ในเงารัก ตอนที่ 2 และ ตอนที่ 3
|
 |
ตอนที่ 2
บ้านชาติตระกูลเป็นบ้านอิฐชั้นเดียวตั้งอยู่ท่ามกลางสวนไม้ร่มรื่นไม่ไกลจากกับบ้านรินฟ้ามาก ทางเดินด้านในปูด้วยอิฐศิลาแลงสีน้ำตาลเข้ม ตลอดระยะทางมีพืชพันธุ์ไม้นานาชนิดปลูกไว้รายล้อมเป็นแนวแถวเรียกได้ว่าเป็นบ้านสวนขนาดเล็กที่เต็มไปด้วยธรรมชาติจากต้นไม้และลำคลองตามวิถีชีวิตชาวบ้าน จะว่าไปตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่บ้านรินฟ้าพวกหล่อนก็ไม่มีเวลาได้มาเยี่ยมคุณชาติตระกูลอย่างเป็นทางการ ในโอกาสนี้เพื่อไม่ให้เสียมารยาทจึงหาของฝากมาเยี่ยมเยือนถึงจะมีธุระสำคัญที่ต้องสอบถามบ้างแต่ก็ไม่ลืมที่จะแสดงน้ำใจกับเพื่อนร่วมชายคาบ้านเดียวกัน หนูพลอยเดินหอบผลไม้มาวางหน้าชานบ้านซึ่งมีโต๊ะไม้ม้าเล็กๆ ตั้งอยู่ริมทางเข้า ชาติตระกูลเดินงุ่มงามออกมา เหลียวมองหล่อนด้วยความแปลกใจก่อนจะรีบเร่งฝีเท้าตรงเข้ามารวดเร็ว
“มีธุระอะไรหรือเปล่าครับคุณหนู”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ หนูว่าจะมาหาคุณลุงพอดีก็เลยซื้อผลไม้มาฝากน่ะค่ะ”หล่อนบอกส่งยิ้มหวาน ชายวัยกลางคนบอกเชิญให้ผู้มาเยือนนั่งรอก่อนด้วยใบหน้าแจ่มใส
“รอสักครู่นะครับ” เขาเดินกลับเข้าไปในบ้าน ในระหว่างนั้นก็กวาดตามองรอบบริเวณที่เต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่โอบล้อมเย็นตาสบายใจ ด้านข้างติดกับสวนส้มโอไม่ทราบชัดว่าผู้ใดเป็นเจ้าของแต่คุณชาติตระกูลมีหน้าที่ดูแลด้วยจึงมักจะเทียวไปเทียวมาระหว่างบ้านรินฟ้ากับสวนข้างบ้านอยู่เป็นประจำชาติตระกูลเดินกลับออกมาพร้อมกับน้ำส้มน่าทานแก้วหนึ่งหนูพลอยมองตามจนเขามาหยุดอยู่หน้าม้านั่งที่หล่อนนั่งรอ
“ขอบคุณค่ะ” หนูพลอยกล่าวเมื่อเขาวางน้ำส้มลง ชาติตระกูลทรุดตัวนั่งลงฝั่งตรงข้ามพินิจผู้มาเยือนเล็กน้อย
“วันนี้คุณหนูไม่มีเรียนหรือครับ”
“อ่อ พอดีวันนี้หนูมีเรียนบ่ายค่ะ ก็เลยแวะมาหาคุณลุงก่อน” เขาพยักหน้าช้าๆ
“ว่าแต่มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ” หนูพลอยยิ้มขันกลบเกลื่อน ชาติตระกูลเดาเก่งไม่น้อยราวกับอ่านใจหล่อนได้อย่างนั้น
“อย่าหาว่าหนูสอดรู้เลยนะคะ แต่ว่ามันค้างคามาหลายคืนแล้วเรื่องเจ้าของบ้านรินฟ้าน่ะค่ะ” ชาติตระกูลเมียงมองเล็กน้อยก่อนจะถามสวนขึ้นทันพลัน
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“คือ หลายวันมานี้หนูรู้สึกว่ามีใครคนหนึ่งคอยมาด้อมๆ มองๆ บ้านรินฟ้าแทบทุกคืน แล้วยิ่งเมื่อคืนนี้ หนูเห็นเขาจังๆ เลยนะคะ เขาเข้ามาที่สนามหญ้าเงยหน้ามองมาที่หน้าต่างห้องหนู แล้วก็...” หยุดชะงัก ชาติตระกูลยื่นหน้ารอฟังใจจดจ่อ
