Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ซ่อน ติดต่อทีมงาน

ซ่อน

ผมแอบอยู่ในมุมมืดหลังประตูตู้ไม้เก่าๆ บานหนึ่ง พยายามทำตัวให้นิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ร่างกายของผมกลับเกิดอาการสั่นขึ้นมาเองจากความตื่นเต้น ผมพยายามบังคับตัวเองให้หายใจเข้าออกลึกๆ ช้าๆ ก่อนที่อาการดังกล่าวจะค่อยๆ ลดลงจนหายไปในที่สุด

เสียงที่เกิดจากการค้นหาของมันยังดังอยู่เป็นระยะๆ ผมพยายามมองลอดผ่านช่องเปิดเล็กๆ ของฝาตู้ แต่ก็ไม่พบเห็นความเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น คงเป็นเพราะมุมมองที่จำกัด กับความสลัวลางของสถานที่แห่งนี้ ผมจึงไม่อาจวางใจได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว มันอาจจะค้นพบที่ซ่อนสุดท้ายของผมได้ทุกเวลา

ภายในบ้านร้างหลังนี้เหลือผมกับมันเพียงสองคนเท่านั้น ตอนแรกพวกเรามีด้วยกันทั้งหมดสามคน การตัดสินใจแยกย้ายกันหลบซ่อนนั้นเป็นความคิดที่ผิดอย่างไม่ต้องสงสัย ผมไม่ทันได้เห็นว่าเพื่อนคนแรกถูกจัดการอย่างไร แต่เพื่อนคนที่สองนั้น ผมเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยตาของตนเอง

หลังจากนั้นผมจึงไม่กล้าหนีวนไปมาอีก เพราะมันอาจได้ยินเสียงที่เกิดขึ้นก็เป็นได้ ผมตัดสินใจใช้วิธีซ่อนตัวอยู่นิ่งๆ ซึ่งในตอนแรกดูเหมือนว่าจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง บ้านทั้งหลังเงียบสงัด และผมเห็นอาการหงุดหงิดของมันในตอนที่เดินผ่านช่องแอบมองของผมไปโดยไม่เอะใจเลยสักนิด ว่าผมซ่อนอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น

แต่ยิ่งเวลาผ่านไป ผมก็พบว่ามันกลับกลายเป็นความคิดที่ผิดอีกครั้ง ตอนนี้มันคงรู้ตัวแล้ว เพราะมันเริ่มรื้อค้นไปตามจุดที่สามารถซ่อนตัวได้ ซึ่งก็มีอยู่ไม่มากนัก ท้ายที่สุดมันก็คงจะมาถึงจุดที่ผมซ่อนตัวอยู่นี้ แต่นั่นก็ยังไม่แน่เหมือนกัน ผมยังคงเชื่อมั่นในดวงของผม

ความรู้สึกที่ผมกลัวค่อยๆ ก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ มันเริ่มจากบริเวณกลางลำตัวก่อนลุกลามไปทั่วร่าง เหงื่อที่ชุ่มอยู่แล้วจากการซ่อนตัวของผม ยิ่งชุ่มมากขึ้นกว่าเดิม ผมกลืนน้ำลายอย่างฝืดๆ อาการปวดท้องทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ผมต้องเข้าห้องน้ำเดี๋ยวนี้ โชคชะตาช่างชอบเล่นตลกเสียจริง

อาการปวดท้องทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งพอคิดว่าตัวเองไม่อาจออกไปเข้าห้องน้ำได้ อาการทุรนทุรายนั้นก็ยิ่งโถมทับทวีคูณมากขึ้นไปอีก ผมพยายามที่จะไม่สนใจมัน แต่เหมือนกับว่าความปวดนั้นมันค่อยๆ กอดรัดตัวผมแน่นขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับมากระซิบอยู่ที่ข้างหู

ความคิดมากมายภายในหัวค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยความคิดเพียงหนึ่งเดียว ‘ห้องน้ำ ห้องน้ำ ห้องน้ำ’ เหงื่อที่ไหลออกมาทำให้ผมรู้สึกเย็นเยียบไปทั้งตัว เงาของมันเคลื่อนผ่านช่องมองไป แต่ยังคงไม่ระแคะระคายถึงตัวตนของผมที่ซ่อนอยู่ด้านหลังเลยแม้แต่น้อย ผมกลั้นใจพยายามจะอยู่นิ่งที่สุด

