Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
Gomen ne......Demo...ขอโทษนะ... แต่ว่า...(ชั้นรักเธอ) บทที่2 ติดต่อทีมงาน

บทที่ 2 Kako wa Taisetsu na hito (คนสำคัญในอดีต)

ช่วงเวลาของตีสี่ที่ยังคงมืดมิดนั้นมีเพียงความหนาวเย็นของอากาศที่แน่นอนว่าคนที่นอนอยู่โดยติดฮีตเตอร์ไว้นั้นไม่ได้รู้สึกตัวเลย ญี่ปุ่นนั้นพระอาทิตย์ตกเร็วกว่าไทยถึงสองชั่วโมงนั่นคือสี่โมงเย็นและขึ้นในเวลาหกโมงเช้า แต่นั่นก็ไม่ได้ส่งผลให้ชีวิตของโมตื่นเร็วขึ้นแต่อย่างใด แม้เวลานี้จะไม่มีแดดยามเช้าส่องหน้า แดดส่องอาบตัวแล้วหรือไม่ ถ้าเธอยังไม่ตื่น ก็คือยังไม่ตื่น

โมนอนอยู่ใต้ที่นอนฟุตน ในห้องเสื่อตาตามิ  ฮีตเตอร์ทำความร้อนนั้นทำเอาเธอนอนเสียหลับสนิท เธอใส่ชุดยูคาตะสองชั้นนอนซึมซับบรรยากาศแบบญี่ปุ่นจนหลับสบาย เธอให้ทางค่ายเช่าบ้านโบราณแบบหลังคากระเบื้องหลังงาม ซึ่งกว้างขวางโออ่าราวกับหลุดออกมาจากหนังประวัติศาสตร์ ห้องของเธอกว้างราวๆยี่สิบสี่เสื่อตาตามิ  มีประตูแบบฟุซุมะ แต่ก็ยังมีโต๊ะตัวใหญ่ตั้งอยู่ที่มุมซ้ายของห้องซึ่งมีโน๊ตบุ๊คสีชมพูหวานจ๋อยรสนิยมไม่เข้ากับตัวของเจ้าของบ้าน และกระดาษ สมุด และเครื่องเขียนมากมายวางกองอยู่ตรงนั้น พร้อมกับโทรศัพท์บ้าน ความจริงของพวกนี้ควรอยู่ที่ห้องทำงาน แต่เพราะความสะดวกเธอจึงเอามันมาไว้ตรงนี้ด้วย

แล้วเสียงโทรศัพท์บ้านเครื่องนั้นก็ดังขึ้น โมลืมตาตื่นขึ้นในทันที ทีแรกด้วยความไม่ตื่นดีทำให้คิดว่าเป็นเสียงโทรศัพท์มือถือเพราะโดยปกติเธอจะวางมือถือไว้ที่ข้างหมอน แต่เมื่อใช้มือความไม่เจอก็นึกขึ้นได้ เธอจึงต้องรีบลุกไปรับโทรศัพท์ที่ต้องเดินไปสุดห้อง

“ฮัลโหล” เธอกรอกเสียงเป็นภาษาไทยด้วยความเคยชิน

“คุณภีรพรรณใช่มั้ยครับ นากามุระครับ”

“ฮะ ไฮ้ (คะ ค่ะ)”เธอตื่นในทันที และเปลี่ยนเป็นภาษาญี่ปุ่น “ซึยกะเดสึ นากามูระซังเรียกว่าซึยกะเถอะ” โดยส่วนตัวแล้วเธออยากให้คนญี่ปุ่นเรียกชื่อนี้

“เข้าใจแล้ว ขอโทษที่โทรมาแต่เช้านะครับ แต่วันนี้เรามีประชุมกันตั้งแต่หกโมงเช้า”

เธอขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินแบบนั้น หญิงสาวไม่ใช่คนตืนเช้าไม่ได้ แต่ก็อดสงสัยเวลานี้ไม่ได้ “ทำไมเป็นเวลานี้ล่ะ” เธอถามเสียงห้วน ด้วยความที่เริ่มคุ้นเคยกับอีกฝ่ายก็เริ่มขี้เกียจพูดเพราะ

“เผอิญว่าวงQuest ยังมีตารางแน่นกันอยู่น่ะ คุณคุจิอินที่เป็นผู้จัดการวงเองก็ยังหาทางจัดตารางงานให้ว่างเหมือนกันหมดไม่ได้อยู่ เลยต้องเป็นเวลานี้ไปก่อน” เมื่ออีกฝ่ายเริ่มเป็นตัวเอง เขาก็เป็นบ้าง ความจริงคนญี่ปุ่นยิ่งสนิทจะยิ่งมีความเกรงใจและนึกถึงอีกฝ่ายมากขึ้น แต่ด้วยความที่นากามุระทำงานกับคนไทยที่มีนิสันยิ่งสนิทยิ่งเป็นตัวของตัวเอง และเริ่มเปิดตัวตนของกันและกัน รับได้ก็อยู่ รับไม่ได้ก็ไป ทำให้ชายหนุ่มวัยสามสิบคนนี้ได้รับอิทธิผลมามากพอสมควร

“วงQuest มาประชุมด้วยเหรอ!” น้ำเสียงเธอเปลี่ยนในทันควันจากงัวเงียหงุดหงิดเป็นเริ่งร่าขึ้นมาทันใดราวกับเจอของถูกใจ

เสียงหัวเราะของนากามูระดังมาตามสาย ในทีแรกเขาต้องดูแลหญิงสาวตามหน้าที่ แต่ไปๆมาๆก็กลายๆเป็นเพื่อนกันไป และก็รู้ว่าอีกฝ่ายแม้เป็นหญิงแต่ก็มีหลายอย่างที่เป็นผู้ชายอยู่มาก เว้นแต่เรื่องดาราเนี่ยแหละ
“ใช่เพราะฉะนั้นตอนตีห้าจะมารับที่บ้าน รีบแต่งตัวรอท่าวง Quest ได้แล้ว” นากามุระแกล้งแหย่



ในเวลาตีสี่ในห้องหนึ่งที่คอนโดหรูก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเช่นกัน มือถือแบบพับสีน้ำเงินเข้มนั้นสั่นอยู่บนโต๊ะทำงานที่มีโน๊ตบุ๊คสีดำ กระดาษโน๊ตเพลง เดโมเทปมากมายวางเกลื่อนอยู่ พร้อมทั้งรูปถ่ายใบนึงที่ติดอยู่ตรงผนังหน้าโต๊ะเพียงรูปเดียวที่เด่นสะดุดตา

เจ้าของมือถือนั้นเดินมารับโทรศัพท์ แต่เมื่อเขาเปิดฝาพับและรู้ว่าเป็นใครก็รีบตัดสายทิ้งในทันที ใบหน้าขรึมเงียบนั้นยิ่งดูมืดมนลงเมื่อวางโทรศัพท์ลงทั้งๆที่ยังไม่ แม้แต่จะคุย

ไคโตะ เรจิ นักร้องนักแสดงชื่อดังหนึ่งในวง Quest อายุยี่สิบแปดปี สูงร้อยเจ็ดสิบเซนต์ติเมตร หนักห้าสิบหกกิโลกรัม ใบหน้าและลำตัวนั้นผอมบางแต่ใบหน้านั้นกร้านเรียวและเท่จนใครๆก็ต้องอิจฉาแววตาเรียวนั้นติดดุเข้มตามแบบฉบับ มาดของชายหนุ่มหรือบุคลิกนั้นก็เท่ไปหมดทุกอย่างและยังแมนมากที่สุดในวงจนสาวน้อยสาวใหญ่ติดกันตรึม

เขาทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้เขียนหนังสือมองโทรศัพท์ที่ตนเพิ่งตัดสายไปด้วยแววตาคิดหนัก แต่ถึงกระนั้นใบหน้าขรึมนั้นก็ยังดูดี เรจินั้นเป็นคนที่มีความเป็นผู้นำสูง และกล้าพูด กล้าตัดสินใจ แต่กลับไม่ถนัดเรื่องผู้หญิง มีเรื่องนี้ที่เขาไม่รู้จะทำยังไงดี เรื่องของผู้หญิงที่เขาเป็นทุกข์อยู่ตอนนี้

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เป็นสายจากโทโมยะ ในวงนั้นเรจิกับโทโมยะค่อนข้างสนิทกันเพราะวัยไล่เลี่ย และนิสัยใกล้เคียง แต่ด้วยความที่ในวงทั้งคู่ดังที่สุด จึงเป็นคู่ที่ขับเคี่ยวกันมาตลอดเป็นเสมือนคู่แข่งเสียมากกว่า

“ฮัลโหล โทโมะ”

“สวัสดี เช้านี้มีประชุมนะ”

“รู้แล้ว เมื่อคืนคุจิอินซังโทรมาบอก” น้ำเสียงแหบขรึมตามปกติ แต่โทโมยะกลับรู้สึกว่ามันผิดปกติไป

“เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า เร” น้ำเสียงทุ้มนุ่มติดแหบนิดๆนั้นถามขึ้น

“ไม่มี สนใจเรื่องตัวเองเถอะ ลุกจากเตียง ละจากสาว มาประชุมเถอะ” เขาวางสายเมื่อกัดเพื่อนจบ ชายหนุ่มมีนิสัยเสียเรื่องปากมาแต่ไหนแต่ไร และรู้นิสัยว่าชีวิตของโทโมยะไม่เคยที่จะว่างเว้นจากผู้หญิง เขาละจากโต๊ะหนังสือ แววตาดุที่ติดโศกนั้นหันไปมองกีต้าร์ตัวโปรดที่มุมห้อง ก่อนที่คำพูดของใครบางคนจะผุดขึ้นมาในใจ

“เน่ะ เรจิ กีต้าร์ตัวนี้น่ะเหมือนเรจิเลยนะ เมื่อมองดูก็น่าสนใจ เมื่อได้สัมผัสก็รู้สึกมีความสุข ชั้นน่ะนะ ชอบเรจิที่เป็นแบบนั้น” น้ำเสียงหวานที่ชวนคิดถึงนั้นทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะจ้องมองเครื่องดนตรีชิ้นโปรดที่มีความทรงจำที่แม้แต่ตอนนี้เขาก็ปราถนา

                             แต่เธอก็เลือกคนอื่นที่ไม่ใช่ชั้น
                                        ไม่ใช่รึ จิเอะ



เสียงเคาะประตูห้องน้ำนั้นดังระรัวไปทั่วห้องนอนในคอนโดหรู แสงยามเช้าในเวลาตีห้านั้นสร้างความกระวนกระวายให้ใครบางคนที่ยืนอยู่หน้าห้องน้ำของเพื่อนที่ยังคงอยูในนั้นไม่ออกมาเสียที

“โอ่ย โช (เฮ้ย โช) แกจะอยู่ในนั้นอีกนานไหมวะ ประชุมหกโมงนะ ไม่ใช่เจ็ด”เสียงบ่นนั้นจะดังผ่านประตูห้องน้ำที่เก็บเสียงอย่างดีไหมก็ยากที่จะคาดเดาได้ “เดี๋ยวสายพอดี ชั้นมีอัดรายการวิทยุต่อนะ” คินขึ้นเสียงเผื่ออีกฝ่ายจะได้ยินบ้าง แต่กลับไม่มีเสียงใดเล็ดออกมา

