คนภายในป้อมยามด้านหน้าเปิดให้..ทั้งเมธิกาและพิมพ์กมลต่างเหลียวมองสถานที่อย่างสนใจตั้งแต่รั้วบ้านสูงแต่ถูกปกคลุมด้วยพรรณไม้เลื้อยสีเขียวเข้มจนเต็มกำแพงยาวรอบพื้นที่ที่เห็นอยู่ไกลๆ และสวนกว้างตกแต่งราวกับสวนสาธารณขนาดย่อม พร้อมลานน้ำพุรอบๆประดับด้วยต้นไม้ในร่มสีเขียวขจี และเลยถัดไปเธอเห็นถึงสะพานไม้ทอดผ่านธารน้ำตกจำลองสู่เก๋งจีนแปดเหลี่ยมที่ตั้งริมสระ พื้นถนนปูด้วยอิฐตัวหนอนจัดแต่งลวดลายสวยงามทอดผ่านความร่มรื่นนำสู่ตัวอาคารไม้สักทองสองชั้นหลังใหญ่ หลังคาทรงปั้นหยา ประดับด้วยไม้แกะสลักเป็นลวดลายตามรูปแบบสถาปัตยกรรมไทยผสมจีน

เมื่อตัวรถจอดสนิท เมธิกาและพิมพ์กมลต่างเปิดประตูลงมายืนข้างตัวรถ โดยไม่รอให้ศรามาเปิดให้ และเหลียวมองรอบๆอีกครั้ง เห็นกลุ่มชายฉกรรจ์ในชุดสูทสีดำอย่างกับพวกมาเฟียในซีรี่ย์เกาหลียืนอยู่ใกล้กับกำแพง บางคนถือสายจูงสุนัขสายพันธุ์ดุทั้งสิ้น ทั้งโดเบอร์แมน อเมริกันพิทบูล และร็อตไวเลอร์ ซึ่งสองสาวต่างคิดตรงกันอย่างแหยงๆว่า หากพวกโจรขโมยหลงปีนกำแพงเข้ามาคงถูกรุมฟัดไม่เหลือซากแน่ และนอกจากนั้นยังสังเกตเห็นถึงกล้องวงจรปิดที่ติดตามมุมบ้าน

พิมพ์กมลก้าวเข้ามายืนใกล้เพื่อนสาว เมื่อก่อนเธอก็ไม่ชอบใจกับสภาพแวดล้อมภายในบ้านของเพื่อนสาวแล้วเชียวนะ ที่เป็นเสมือนแหล่งมั่วสุมของพวกกุ๊ยพวกนักเลง แต่พอย่างกรายเข้ามาภายในบ้านของผู้ชายคนนี้ เธอกลับรู้สึกถึงความอึมครึมขั้นอึดอัดจนอธิบายไม่ถูก พลางคิดถึงคำพูดของลุงบุญมีที่พูดในทำนองว่า เพื่อนของตนกำลังมีเรื่องกับบุคคลที่ไม่สมควรจะยุ่งด้วย ซึ่งเมื่อได้มาเห็นบรรยากาศรอบบ้านของเขาแล้ว เธอก็ชักจะเห็นด้วยเช่นกัน

อชิระเดินเข้ามาใกล้ และเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“อย่าทำหรือพูดอะไรมีพิรุธให้แม่ผมจับได้เด็ดขาด แล้วก็อย่าเล่นนอกบทด้วย”

เมธิกาคอแข็ง “ฉันยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบทของฉันต้องแสดงเป็นตัวอะไร”

“ไม่มีอะไรมาก แค่คุณเป็นคนรักของผม แล้วคุณก็รักผมมากด้วย”

คนฟังแทบสำลักลมหายใจ ก่อนแค่นเสียงตอบ“เกลียดมากต่างหากล่ะ”

ชายหนุ่มยิ้มเย็น “นั่นเป็นความรู้สึกในใจของคุณ แต่ที่ต้องแสดงออกต่อหน้าแม่ผมในวันนี้คือ คุณรักผมแบบสุดหัวใจเลย”

