ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศในโรงหนังทำเอาเจ้าตัวมุดแก้มแนบซบกับท่อนแขนกว้างเข้าไปอีก กลิ่นหอมคุ้นๆ จมูกจากเนื้อผ้าที่คลุมไหล่อยู่ให้ความรู้สึกสบายใจอย่างน่าประหลาด
“ตื่นได้แล้ว…” ฝ่ามืออุ่นๆ แตะเบาๆ ข้างแก้มสองสามครั้ง ทำเอาคนที่หลับใหลได้สติ พอเปิดเปลือกตาขึ้นมาก็พบกับใบหน้าของภาสพัทธ์อยู่ใกล้เพียงลมหายใจคั่น
ไม่รู้ว่าเผลอหลับแล้วใช้ไหล่เขาหนุนต่างหมอนไปตั้งแต่เมื่อไร หนำซ้ำเขายังถอดเสื้อนอกมาคลุมไหล่ให้อีก ยิ่งเมื่อหันไปยังจอภาพยนตร์ก็พบว่าเป็นพื้นสีดำกำลังขึ้นรายชื่อทีมงานและนักแสดงในตอนท้าย
“หนังจบแล้ว” เจ้าของไหล่อุ่นบอกให้สติคนที่ยังดูงัวเงีย ปาจารีย์ค่อยๆ ดันตัวขึ้นมานั่งตรง ถามพร้อมกับหาวสำทับ
“จบยังไงคะ”
ภาสพัทธ์ฟังแล้วก็ยิ้มขัน “บอกไปจะรู้เรื่องไหม ก่อนหลับไปดูถึงครึ่งเรื่องรึเปล่าก็ไม่รู้”
“ก็หนังมันงงชวนง่วง คุณพัทธ์ดูไปได้ยังไง” คน ถูกถามไม่ตอบแต่ชวนให้อีกฝ่ายลุกขึ้น นับว่าเป็นหนังฟอร์มดีทีเหลวแห่งปีเลยทีเดียว มีคนลุกออกไปเข้าห้องน้ำบ่อยๆ บ้างเห็นแต่ขาออกไปไม่เห็นกลับเข้ามาก็มี เขาเองก็ว่าจะลุกออกไปแล้ว ครั้นพอหันไปหาปาจารีย์ก็พบว่าหล่อนกำลังหลับซบไหล่คุณป้าเก้าอี้ข้างๆ ที่พยายามเอี้ยวตัวหลบ จึงค่อยๆ ยื่นมือไปช้อนใบหน้าเล็กให้เอียงมาซบบ่าเขาแทน ทีท่าหลับสบายลมหายใจสม่ำเสมอของหญิงสาวทำให้เขาไม่อยากปลุก เอาเข้าจริง... ตัวเขาเองก็เพิ่งตื่นก่อนหน้าหล่อนไม่นานนักหรอก
“หิวไหม?” เสียงทุ้มเอ่ยถาม
“นิดนึงค่ะ”
“ป่ะ งั้นลุก” ร่างสูงยืนหยัดขึ้นแล้วส่งมือให้ คนตัวจ้อยมองแล้วกะพริบตาปริบก่อนปฏิเสธ
“ปุ่นลุกเองได้ค่ะ” อาการรั้นเล็กๆ ของหญิงสาวทำให้เขาทอดถอนใจ โน้มตัวลงไปจับต้นแขนบางขึ้นประคองพลางกระซิบ
“อย่าลืมว่าเธอท้องโย้อยู่ ถ้าฉันไม่ช่วยพยุง จะถูกคนอื่นมองว่าเป็นผู้ชายแบบไหน” เสียงเอ็ดเล็กๆ ของเขาทำเอาปาจารีย์มุ่ยหน้า
“คุณพัทธ์นี่อิ๊นอินนะคะ”
“ไม่ได้อิน ฉันแค่ทำทุกอย่างให้สมจริง” คนไม่อินเอ่ยปรามด้วยสายตาดุ
“มันต่างกันเหรอคะ”
ร่างเล็กเงยหน้าขึ้นสบตาเขาอย่างสงสัย ทำเอาภาสพัทธ์ถอนหายใจอีกครั้ง ...ไว้ว่างๆ เขาคงต้องช่วยติวเข้มภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันให้ภรรยาสักหน่อยแล้ว...