เงาของมันก็เคลื่อนผ่านไป และใจของผมก็พะวงอยู่เพียงเรื่องเดียวแล้วในตอนนี้ ผมไม่สามารถคิดอะไรได้อย่างปรุโปร่งเหมือนเช่นเคย ภาพของห้องน้ำลอยไปมาอยู่ในหัวของผม ผมตัดสินใจเอื้อมมือออกไปเพื่อขยับบานฝาตู้ไปทางด้านข้างอีกสักนิด

แต่ผมก็ต้องรีบหดมือกลับมา เมื่อเห็นความเคลื่อนไหวของอะไรบางอย่างที่หางตาเข้าเสียก่อน มันเดินย้อนกลับเข้ามาในห้องนี้อีกครั้ง ผมแทบจะหยุดหายใจ แต่ยังคงพยายามบีบเกร็งกล้ามเนื้อส่วนนั้นเอาไว้เพื่อมิให้สิ่งใดๆ หลุดรอดออกมาก่อนเวลาอันควร

มันเหลียวซ้ายแลขวา เดินมาดูภายในตู้เก่าๆ ที่อยู่ข้างๆ ตัวผม แต่กลับไม่คิดจะดูด้านหลังของบานฝาตู้ที่พิงกำแพงอยู่นี้เลยแม้แต่น้อย ดูเหมือนว่ามันอาจจะโง่กว่าที่ผมคิดก็เป็นได้ มันค่อยๆ ขยับเคลื่อนกายออกไปอย่างลังเล แต่ผมทนไม่ไหวเสียแล้ว แรงดันภายในท้องนั้นเกินกว่าที่จะต้านทานไว้ได้แล้ว

ผมไม่อาจทนต่อไปได้อีกแล้ว ผมต้องออกไปเผชิญหน้ากับมันและยอมรับต่อโชคชะตาที่กลั่นแกล้งผมอย่างน่าเศร้า ผมผลักบานไม้เก่าๆ ไปสุดแรง ก่อนผืนวิ่งออกไปได้เพียงไม่กี่ก้าว

มันวิ่งเข้ามากอดผมจากทางด้านหลังเอาไว้แน่น ก่อนส่งเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งเข้าใส่หู ผมพยายามดิ้นแต่ด้วยอาการปวดท้องที่เป็นอยู่ทำให้ไม่อาจทำอะไรได้มากนัก

สี กับอ้อน ที่กำลังยืนรออยู่ตรงหน้าประตู หลังจากถูกจับไปได้ก่อนหน้านี้ร้องออกมาอย่างเสียดายที่ผมเองก็ไม่อาจหนีรอดไปได้ สุดท้ายพวกเราทั้งหมดก็ถูกแดงจับได้ทุกคน

“จับได้แล้ว”

“เฮ้ยปล่อยก่อนเร็ว ปวดท้องมากเลย”

“ไม่ต้องมาแกล้ง เดี๋ยวพวกเอ็งไปโอน้อยออกกันว่าใครจะต้องเป็นคนหาต่อไป”

“พูดจริงๆ ฉันต้องไปห้องน้ำ”

แดงยังยิ้มกอดผมไว้ไม่ยอมปล่อย ความกดดันมาถึงจุดที่ผมไม่อาจต่อต้านได้อีกต่อไป เสียงระเบิดดังสนั่นจนได้ยินไปทั้งสามโลก รอยยิ้มของแดงสลายหายวับก่อนรีบถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว พร้อมยกมือขึ้นบีบจมูก ก่อนตะโกนด้วยเสียงอู้อี้

“ขี้แตก กองเบ้อเร่อเลย”

ก่อนที่ทั้งหมดจะส่งเสียงหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ยกเว้นผมคนเดียวที่ได้แต่ยืนกางขา ทำหน้าเหมือนอยากจะร้องไห้