“เขาเข้ามาในบ้านได้ด้วยค่ะ เข้ามาที่ห้องรับแขกนะคะ ไม่ทราบว่ามีกุญแจได้อย่างไร”
“เออ...บางทีอาจจะเป็นเพื่อนๆ คุณมั้งครับ”ชาติตระกูลพยายามหาเหตุผลที่น่าจะเป็นไปได้ แต่เจ้าหล่อนส่ายหน้าไม่เห็นตามด้วย
“ไม่ใช่หรอกค่ะ เสียงของเขาเป็นผู้ชายนะคะแล้วเพื่อนๆ ของหนูก็เป็นผู้หญิงทั้งนั้น...คุณชาติตระกูลคิดว่าเขาเป็นใครกันคะ” ชาติตระกูลยังมีทีท่าลังเลอาจจะไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน แต่หนูพลอยสาบานได้ว่าไม่ได้โกหก
“คุณฝันหรือเปล่า”
“ถ้าหนูฝัน หนูไม่ร้อนใจมาหาคุณชาติตระกูลแต่เช้าแบบนี้หรอกนะคะ” เขาไม่ยอมสบตาหล่อนราวกับว่ามีความลับบางอย่างที่แอบซ่อนไม่ให้ล่วงรู้
“เขาคือเจ้าของบ้านผู้หายสาบสูญใช่หรือเปล่าคะ”
“...........”เงียบ...ชาติตระกูลนิ่งราวกับหุ่นขี้ผึ้ง ยายหนูเริ่มอยากรู้มากขึ้นขณะที่เขายังคงมีพิรุธ
“โธ่! ขอร้องนะคะ ถ้าหากเป็นเขาจริงหนูจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงอะไรมากเพราะเขาคงจะไม่มาทำร้ายพวกหนู”
“เขาไม่ทำร้ายพวกคุณหรอกครับ” เขาหลุดปากออกมาแล้ว หล่อนฉีกยิ้มเล็กน้อย
“เป็นเขาจริงหรือคะ” ชาติตระกูลไม่ปริปากแม้แต่คำเดียว
“แล้วทำไมเขาต้องทำลับๆ ล่อๆ ล่ะคะ ถ้าเขาอยากมาเยี่ยมบ้านรินฟ้า เราก็ยินดีต้อนรับเสมอ ยังไงเค้าก็คือเจ้าของบ้าน”
“บางอย่างคุณหนูก็ไม่เข้าใจหรอกครับ” หลังจากที่คุณชาติตระกูลจบประโยคทุกอย่างก็หยุดนิ่งราวกับถูกสะกดเวลาชั่วขณะ นิ่ง...นี่หมายความอย่างไร แล้วเขาก็พูดต่อ
“เพราะอดีตที่เลวร้ายที่ทำให้เขาไม่อยากจะพบกับรอยเดิม ปล่อยให้เขาได้มาเยือนในขณะที่ความทรงจำอันเลวร้ายหลับใหลจะได้ไหมครับ” คุณชาติตระกูลเคร่งขรึมมากขึ้น หนูพลอยไม่สามารถยื่นข้อเสนออะไรได้อีกในเมื่อเขาออกปากบอกถึงเพียงนี้
“หนูขอโทษนะคะที่ทำให้คุณชาติตระกูลลำบากใจ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ แต่ผมขอยืนยันนะครับว่าพวกคุณจะไม่เกิดอันตรายในบ้านหลังนี้แน่ ผมดูแลที่นี่ไม่เคยมีเรื่องเลวร้ายเลยสักครั้ง”
“ค่ะฉันเชื่อ ฉันขอโทษนะคะ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมคงต้องขอตัวก่อน”ชาติตระกูลปลีกตัวออกไปอย่างรวดเร็ว หญิงสาวแอบมองเขาจนลับตาก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาด้วยความโล่งใจยาวๆ หากเป็นอย่างที่เขายืนยันก็ไม่มีอะไรต้องคิดหนักแต่หากเขาโผล่มาในตอนที่ไม่ต้องการจะเห็นจะให้ทำตัวอย่างไร...หล่อนอาจสบายใจมากขึ้นแต่ก็ไม่เต็มร้อยทั้งที่เรื่องนั้นก็จบไปตั้งนานแต่พวกเขายังทำตัวลึกลับซ่อนเร้นแล้วจะให้ผู้เช่าอยู่วางใจได้อย่างไรว่าที่นี่จะปลอดภัย ถึงจะไม่มีอันตรายกับร่างกายแต่อาจจะมีอันตรายกับสภาพจิตใจของหนูพลอยที่ต้องคอยหวาดหวั่นอยู่ทุกคืน