ชาย หนุ่มไม่เอ่ยถามว่าคนข้างกายอยากทานอะไร ร่างสูงใหญ่ลากมือหญิงสาวเดินผ่านบานประตูเข้าไปในร้านอาหารอิตาเลี่ยน ณ โซนหนึ่งของห้างสรรพสินค้า อาจเพราะเป็นเวลาบ่ายสองกว่า ลูกค้าในร้านจึงไม่มาก ภาสพัทธ์พาหล่อนเข้าไปโซนในสุดซึ่งมีบานกระจกใสกั้นระเบียงไม้ริมบริเวณ น้ำตกจำลองด้านนอก
“อากาศไม่ร้อน นั่งนี่แล้วกันนะ” เขาเลือกเองตัดสินใจเอง ซึ่งปาจารีย์ก็ไม่ได้ขัดข้องอะไร สำหรับหล่อนแล้วการไม่ได้นั่งในห้องปรับอากาศถือเป็นเรื่องที่เคยชิน โธ่... ปกติน่ะ กินแต่ข้าวผัดที่ร้านรถเข็นตั้งโต๊ะริมทางเท้าข้างถนน
พนักงานยื่นเมนูส่งให้ คนตัวเล็กแต่ท้องโตเลยได้แต่จ้องตัวอักษรภาษาอังกฤษที่กำกับอยู่อย่างใช้ความพยายาม ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับภาสพัทธ์ที่จ้องรออยู่ก่อนแล้ว มุมปากทั้งสองข้างของเขาขยับไปมาเล็กน้อยเห็นได้ชัดว่ากำลังกลั้นยิ้ม ปาจารีย์เลยยู่จมูก ภาสพัทธ์ต้องเก็บกดมาก หรือไม่ก็เป็นโรคจิตอ่อนๆ ถึงได้หาเรื่องแกล้งหล่อนอยู่เรื่อย
“จะเอาอะไร” หนุ่มไฮโซถามนำ ทำเอาสาวโลว์โซต้องเชิดหน้าถามกลับ
“แล้วคุณพัทธ์ล่ะคะ”
“ไม่รู้สิ นึกไม่ออก ว่าจะลอกปุ่นสักหน่อยน่ะ” เขาดักคออย่างรู้ทัน
ปาจารีย์ยกเมนูขึ้นมาบังปากพลางพูดอย่างไม่ออกเสียงว่า ‘เกลี๊ยดเกลียด’ ก่อนหันไปหาบริกรที่ยืนรอรับรายการ
“ที่นี่มีอะไรแนะนำบ้างคะ”
ภาสพัทธ์ลอบขำ เออ... ดูเหมือนจะไม่ค่อยรู้อะไร แต่ไหวพริบใช้ได้ แต่หล่อนจะรู้ไหมนะ ว่าเมนูแนะนำจากร้าน ส่วนใหญ่จะราคามหาโหด หากกระเป๋าไม่หนักพอหาใช่แค่ขนขาร่วง ทว่าอาจถึงขั้นขาขาดเลยก็ได้ สุดท้ายก็กลายเป็นเขาแนะนำรายการน่าลองให้เจ้าหล่อนอยู่ดี พอบริกรเดินไป ไฮโซหนุ่มจึงแกล้งเย้า
“บุศย์พามาเดทแบบนี้บ้างรึเปล่า”
“นอนด้วยกันทุกคืน ตื่นก็เจอหน้า จะมาเดทอะไรกันอีกล่ะคะ” คนเคืองไม่หายแอบประชดและภาสพัทธ์ก็หัวเราะ
น่าเสียดาย ที่บทบาทภรรยาจำเป็นของปาจารีย์คงใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือน ดูเหมือนจะไม่มีเหตุสมควรที่เขาจะต้องสอนหล่อนในแง่การเข้าสังคม ไม่เช่นนั้นแล้วคงได้มีเรื่องแกล้งคนตัวเล็กให้ได้สนุกแทบทุกวัน