แดงหรือ ร้อยตำรวจเอกชาด จบเรื่องเล่าของตนพร้อมกับเสียงหัวเราะที่ดังขึ้นรอบวง ทั้งสุรสีห์ หรือสี และอำนาจ หรืออ้อน ที่เคยอยู่ร่วมในเหตุการณ์ และแม้แต่ตัวผมเองเมื่อนึกย้อนไปถึงตอนนั้นก็ยังอดรู้สึกขำไปด้วยไม่ได้

“เดี๋ยวนี้เวลาจะต้องเดินทางไกลๆ หรือแม้แต่เข้าโรงหนัง ต้องรู้สึกใจคอไม่ดีทุกที กลัวว่ามันจะเกิดปวดท้องขึ้นมาแบบวันนั้น”

เสียงหัวเราะดังขึ้นรอบวงอีกครั้ง น้ำสีอำพันถูกผสมและแจกจ่ายไปรอบวง อ้อนที่เป็นเจ้าของห้องคอนโดบนชั้นสามสิบสามทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดีเพราะได้จัดเตรียมทุกอย่างเอาไว้อย่างพร้อมสรรพ

“ไม่ต้องกลัวเลยคืนนี้ ห้องน้ำอยู่แค่นี้เอง”

อ้อนยังไม่ยอมปล่อยให้เรื่องหน้าขายหน้าของผมผ่านไปได้ง่ายๆ

“ยังกับตอนเด็กๆ ไม่เคยทำอะไรบ้าๆ บอกันอย่างนั้นแหละ”

ใช่พวกเราเคยทำอะไรห่ามๆ ไว้มากมายในสมัยนั้น ตามประสากลุ่มเด็กชายจอมซ่าที่พ่อแม่ต่างพากันกุมขมับ แต่พวกเราต่างเติบโตและมีเส้นทางเดินชีวิตที่นับว่าดีทีเดียว และทำให้พวกท่านสบายใจได้ในระดับหนึ่ง

หลังจากการดื่ม และเสียงหัวเราะผ่านไปหลายรอบ สีก็เกิดไอเดียที่คิดว่าเจ๋งที่สุดในจักรวาลขึ้นมา อาจเป็นเพราะว่าพวกเรากำลังเมากันได้ที่ ไม่ว่าความคิดอะไรก็ดูเหมือนจะดีไปหมด

“เฮ้ย มาเล่นซ่อนหากันอีกดีกว่า เหมือนคืนนั้นไง”

“ดี ดี ดี เห็นด้วย แต่ว่าให้มันไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ”

แดงชี้มือมาที่ผม ก่อนหัวเราะเสียงดัง

“ห้องแคบแค่นี้จะไปซ่อนที่ไหนได้”

ผมแย้งเพื่อเบี่ยงเบนประเด็นที่กำลังถูกโจมตี แต่จะด้วยอะไรก็ตามทีสุดท้ายพวกเราก็ตกลงเล่นซ่อนหากันจนได้ แดงได้เป็นคนหาเหมือนในวันนั้น ผมลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในห้องน้ำ ไม่ต้องบอกก็คงรู้ว่าผมได้แรงบันดาลใจมาจากสิ่งใด

แล้วทันใดนั้นไฟในห้องก็ปิดมืดลง น่าจะเป็นฝีมือของอ้อนเพราะเป็นเจ้าของห้อง และรู้ตำแหน่งของสวิทย์ไฟเป็นอย่างดี ผมได้ยินเสียงแดงบ่นอุบอิบก่อนคลำเปะปะไปมาในความมืด

ผมแอบมองผ่านประตูห้องน้ำที่แง้มทิ้งเอาไว้ ใจหวนคิดไปถึงเหตุการณ์ในวันนั้น ที่แอบซ่อนอยู่หลังประตูเช่นกัน ในท้องพลันเกิดอาการปั่นป่วนขึ้นเล็กน้อย ผมยิ้มให้กับตัวเอง คราวนี้คงไม่ต้องกังวลอะไรมากเพราะผมอยู่ในห้องน้ำเรียบร้อยแล้ว

ผมมองเห็นเงาของแดงค่อยๆ เดินไปทางระเบียงพร้อมกับส่งเสียงบ่นไปตลอดทาง เขาเลื่อนเปิดประตูออกไป และผมคิดว่าแดงคงต้องเจอใครบางคนแน่ๆ เพราะในห้องนี้มีที่ซ่อนอยู่ไม่มากนัก