เมธิกาเบ้หน้า “รักม๊าก..มาก..ขนาดชื่อยังไม่รู้จักเลย ฮึ”

ศราหัวเราะกับคำประชดประชันนั้น
“นั่นสิ เหมือนว่าเราลืมจุดสำคัญเลยนะเฮีย”

อชิระเองก็ออกอาการอึ้ง เขาพลาดเรื่องเล็กๆแบบนี้ได้อย่างไง !
“ผมชื่อ อชิระ พาณิชย์ไพศาล แต่เรียกสั้นๆว่า เล่ย เรารู้จักกันในงานเอ็กซ์โปเมื่อห้าเดือนก่อน ส่วนที่เหลือผมจัดการเอง ส่วนน้องผมชื่อ ก้อง” แล้วก็ปรายตาไปยังพิมพ์กมล “หวังว่าคุณจะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีด้วยนะ”

“ถ้าฉันไม่เล่นตามบท คุณก็จะยกเอาคลิปของยัยเมย์มาขู่อีกใช่ไหมล่ะ”

“คุณก็รู้อยู่แล้วนี่” และหันมองไปยังสาวใช้ที่เดินออกมาตาม

“คุณนายคอยอยู่แล้วค่ะ”

อชิระพยักหน้า “กำลังจะเข้าไปแล้วล่ะ”

เมื่อสาวใช้เดินกลับไปแล้ว อชิระหันมาจับมือเมธิกากึ่งดึงกึ่งฉุดเข้าบ้านเสียดื้อๆ และพอหญิงสาวขัดขืน เขาก็หันมาสบสายตาเอาเรื่อง จนเธอต้องยอมให้เขาทำตามอำเภอใจ

ศราหันมาผายมือเชื้อเชิญพิมพ์กมล
“เชิญครับ คุณน้ำหวาน”

“รู้จักชื่อของฉันด้วยเรอะ”

“ผู้หญิงสวยๆอย่างคุณ ผมรู้มากกว่าที่คุณคาดเสียด้วยซ้ำ”

หญิงสาวถลึงตาใส่กับรอยยิ้มเจ้าชู้ยักษ์ ก่อนสะบัดหน้าเดินตามเพื่อนรักเข้าไปอีกคน



กลางห้องโถงกว้าง หญิงชรานั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็นข้างกายมีพยาบาลคู่กายกำลังมองมาด้วยรอยยิ้มละไมแสดงความต้อนรับผู้มาเยือนอย่างอบอุ่น
อชิระหันมาสบตาเมธิกานิ่งก่อนเริ่มแย้มยิ้มชนิดที่คนมองถึงกับฉงนปนตะลึงกับรอยยิ้มครั้งแรกของเขาที่ให้ความรู้สึกไม่ต่างไปจากหญิงชราผู้นี้เลย ก่อนใบหน้าคมจะหันไปหาผู้ให้กำเนิดและเอ่ยน้ำเสียงทอดนุ่ม

“ม่า..นี่ไงครับ คนที่ม่าอยากเจอ”

เมธิกายกมือไหว้นางอย่างนอบน้อมโดยอัตโนมัติ
“..สวัสดีค่ะ”

อารดากวาดมองทั่วดวงหน้าเนียนหวานใสของหญิงสาว แล้วก็หันไปพูดกับลูกชายโดยที่รอยยิ้มยังไม่เลือนหายไปจากใบหน้า
“อืม น่ารักเหมือนอย่างที่ลื้อบอกจริงๆ แบบนี้อั๊วต้องเร่งจัดการเสียแล้ว”

คนฟังก้มหน้า เม้มริมฝีปากแน่นซ่อนความขื่นขม ก่อนเหลือบมองคนข้างกายอย่างเคืองแค้น ในขณะที่เขายังยิ้มเยือน ไม่สนใจความรู้สึกของเธอ

หญิงชราเลยสายตาไปยังพิมพ์กมล “แล้ว..นั่นใครล่ะ”