วันนี้เรียนเลิกช้าเกือบร่วมชั่วโมงหนูพลอยก้มลงมองนาฬิกาที่เดินเลยไปทุ่มโมงกว่าๆ จันทร์เจ้าไม่ได้กลับด้วยเพราะไปทำธุระกับพี่นัทบอกว่าไปทานข้าวที่บ้านเจ้าสัวใหญ่พ่อทางฝ่ายชายอาจจะกลับดึก ส่วนมนสิกานต้องกลับบ้านไม่ได้มาค้างที่บ้านรินฟ้าเหลือแต่หล่อนที่ยังเดินย้ำตอกหารถกลับเพียงคนเดียว เย็นขนาดนี้รถนี่หายากเหลือเกินถ้าวันนี้ไม่ติดว่าต้องเสริมวิชาที่สำคัญคงจะได้กลับแต่หัววัน ในระหว่างที่นั่งรอรถโดยสารกลับที่ป้ายรถเมล์ทำให้ยายหนูหวนไปคิดถึงเรื่องราวปริศนาของชายของบ้านรินฟ้า เขามีทุกข์ใจมากเพียงไรกับอดีตที่ลืมไม่ได้เสียที มนุษย์เรานั้นช่างตัดขาดสิ่งที่เป็นปมฝังใจได้ยากยิ่งในเมื่อยังเก็บความทุกข์ไว้ก็ไม่มีทางที่จะเจอความสุขได้เช่นกัน
“ยังไม่กลับอีกหรือ” เสียงคุ้นหูดังแทรกขึ้น หนูพลอยหันมายังเบื้องหน้าเมื่อคุณนรัชกุลเปิดกระจกรถเก๋งสีดำลง หล่อนสะดุ้งก่อนจะยกมือไหว้เก้กังไม่ทันได้ตั้งตัว
“ค่ะ รอรถอยู่ค่ะ” เจ้าหล่อนกล่าวตอบ ชายหนุ่มพยักหน้ารับ
“บ้านรินฟ้าของคุณอยู่แถวไหน”
“เออ...อยู่แถวมหาวิทยาลัยนี้ค่ะแต่เข้าไปในซอยอีกนิด”
“นี่มันก็เย็นมากแล้วเป็นสาวเป็นนางกลับบ้านเย็นอาจจะอันตราย เป็นซอยเปลี่ยวไหม”เขาถามน้ำเสียงเรียบสีหน้าไร้ความรู้สึกตามแบบฉบับ
“ทางเข้าเป็นสวนค่ะ”
“ก็นั่นแหละ ขึ้นรถสิเดี๋ยวผมจะไปส่ง”
“เออ...” หนูพลอยลังเลคงเพราะไม่ได้สนิทสนมแต่พอเขามีน้ำใจมาให้ก็รู้สึกเกรงใจ
“ผมไม่ชอบรอการตัดสินใจนานๆ ถ้าไม่ไปก็ไม่ต้องไปนะ”เขาเลื่อนกระจกขึ้น หญิงสาวนิ่งคิดแล้วคิดอีกก่อนจะวิ่งกลับมาดึงที่เปิดประตู ชายหนุ่มเหลือบมองก่อนจะเลื่อนกระจกลงเหลียวมองหล่อนที่เปลี่ยนใจได้ทันท่วงที
“ขึ้นมาสิ”เขาบอกโดยไม่มองหน้าคู่สนทนา หนูพลอยต้องรีบกลับหากเข้าบ้านช้ามีหวังอาจจะได้เห็นเงาตะคุ่มๆ ในความมืดยิ่งเป็นคนขี้กลัวมีหวังลมจับชักกลางทางพอดี หล่อนวางหนังสือลงบนตักเหลียวมองชายหนุ่มผู้อาสามาส่งด้วยความหดหู่คงเพราะเรื่องเมื่อวานที่ทำให้เธอรู้สึกขายขี้หน้าทั้งเขาและเพื่อนๆ ในชั่วโมงเรียนด้วยในเวลานั้น คุณนรัชกุลเป็นคนอย่างไรหล่อนก็ไม่สามารถล่วงรู้ได้ รู้แต่ว่าเขาดูเหมือนจะใจดีแต่ที่แท้ก็ร้ายลึก
“ไปทางไหนอีกล่ะ” เขาถาม หนูพลอยเงยหน้ามองทาง
“ขวาค่ะ” หักพวงมาลัยไปทางขวาเริ่มสู่ความเงียบอีกครั้ง “คุณชอบบ้านหลังนั้นมากเลยหรือ” เขาถามขึ้นขจัดความเงียบที่อยู่รอบตัวเรา เจ้าหล่อนเหลียวมองเขาทวนคำตอบที่จะพูดออกไปให้ดีก่อนที่จะเจอเขาสวนกลับ