มีเสียงแปลกๆ ดังมาจากระเบียง เสียงร้องตะโกนอย่างโหยหวนที่ดังห่างออกไปอย่างรวดเร็ว อาการปวดท้องของผมพุ่งพรวดขึ้นมาในทันที ผมวิ่งออกไปที่ระเบียง เพื่อนอีกสองคนตามมาในเวลาไล่ๆ กัน ผมพยายามมองลงไป แต่ห้องนี้อยู่สูงจากพื้นมาก แต่ถึงอย่างนั้นผมก็มองเห็นจุดแปลกๆ บางอย่างข้างล่างนั้น

ห้องที่อยู่ใกล้ๆ กันพากันออกมายืนดูที่ระเบียงว่าเกิดอะไรขึ้น จุดที่เห็นอยู่ที่ด้านล่างถูกรุมล้อมด้วยจุดที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เสียงโวยวาย เสียงกรีดร้อง ผมรู้แล้วว่ามันน่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ยังไม่อยากเชื่ออยู่ดี แดงตกตึกลงไปตายอยู่ข้างล่างนั้นเสียแล้ว

พวกผมทั้งสามคนถูกตำรวจแยกไปสอบสวนอย่างหนัก แต่เมื่อพวกเราต่างยืนยันอย่างหนักแน่นว่าตนเองซ่อนอยู่ภายในห้อง ดังนั้นที่ระเบียงจึงมีร้อยตำรวจเอกชาดอยู่เพียงผู้เดียว และหลักฐานในที่เกิดเหตุต่างบอกเล่าเรื่องราวเดียวกันนี้ ในที่สุดคดีจึงถูกปิดลงด้วยคำว่าอุบัติเหตุ

ดูเหมือนว่าชีวิตของพวกเราจะดำเนินไปได้อย่างไม่ค่อยดีนักหลังการจากไปของแดง อ้อนต้องขายคอนโดห้องนั้นไปอย่างขาดทุน ส่วนสีเองก็ต้องตกงานจากเรื่องราวในครั้งนั้น และผมก็ต้องเจอกับเรื่องวุ่นวายได้ไม่เว้นแต่ละวัน

วันเวลาผ่านไป ผมกับสีได้กลับมาพบเจอกันอีกครั้งเมื่อได้รับทราบข่าวร้ายอย่างไม่คาดฝัน อ้อนถูกรถชนแล้วหนี มีคนพบร่างไร้ชีวิตของเขานอนแน่นิ่งอยู่ริมทางข้างถนนสายเปลี่ยว ไม่มีใครรู้เลยว่าเขาไปทำอะไรแถวนั้น และรถอะไร หรือใครที่เป็นผู้ก่อเหตุ ไม่มีเบาะแสใดๆ ทั้งสิ้น

หลังงานศพผมกับสีที่ดูแปลกๆ ไปจากเดิมก็ขาดการติดต่อกันไปในที่สุด แต่ในระหว่างที่ต้องเผชิญหน้ากับมรสุมชีวิตที่โหมกระหน่ำใส่อย่างไม่หยุดยั้ง ภาพความทรงจำแปลกๆ กับความรู้สึกประหลาดๆ ที่วนเวียนอยู่ในหัว ก็ได้พาผมกลับมายืนอยู่หน้าสถานที่ในวัยเด็กอีกครั้ง

มันยังคงเป็นบ้านร้างอยู่เช่นเดิม เหมือนกับในวันนั้น แต่ตัวบ้านแทบจะพังลงมาหมดแล้วในตอนนี้ มันมีรั้วลวดหนามและป้ายเตือนล้อมไว้ทุกด้าน แต่หลังจากเดินวนไปรอบๆ เพียงครู่เดียวผมก็พบเจอกับช่องว่างที่แม้แต่ผู้ใหญ่ตัวโตๆ อย่างผมก็พอจะมุดเข้าไปได้

