Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ศาสตราแห่งเดราเนียร์ บทที่ 21 สู่แดนราชันย์มาร ติดต่อทีมงาน

ศาสตราแห่งเดราเนียร์บทแรก
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=moonyforever&group=17

บทที่ 20 กรามาร์

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10714451/W10714451.html

<21>

สู่แดนราชันย์มาร

 ละอองผงคลีดินถูกกระแสลมอันรุนแรงพัดจนฟุ้งกระจายลอยคละคลุ้ง เสียงฝีเท้าจำนวนมากที่ย่ำลงไปบนผืนดินดังสนั่นจนสามารถได้ยินในระยะไกล ฟอร์เซ็ตติกระชับไม้เท้าของเขาแน่น ดวงตาสีฟ้าเข้มเพ่งมองฝ่าผงฝุ่นออกไปเบื้องหน้า คิ้วเรียวขมวดมุ่นเข้าหากันด้วยความขุ่นเคือง

“จอมมารส่งคนออกมาต้อนรับพวกเราแล้ว” เขาพูดขึ้น รัคเชนน์กวัดแกว่งดาบกรามร์ด้วยใบหน้าสงบนิ่ง

“ให้พวกมันเข้ามา” นางพูดเสียงกร้าว ข้าจะตัดหัวไอ้พวกชั่วชาตินั่นไม่ให้เหลือรอดกลับไปหานายมันได้สักคน!”

จอมเวทแห่งมาร์วัลลัสเหลือบสายตาชำเลืองมองดูนางด้วยความรู้สึกเป็นกังวล

“จงอย่าให้โทสะเข้ามาครอบงำความคิดของเจ้า เพราะมันจะทำให้เกิดความพลั้งเผลอจนเป็นอันตรายกับตัวเจ้าได้”

“ข้าไม่มีเวลามายืนฟังคำสั่งสอนของใคร” ดาร์คเอลฟ์จ้องหน้าเขา “เก็บคำพูดของเจ้าเอาไว้กับตัวเถอะ”

ฟอร์เซ็ตติถึงกับนิ่งอึ้ง เขาเม้มปากตนเองก่อนหันไปทางโมไดซึ่งกำลังยกบรุนนาลาขึ้นจ้องด้วยดวงตาวาววับ

“พวกเราจะได้ออกรบด้วยกันอีกแล้ว โซลย์”

เขาพูดกับดาบเพลิงด้วยน้ำเสียงดุดันผิดกับทุกครั้ง บรุนนาลาเปล่งแสงสุกสว่างราวกับไฟดุจขานรับ เด็กหนุ่มยิ้ม

“ข้าจะร่ายเวทสร้างกำแพงมนตร์เพื่อป้องกันลูกธนูของพวกมัน”

จอมเวทกล่าวพร้อมกับประสานมือบนไม้เท้าของเขาและหลับตาลง แสงสว่างสีฟ้าใสพุ่งวาบออกจากคริสตัลบนปลายไม้และแผ่ออกโอบล้อมรอบกายของคนทั้งสาม เสียงหวีดหวิวของวัตถุมีคมจำนวนมากวิ่งแหวกอากาศเข้ามา มันกระทบกับม่านพลังของจอมเวทหนุ่มและแตกกระจุย

“จัดการเจ้าจอมเวทนั่นก่อน!”

เสียงเอวิลซึ่งเป็นผู้นำกลุ่มโจรในครั้งนี้ตะโกนขึ้น ธนูนับร้อยดอกพุ่งเข้าหาคนทั้งสามอีกครั้ง คราวนี้พวกมันเจาะจงไปที่ฟอร์เซ็ตติโดยเฉพาะ จอมเวทหนุ่มหรี่ตาลงและกัดฟันแน่น

“แบบนี้ไม่ไหวแน่” รัคเชนน์พูดเมื่อเห็นสีหน้าหนักใจของเขา “ม่านพลังเวทของเจ้าอาจจะป้องกันการโจมตีของศัตรูได้ก็จริง แต่ถ้าพวกมันพุ่งการจู่โจมมาที่เจ้าโดยเฉพาะ พลังกายของเจ้าอาจจะทนรับต่อไปไม่ได้แน่”

“ไม่ต้องห่วง แค่ธนูดอกเล็กๆเท่านั้น” ฟอร์เซ็ตติตอบ โมไดมองเขาและถาม

“รันนิ่งผ่านกำแพงเวทของเจ้าได้ไหม”

“ได้” จอมเวทแห่งมาร์วัลลัสตอบ เด็กหนุ่มจึงดึงมีดบินของเขาออกมาจากซองและยกมันขึ้นมาแตะไว้ที่ริมฝีปากตน “จัดการพวกมันให้หมดเลยนะ เพื่อนยาก”

“บลาสต์!”  

รันนิ่งหมุนด้วยความเร็วสูงก่อนพุ่งปราดออกไปจากมือของเขา มันวิ่งผ่านม่านกำแพงเวทและโฉบลงไปในกลุ่มโจรซึ่งยังไม่รู้ตัว เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดระคนตื่นตระหนกจนฟังไม่ได้ศัพท์ดังอื้ออึง อาวุธบินของโมไดบินสูงขึ้นไปในอากาศและร่อนกลับลงไปหาโจรพวกนั้นอีกครั้ง มันตัดร่างกายของเหล่าโจรถ่อยจนขาดกระเด็นไปคนละทิศละทาง พวกมันละมือจากธนูและพากันก้มตัวหลบคมมีดบินกันอย่างวุ่นวายจนลืมเรื่องการโจมตีจอมเวทไปเสียสนิท

“ปลดกำแพงเวทของเจ้า ฟอร์เซ็ตติ!”