“ค่ะ ที่นั่นสวยและมีเสน่ห์มาก ใครได้อยู่ที่นั่นก็ต้องหลงรักทุกรายไป” เขายิ้มแสยะ
“วาดสวยดีนี่ และนั่นใช่ไหมบ้านรินฟ้าที่คุณเคยฝันในชั่วโมงเรียน” เขาย้ำความทรงจำอันแสนเลวร้ายของเมื่อวานที่ฉกกระดาษไปจากมือหนูพลอยและเริ่มเชือดนิ่มๆ ด้วยวาจาอันแสนสุภาพและฉากสุดท้ายคือการไล่ออกจากห้อง
“ค่ะ” เขาดูเหมือนจะไม่ชอบหน้าหล่อนในบางทีแต่บางครั้งก็เหมือนว่าจะเย็นชา หนูพลอยและเขาต่างนั่งเงียบจนมาถึงบ้านรินฟ้า หล่อนยกมือไหว้ขอบคุณที่เขามีน้ำใจมาส่งถึงที่ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ธุระ รีบลงจากรถรวมถึงเขาด้วยที่ตามมาเชยชมความงามของบ้านไม้สองชั้นสีขาวสะอาดที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าปูพื้นสนามด้วยหญ้าสีเขียวขจีเต็มลานบ้าน นัยน์ตาของเขาประกายวาวแปลกๆ แต่หล่อนแอลคิดว่าเขาคงชอบไม่อย่างนั้นไม่จ้องมองนานสองนานแน่
“สวยดีนะ”เขาบอกสั้นๆ นี่อาจจะเป็นคำชมของเขา
“อ่อค่ะ บ้านรินฟ้าสีขาวสวยทั้งตอนเช้าและตอนกลางคืนแต่ถ้ามองในยามเย็นสีของบ้านก็จะเปลี่ยนไปตามแสงของพระอาทิตย์ค่ะ” เขาก้มลงมองหนูพลอยที่ตัวเล็กกว่าไปหลายเซ็นแต่สีหน้ายังคงนิ่งสงบ
“มาอยู่ไม่นานทำไมรู้ดี”
“ก็ฉันชอบที่นี่มากน่ะสิคะ ตอนเย็นๆ ถ้าฉันว่างๆ ก็จะมานั่งม้าหินอ่อนแล้วมองบรรยากาศในยามเย็น”หนูพลอยเล่าด้วยสีหน้าเบิกบานแต่เพราะคำพูดหนึ่งของเขาที่ทำให้เธอสะกิดใจสงสัยขึ้นมาทันที
“ว่าแต่คุณนรัชกุลรู้ได้อย่างไรคะว่าฉันเพิ่งย้ายมาไม่นานนี้” ใบหน้าเขาเปลี่ยนสีไปนิดแต่ยังรักษาระดับความเฉยชาไว้แยบยล
“ผมคิดว่าคงจะเป็นอย่างนั้น เพราะคุณดูจะเห่อ อาการแบบนี้มักเป็นกับคนที่ได้ของใหม่”
“อ่อ ก็จริงค่ะ”หล่อนคิดว่าเขาฉลาดไม่เบา แต่ก็ยังไร้ความประทับใจเพราะอย่างไรเขาก็คือผู้ชายที่อันตรายไม่ว่าเวลาไหนในความคิดในใจลึกๆ ของหนูพลอย
“คุณนรัชกุลจะเข้าไปดื่มน้ำข้างในบ้านไหมคะ”หญิงสาวชวนตามมารยาทและก็ได้รับคำตอบที่น่าพอใจ
“ไม่เป็นไร ผมต้องรีบกลับ”
“ค่ะ” คิดอยู่แล้วว่าต้องตอบทำนองนี้ หนูพลอยยกมือไหว้อีกครั้ง
“ขอบคุณที่มาส่งนะคะ สวัสดีค่ะ” ชายหนุ่มพยักหน้า หนูพลอยตัดสินใจหันหลังให้เดินออกไปพร้อมกับหนังสือกองใหญ่ที่หอบออกมาท่าทางเก้กังและเพราะความไม่ดูตาม้าตาเรือทำให้เท้าของหล่อนลื่นโคลนสนามหญ้าหงายหลังลงไปโชคดีที่มีมืออันแข็งแรงของนรัชกุลที่เข้ามารับร่างน้อยๆ ได้ทันท่วงทีถึงแม้หนังสือจะหล่นกระจัดกระจายบนพื้นแต่ในวินาทีเธอได้เข้าไปอยู่อ้อมแขนชายหนุ่มที่โอบรับไว้อย่างจัง