ใบหน้าเรียวยาวที่ติดดูดีนั้นเริ่มมีความหงุดหงิด โดยปกติคนญี่ปุ่นเป็นคนตรงเวลาอยู่แล้ว แต่สำหรับคินนั้นจะซีเรียสเรื่องนี้มากเป็นพิเศษ เขาเป็นคนที่ทำอะไรตามตารางและเป็นขั้นเป็นตอนไปเสียทุกเรื่อง ความจริงโชยะที่เรียนกฎหมายก็มีนิสัยส่วนนี้ แต่กลายเป็นว่าชายหนุ่มไม่ซีเรียสเท่าเพื่อน และตอนนี้ก็ยังไม่ออกมาจากห้องน้ำ

ทั้งสองนั้นอยู่คอนโดเดียวกันแต่อยู่กันคนละห้อง ไม่ได้อยู่ที่บ้านเพราะบ้านของพ่อกับแม่ของพวกเขานั้นอยู่ต่างจังหวัดทั้งคู่เสมือนเรจิ คินนั้นเสร็จธุระส่วนตัวของตัวเองนานแล้วและจะเดินมาเคาะเรียกโชยะแต่กลายเป็นว่าเพื่อนเขาไม่ล็อคห้องแถมยังอยู่ในห้องน้ำอีกต่างหาก

ฮิจิอิริ คิน หนึ่งในวง Quest สูงร้อยเจ็ดสิบเจ็ดเซนต์ติเมตรซึ่งจัดว่าสูงที่สุดในวง แต่ผอมมีน้ำหนักแค่ห้าสิบหกกิโลเท่านั้น อายุยี่สิบเก้าปี ชายหนุ่มหน้าตาดีแบบญี่ปุ่นแท้ใบหน้าเรียวยาวติดผอมเล็กน้อย ผมซอยสั้นนั้นถูกย้อมด้วยสีน้ำตาลทอง และใบหูขวาของเขาก็มีต่างหูอยู่สองชิ้นติดอยู่ แม้โดยปกติจะพูดจาหยาบและค่อนไปแรงถ้าสนิทสนมด้วยมากๆแต่จริงๆแล้วมีวาทศิลป์ในการพูด และพูดจาเก่งพอสมควร และในวงชายหนุ่มก็พรีเซนส์ตัวเองเก่ง งานพิธีกรรายการจึงเข้ามาล้นมือ

คุรุยะ โชยะ สมาชิคคนสุดท้าย สูงร้อยเจ็ดสิบห้าเซนต์ติเมตร หนักหกสิบกิโล อายุยี่สิบห้าปี ชายหนุ่มจัดว่ามีใบหน้าที่เท่มากแต่อาบย้อมไปด้วยความสดใสที่ติดซื่อรวมถึงนัยน์ตาโตใสจึงกลายเป็นว่าบุคลิกไม่เท่ตามใบหน้า เลยถูกเพื่อนในวงแกล้งเอาเสียบ่อยๆ และขี้น้อยใจง่ายกว่าคนอื่นๆเพราะชายหนุ่มนั้นดังน้อยสุดในวงและมีงานเข้ามาน้อยที่สุด แม้จะมีอายุเท่ายูกิที่ถูกจัดให้เป็นน้องเล็กแต่ใบหน้าเท่ๆนั้นก็แก่เกินวัยและสนิทกับคินจึงกลายเป็นเสมือนรุ่นเดียวกับคินเสียอย่างนั้น

และเมื่อคินเริ่มเบื่อที่จะเคาะแล้ว วินาทีที่ชายหนุ่มละมือและหาทางอื่นนั้น ประตูห้องน้ำก็เปิดผลัวะขึ้นมาทันใด ส่งผลให้ใบหน้าเรียวที่ยืนเบิ่งตาค้างด้วยความคาดไม่ถึงนั้นกระแทกเข้าไปพอดีจนเสียหลักหงายหลังล้มลงกับพื้นเสียงดังสนั่น น็อคไปในทันใด

“คิน!” โชยะที่เปิดประตูออกมาอย่างไม่ทันมองนั้น เกือบฆ่าเพื่อนรักมองร่างที่นอนอยู่กับพื้นด้วยแววตาตกใจ ปากละล่ำละลักขยับพูด “คิน คิน “ชายหนุ่มเย่าร่างที่น็อคไปนั้นอย่างรุนแรง

แล้วจะไปประชุมทันไหมเนี่ย...เฮ้ย...