รัคเชนน์ร้องขึ้น นางเงื้อกรามร์จนสุดแขนและตวัดฟันอากาศจนเต็มกำลัง อำนาจของดาบเทพสร้างคลื่นอากาศที่คมกริบดุจใบมีดขนาดมหึมา มันเคลื่อนที่เข้าหากลุ่มโจรอย่างรวดเร็ว

เอวิลเบิกตากว้างด้วยความตกใจสุดขีดเมื่อเห็นคลื่นอากาศวิ่งตรงเข้ามาหาเขา พื้นดินอันแห้งแล้งถึงกับแยกออกเป็นทางเพราะแรงอัดอันมหาศาล มันกระแทกร่างของหัวหน้าโจรจนฉีกกระจุยก่อนเลื่อนผ่านเข้าไปในกลุ่มโจรและกดอัดพวกมันจนร่างกายแหลกเละไม่มีชิ้นดี โมไดอ้าปากค้างขณะที่มองคลื่นพลังนั้นวิ่งผ่านซากร่างเหล่านั้นไป ไอละอองธุลีดินฟุ้งตามหลังคลื่นอากาศที่เคลื่อนผ่าน มันวิ่งไปจนถึงเนินหินอันเป็นปราการป้องกันปราสาทของจอมมารซึ่งอยู่ในระยะไกล เสียงระเบิดดังสะท้อนกลับมา เมื่อเนินหินลูกหนึ่งถูกพลังของดาบกรามร์กระแทกจนพังทลายลง

“พลังอะไรกันนี่”

โมไดครางออกมา ฟอร์เซ็ตติจึงเอ่ยตอบเขา

“อำนาจของกรามร์ขึ้นอยู่กับพลังกายและใจของผู้ที่ถือมัน พลังทำลายที่เจ้าเห็นนั่นมาจากความแค้นในใจของนาง”

รัคเชนน์ยิ้มเย็นเยือกเมื่อได้ฟังคำกล่าวของจอมเวทหนุ่ม นางยกกรามร์ขึ้นมาพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงแสดงความพึงพอใจ

“ข้าจะใช้พลังของดาบนี่กำจัดเจ้าจอมมารนั่นให้แหลกเป็นผุยผงและเผาซากที่เหลือของมันให้เป็นจุณ!”

*/*/*/*/*


แรงสั่นสะเทือนอันเกิดจากการปะทะของคลื่นพลังดาบแห่งกรามร์กับเนินศิลาอันเป็นปราการของปราสาทแซฟเวจย์ปลุกเพลิงโทสะของคอร์ฟคาคาร์สให้ลุกโพลงจนเขาถึงกับฉีกร่างสมุนของตนออกเป็นสองซีกและกระชากเสียงถามดาม่อนอย่างเกรี้ยวกราด

“เจ้าส่งเดนนรกประเภทไหนออกไปต้อนรับพวกนั้น ดาม่อน!”

“คนของข้าล้วนแล้วแต่มีฝีมือ พวกเขาผ่านต่อสู้กับเหล่านักรบแห่งมอร์เซลมาแล้วอย่างโชกโชน”

ดาม่อนค้อมกายตอบด้วยความยำเกรง จอมมารเหวี่ยงซากบริวารที่เขาฉีกทิ้งและย่างสามขุมเข้าไปหาผู้นำแห่งเหล่าโจรร้าย ใบหน้าดุดันจ้องมองดูดาม่อนแน่วนิ่ง

“แล้วทำไมนักรบมากฝีมือของเจ้าจึงได้แพ้ราบคาบแบบนั้น” ราชันย์ปิศาจถามด้วยน้ำเสียงขู่คำราม “ซ้ำยังปล่อยให้เจ้าพวกไร้ค่านั้นทำลายปราการของข้าจนพินาศ”

“พวกเขามีพลังเวทอันแก่กล้า” หัวหน้าโจรกล่าวตอบ “แม้ว่าจะไม่ถึงครึ่งหนึ่งของท่านก็ตาม” เขารีบพูดประโยคต่อไปเมื่อเห็นประกายตาวาววับของผู้เป็นนาย

“เจ้ากำลังจะบอกว่าการที่คนของเจ้าพ่ายแพ้เพราะสู้พลังอาคมกระจอกของเจ้าพวกนั้นไม่ได้อย่างนั้นหรือ”

คอร์ฟคาคาร์สถาม ดาม่อนก้มหน้าลง

“หากสู้ด้วยฝีมือข้ามั่นใจว่าคนของข้า.......”

“พอที!” ราชันย์มารตวาดขัดและหมุนตัวเดินกลับไปนั่งยังบัลลังก์ของเขา “ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกสักครั้ง หากครั้งนี้คนของเจ้ายังทำงานพลาด ข้าจะจับพวกเจ้าทั้งหมดโยนลงไปให้สัตว์เลี้ยงที่น่ารักของข้ากิน!”