ภายนอกของมันยังคงเหมือนกับที่ผมเคยจำได้อย่างลางเลือน แต่พอเปิดประตูเข้าไป ผมก็ต้องประหลาดใจ พื้นของชั้นสองที่พวกเราเคยขึ้นไปเล่นซ่อนหาบัดนี้ได้พังถล่มลงมาหมดแล้ว ภายในบ้านจึงเหมือนกล่องที่กลวงเปล่าขนาดใหญ่จนสามารถมองขึ้นไปถึงแผ่นกระเบื้องหลังคาบางส่วนได้เลย

ผมไม่กล้าเดินเข้าไปเพราะกลัวว่ามันจะถล่มพังลงมา จึงได้แต่กวาดสายตาไปรอบๆ ความทรงจำในวันนั้นย้อนกลับมาพร้อมกับความรู้สึกปวดท้องที่คุ้นเคย สายตาของผมไปสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่าง อะไรบางอย่างที่ทำให้ผมขนลุกไปทั้งตัว

มีร่างของใครบางคนนอนอยู่บนพื้น เพียงมองผ่านๆ ผมก็แทบจะรู้ว่าเขาเป็นใครในทันที ผมรีบย่องเข้าไปภายในตัวตึก ก่อนคุกเข่าลงข้างๆ ร่างที่มีเพียงลมหายใจรวยริน เขาคือคนที่ผมคิดจริงๆ

“สี เป็นอะไรมากหรือเปล่า”

ผมไม่กล้าเขย่าหรือเปลี่ยนท่าของเขา เพราะไม่รู้ว่าเพื่อนบาดเจ็บจากอะไร และที่สำคัญเขามาทำอะไรอยู่ในบ้านร้างหลังนี้ สีลืมตาขึ้นอย่างลำบาก เขายิ้มที่มุมปากนิดหนึ่งเมื่อเห็นหน้าผม

“...เอ็งมาจริงๆ ด้วย”

ผมมองดูสภาพรอบๆ ตัวแล้วได้ข้อสรุปคร่าวๆ เพื่อนของผมน่าจะหล่นลงมาพร้อมกับพื้นชั้นสองทั้งหมดเป็นแน่ ไม่รู้ว่าเขานอนอยู่แบบนี้มานานเท่าไรแล้ว ผมจึงยิ่งไม่กล้าสุ่มสี่สุ่มห้าทำอะไรทั้งสิ้น เพราะกลัวว่าอาการบาดเจ็บจะยิ่งไปกันใหญ่

“อดทนไว้ก่อนนะ จะโทรเรียกรถพยาบาลให้”

ผมยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ด้วยมือที่สั่นไม่เป็นท่า สียิ้มอย่างแปลกประหลาดก่อนพยายามส่งเสียงห้ามผม

“...ไม่ต้องโทร ฉันไม่รอดแล้วล่ะ”

สีกลับมาดูมีสติแจ่มใสขึ้นอย่างประหลาด สายตาของเขาจ้องหายไปในความมืดของบ้านร้าง

“ทั้งหมดเริ่มต้นจากที่นี่ และมันก็จะจบลงที่นี่เช่นกัน รีบไปเถอะ เอ็งไม่เกี่ยวอะไรด้วย”

ผมคิดว่าเขาคงจะเริ่มเพ้อเสียแล้ว

“รีบหนีไป...เหมือนกับเมื่อคืนนั้น ไปเร็ว”

บ้านร้างทั้งหลังคล้ายกับส่งเสียงร่ำร้องออกมา เสียงกรีดดังมาจากทุกส่วนของตัวบ้าน มันทำให้ผมตกใจในตอนแรก แต่แล้วผมก็รู้ว่ามันเป็นเสียงอะไร ซึ่งยิ่งทำให้ผมตกใจมากกว่าเดิม โครงสร้างเก่าแก่ผุพังของมันกำลังส่งเสียงครวญคราง ชีวิตของบ้านหลังนี้กำลังจะถึงจุดจบ

หลังจากที่อยู่ร้างมานานหลายสิบปี ดูเหมือนว่ามันคงจะตัดสินใจจบชีวิตของตัวเองลงในค่ำคืนนี้ ผมรีบถอดเสื้อของตัวเองออกก่อนปูไปบนพื้น พร้อมกับกลิ้งร่างของสีขึ้นไปบนเสื้อ ผมต้องรีบ เวลาเหลืออยู่ไม่มากแล้ว เขาร้องโวยวายให้ปล่อย แต่ผมไม่สนใจแล้ว