“เพื่อนของคุณเมย์ครับ ชื่อน้ำหวาน” ศราเป็นคนตอบ แล้วก็เดินเข้ามาโน้มตัวกระซิบบอกด้วยรอยยิ้มทะเล้น “ถ้าเขาดุน้อยกว่านี้อีกสักนิด ผมจงจีบมาเป็นสะใภ้รองแน่ๆเลยครับ”

อารดาหัวเราะชอบใจ และมองสบหญิงสาวที่กำลังเขม็งมองศราด้วยความสงสัย

“ชื่อน้ำหวานใช่มั้ย หนู”

พิมพ์กมลละสายตาจากชายหนุ่มหันมายิ้มรับแกนๆ
“ค่ะ” พร้อมยกมือไหว้นางอย่างนอบน้อม

“แหม สาวๆสมัยนี้สวยๆกันทั้งนั้นเลย” นางเอ่ยชมอย่างจริงใจ ทำเอาคนฟังแอบยิ้มเขินไปเหมือนกัน

“มา มา เราไปที่โต๊ะอาหารกันก่อนเถอะ แล้วค่อยคุยกันไปด้วย” อารดาเอ่ยชวน และให้พยาบาลสาวเข็นรถนำไปยังห้องอาหาร


เมื่อพิมพ์กมลก้าวเข้ามาภายในห้องอาหาร แล้วก็แอบกระซิบกับเพื่อนถึงการตกแต่งที่บ่งบอกถึงชาติกำเนิดดั้งเดิม
“เหมือนฉากเรื่องตำนานรักดอกเหมยเลยว่ะแก”

“อืม”เมธิกาพยักหน้ารับ แล้วก็เหลือบเห็นว่าอชิระมองมาด้วยสายตาดุๆ เธอจึงขึงตาใส่บ้าง

และอชิระเลือกที่จะเลื่อนเก้าอี้ให้เมธิกานั่งข้างตัวเขา ส่วนพิมพ์กมลชายหนุ่มส่งซิกให้น้องชายต่างสายเลือดเป็นคนประกบกันไม่ให้หญิงสาวเผลอแสดงพิรุธอะไรออกมา ซึ่งศราก็รีบปฏิบัติตามภารกิจเฉพาะหน้านี้อย่างเต็มใจ

และอาหารก็เริ่มถูกนำทยอยออกมาวางบนโต๊ะไม้ฝังมุกตัวใหญ่

“ไม่รู้อาหารจะถูกปากกันรึเปล่านะ” อารดาเอ่ยกับสองสาว แล้วก็หันมาพูดเจาะจงกับเมธิกา “..เอาไว้เวลาที่ลื้อมาอยู่ก็ค่อยสั่งเอาเองนะว่าอยากกินอะไร”

เมธิกานิ่งเงียบ อยากตอบไปเหลือเกินว่าเธอไม่อยากมาอยู่ที่บ้านหลังนี้

“เมย์เขาไม่เรื่องมากหรอกครับ อะไรก็ทานได้ทั้งนั้น” อชิระตอบแทนให้

“เหรอ แล้วตอนนี้ทำอะไรอยู่ล่ะ”

“..หนูยังเรียนอยู่ค่ะ”

“อ้าว ยังเรียนอยู่เหรอ..ไม่เหมือนกับคนก่อนๆของลื้อเลยนะ” อารดาหันไปพึมพำในประโยคท้ายอย่างลืมตัวกับลูกชาย แต่เมื่อรู้ว่าเผลอพูดอะไรออกไปก็รีบหันมาแก้ต่างให้ เพราะเกรงว่าหญิงสาวจะโกรธเคืองบุตรชาย

“เอ่อ..อั๊วหมายถึงผู้หญิงที่อาเล่ยเคยคบอยู่น่ะ แต่เดี๋ยวนี้เขาไม่มีใครแล้วนะ ลื้อไม่ต้องห่วงเลย”

เมธิกายิ้มแกนๆ.. ‘ใครจะไปสนใจอีตานี่ล่ะ’