ขณะเดียวกันที่ประตูร้านนั้นเอง บริกรอีกคนกำลังถือเมนูเดินตามลูกค้าคู่ใหม่ไปยังโต๊ะมุมหนึ่งของร้าน ณดาเลือกนั่งโซฟาติดผนังหลังจากเดินช้อปปิ้งจนเมื่อยขา
“หิวมาก เอาแซลมอนสลัดมาก่อนเลยแล้วกัน น้ำส้มคั้นแก้วนึง น้ำแร่หนึ่ง” หล่อนว่าพลางสะบัดมือบอกบริกรชาย ก่อนพิงคอไปกับพนักโซฟาอย่างเหนื่อยอ่อน ปล่อยให้คนที่มาด้วยไล่เปิดเมนูดูไปช้าๆ
“ไม่ได้ช้อปอย่างบ้าคลั่งมานานแล้ว สะใจจริงๆเลยวันนี้” ทีท่าสบายใจไม่จริงดังปากว่า พาให้เพื่อนสาวที่มาด้วยอดเอ่ยแซวไม่ได้
“ผิดนัดดินเนอร์มื้อเดียว พี่ยศหมดไปหลายแสนเลยนะเนี่ย” ณดาลากหล่อนออกมาเพราะน้อยใจสามีซึ่งบ้างานจนไม่ว่างมาทานมื้อค่ำฉลองวันเกิดภรรยาตนเองในค่ำคืนนี้
“ช่วยไม่ได้ รับนัดชาวบ้านไม่รู้จักดูวันดูเวลา” เจ้าของวันเกิดขุ่นเคืองไม่หายก่อนตวัดสายตาไปยังน้ำตกจำลองนอกบานกระจกใส พอเห็นภาสพัทธ์กับปาจารีย์ หล่อนก็ส่งเสียงขัดอกขัดใจพาลให้อารมณ์ที่ไม่ดีอยู่แล้วโหมทวีขึ้นอีก ดูอย่างไรความสัมพันธ์ของคู่นั้นก็ไม่น่าไว้วางใจ คิดแล้วจึงหันหันกลับมาขมวดคิ้วจ้องมองหญิงสาวร่วมโต๊ะ
“ทิพย์...”
เจ้าของชื่อช้อนดวงตาหวานขึ้นจากหน้าเมนู มองหน้าเพื่อนสาวอย่างจะถามว่าเรียกทำไม
“เรื่องของเธอกับคุณพัทธ์ ตกลงเป็นยังไง คุยกันรึยัง” คำถามนั้นพาให้ธารทิพย์หน้าเศร้าลงถนัดตา
“เขาไม่ยอมฟัง... ณดา พัทธ์โกรธฉันมาก... บางทีอาจต้องให้เวลาเขาอีกหน่อย”
“แต่นี่มันจะเดือนนึงแล้วนะ เธอคิดว่าต้องใช้เวลาอีกสักเท่าไหร่ ต่อให้อีกปีนึง ถ้าเธอไม่อธิบายให้เขาฟัง คุณพัทธ์จะตรัสรู้ได้ยังไงยะ อย่าลืมนะว่าเธอเป็นฝ่ายทิ้งเขาไปตั้งหลายปี... ใครรออยู่ก็โง่แล้ว” ท้ายประโยคเป็นการบ่นพึมพำ แต่แน่ล่ะ... ไม่เบาขนาดที่คนฟังจะไม่ได้ยิน “ของอย่างนี้จะมามัวใจเย็นไม่ได้นะทิพย์ คนจ้องจะงาบน่ะ มีนะยะ”
คนฟังยิ้มบางอย่างไม่ค่อยจะใส่ใจ หลายปีที่ผ่านมา แม้ธารทิพย์จะอยู่ต่างประเทศ แต่ความเป็นไปของภาสพัทธ์จากคำบอกเล่าของคุณเพชรรัตน์ผ่านมารดาตนยังคงมีมาเรื่อยๆ