“ท่านจะไม่ได้รับความผิดหวัง ข้าขอสัญญา”

ดาม่อนกล่าวด้วยกิริยานอบน้อมและหันไปทางอันทรัสต์

“เจ้าจงนำคนที่มีฝีมือดีที่สุดห้าสิบคนออกไป”

“ครั้งนี้ข้ากลับคิดว่าท่านน่าจะเป็นผู้นำคนของเราออกไปมากกว่า” อันทรัสต์รีบพูดแทรกขึ้นมา ดาม่อนมองดูลูกน้องของเขาด้วยสายตาสงสัย อันทรัสต์จึงอธิบาย

“ฝีมือการต่อสู้ของข้ากับเอวิลไม่แตกต่างกันนัก พวกเราคงพบกับความพ่ายแพ้อีกครั้งหากท่านปล่อยให้ข้าเป็นผู้นำกำลังออกไป”

“ความหมายของเจ้าก็คือ ข้าควรเป็นคนนำกำลังออกไปตั้งรับจอมเวทผู้นั้นหรือ”

ดวงตาของดาม่อนหรี่ลงขณะถาม อันทรัสต์กระตุกยิ้ม

“ด้วยฝีมือและสมองอันปราดเปรื่องของท่าน ข้ามองไม่ออกว่าในตอนนี้มีผู้ใดเทียมทัด”

หัวหน้าโจรนิ่งลงไปชั่วอึดใจ เขามองลูกน้องคนสนิทด้วยสายตาแสดงความรู้เท่าทัน อีกฝ่ายก้มหน้าลงหลบเพื่อสายตา

“ข้าจะเป็นผู้นำคนออกไปต่อสู้กับเจ้าจอมเวทนั่นเอง”

ดาม่อนหันไปค้อมกายกล่าวกับจอมมาร ราชันย์ปิศาจเอนตัวมาข้างหน้าและถาม

“เจ้าแน่ใจหรือ”

“ข้ามั่นใจ” หัวหน้าโจรตอบด้วยสีหน้าขึงขัง คอร์ฟคาคาร์สปรายตามองไปที่อันทรัสต์ก่อนเลื่อนกลับมาที่ดาม่อน

“เจ้าอาจจะฉลาดและมีฝีมือ แต่มนุษย์อย่างเจ้าไม่มีทางรับมือกับลูกครึ่งจอมเวทชั้นต่ำนั่นได้แน่” ราชันย์ปิศาจยกมือของเขาขึ้นลูบเรือนผมสีดำสนิทเบาๆ และดึงผมเส้นหนึ่งออกมา

“จงนำสิ่งนี้ไป” เขาพูดขึ้นพร้อมกับส่งผมเส้นนั้นให้กับดาม่อน “ใช้มันจัดการกับเจ้าจอมเวทชั้นต่ำนั้นเพียงคนเดียว”

ดาม่อนมองดูเส้นผมในมือของจอมมารด้วยความรู้สึกสงสัยแต่ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยถาม ดวงตาของหัวหน้าโจรก็ต้องเบิกกว้างออกด้วยความรู้สึกแปลกใจเมื่อเห็นผมเส้นนั้นค่อยๆเหยียดตัวแข็งเป็นเส้นตรงและแปรสภาพเป็นลูกศรสีดำสนิทวางนิ่งอยู่ในอุ้งมือของราชันย์แห่งแซฟเวจย์

“รับมันไป”

คอร์ฟคาคาร์สกล่าวเสียงห้วน ดาม่อนสะดุ้งไหวตัวเล็กน้อยก่อนเอื้อมมือของเขาออกไปรับลูกธนูสีดำมาจากจอมปิศาจ ดวงตาสีแดงก่ำหรี่ลง

“พึงรำลึกเอาไว้ว่า เจ้ามีโอกาสที่จะสังหารเจ้าครึ่งจอมเวทนั่นเพียงแค่ครั้งเดียว พลังของข้าที่ประจุลงไปในเส้นผมจะเปิดม่านอาคมป้องกันตนของมัน เล็งไปที่ลำคอของเจ้านั่น อย่าได้ยิงไปที่หัวใจเป็นอันขาด จำเอาไว้ให้ดี”

จอมมารเอนกายพิงพนักบัลลังก์ของตนอีกครั้ง

“ไปได้!”

ดาม่อนค้อมกายลงคำนับราชันย์ปิศาจอย่างอ่อนน้อม ดวงตาของเขาตวัดมองไปที่ลินซ์ซึ่งนั่งอยู่บนพื้นข้างบัลลังค์ของคอร์ฟคาคาร์ส เด็กน้อยส่งยิ้มให้กับเขาแต่หัวหน้าโจรกลับเบือนสายตาหลบและหันไปจ้องหน้าอันทรัสต์นิ่งก่อนจะเดินออกจากห้อง

*/*/*/*/*


ฟอร์เซ็ตติเดินนำหน้ารัคเชนน์และโมไดไปอย่างเร่งรีบเนื่องจากกระแสลมที่กำลังเพิ่มความปั่นป่วนรุนแรงขึ้นเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่ากำลังจะมีพายุทรายพัดผ่านมาทางพวกเขาในอีกไม่นาน

หลังจากพยายามเพ่งสายตามองฝ่าฝุ่นอันหนาทึบอยู่นาน จอมเวทหนุ่มก็ต้องยอมละความตั้งใจที่จะเดินต่อไป เขาลดสายตาลงและกวาดมองไปโดยรอบ เสียงโมไดพูดขึ้นแข่งกับเสียงลมซึ่งพัดอื้ออึง

“มีเนินดินอยู่ตรงด้านนั้น พวกเราไปหลบกันที่นั่นดีกว่า”

จอมเวทหนุ่มพยักหน้าเห็นด้วย เขาหันไปทางรัคเชนน์ซึ่งดึงผ้าคลุมของนางขึ้นมาปกปิดใบหน้าขณะเดินตามหลังเขา ฟอร์เซ็ตติเอื้อมมือออกไปกุมข้อมือของดาร์คเอลฟ์สาวไว้

“เจ้าเดินไหวไหม” เขาถามด้วยสีหน้าเป็นห่วงแต่รัคเชนน์กลับตอบเสียงห้วน

“ข้าไม่ใช่คนอ่อนแอ”

นางขืนตัวไม่ยอมให้อีกฝ่ายจูงมือของตนแต่ฟอร์เซ็ตติกลับบีบกระชับมือของเขาจนแน่นและพูดเสียงขรึม