ชายหนุ่มไอดอลชื่อดังทั้งหกคนนั้นนั่งอยู่ในรถตู้ที่มาจอดรอรับพวกเขาตามที่พักของแต่ละคน ใบหน้าหล่อเหลาคมคายของโทโมยะมองสมาชิคทุกคนในวงของเขาที่นั่งกันพร้อมสรรพรวมถึงเลทไปประมาณสิบนาทีเพราะคินกับโชยะ

เรจิอยากติคู่หูคู่สนิทคินยะเรื่องเวลา แต่เมื่อฟังเหตุผลก็ขำมากกว่าจะโกรธ ยูกิหัวเราะเสียงดังลั่นเมื่อฟังเรื่องจากโช ขณะที่อัจจิที่นั่งอยู่ข้างๆฟังแล้วเพียงแย้มรอยยิ้มที่ทำให้ดวงตานั้นหยีเล็กลง โดยมีคินนั่งหงุดหงิดลูบหัวตัวเองป้อยๆ

รถตู้ของพวกเขาค่อนข้างใหญ่และกว้าง พวกเขานั่งกันแถวละสอง โทโมยะกับเรจินั่งอยู่หน้าสุด ถัดไปคือยูกิกับอัจจิและแถวที่สามคือคินกับโชยะ ส่วนแถวสุดท้ายนั้นเป็นสไตลิสต์และช่างแต่งหน้าสองคนและเสื้อที่ถูกพับอยู่ในกล่อง และแขวนอยู่มากมาย ผู้จัดการของพวกเขานั้นนั่งอยู่ตรงที่นั่งคนขับ

โทโมยะลงจากรถตู้เป็นคนแรกพวกเขาเดินเข้าบริษัทิทางด้านหลังตรงลานจอดรถเพราะอยากเข้าไปเงียบๆ แต่เมื่อพวกเขาเดินเข้าไปในตึกได้ไม่นานขบวนย่อมๆนั่นก็หยุดลง เมื่อ

“พี่วุฒิไม่คิดว่าที่พูดเกินไปหน่อยเหรอ?” เสียงดังสนั่นด้วยความโกรธเป็นภาษาไทยนั้นทำให้คิ้วบางของทั้งเจ็ดรวมถึงผู้จัดการขมวดมุ่นเพราะฟังไม่ออก โดยไม่นับรวมสไตลิสต์และช่างแต่งหน้าที่เดินไปอีกทางที่เป็นห้องแต่งตัวของพวกเขาเมื่อกี้

ผู้ชายสองคนและผู้หญิงเพียงคนเดียวนั้นยืนเถียงกันโดยยืนไม่ห่างจากพวกเขานัก ยูกิและอัจจิรู้ทันทีว่าใคร แต่เรจิ คินและโชยะนั้นรู้จักเพียงชายหนุ่มสองคน สำหรับโทโมยะนั้น

เชาจำหญิงสาวได้ดี ผู้หญิงที่ยืนอยู่ในกลุ่มแฟนคลับที่มองเขาถ่ายละครที่สนามบินนาริตะโดยมีนากามูระมารับ ตอนนี้กำลังเถียงกับอภิวุฒิด้วยภาษาไทยที่เขาฟังไม่รู้เรื่องซึ่งมีนากามุระคนญี่ปุ่นเพียงคนเดียวที่พยายามไกล่เกลี่ย

ใบหน้าหวานของยูกิมองภาพนั้นก่อนขมวดคิ้ว น้ำเสียงของซึยกะซังฟังดูน่ากลัวมากทีเดียวเวลาโกรธ  