ภาสพัทธ์เสียใจ... หล่อนรู้ หนักจนไม่ยอมทำงานทำการ หมกตัวอยู่ในห้อง กินเหล้า ปล่อยเครายาวเป็นมหาโจรอยู่หลายเดือน จนกลุ่มเพื่อนต้องเข้าไปช่วยลากออกไปคลายเศร้าด้วยวิธีอื่น จากมหาโจรก็แปลงร่างเป็นเพลย์บอยตะเวนราตรีอยู่อีกพักใหญ่ กว่าจะค่อยๆ กลับเข้าที่เข้าทาง ทุกอย่างค่อยๆ เป็นปกติเหมือนเดิม
ยกเว้นหัวใจ... ภาสพัทธ์ไม่เคยคบใครจริงจังอีกเลยนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
“เอ่อ... คุณพัทธ์คะ” เสียงเรียกของปาจารีย์ทำให้เจ้าของชื่อที่กำลังเช็คข่าวสารจากอุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ในมือยอมเงยหน้าขึ้นสบตา
“มีอะไร”
“คือ... ปุ่นถามได้ไหมคะว่า ตกลงแล้วคุณณดานี่เขาเป็นใคร”
คำถามนั้นทำให้อีกฝ่ายชักสีหน้าอย่างทันควัน
“ถามทำไม” พอโดนเขาตีหน้ายักษ์ใส่ คนตัวเล็กก็ยู่ปากพลางบ่นในใจ ‘คนอะไรเลือดลมเดินไวชะมัด’
ภาสพัทธ์ยังคงจ้องหน้าหล่อนอย่างรอคำตอบชนิดไม่วางตา จนหญิงสาวอ่อนใจ
“ก็ไม่ทำไมหรอกค่ะ พอดีเห็นเขาเดินมา” เจ้าของเสียงใสส่งซิกส์ให้หันกลับไปข้างหลัง พอเห็นร่างที่กำลังเดิมดุ่มเข้ามาชายหนุ่มก็แทบเก็บอาการตกใจไว้ไม่อยู่ ก็อย่างที่รู้... ณดามาคนเดียวเสียที่ไหน
“ทิพย์...”
เสียงอุทานพึมพำของเขาไม่เบาพอสำหรับหญิงสาวร่วมโต๊ะ
“ว้าว นั่นเหรอคะคุณทิพย์ ยังกับนางฟ้าแน่ะ”
ภาสพัทธ์หันกลับมามองเขม่นใส่ปาจารีย์ สีหน้างี้หงิกเกินจะบรรยาย
“หยุดทำหน้าอย่างนั้นเดี๋ยวนี้เลยนะ แล้วเธอก็ไม่ควรมานั่งว้าวแฟนเก่าสามีตัวเอง เข้าใจไหม”
คนลืมสถานะได้แต่ร้องครางเบาๆ ในลำคอว่า “อุ้ย... ดูท่าจะดราม่าอีกแล้ว”
“จำไว้นะ ไม่ต้องพูดหรือตอบรับอะไรใครทั้งนั้น ฉันจัดการเอง” คนตัวเล็กท้องโตได้แต่พยักหน้าหงึกหงักรับคำสั่ง ขืนทำอะไรไม่ถูกใจพ่อคุณจะโดนงับหัวเปล่าๆ ตอนนั้นเองที่สองสาวก้าวเข้ามาหยุดยืนข้างๆ โต๊ะ
“สวัสดีค่ะคุณพัทธ์” ณดาเอ่ยทักโดยไม่มีรอยยิ้มติดมาอย่างครั้งก่อน มือข้างนึงยังยึดกุมแขนของเพื่อนสาวเพราะกลัวจะเดินหนี ชายหนุ่มตอบรับการทักทายของณดาเพียงแค่พยักหน้าซึ่งนั่นทำให้อีกฝ่ายขุ่นใจ จนหันไปตีหน้ายักษ์ใส่ปาจารีย์