“ข้ารู้ดีในเรื่องนั้น แต่ก็อดเป็นห่วงเจ้าไม่ได้”

รัคเชนน์กัดปากตนเองแน่น นางละความตั้งใจที่จะสะบัดแขนออกจากมือของจอมเวทหนุ่มและยอมให้เขาจูงไปแต่โดยดี เมื่อถึงเนินที่โมไดร้องบอก ดาร์คเอลฟ์สาวรีบดึงมืของนางออกโดยแรง

“ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว ขอบใจ”

ฟอร์เซ็ตติมองดูนางด้วยสายตาห่วงใยก่อนมองดูเนินดินที่พวกเขาอาศัยหลบกระแสลมด้วยความรู้สึกกังวล

“อย่างน้อยมันก็ช่วยกำบังไม่ให้พวกเราถูกพายุนี่พัดปลิวไปน่ะ”

โมไดพูดขึ้นราวกับล่วงรู้ในความคิดของจอมเวทแห่งมาร์วัลลัส เขามองหน้าเด็กหนุ่มและยิ้มแต่ไม่ได้พูดหรือตอบอะไรออกมา โมไดดึงผ้าของเขาคลุมทั้งตัวและใบหน้า และมองฟอร์เซ็ตติที่เวลานี้ไม่มีสิ่งใดปกป้องฝุ่นผงเนื่องจากเขาได้สละผ้าคลุมของตนให้กับโซลย์ไปแล้ว

“เจ้าจะใช้ผ้าคลุมผืนเดียวกับข้าก็ได้”

เสียงรัคเชนน์ดังขึ้น จอมเวทหนุ่มหันไปมองนางด้วยสายตาแปลกใจ ดาร์คเอลฟ์สาวทำสีหน้าเคร่งขรึมขณะกล่าวต่อ

“หรือเจ้าจะทนยืนตากลมตากฝุ่นอยู่แบบนั้นต่อก็ตามใจ”

รอยยิ้มจางๆประทับบนใบหน้าของฟอร์เซ็ตติ เขาเลื่อนตัวเข้าไปหารัคเชนน์และย่อตัวลงยอมให้นางคลี่ผ้าออกคลุมศีรษะของเขา

“ขอบใจเจ้ามาก”

จอมเวทหนุ่มกระซิบบอกข้างใบหูของรัคเชนน์ ใบหน้าของนางเข้มขึ้น

“ข้าแค่ไม่อยากขาดคนนำทาง”

ทั้งสองนั่งมองฝุ่นสีดำที่ฟุ้งตลบไปด้วยแรงลม ท้องฟ้ามืดมัวเพราะผงคลีดินอันหนาทึบลอยขึ้นไปบดบังแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ไปจนหมดสิ้น เสียงอื้ออึงของกระแสลมที่พัดกรรโชกดังน่ากลัว

หลังจากที่พัดโหมกระหน่ำอย่างรุนแรงอยู่นานเกือบสองชั่วโมง พายุนั้นก็อ่อนกำลังและสงบลงในที่สุด ฟอร์เซ็ตติลุกขึ้นและมองดูภูมิทัศน์โดยรอบซึ่งเปลี่ยนไปเล็กน้อยเนื่องจากกระแสลมได้พัดพาเอาดินทรายจำนวนมหาศาลมาปกคลุมเนินโดยรอบจนตื้นเขินขึ้น บางแห่งถึงกับกลายเป็นพื้นที่ราบเรียบไม่เหลือเค้าร่องรอยเดิม โมไดปัดฝุ่นตามลำตัวขณะเดินออกมาจากที่กำบัง

“เจ้ายังจำทางได้ใช่ไหม” เขาถาม จอมเวทแห่งมาร์วัลลัสมองหน้าเด็กหนุ่ม

”ข้าไม่ได้เดินไปตามเส้นทาง แต่ข้าเดินตามพลังที่แผ่ออกมาจากร่างของจอมมารต่างหาก”

“ใกล้ค่ำเต็มทีแล้วพวกเรารีบเดินทางต่อจะดีกว่า”

รัคเชนน์เอ่ยขึ้นมา ฟอร์เซ็ตติจึงก้าวเท้าออกเตรียมจะเดินนำออกไปเหมือนทุกครั้ง แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ขยับกายธนูดอกหนึ่งก็วิ่งมาปักบนพื้นตรงหน้าของเขาพอดี จอมเวทหนุ่มเงยหน้าขึ้นด้วยความรู้สึกตระหนกเมื่อเห็นร่างของชายฉกรรจ์ราวห้าสิบคนกำลังเล็งศรมายังพวกเขา

“พวกมันมากันตอนไหน ทำไมพวกเราจึงไม่รู้สึกตัว”

รัคเชนน์ถามด้วยความแปลกใจ ฟอร์เซ็ตติเลื่อนไม้เท้าไปข้างหน้าก่อนตอบ

“พวกเขาอาศัยพายุเมื่อครู่พรางตา” จอมเวทแห่งมาร์วัลลัสตอบ “และใช้กระแสลมกลบเสียงฝีเท้าทำให้พวกเราไม่ได้ยิน”

ชายร่างสูงซึ่งยืนอยู่ตรงกลางในกลุ่มของกองโจรก้าวออกมาข้างหน้า เขาวางมือข้างหนึ่งลงบนด้ามดาบและชูแขนอีกข้างหนึ่งขึ้น

“ยิง!”