“เป็นอะไรไหมครับ” ใบหน้าของเขาใกล้แทบชิดสัมผัสได้ถึงลมหายใจถี่ๆ ความรู้สึกนี้หล่อนช่างคุ้นเคยเหมือนเคยสัมผัสได้จากที่ไหนมาก่อน หนูพลอยยังคงมองใบหน้าขาวละเอียดนัยน์ตาคมดำสนิทราวกับมีมนต์ขลังเรียกสติที่เตลิดให้กลับมาอยู่ในร่องในรอยตามปกติ
“เออ ไม่เป็นไรค่ะ” หล่อนตอบเสียงค่อย ดันตัวขึ้นช้าๆ โดยมีเขาช่วยพยุงด้วยความทะนุถนอม
“เจ็บตรงไหนไหม” เขาถามอีกครั้งด้วยแววตาห่วงใย หนูพลอยส่ายหน้าก้มหน้างุด
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันซุ่มซ่ามเองค่ะ” ก้มลงเก็บหนังสือที่กระจัดกระจายก่อนจะยืดตัวขึ้นสบตากับนรัชกุล
“อย่าเป็นให้มากล่ะ ดีขาไม่พลิก”เขาตำหนิอยู่บ้าง ความรู้สึกของเธอเปลี่ยนไป นรัชกุลดูเป็นผู้ใหญ่ใจดีซึ่งต่างจากครั้งแรกที่เธอได้รู้จัก
“ไม่มีอะไรแล้ว ผมไปนะ” นรัชกุลน้ำเสียงเรียบถึงแม้จะมองข้ามผ่านศีรษะของหล่อนไปที่บ้านก่อนจะหันหลังเดินขึ้นรถรวดเร็ว หนูพลอยแลตามองตามรถของเขาที่ถอยหลังออกสวนทางเข้าจนเลี้ยวหักมุมออกไปจนลับตา ความรู้สึกช่างอบอุ่นอย่างน่าประหลาด หัวใจที่เต้นรัวเร็วนี้หมายความว่าอย่างไร เขาทำให้เธอหงุดหงิดหรือเพราะเริ่มเสียสติไปแล้ว แต่นอกจากความรู้สึกนี้แล้วยังคงมีบางอย่างที่ซ่อนความแปลกใจอยู่ภายในใจลึกๆ ของหนูพลอย สัมผัสนั้นราวกับเคยรู้สึกมาก่อนบางทีหล่อนอาจจะคิดมากไปเองแค่เขามาทำดีด้วยหน่อยก็ทำให้ใจอ่อนได้ขนาดนี้
นรัชกุลลงจากรถเดินผ่านเข้ามายังร้านอาหารเล็กๆ บรรยากาศหรูหรามีสไตล์ เขาเดินเร็วๆ เข้ามาในร้านโทนสีแดงจัดฉูดฉาด ตกแต่งด้วยโซฟาสีทองมีราคาในร้านมีลูกค้าแน่นทุกโต๊ะที่ล้วนแต่เป็นผู้ดีมีรสนิยมสูง หญิงสาวร่างระหง ผมบ๊อบสั้นวิ่งถลาเข้ากอดรัดราวชายหนุ่มไม่แคร์สายตาผู้ใด หล่อนฉีกยิ้มเฉียบเรียวปากอวบอิ่มสีแดงสด สบดวงตาหวานเยิ้มกรีดกรายมือไปตามปกเสื้อชายหนุ่มชวนเย้ายวน
“วันนี้นรัชมาหาอรเหรอคะ” หล่อนออดอ้อนซบเข้าที่ไหล่แนบชิดตัวกับชายหนุ่มราวกับแมวหงาวขี้อ้อน นรัลกุลเบ้หน้าหนีเหลือบมองเสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวมดูมีราคาแพงของหล่อนแต่น่าแปลกที่ช่างรัดและสั้นราวกับแค่เศษผ้าเอามาปะ
“ผมนัดเพื่อนมาทานอาหารที่นี่น่ะ”
“คิดถึงอรก็บอกมาตรงๆ สิคะ” หล่อนยิ้มยั่วยวนแต่ไม่อาจทำให้เขาหลงลูกไม้ตื้นๆได้ ชายหนุ่มผลักร่างเจ้าหล่อนออกเบาๆ ก่อนจะจัดแจงเสื้อผ้าของตนเองใหม่ให้เป็นระเบียบ