ผมลากร่างเขาออกมาได้ทันก่อนที่บ้านทั้งหลังจะยุบตัวลงส่งให้ฝุ่นผงปริมาณมากมายมหาศาลอาบย้อมร่างของผมกับเพื่อนให้กลายเป็นสีเทา หลังจากนั้นผมก็รีบโทรเรียกรถพยาบาล และถึงแม้ว่าสีจะต้องเสียขาไปทั้งสองข้าง แต่พวกเราก็รอดตายมาได้

ผมยืนอยู่ที่ข้างเตียงพร้อมกับรับฟังคำสารภาพจากปากของเพื่อน ดูเหมือนว่าในคืนแห่งการเล่นซ่อนหา จะมีอะไรเกิดขึ้นมากว่าที่ผมเคยรู้ คืนนั้นผมต้องกลับบ้านไปก่อนในขณะที่เพื่อนๆ ซึ่งแสนห่ามของผมได้คิดเล่นอะไรที่พิเรนไปยิ่งกว่าเดิม

“คืนนั้นพวกเราสามคนเล่นผีถ้วยแก้วกัน แล้วถามว่า พวกเราจะตายยังไง”

สีนึกย้อนไปถึงตอนนั้น ภายใต้แสงเทียนวับแวม กระดานตัวอักษร กับถ้วยเก่าๆ ที่ค้นเจอภายในบ้านร้าง อาจจะเป็นของคนในบ้านหลังนั้น หรือของพวกเด็กวัยรุ่นที่มาหาอะไรตื่นเต้นทำแล้วลืมทิ้งเอาไว้ เสียงหัวเราะและรอยยิ้มค่อยๆ จางหายไปเมื่อคำตอบของแต่ละคนออกมา

สีจำได้ว่าถึงแม้พวกเขาทั้งสามจะปล่อยมือจากถ้วย แต่มันก็ยังคงเคลื่อนที่ไปไม่ยอมหยุด จนสุดท้ายทั้งสามคนก็พากันเผ่นหนีออกมาอย่างไม่คิดชีวิต แล้วทั้งสามคนก็ทำท่าทางเหมือนกับว่าลืมเรื่องนี้ไปหมดแล้ว
ผมกลั้นใจฟังเพื่อนเล่าต่อไป

“แดงจะตกตึกตาย อ้อนจะโดนรถชนตาย ส่วนฉัน...จะโดนทับตาย”

ท่าทางของสีเหมือนกับได้ย้อนกลับไปอยู่ในค่ำคืนนั้นอีกครั้ง

“ตอนที่แดงตาย ฉันกับอ้อนก็คิดว่าคงจะบังเอิญมากกว่า”

“...แต่ตอนที่อ้อนตาย ฉันก็คิดขึ้นมาว่า ต่อไปต้องเป็นตาฉันแน่ ก็เลยลองกลับไปที่บ้านหลังนั้น โดยหวังว่าจะสามารถแก้ไขอะไรได้บ้าง”

ผมยิ้มปลอบเพื่อน ยังคงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งกับเรื่องที่เล่ามาทั้งหมดนี้

“พวกเราก็รอดมาแล้วนี่ไง”

สียิ้ม ยิ้มแบบที่ทำให้ผมเย็นเยียบไปตามไขสันหลัง

“เออ ขอบใจมาก แต่ไม่น่าช่วยเลย...ถึงยังไง...ช่างมันเถอะ”

เวลาผ่านไปอีกไม่นาน ผมก็ได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนที่ตอนนี้ต้องอาศัยรถเข็นแทนการเดิน สีผันตัวเองไปขายสลากกินแบ่งรัฐบาลแล้วในตอนนี้ ดูเหมือนเขาจะเริ่มเคยชิน และหายตกใจกับเรื่องที่ผ่านมาแล้ว เราสองคนนัดแนะกันว่าจะไปเจอหน้ากันอีกสักครั้ง

ก่อนจะวางสายอยู่ๆ สีก็พูดขึ้นมาว่า

“...คืนนั้นพวกเราถามเผื่อเอ็งไปด้วยรู้ไหม...”