ธนูนับสิบดอกพุ่งเข้าใส่ร่างของคนทั้งสามทันทีที่สิ้นเสียงร้องสั่ง มันระเบิดกระจายเมื่อสัมผัสกับม่านกำแพงเวทที่ฟอร์เซ็ตติร่ายขึ้น ดาม่อนยิ้มด้วยสีหน้าพึงพอใจ

“อย่าให้พวกมันตั้งตัวได้เป็นอันขาด”

เขาพูดเสียงกร้าว โดยสายตายังคงจับจ้องไปที่ศัตรูตรงหน้าแน่วนิ่ง เขาหรี่ตาลงเมื่อเห็นโมไดดึงรันนิ่งออกมา

“ยกที่กำบัง!”

หัวหน้าโจรร้องสั่งเสียงดัง เสียงหวีดหวิวของมีดบินที่หมุนตรงมายังพวกเขาดังใกล้เข้ามา ชายฉกรรจ์ทั้งหมดยกโล่โลหะขึ้นเหนือหัวเพื่อบังอย่างพร้อมเพรียงกัน รันนิ่งโฉบลงปะทะกับโล่เหล็กอย่างแรงจนเกิดประกายไฟ มันหมุนวนขึ้นไปในอากาศและร่อนลงไปอีกครั้ง

“พวกที่อยู่ด้านหน้าระดมยิงพวกมันอย่าได้หยุด!”

ดาม่อนสั่งการต่อเมื่อแน่ใจว่ารันนิ่งของโมไดไม่อาจทำร้ายคนของเขาได้ โจรทั้งหลายจึงเริ่มยิงธนูเข้าใส่กลุ่มของฟอร์เซ็ตติอีกครั้ง

“เจ้าหมอนี่ฉลาดไม่ใช่เล่น” โมไดบ่นพลางเก็บรันนิ่งซึ่งร่อนกลับมาลงซอง รัคเชนน์เม้มปากตนเองขณะมองดูหัวหน้าโจรตรงหน้า

“เจ้านี่ชื่อดาม่อน” นางพูดขึ้น “เป็นหัวหน้ากองทหารมนุษย์ฝ่ายมืดแห่งแซฟเวจย์ เขาเป็นชาวแซฟวี”
“ชาวแซฟวี” โมไดทวนคำ “มิน่าล่ะมันถึงได้ฉลาดกว่าโจรทั่วไป”

“เจ้านี่เป็นบริวารมนุษย์มือดีของราชันย์ปิศาจ ข้าเคยพบเขาครั้งหนึ่งก่อนกองทัพมารจะยกไปถล่มอาณาจักรนักปราชญ์จนพินาศ”

“แปลกนะ ชาวแซฟวีพาผีร้ายไปทำลายชาวแซฟวีด้วยกัน” เด็กหนุ่มมองลูกธนูที่แตกกระจายเหนือม่านพลังขณะพูด “สงสัยเจ้านี่คงมีความแค้นฝังลึกกับพวกเดียวกันเหมือนกับเจ้า”

“อย่านำข้าไปเปรียบกับมนุษย์อย่างพวกเจ้า” รัคเชนน์พูดด้วยน้ำเสียงดุดัน “เพราะถึงข้าจะเกลียดคนพวกนั้น แต่ข้าก็ไม่เคยสังหารพวกเขา”

“นี่พวกเจ้าไม่คิดจะทำอะไรนอกจากการโต้เถียงกันหรือ”ฟอร์เซ็ตติขัดขึ้น “ถึงคราวนี้กำลังคนของพวกนั้นจะน้อยกว่าครั้งก่อนแต่ไม่ได้หมายความว่าข้าจะมีแรงมากพอที่จะยืนต้านรับการโจมตีของพวกมันคนเดียวไหว”

“รันนิ่งของข้าทำอะไรพวกมันไม่ได้” โมไดตอบพลางพยักเพยิดหน้าไปทางกลุ่มโจรซึ่งมีโล่โลหะคุ้มกันอยู่ด้านบน

“ข้าจะใช้กรามร์อีกครั้ง”

รัคเชนน์เอ่ยขึ้นแต่จอมเวทหนุ่มส่ายหน้า

“เจ้าจะต้องเพ่งสมาธิและรวมพลังกายใจอย่างหนักในการใช้กรามร์แต่ละครั้ง ไม่เป็นการดีแน่หากเจ้าคิดจะพึ่งพลังของดาบเทพติดต่อกัน”

“ข้าจะใช้เวทเพลิง” โมไดดึงบรุนนาลาออกมาจากฝัก “เจ้าพวกนั้นมันเอาเหล็กมาเป็นโล่ ข้าจะย่างมันให้เหมือนปลาเลยคอยดู”

ดาม่อนยืนมองดูโมไดและฟอร์เซ็ตติปรึกษากันอย่างใจเย็น สีหน้าของหัวหน้าโจรฉายแววครุ่นคิดเมื่อเห็นเด็กหนุ่มดึงดาบรูปร่างประหลาดออกมา  ดาม่อนจึงรีบหันไปร้องสั่งลูกน้องของเขา

“ใช้ธนูเหล็ก”

กลุ่มโจรซึ่งยืนอยู่ด้านในส่งซองบรรจุลูกธนูโลหะให้กับผู้ที่กำลังระดมยิงเบื้องหน้า เสียงแหวกอากาศหวีดหวิวน่ากลัวเมื่อศรเหล็กวิ่งไปปะทะกับม่านพลังเวท ประกายไฟอันเกิดจากแรงกระแทกแตกออกราวกับพลุ กำแพงพลังของฟอร์เซ็ตติถึงกับสั่นไหวจนเขาต้องเพ่งสมาธิและร่ายมนตร์กำกับอีกครั้ง

“ธนูเหล็ก” รัคเชนน์พึมพำ “ความรุนแรงในการโจมตีจะเพิ่มมากขึ้น แบบนี้แย่แน่”

นางยกกรามร์ขึ้นวางจรดบนใบหน้า จอมเวทหนุ่มรีบหันไปร้องห้าม

“อย่า ชาเม่!”