“ก็คงอย่างนั้น หาโต๊ะให้สองที่สิ” เขายังคงไว้ซึ่งสีหน้าที่เรียบขรึม อรนิชา ปานมรักษ์สาวไฮโซนักเรียนนอกผู้มีความเชื่อมั่นสูงเป็นหนึ่งในผู้หญิงที่หลงรักนรัชกุลหัวปักหัวปำ หล่อนพยายามตามตื้อชายหนุ่มมาเกือบครึ่งค่อนปีแต่ก็ไร้ผลเพราะจะมีเพียงบางเวลาเท่านั้นที่เขาควงหล่อนออกไปทานอาหารไว้แก้เหงา จะเรียกได้ว่านรัชกุลคือเสือเงียบแห่งวงการคาสโนว่าก็ว่าได้เขาเป็นชายหนุ่มลึกลับที่ผู้หญิงทุกคนอยากค้นหาแต่ก็ยากเช่นกันที่จะเปิดใจให้นางไหนได้เข้าใกล้ถึงตัวตนที่แท้จริง
“ได้ค่ะ” หล่อนวิ่งออกไปสั่งลูกน้องให้พานรัชกุลมายังโต๊ะที่อยู่ด้านในสุด เขารู้ดีว่าอรนิชาหลงเสน่ห์ตนจนถอนตัวไม่ขึ้นแต่ไม่คิดที่จะจริงจังกับหล่อน รวมทั้งไม่คิดจริงใจกับผู้หญิงคนไหนที่เข้ามาให้ท่าเกินไปกว่าคู่ควงแก้เหงาเท่านั้น ความหลังครั้งเก่าอรนิชาเคยคบหาอยู่กับดาราที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งแต่เพราะความใจง่ายจึงเลิกรากับดาราหนุ่มคนนั้นเพื่อจะมาไล่จับนรัชกุลอย่างจริงจังเพราะมีเหตุผลจากข้อเปรียบเทียบคือนรัชกุลมีไร่องุ่นที่เมืองเหนือแต่หารู้ไม่ว่าคนอย่างนรัชกุลไม่เคยจริงใจกับผู้หญิงคนไหนโดยเฉพาะผู้หญิงที่เห็นแก่เงิน!
“ไอ้นรัช” ชายหนุ่มร่างสูง ผิวสีน้ำผึ้ง หน้าตาคมเข้มหล่อเหลาในแบบสไตล์เข้ม เดินเร็วๆ มาหยุดที่โต๊ะเมื่อพบหน้าเพื่อน
“สวัสดีวุธ” วุธทิพงศ์ นามธิราช ชายหนุ่มผิวสองสี ดูสุภาพอ่อนโยนและน่าเชื่อถือ เขาคือเพื่อนเก่าแก่ตั้งแต่สมัยประถมเพียงไม่กี่คนที่นรัชคบหา ตอนนี้วุธทิพงศ์มีธุรกิจเล็กๆ เกี่ยวกับร้านดอกไม้และพืชพันธ์นานาชนิดอยู่ใจกลางเมืองหลวงถึงแม้จะไม่เป็นธุรกิจที่ใหญ่มากแต่ครอบครัวเขาเป็นคนที่มีฐานะดีจากการทำธุรกิจส่งออกผ้าไหม วุธทิพงศ์และนรัชกุลไม่พบเจอกันเกือบปีเนื่องจากต่างก็มีธุรกิจใหญ่โตต้องดูแลยากที่จะปลีกเวลามาพบกันแต่เมื่อมีโอกาสก็ไม่ละทิ้งเวลาที่จะนัดสังสรรค์กันตามประสาเพื่อนรู้ใจ “ไม่เจอกันนานเลยนะเว้ย นี่คิดไงลงจากไร่องุ่นมาที่นี่”ชายหนุ่มสีน้ำผึ้งกล่าว นรัชกุลกระตุกมุมปากขึ้นเล็กน้อย
“อ่อ พอดีหม่อมจรูลรุ่นพี่เมื่อสมัยเรียนมหาวิทยาลัยเข้าโรงพยาบาล ทางคณะเลยติดต่อให้ฉันมาเป็นอาจารย์พิเศษสอนชั่วคราวในระหว่างที่หม่อมจรูลพักรักษาตัว”
“ดีเลยทำให้เราได้มาเจอกันอีกครั้งในรอบปี อย่างนี้ต้องฉลองนะ”
“แน่อยู่แล้ว”นรัชกุลเสือยิ้มยากมีความสุขเมื่อได้พบปะเพื่อนฝูงเขาคุยกับวุธทิพงศ์ออกรสไล่ความหลังตั้งแต่สมัยประถมจนถึงปัจจุบันที่มีภาระงานหน้าที่ที่ต้องทำ เสนอแนวคิดแลกเปลี่ยนกันนานร่วมชั่วโมง อรนิชาเดินตรงมาจูบเข้าที่แก้มของนรัชกุลก่อนจะเงยมาสบตาวุธทิพงศ์ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“สวัสดีค่ะ”หล่อนทักทาย วุธทิพงศ์ยิ้มแหยๆ เขินอายเสียเองที่ได้เห็นภาพนี้ระหว่างเพื่อนกับหญิงสาวเสน่ห์ร้อนแรงผู้มาเยือน