“โม” อภิวุฒิขึ้นเสียงเล็กน้อย คิ้วหนานั้นขมวดมุ่น “หนูน่าจะรู้นะว่าวงQuest มีความสำคัญกับทางค่ายเรามากแค่ไหน เพราะฉะนั้นก็ควรจะรู้ว่าควรวางตัวยังไง”

“มีความสำคัญหรือเป็นสินค้าสำคัญกันแน่ กลัวว่าจะมีข่าวอื้อฉาวงั้นเหรอ กลัวล่ะสิว่าเงินอีกหลายร้อยล้านจากแฟนคลับจะหายไป” เธอตอกกลับ ใบหน้าคมนั้นมีความโกรธแววตาปนดุนั้นวาบออกมา

ตอนแรกเธอไม่อยากพูดอะไรแบบนั้หรอก แต่เรื่องเถียงนี้เกิดขึ้นเพราะนากามุระต้องรายงานเรื่องของเธอให้ชายหนุ่มฟัง และเรื่องที่หายไปฟังยูทัคอัดเสียงตอนเลือกนางเอกละครและได้เข้าไปตีสนิทยูกิเกินเหตุนั้น ทำให้อภิวุฒิออกปากเตือนเธอ

คำพูดแรกก็เป็นคำเตือนที่เธอเองก็ยอมเข้าใจแต่ต่อมาก็กลายเป็นคำดูถูก อภิวุฒิพูดเปรียบว่าเธอไม่ควรไปยุ่งเกี่ยวกับไอดอลระดับนั้นและเปรียบเธอกับนางเอกละครหรือนักร้องวงเกิร์ลกรุ๊ปที่เคยเป็นข่าวกับกับคนในวง Questว่าขนาดระดับนั้นแฟนคลับยังไม่ยอมรับ

พูดเป็นนัยๆว่าคนแบบเธอไม่คู่ควรกับไอดอลเหล่านั้น และนั่นเหละที่ทำให้โมโมโหมาก เธอไม่ใช่คนรักศักดิ์ศรีอะไรนักหนา แต่สิ่งที่เกลียดที่สุดคือการโดนดูถูก โดยเฉพาะการที่ตัวเองโดนเอาไปเปรียบเทียบกับผู้หญิงคนอื่น

วาจาที่เคยสุภาพเพราะความเกรงใจจึงแปรเปลี่ยนเป็นห้วนห้าวไม่ลื่นหู และเมื่อโกรธนิสัยที่แท้จริงก็ออกมา

“ดาราศิลปินอย่างวง Quest เป็นเพียงสินค้าสำหรับผู้กำกับหรือหุ้นส่วนใหญ่อย่างคุณสินะ แต่สำหรับหนูพวกเขาเป็นคนที่หนูชื่นชม เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงหรอกว่าหนูจะทำอะไรวง Quest และเรื่องที่พี่วุฒิกลัว มันคงเกิดขึ้นไม่ได้เพราะคนๆเดียวจริงมั้ย?”

อภิวุฒิเริ่มไม่พอใจและท่าทีของหญิงสาวที่อ่อนกว่าเขาถึงสิบปี แต่กลับก้าวร้าวไร้มารยาท ตอนแรกๆก็รู้ว่าแข็งกระด้างแต่ตอนนี้เริ่มก้าวร้าวขึ้นเสียงอย่างไม่ลังเล เด็กอะไร

“ใจเย็นๆ”นากามุระพยายามไกล่เกลี่ย เขาฟังภาษาไทยไม่ออกหรอก แต่แค่ดูสีหน้าฟังน้ำเสียงก้พอเดาได้ แต่โมอารมณ์เสียจนตะโกนใส่คนหวังดีไปด้วยอารมณ์

“หนวกหู”