ดาม่อนยิ้มออกมาทันทีเมื่อเห็นจอมเวทแห่งมาร์วัลลัสละสายตาจากไม้เท้าของเขา หัวหน้าโจรยกคันธนูขึ้นและพาดศรดำซึ่งได้รับมาจากจอมมารไว้บนสาย ดวงตาสีเข้มหรี่ลงเมื่อเล็งไปที่เป้า

“ตายเสียเถิด เจ้าจอมเวท”

ลูกธนูสีดำสนิทพุ่งออกจากคันศรวิ่งแหวกอากาศปะปนไปกับธนูโลหะตรงไปหาร่างของ
ฟอร์เซ็ตติซึ่งกำลังหันไปหารัคเชนน์ พลังอันรุนแรงที่แผ่ออกมาจากลูกศรสีกาฬทำให้จอมเวทหนุ่มรู้สึกตัว เขาหันขวับมามองด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง ม่านพลังป้องกันแตกสลายไปทันทีเมื่อลูกธนูของจอมมารวิ่งมากระทบ มันพุ่งตรงต่อไปยังลำคอของจอมเวทแห่งมาร์วัลลัส เขาก้าวถอยหลังด้วยความตกใจ

“ฟอร์เซ็ตติ!”

ดาร์คเอลฟ์สาวร้องเรียกเขาด้วยความตระหนก นางคว้าไหล่ของจอมเวทหนุ่มและออกแรงเหวี่ยงเขาให้หลบไปอีกด้าน ปลายลูกศรวิ่งผ่านเฉียดลำคอของเขาไปอย่างหวุดหวิด ถึงกระนั้นมันก็ยังสร้างรอยแผลเล็กๆเรียกโลหิตสีแดงสดให้ไหลซึมออกมา

“อัซซ์บรุนน์!”

โมไดตวัดบรุนนาลาฟันไปในอากาศพร้อมกับร่ายมนตร์กำกับทันทีที่เห็นเพื่อนของเขาล้มลง เปลวเพลิงรูปวงเสี้ยววิ่งออกจากคมดาบทำลายพายุศรเหล็กและพุ่งเข้าใส่กลุ่มโจรจนล้มระเนระนาด โล่โลหะที่พวกเขาใช้ป้องกันรันนิ่งถูกความร้อนจากเวทเพลิงเผาจนสุกแดง มันหล่นใส่ร่างของผู้ถือและลวกพวกเขาจนสุกไหม้ไปตามกัน ดาม่อนซึ่งมีสีหน้าตกใจก้าวถอยหลังออกไปสองสามก้าว เขาดึงดาบออกมาจากฝักแล้วชูขึ้น

“อย่าหนี! ฆ่าพวกมันให้ได้!”

โจรที่เหลือต่างดึงดาบของตนออกมากวัดแกว่งและวิ่งเข้าหาโมไดทันที เด็กหนุ่มยิ้มพร้อมกับขยับบรุนนาลาในมือ

“เข้ามาเลย”

รัคเชนน์รีบปล่อยมือที่จับฟอร์เซ็ตติและกวัดแกว่งกรามร์เข้าตอบโต้การโจมตีของเหล่าโจรร้ายด้วยความเกรี้ยวกราดและดุดัน

“คอยป้องกันเจ้าจอมเวทนั่นเอาไว้” โมไดร้องบอกพลางเหวี่ยงดาบตัดคอโจรคนหนึ่งและหันไปเหวี่ยงหมัดเข้าใส่อีกคนซึ่งวิ่งถลันเข้ามา “เจ้านั่นไม่มีอาวุธป้องกันตัว”

“ข้าไม่เป็นไร” ฟอร์เซ็ตติบอกดาร์คเอลฟ์สาว “เจ้าไปช่วยโมไดเถอะ”

“อย่าทำเป็นอวดเก่งนักเลย” รัคเชนน์พูดพลางหมุนตัวตวัดกรามร์ฟันชายฉกรรจ์ห้าคนที่รุมล้อมนางจนขาดเป็นสองท่อนในครั้งเดียว “เจ้าอาจจะเก่งในด้านเวทแต่การต่อสู้ประชิดตัวแบบนี้เจ้าไม่ได้เรื่องหรอก”

ไม้เท้าในมือของจอมเวทเหวี่ยงไปฟาดชายอีกคนที่กำลังเงื้อดาบหมายจะฟันร่างของรัคเชนน์ก่อนร่ายเวทเพลิงเผาร่างโจรอีกคนที่กระชากแขนของเขาจนลุกไหม้เป็นจุณ

“ข้าดูแลตัวเองได้” เขาหันไปหาดาร์คเอลฟ์สาว นางยิ้มและกระโจนเข้าใส่กลุ่มโจรพร้อมกับฟาดฟันพวกมันอย่างดุร้ายโดยมีโมไดกวัดแกว่งบรุนนาลาอยู่ข้างๆ ฟอร์เซ็ตติหันไปมองดาม่อนซึ่งกำลังเดินตรงเข้ามาด้วยท่าทางมั่นใจ มือที่กุมดาบกระชับแน่น

“ได้ยินมาว่าเจ้าคือจอมเวทที่เก่งที่สุดในมาร์วัลลัส”

หัวหน้าโจรเอ่ยกับจอมเวทหนุ่ม เขาก้มหน้าลงเล็กน้อยก่อนตอบ

“และข้าก็ได้ฟังมาว่าเจ้าเป็นชาวแซฟวีที่เฉลียวฉลาดมาก”