“ณดา...” คนถูกลากมาเอ่ยเรียกเพื่อนพร้อมขยับข้อมือเล็กน้อยว่าให้กลับ หากแต่เจ้าของชื่อไม่ยอมขยับหรือสนใจอาการยื้อของหล่อนแม้แต่น้อย
“คุณพัทธ์ ณดาคิดว่าคุณกับยัยทิพย์ดูเหมือนมีเรื่องที่ต้องคุยกันนะคะ”
“แต่ผมไม่คิดอย่างงั้น” ทีท่าเฉยเมยนั่งเบือนหน้าหนีไปอีกทางราวกับไม่สนใจการมาของพวกหล่อน สร้างความรู้สึกอึดอัดใจให้กับปาจารีย์เป็นอย่างมาก ...ภาสพัทธ์นี่ดูท่าจะเซียนสงครามประสาท เรื่องดราม่าใส่ชาวบ้านนี่ท่าจะของถนัดเลยแฮะ... และแน่นอนว่านั่นทำให้คนที่ไม่เคยยอมใครอย่างณดาออกอาการของขึ้น!
“แต่คุณต้องคุย! ยัยทิพย์อุตส่าห์รีบกลับมาทันที่รู้ว่า...” ยังไม่ทันจบประโยค ร่างสูงก็ลุกพรวดจากโต๊ะหันมาเผชิญหน้าด้วยดวงตาดุดันและน้ำเสียงไม่เป็นมิตร
“ถ้าพวกคุณไม่สังเกตเห็นว่าผมว่ากับใคร มาทำไม ผมก็จะแนะนำให้รู้จัก จะได้เลิกมองข้ามภรรยาผมสักที” ไม่ว่าเปล่าภาสพัทธ์เดินไปจับแขน ‘ภรรยา’ ให้ลุกจากเก้าอี้
ปาจารีย์หันมองหน้า ‘สามี’ สลับกับผู้มาเยือนอย่างประหม่า ขณะเดียวกันภาสพัทธ์ก็บีบมือเป็นการเร่งเตือน จึงค่อยๆ ลุกขึ้นอย่างกังวล
ณดาแทบช็อคเมื่อสังเกตเห็นชุดของปาจารีย์เต็มๆ ตา ในขณะที่ธารทิพย์ถึงกับต้องยกมือปิดปาก ไม่ทันที่ณดาจะได้ตั้งตัว เพื่อนสาวก็สะบัดมือออก ก้าวเดินหนีออกจากร้านไปอย่างรวดเร็ว
คนห่วงเพื่อนมองตามหลังของธารทิพย์แล้วก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ดวงตาสวยคมหันกลับมามองสองคนตรงหน้าด้วยความคับแค้นใจ “แล้วคุณจะเสียใจที่ทำกับยัยทิพย์อย่างนี้!” เจ้าของร่างระหงตราหน้าเขาก่อนจะตามเพื่อนสาวออกไป กว่าจะตามทันก็ถึงลานจอดรถพอดี
“ทิพย์ หนีออกมาทำไม เธอน่าจะคุยๆ ให้รู้เรื่องสิ”
“เพื่ออะไรล่ะณดา ไม่ได้ยินเหรอ เขาเรียกภรรยาเต็มปากขนาดนั้น”
“แต่เขาก็ควรได้รู้”
“มันไม่ได้ทำให้ทุกอย่างดีขึ้นหรอก”
“ดีสิ มันต้องดีขึ้นแน่ๆ เขาต้องกลับมาหาเธอ”
“แล้วผู้หญิงคนนั้นล่ะ เขาท้องอยู่นะณดา”
“ฉันไม่สน! ถ้าเธอไม่บอก ฉันจะบอกเอง” จังหวะที่หมุนตัวหันกลับไปอย่างรวดเร็วนั้นเอง คนใจร้อนก็เกิดอาการหน้ามืดเฉียบพลันล้มพับลงไป เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่เห็นเหตุการณ์วิ่งเข้ามาช่วยประคอง