“สวัสดีครับ”
“นรัชคะ เย็นนี้ไปต่อกับอรนะคะ” หล่อนลากน้ำเสียงออดอ้อน นรัชกุลแกะมือหล่อนออกนิ่มนวลแสยะยิ้มเชือดนิ่มๆ
“คงไม่ได้นะผมมีนัดกับเพื่อนนะ”
“หึ! นรัชน่ะ”เจ้าหล่อนชักสีหน้าไม่พอใจแสดงอาการงอนได้น่าหยิก
“เข้าใจนะ” เขาไม่ได้เข้มและไม่ได้อ่อนเกินไปซึ่งหล่อนก็เข้าใจเมื่อรู้ว่าชายหนุ่มไม่ชอบให้เรื่องมากก็ออกห่างโดยไม่ต้องออกปากไล่ให้มากความ แท้จริงหล่อนเคยเรื่องมากมาก่อนแต่เจอฤทธิ์นรัชกุลที่เมินเฉยไม่สนใจแม้แต่เงาหลังจากเจอความน่าเบื่อหน่ายจากเธอ จากนั้นมาอรนิชาก็ไม่คิดเรื่องมากกับผู้ชายน่ากลัวอย่างนรัชกุลอีกเลย
“นั่นแฟนแกเหรอวะ”วุธทิพงศ์ถามหลังจากที่อรนิชาจากไปราวกับพายุ
“ไม่ใช่” นรัชกุลตอบมาดนิ่ง
“ไม่ใช่ได้ไงหล่อนน่ะหอมแกแล้วก็กอดขนาดนั้น” วุธทิพงศ์อ่อนประสบการณ์ด้านนี้มากคงเพราะเขาไม่มีความครอบครัวและยังเป็นหนุ่มโสดที่คงความเป็นสุภาพบุรุษเสมอ
“ไม่มีทางแน่ๆ หล่อนเป็นคนคิดไปเองทั้งหมด” เขาตอบไม่สะทกสะท้านกับคำพูดของตนเอง วุธทิพงศ์ทราบดีว่าสาเหตุอะไรที่ทำให้เพื่อนหนุ่มไร้ความจริงใจกับผู้หญิงเป็นเป็นเพราะเรื่องในอดีต แต่ก็ไม่รู้ลึกในรายละเอียดแค่พอรู้มาคร่าวๆ ว่านรัชกุลต้องทุกข์ทรมานจนกลายเป็นคนเย็นชาไร้ความปราณี
“แล้วนี่แกยังไม่แต่งเมียอีกหรือไงวะ” นรัชกุลเปลี่ยนเรื่องมาถามเพื่อนบ้าง วุธทิพงศ์ชะงักหลบตาเล็กน้อย “ไม่น่ะ ยังหาคู่แท้ไม่เจอ” วุธทิพงศ์ตอบพลางยกมือเรียกบริกรมารับเมนู “ชาที่หนึ่ง”
“กาแฟร้อนครับ”นรัชต่อโดยไม่รั้งรอ บริกรหนุ่มจดเมนูพร้อมกับถามต่อ
“จะรับอะไรเพิ่มไหมครับ”
“ไม่เป็นไร ถ้าเราต้องการจะเรียกอีกที”วุธทิพงศ์ตอบ บริกรหนุ่มโค้งศีรษะลงก่อนจะเดินไวๆ ออกไปด้วยความกระฉับกระเฉง
“หน้าตาก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไรนี่หว่า ออกจะหล่อด้วยซ้ำ ทำไมไม่มีไว้เล่นๆ สักคน” นรัชกุลแนะนำ วุธทิพงศ์ส่ายหน้าเขาไม่ใช่คนเจ้าชู้และไม่เคยคิดว่าผู้หญิงเป็นเพียงแค่ของเล่นเพราะเป็นผู้ชายให้เกียรติผู้หญิงเสมอ
“สำหรับฉันนะ คนที่จะเป็นแม่ของลูกต้องดีพร้อม อย่างแม่อรของแกน่ะท่าจะไม่ไหวแต่จะให้ไปคบหาใครเล่นๆ ฉันก็ทำไม่ลงอีกเหมือนกัน”วุธทิพงศ์บอกเหลียวมองเจ้าของร้านสาวที่ยังง่วนอยู่หน้าเคาน์เตอร์ นรัชกุลยิ้มเหลือบมองเล็กน้อย