ดวงตาของดาม่อนฉายแววประหลาดออกมาวูบหนึ่ง เขายิ้มอย่างใจเย็น

“สิ่งที่เจ้าได้ยินมาออกจะเกินความจริงไปสักนิด ข้าเป็นแค่นักเดินทางธรรมดาเท่านั้น”

“ราชันย์มารคงไม่นำนักเดินทางธรรมดามาเป็นผู้นำกองทัพของเขาแน่” ฟอร์เซ็ตติพูด “และคงไม่กล้ามอบอาวุธที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังมืดให้กับคนที่เขาไม่ไว้วางใจ”

หัวหน้าโจรหมุนดาบในมือของตน ดวงตาสีเข้มวาววับขึ้นเมื่อเขาตวัดคมดาบขึ้นจ่อไว้ที่ลำคอของจอมเวทแห่งมาร์วัลลัส

“ท่านคอร์ฟคาคาร์สไม่อยากเห็นหน้าเจ้าอีก”

“แต่ข้าอยากพบเขา” ฟอร์เซ็ตติพูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเรียบสนิท โมไดและรัคเชนน์ซึ่งจัดการกับสมุนของดาม่อนจนไม่มีเหลือแล้วหันมาทางเขา ทั้งคู่ร้องอุทานด้วยความโกรธเมื่อเห็นดาบของดาม่อนที่จรดอยู่บนลำคอของจอมเวทหนุ่ม หัวหน้าโจรร้องห้ามเสียงดัง

“อย่าขยับหากไม่ต้องการให้คอของเจ้าจอมเวทนี่ทะลุเป็นรู!”

“ข้าจะตัดเจ้าออกเป็นชิ้นๆหากกล้าทำเช่นนั้น” รัคเชนน์ตวาดกลับด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว
ดาม่อนหัวเราะออกมา

“เจ้าคงได้ทำเช่นนั้นสมใจ แต่หลังจากที่คอของเจ้านี่หลุดออกจากบ่าไปแล้ว”

เขาเพิ่มน้ำหนักของดาบที่จ่ออยู่บนลำคอของฟอร์เซ็ตติ ดวงตาสีเข้มจ้องมองเข้าไปในดวงตาสีฟ้าใสของจอมเวท เขาขมวดคิ้วเมื่อเห็นประกายบางอย่างกำลังเต้นระริกอยู่ภายใน

“นี่เจ้า.....” ดาม่อนพูดขึ้นด้วยความตกใจที่อยู่ๆร่างกายของเขาเกิดอาการเกร็งจนแทบขยับไม่ได้ หัวหน้าโจรรีบหลุบตาของเขาต่ำลงพร้อมกับตัดสินใจตวัดดาบฟันไปที่ลำคอของฟอร์เซ็ตติเต็มแรง โมไดเห็นดังนั้นจึงรีบสอดบรุนนาลาเข้าไปขัดทางดาบของดาม่อนเอาไว้และปัดมันออก เขาเหวี่ยงกำปั้นเสยเข้าไปที่ปลายคางของผู้นำกองโจรแห่งแซฟเวจย์จนอีกฝ่ายถึงกับทรุดลงไป

“ข้าเคยคิดว่าชาวแซฟวีมีแต่คนใจแคบ” รัคเชนน์เดินไปหยุดยืนใกล้ร่างของดาม่อน นางเตะดาบของเขาจนกระเด็นไปไกล “แต่ไม่คิดเลยว่าจะมีพวกอำมหิตโหดเหี้ยมที่ยอมสวามิภักดิ์ต่อราชันย์ชั่วจนถึงขนาดทำลายอาณาจักรของตน”

“อาณาจักรของข้า” ดาม่อนปาดเลือดที่ไหลย้อยออกจากมุมปากและพ่นเสียงหัวเราะ “เจ้าจะไปรู้อะไรนางเอลฟ์”

“ข้ารู้จักคนของแซฟวีมานาน” ดาร์คเอลฟ์สาวกล่าว “นานมากว่าครึ่งชีวิตของเจ้าเสียด้วยซ้ำ”

“เจ้ารู้แค่เรื่องราวของเจ้า แต่ไม่ได้บอกว่าเจ้าจะรู้จักและเข้าใจในตัวของข้า” หัวหน้าโจรเงยหน้าขึ้น “ปราชญ์แห่งแซฟวีรักชื่อเสียงและเกียรติยศของตนมากกว่าชีวิตของญาติพี่น้องหรือแม้แต่ลูกในไส้ของตัวเองเสียอีก”

“เจ้าหมายความว่าอะไร”

“แล้วทำไมข้าจะต้องบอกเจ้าด้วย”

ดาม่อนย้อนถามเสียงห้วน โมไดขยับดาบในมือของเขาด้วยความรู้สึกอยากจะหั่นคอของคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าทิ้งแต่ฟอร์เซ็ตติกลับยกมือห้าม

“ปล่อยเขาไป”

“ว่ายังไงนะ!” เด็กหนุ่มร้องราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่ตนได้ยิน “ปล่อยคนที่คิดจะฆ่าเจ้า! นี่เจ้าคิดอะไรของเจ้ากันแน่”

“หรือเจ้าอยากจะฆ่าคนที่ไม่มีอาวุธในมือ” จอมเวทหนุ่มย้อนถาม โมไดนิ่งไปชั่วครู่จึงสั่นหัว

“ตามใจเจ้าก็แล้วกัน” เขาหันไปทางดาม่อน “จะไปไหนก็รีบไปสิก่อนที่ข้าจะเปลี่ยนใจ”

หัวหน้าโจรมองหน้าจอมเวทแห่งมาร์วัลลัสและดันกายลุกขึ้นยืน เขาเดินออกไปสองสามก้าวก่อนหมุนกายหันกลับมาและพูด

“เจ้าคิดผิดมหันต์ที่ปล่อยข้า”