“ให้เรียกรถพยาบาลไหมครับ” ธารทิพย์ส่ายหน้าหลังจากตรวจเช็คอาการ
“ไม่เป็นไรค่ะ พาไปนั่งบนรถก็พอ... เธอแค่เป็นลม” หล่อนว่าพลางหยิบเอายาดมในกระเป๋า
“แน่ใจนะครับ หน้าซีดมากเลย พาไปหมอดีกว่านะ” ตอนนั้นเองที่ณดาค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา
“เพื่อนฉันนี่ล่ะค่ะ... หมอ”
รปภ. หันมามองหน้าธารทิพย์แล้วก็ไม่แปลกใจเพราะมาดให้เหลือเกิน ก่อนจะขอตัวไปดูรถให้คนอื่นและกำชับว่าให้บีบแตรยาวๆ หากต้องการความช่วยเหลืออะไร
“วันนี้ดูเหนื่อยง่ายจังเลยนะ มีอะไรหรือเปล่า” จะว่าเป็นลมด้วยความหิวก็ไม่น่าใช่ เพราะก่อนหน้าที่ณดาจะบอกและลากเธอออกมาก็หลังจากทานอะไรรองท้องไปหน่อยแล้ว
“ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นอะไร ช่วงนี้เหนื่อยๆ เพลียๆ เมื่อเช้าตื่นมาก็เวียนหัวแทบอ้วก” คนเป็นศัลยแพทย์ฟังคำบอกเล่านั้นแล้วก็เอ่ยยิ้มๆ
“ประจำเดือนมาครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่...” คำถามนั้นทำเอาณดาถลึงตา ค่อยๆ ย้อนนึกก่อนจะระบายยิ้มตาม มือเรียวค่อยๆ แตะลงตรงหน้าท้องตนเอง ...ห้าปีที่แต่งงานมา ดูเหมือนว่าในที่สุด...ทรงยศจะได้มีบุตรสมใจแล้ว...
“พี่ยศต้องดีใจมากแน่ๆ”
“อย่าเพิ่งดีใจไป ไว้ตรวจให้แน่ใจก่อนดีกว่า”
“ท้องล้านเปอร์เซ็นต์ ฉันมั่นใจ ประจำเดือนฉันไม่เคยเคลื่อนนานขนาดนี้แน่”
แม้ใจจริงจะรู้สึกยินดีด้วยกับณดา แต่ช่วยไม่ได้เลยที่หล่อนจะรู้สึกแย่ เมื่อข่าวน่ายินดีนั้นมันสะกิดเข้าอย่างจังกับเรื่องที่กำลังรบกวนจิตใจ
“เห็นที คงต้องสนใจความรู้สึกคนท้องสักหน่อยแล้วใช่ไหม ณดา” คุณหมอสาวว่า ก่อนจะฝืนยิ้มปิดประตูให้แล้วเดินอ้อมไปประจำฝั่งคนขับ...
หากจะหาคนผิดจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นคงโทษใครไม่ได้ เพราะไม่ว่าจะตอนนั้นหรือตอนนี้ มีผลมาจากการตัดสินใจของหล่อนคนเดียว... ธารทิพย์
แก้ไขเมื่อ 28 มิ.ย. 54 15:13:06
จากคุณ |
:
อัยย์เนญ่า (Nyah)
|
เขียนเมื่อ |
:
28 มิ.ย. 54 15:12:37
|
|
|
|