แล้วก็ครุ่นคิดอย่างชั่งใจ ก่อนตัดสินใจเอ่ยออกไปโดยไม่สนใจคนข้างกาย
“คือ..หนูว่าหนูยังเด็กเกินไปที่จะแต่งงาน แล้วก็ยังเรียนอยู่ด้วย ก็เลยอยากจะขอเลื่อนงานแต่งออกไปก่อนน่ะค่ะ” และหวังว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจ

แต่อารดาโบกมือว่อน
“ฮ้าย ลื้อไม่เด็กแล้ว ตอนที่อั๊วมีอาเล่ยอายุก็พอๆกับลื้อนั่นล่ะ ส่วนเรื่องเรียนก็ไม่เป็นปัญหา อยากเรียนก็เรียนไป เล่ยก็คงไม่ห้ามหรอก..ใช่มั้ยอาเล่ย”

“ครับ” ชายหนุ่มตอบรับ และรีบยื่นมือมากุมมือเย็นชืดชื่นเหงื่อของเมธิกาดั่งห้าม เพราะป่วยการที่จะหาเหตุผลมาล้มเลิกความคิดอันหนักแน่นของมารดา

“ถ้าเมย์อยากจะทำอะไรผมก็ไม่ห้ามหรอกครับ เพราะอยากให้เขามีความสุขมากที่สุด เวลาที่อยู่กับผม”
ชายหนุ่มพูดกับมารดา แต่หวังจะสื่อไปถึงคนข้างกายดั่งคำสัญญา ฝ่ามืออุ่นใหญ่ยังคงกระชับฝ่ามือของเธออย่างอบอุ่น พร้อมๆกับใบหน้าเจือด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนหันมองสบ

เมธิกามองสบสายตากับเขาได้ครู่เดียวก็เมินหลบ..หากว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้ไม่ใช่การจัดฉาก เธอก็คงเคลิ้มไปกับเขาแล้ว

หญิงสาวชักมือออกจากมือเขาอย่างเชื่องช้า ก่อนจะก้มหน้าทานอาหารในจานของตัวเองด้วยความสับสน

บทสนทนาก็ยังดำเนินต่อไป แต่อชิระจะเป็นฝ่ายตอบมารดาเสียมากกว่า หญิงสาวเพียงแค่ตอบรับเป็นลูกคู่อย่างไม่มีทางเลือก


และคืนนั้นทั้งคืน..เมธิกาไม่สามารถข่มตาข่มใจให้หลับลงได้ จิตใจคอยแต่จะว้าวุ่นคิดถึงอนาคตที่ไม่สามารถเดาทางได้เลย
“บ้าเอ้ย! ทำไมชีวิตฉันต้องมาเจอเรื่องอภิมหาซวยถึงขนาดนี้เนี่ย”

สองมือยกขึ้นกุมขมับพร้อมกลิ้งไปมาบนที่นอน ก่อนจะผุดลุกขึ้นคว้าตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลตัวใหญ่ข้างเตียงมาชกรัวเป็นชุด จินตนาการไปว่าเป็นอชิระ

“ไปตายซะตาเฒ่า..นี่แน่ะ..นี่แน่ะ”

เมื่อระบายอารมณ์จนเหนื่อยหอบแล้วเธอก็โยนตุ๊กตาทิ้งอย่างไม่ไยดี ก่อนทิ้งร่างลงนอนแผ่..แต่เพียงครู่ ก็ชำเลืองสายตากลับไปยังตุ๊กตาหมี แล้วก็ลุกขึ้นไปลากมันขึ้นมากกกอดอย่างนึกสงสาร

“โถ..ฉันไม่น่าเอาอารมณ์มาลงที่แกเลย ฉันขอโทษนะบ็อบบี้”

แล้วก็ซุกหน้าซุกซบกับขนนุ่ม พลางถอนใจเฮือกอย่างปลงตก
“เฮ้อ ! อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด สงสัยชาติที่แล้วเราคงสร้างเวรสร้างกรรมกับเขาไว้เยอะมั้ง ชาตินี้เขาเลยมาทวงคืน”


ต่อค่ะ

จากคุณ : ระรินใจ
เขียนเมื่อ : 28 มิ.ย. 54 09:28:17




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com