ดาม่อนสะบัดมีดสั้นที่ซ่อนเอาไว้ในแขนเสื้อทั้งสองข้างเข้าใส่ร่างของฟอร์เซ็ตติ รัคเชนน์ตวัดกรามร์ปัดมันออกไปได้เล่มหนึ่ง นางต้องตกใจเมื่อเห็นมีดอีกเล่มหลุดรอดจากการสกัดกั้นของนางและวิ่งไปปักบนไหล่ของจอมเวทหนุ่ม เขาร้องและยกมือขึ้นกุมแผลของตนในขณะที่โมไดสบถเสียงดังพร้อมกับตวัดดาบเพลิงเข้าใส่ร่างของดาม่อนสุดแรง

เปลวเพลิงรูปจันทร์เสี้ยวหมุนตัวม้วนเข้าหาร่างของหัวหน้าโจรซึ่งยืนรับด้วยท่าทางไม่หวั่นเกรง มันระเบิดเสียงดังสนั่นก่อนจะทันถึงตัวของดาม่อน โมไดขมวดคิ้วด้วยความรู้สึกแปลกใจไม่ต่างไปจากสีหน้าของผู้เป็นเป้าหมาย จอมเวทแห่งมาร์วัลลัสรีบทรงกายและเอื้อมมือไปคว้าร่างของเด็กหนุ่มและดึงเขาให้ไปยืนอยู่ทางด้านหลัง

“เจ้าดึงข้าทำไม”

โมไดร้องถามด้วยความโกรธ แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นจอมเวทที่ยืนอยู่เบื้องหน้ากำลังสั่นไปทั้งร่าง เด็กหนุ่มรีบมองตามสายตาของเขาไปยังที่ที่ดาม่อนยืนอยู่ เขาตกใจจนแทบสิ้นสติเมื่อเห็นเงาสีดำสนิทกำลังก่อตัวเป็นรูปร่างอยู่ตรงหน้า เสียงหัวเราะดังกระหึ่มอยู่ในอากาศ

“ขอโทษที่เข้ามาขัดจังหวะความสนุกของพวกเจ้า” น้ำเสียงทุ้มต่ำเย็นเยือกดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงในผ้าคลุมสีดำทะมึนที่ปรากฏกายเบื้องหน้าผู้นำโจรแห่งแซฟวเจย์ “แต่ข้าก็ไม่อาจปล่อยให้เขาต้องตายเพราะฝีมือของเจ้าเด็กนั่น”

ดวงตาสีดำวาววับอย่างดุร้ายขณะที่จ้องไปยังโมไดก่อนเลื่อนไปหาฟอร์เซ็ตติ

“พบกันอีกครั้งแล้วนะ เจ้าครึ่งจอมเวท” รอยยิ้มหยามหยันฉาบบนมุมปาก “ดูเหมือนสภาพของเจ้าจะดูดีกว่าคราวก่อนมาก เจ้าลูกครึ่งชั้นต่ำ”

“อย่างน้อยลูกครึ่งอย่างข้าก็น่าสนใจเสียจนเจ้ายอมละจากบัลลังก์และออกมาหาข้าด้วยตนเองมิใช่หรือ”  

จอมเวทหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงยั่วหยาม จอมมารถึงกับคำรามในลำคอ เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นและรวบกรงเล็บในอากาศ ร่างของจอมเวทถึงกับสะดุ้งสุดตัวและเลื่อนมือไปกุมไว้บนทรวงอกของตน

“อย่ามากล่าววาจายอกย้อนกับข้า เจ้าครึ่งจอมเวท” คอร์ฟคาคาร์สพูดด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด “ชีวิตของเจ้ายังอยู่ในอุ้งมือของข้าอย่าลืมไปเสียสิ”

ราชันย์ปิศาจดึงมือของเขาเข้าหาตัวอย่างแรง ร่างของจอมเวทหนุ่มทำท่าจะล้มไปข้างหน้าราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นกระชาก เขากดไม้เท้าให้จมลงไปในพื้นดินและยันกายฝืนเอาไว้อย่างสุดกำลัง จอมมารแสยะยิ้ม

“ที่เจ้ายังมีลมหายใจอยู่ได้ก็เพราะความดื้อดึงและอวดดี” กรงเล็บที่กำอยู่คลายออก ดวงตาสีดำกร้าวจับจ้องมองดูร่างของจอมเวทแห่งมาร์วัลลัสซึ่งกำลังยืนหอบหายใจด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อน มันส่งประกายวาววับน่ากลัว

“ได้ยินมาว่าพวกเจ้ามีสี่คน” เขาหรี่ดวงตาลงและถามด้วยน้ำเสียงเย้ยเยาะ “แต่เหตุใดตอนนี้ข้าเห็นเพียงแค่สาม อีกคนหนึ่งหายไปไหนเสียแล้วเล่า”

คำพูดของราชันย์แห่งแซฟเวจย์สร้างโทสะให้บังเกิดขึ้นแก่รัคเชนน์ นางถึงกับร้องตะโกนออกมาด้วยความพิโรธ ดาร์คเอลฟ์สาวกวัดแกว่งกรามร์และวิ่งเข้าไปหาจอมมารด้วยความโกรธเกรี้ยวอย่างที่สุด รัคเชนน์ตวัดดาบฟันลงไปยังร่างของจอมปิศาจสุดแรง เขาทำเพียงแค่เบี่ยงกายหลบพร้อมกับสะบัดมือฟาดลงไปบนใบหน้าของนางเสียงดังสนั่น

“รัคเชนน์!”

จากคุณ : Moony_Lupin
เขียนเมื่อ : 29 มิ.ย. 54 08:05:14




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com