ผมรู้ว่าเขาหมายถึงเรื่องอะไรแต่ทำเป็นบ่ายเบี่ยงไม่เข้าใจ

“...เรื่องอะไรกัน”

“ตอนนั้นมันฟังดูตลกมากเลย แต่พอมาถึงตอนนี้มันก็อาจเป็นไปได้...”

มีเสียงเอะอะดังแทรกมาจากปลายสายก่อนที่จะตามมาด้วยเสียงแปลกๆ ผมตะโกนเรียกหาเพื่อนผ่านทางโทรศัพท์ ก่อนจะมีเสียงของใครที่ไม่คุ้นเคยดังมา

“เจ้าของโทรศัพท์โดนแท่งปูนหล่นทับไปแล้ว ตอนนี้กำลังตามรถพยาบาลมารับอยู่นะครับ คุณรู้จักกับเขาใช่ไหม รีบตามมาที่...”

วันนั้นกลายเป็นวันที่วุ่นวายแสนสาหัสของผมอีกวันหนึ่ง สุดท้ายสีก็ตายจากการโดนวัตถุหล่นทับจริงๆ อย่างที่เคยบอก หรือว่าเรื่องเพ้อเจ้อที่พูดมาทั้งหมดนั้นจะเป็นความจริง ผีถ้วยแก้วในบ้านร้างที่ทำนายความตายให้กับคนที่เล่น และผมยังจำคำพูดนั้นได้ดี ‘คืนนั้นพวกเราถามเผื่อเอ็งไปด้วยรู้ไหม’

เสียงที่แว่วมาพร้อมกับความวุ่นวายผ่านทางสายโทรศัพท์นั้นยังก้องอยู่ในหูของผม ผมได้ยินราวกับมาเขามาแผดร้องดังอยู่ที่ข้างหู ‘...ระวังโทรศัพท์ด้วย...’

ตอนนี้ผมไม่ได้พกโทรศัพท์มือถืออีกแล้ว และที่บ้านก็ยกเลิกโทรศัพท์ไปแล้ว แต่ผมจะหลีกเลี่ยงพวกมันได้อย่างไรกัน ทุกวันนี้มีโทรศัพท์อยู่ทั่วไปทุกหนทุกแห่ง และทุกคน คนทั่วไปพกพาพวกมันยิ่งกว่าบัตรประชาชนเสียอีก ไม่ว่าจะหลบไปทางไหน ผมก็คงไม่มีวันหนีพวกมันได้พ้น

‘ตอนนั้นมันฟังดูตลกมากเลย แต่พอมาถึงตอนนี้มันก็อาจเป็นไปได้’ ผมก็คิดเช่นนั้น ในสมัยก่อนการหลีกไกลจากโทรศัพท์อาจเป็นเพียงเรื่องง่ายๆ แต่สำหรับในโลกทุกวันนี้แล้ว มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย แต่ผมยังคงสงสัยอยู่เสมอมาว่าโทรศัพท์จะสามารถทำให้ใครตายได้อย่างไรกัน

แต่ผมก็หวังว่าความพยายามจะทำให้สามารถสงสัยในเรื่องนี้ไปได้อีกนานเท่านาน

ผมเดินไปเปิดประตูห้องเอ็มอาร์ไอ สถานที่ทำงานในปัจจุบันของผม มันคือเครื่องมือที่สามารถสร้างภาพของอวัยวะภายในร่างกายขึ้นมาด้วยสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความเข้มข้นสูง สิ่งที่มีเหล็กเป็นส่วนประกอบจะถูกดูดเข้าไปในเครื่องอย่างรวดเร็วเพราะสนามแม่เหล็กที่รุนแรงของมัน

แน่นอนว่าคนที่จะก้าวเข้ามาภายในห้องนี้ต้องฝากทุกสิ่งเอาไว้ข้างนอก รวมถึงโทรศัพท์มือถือของพวกเขาด้วย

แก้ไขเมื่อ 01 ก.ค. 54 12:23:25

แก้ไขเมื่อ 29 มิ.ย. 54 16:59:33

จากคุณ : zoi
เขียนเมื่อ : 29 มิ.ย. 54 16:52:41




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com