“ใครจะคิดจริงจัง ผู้หญิงมองแต่เปลือกถ้าผู้ชายคนนั้นไม่พร้อมเธอก็ไม่สน สนแต่พวกมีเงินมีฐานนะมีชาติตระกูล ไม่มีผู้หญิงคนไหนหรอกที่มองจากเนื้อใจของคนนั้น สมัยนี้ค่าของเงินตรามันอยู่เหนือความรักอยู่แล้ว” นรัชกุลแลกเปลี่ยนทัศนอคติความรักได้อย่างเลวร้ายและไม่แยแสว่าพวกหล่อนจะทำทุกวิธีทางเพื่อให้ได้เขามาครอบครอง วุธทิพงศ์ถอนใจเมื่อมองเข้าไปในแววตาเศร้าๆ ที่ซ่อนในใจลึกๆ ของนรัชกุล
“แกยังลืมเรื่องนั้นไม่ได้หรือ มันก็ผ่านมาหลายปีแล้วนะ แกควรจะเลิกทำร้ายใจตนเองได้แล้ว”
“ฉันไม่ได้ทำร้ายใจตนเอง ที่ผ่านมาก็มีผู้หญิงเข้ามามากมายแต่ไม่มีใครที่จะมองที่หัวใจของฉัน”
“แล้วจริงจังกับพวกเธอไหมล่ะ กี่คนมาแล้ว...หาคนที่แกจะจริงจังสักคนสิ” นรัชกุลยิ้มเยาะ เขายังคงปกปิดความเจ็บปวดภายใต้ใบหน้าอันแสนเย็นชา
“ไม่มีแล้วล่ะไอ้วุธ ไม่มีผู้หญิงคนไหนอีกแค่นี้ก็ทำให้ฉันเจ็บพอแล้ว” กาแฟและชาร้อนๆ ถูกจัดวางบนโต๊ะ สองหนุ่มรับกาแฟยกขึ้นมาจิบก่อนจะเหลือบมองกันเอง
“ไม่มีแล้วหรือแกไม่เปิดใจกันแน่ แกมัวแต่จมอยู่แต่ในอดีต...ทั้งๆ ที่แกก็รู้ว่ามันเจ็บ”
“เจ็บแล้วต้องจำ ฉันไม่สามารถเป็นคนเดิมได้อีกแล้ว” นรัชกุลไม่เคยลืมเลือนความเจ็บปวดในอดีตที่สร้างทั้งความร้าวฉานและความทุกข์ทรมานจนถึงปัจจุบัน ความรักที่เคยวาดหวังกลับพังทลายไม่เป็นท่าจากนั้นมาความศรัทธาที่มีต่อคำว่า “ความรัก” ก็หายไปจากหัวใจของเขาเช่นกัน
“แล้วนี่แกเริ่มเบื่อยัยอรแล้วหรือยังล่ะ” วุธทิพงศ์กรอกตาไปทางสาวเจ้า นรัชกุลเอนตัวพิงพนักเหล่ตามองอรนิชาในชุดกระโปรงสั้นเปรี้ยวจี๊ด
“อื่ม”
“เล็งหาคนใหม่แล้วหรือยังล่ะ”
“ไม่มี”
“อย่าบอกนะว่าแกจะไม่มองใครอีกแล้ว” วุธทิพงศ์ถามรวดเร็ว ในขณะที่นรัชกุลหัวเราะห้วนๆ
“ไม่รู้สิ ฉันไม่คิดคาดหวัง เพราะฉันไม่มีความหวังในความรักนั้นอีกแล้ว” นรัชกุลตอบเลื่อนสายตากลับมามองดอกไม้สีแดงในแจกันหรูบนโต๊ะ
“ฉันก็จะคอยดูว่าสาวคนไหนจะมาเปิดใจแกซักที แกอย่าเพิ่งปิดตายหัวใจไปล่ะ ความรักมันไม่ได้แย่เสมอไป ก็พอๆ กับผู้หญิง ที่ไม่ได้มีแต่ผู้หญิงแบบที่แกมองในแง่ร้าย แต่ยังมีผู้หญิงดีๆ ที่แกยังไม่เคยมองอีกมากมายมากกว่า”วุธทิพงศ์พูดอย่างเปิดอกให้เสือหนุ่มได้ยอมรับความจริงเสียที นรัชยิ้มฝืดๆ พลันนึกถึงบ้านรินฟ้าที่มีนักศึกษาวัยแรกรุ่นมาเช่าอยู่ ภาพของเธอผุดมาจากความคิดเขาเพียงชั่วครูก่อนจะแทรกด้วยภาพของสถานที่หล่อนอาศัยกลับเป็นที่ที่ทำให้เขาไม่สามารถลบภาพในอดีตไปได้...มันก็ยังเป็นบ่วงแห่งความทุกข์ไม่มีวันจบสิ้นในเมื่อใจเขาไม่เคยปล่อยวางจากความแค้นที่สะสมจนมาถึงปัจจุบันนั้นเสียที
แก้ไขเมื่อ 29 มิ.ย. 54 21:24:39
แก้ไขเมื่อ 29 มิ.ย. 54 11:07:33
จากคุณ |
:
คุณหนูแจ่มใส
|
เขียนเมื่อ |
:
28 มิ.ย. 54 13:09:26
|
|
|
|