มันทำให้นากามูระหน้าเสียไปเล็กน้อย แววตาจริงใจของชายหนุ่มทำให้เธอรู้สึกตัวและคืนสติ โมถอนหายใจ พยายามปรับอารมณ์ตัวเองใหม่และโค้งให้นากามูระก่อนพูดว่า “โกะเมนดาไซ(ขอโทษค่ะ)”

วินาทีนั้นเองที่เธอได้สบกับแววตามากมายที่มองมา ทั้งวงQuestทั้งหก ผู้จัดการของเขา และทีมงานศิลปินที่เดินผ่านไปมาตรงนั้น แต่ที่เธอแคร์ที่สุดนั้นเป็นนัยน์ตาคู่งอนของใบหน้าหวาน ยูกิขมวดคิ้วมองเธออย่างไม่ชอบใจเท่าไหร่นัก

                                             พลาดสุดๆ

เธอเม้มริมฝีปากแน่นหันมามองอภิวุฒิที่หน้าหงิกสุดๆอีกครั้ง

“ขอโทษค่ะ แต่สิ่งที่พูดไปทั้งหมดไม่คิดคืนคำนะคะ” แววตาคมที่ไม่รู้สึกผิดในคำพูดเลยแม้แต่น้อยนั้นทำเอาอภิวุฒิลำบากใจ

โทโมยะอึ้งไปเล็กน้อย เขาไม่เคยเห็นใครยืนเถียงฉะต่อหน้าผู้กำกับมาก่อน โดยส่วนใหญ่แม้ไม่ชอบใจมากแค่ไหนก็จะเกรงในตำแหน่งหน้าที่การงานจนไม่กล้าพูดอะไรเสียมากกว่า ยูกิสบตากับโมอีกครั้งแววตาที่แคร์เขานั้นออกมาให้เห็นเต็มๆจนเขาทำหน้าไม่ถูก

ใบหน้าบ๊องแบ๊วของอัจจินั้นมองหญิงสาวอย่างรู้สึกกลัวเล็กน้อยก่อนจะมองทั้งสองสลับกันแต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา



ทั้งสิบคนรวมถึงผู้จัดการวงQuest คุจิอิน ชิงูสะ เขาเป็นชายหนุ่มวัยสามสิบแปดที่อายุมากกว่าอภิวุฒิเสียอีก ชายหนุ่มดูขาวสะอาดสะอ้านและสูงใหญ่ถึงร้อยแปดสิบเซนต์ติเมตรผิดเพี้ยนไปจากคนญี่ปุ่นคนอื่นๆเพราะแม่ของเขาเป็นชาวออสเตรเลีย แต่เมื่อมองชายหนุ่มก็จะรู้สึกเฉยเพราะใบหน้าขาวนัยน์ต่ตี่ๆนั้นมีความจืดสนิทปนอยู่ ซ้ำยังสวมแว่นเลนส์หนา แต่เมื่อรู้จักดีๆจะรู้สึกว่าชายหนุ่มมีความสุภาพอยู่มาก

คุจิอิน เดินมายิ้มทักทายเธอเล็กน้อยไม่ถือสาอารมณ์โกรธของเธอก่อนจะเดินไปนั่งในห้องประชุม ต่างจากอีกคนที่แม้จะไม่สนใจอารมณ์โกรธของเธอเช่นกันแต่มิได้มีความสุภาพแม้จะเป็นไอดอล เรจิเดินเข้ามาหาเธอ ใบหน้ากร้านเท่นั้นแย้มรอยยิ้มให้เธอแต่มันช่างไม่เข้ากับคำพูดที่ออกมาเสียเลย

“สวัสดี ยัยเถื่อน”

หน้าเธออึ้งขึ้นมาทันทีที่ได้ฉายานั้นตั้งแต่แรกพบ ในวงนั้นเรจิดังรองจากโทโมยะแต่เรื่องปากเสียนั้นขึ้นชื่อที่สุดในวง และหลายคนก็ต้องอึ้งกับคำพูดตั้งแต่แรกเจอของเขา ซึ่งรวมถึงเธอด้วย

ชายหนุ่มมองกิริยาที่นิ่งไปของเธอก่อนจะขบขันเล็กน้อยและเดินเข้าไปในห้องกับเพื่อนในเมมเบอร์วงของเขา ซึ่งหญิงสาวนั้นนอกจากอายแล้วก็ไม่ได้รู้สึกโกรธเพราะมีความชื่นชมอีกฝ่ายมากพอ ถ้าไม่ใช่ว่าเป็นคนมีความสามารถ เล่นละครเก่ง ร้องเพลงเพราะ และหน้าตาหล่อเหลาล่ะก็ อยากจะแถมหมัดให้ซักหมัด

ทุกคนเดินเข้ามาในห้องประชุมที่อยู่ที่ชั้นสามของตึก ภายในห้องนั้นกว้างพอสมควร มีโต๊ะประชุมโต๊ะกลมอยู่กลางห้อง มีเก้าอี้ประธาณอยู่หัวโต๊ะ และมีไมค์วางอยู่ทุกที่นั่ง แน่นอนว่าอภิวุฒิเป็นคนนั่ง นากามุระนั่งทางซ้ายมือของอภิวุฒิ คิจิอินซังนั้นนั่งทางขวา เธอนั่งถัดจากนากามูระ ต่อมาคือโทโมยะและเรจิ และคนที่นั่งถัดจากคุจิอินคือยูกและอัจจิ โดยคินกับโชยะที่มานั่งที่หลังนั้นนั่งถัดจากอัจจิไป

เมื่อเป็นเวลางานก็ต้องโยนเรื่องส่วนตัวทิ้งไป อภิวุฒิและเธอทำราวกับว่าไม่ได้ทะเลาะกันก่อนมานั่งตรงนี้ ผู้กำกับหนุ่มใหญ่แนะนำเธอให้ทุกคนรู้จัก อารมณ์หงุดหงิดและโกรธเคืองของโมหายไปไม่เหลือซาก เมื่อได้ทักทายและจับมือกับวง Quest พาลเอาเจ้าตัวตื่นเต้นแทบแย่

เธอมองหนุ่มๆหน้าตาดีทั้งหกด้วยแววตาเป็นประกาย เมื่อได้สัมผัสมือก็แอบกรี๊ดดังๆอยู่ในใจ แหม่ไม่อยากล้างมือเลยแฮะขอเอาไปกอดทั้งคืนได้มั้ยเนี่ย(อาการบ้าดาราเริ่มทยอยมาแทนที่) แต่โมไม่รู้ตัวเลยว่าโทโมยะที่นั่งอยู่ข้างๆเธอแอบชำเลืองมองหญิงสาวอยู่ตลอด เพราะเจ้าตัวที่ถูกมองเอาแต่จ้องยูกิตาเป็นมันจนแทบไม่สนใจอย่างอื่น

นากามูระที่นั่งอยู่ข้างๆเอาศอกกระทุ้งและส่งสายตาเตือนอย่างมีความหมายว่า สำรวมหน่อยไม่มีศักดิ์ศรีรึไง แต่ใช่ว่าหญิงสาวจะสลดดันตอกกลับด้วยแววตาที่มีความหมายว่า ไม่มีเฟ้ย จะมองมีปัญหารึไง  เรจิที่เห็นกิริยานั้นอดไม่ได้ที่จะกลั้นหัวเราะจนท้องแข็ง ใบหน้าขรึมนั้นแอบหันไปขำเพื่อไม่ให้ใครเห็น แต่เมื่อหันมาทางโทโมยะเขาก็ต้องแปลกใจเมื่อเพื่อนสนิทของเขายังคงมองหญิงสาวชาวไทยอยู่ด้วยแววตาครุ่นคิด เรจิหันไปพิจารณาโมอีกครั้ง และสรุปได้ทันทีว่านั้นไม่ใช่เสป็คของโทโมยะ และถึงแม้โทโมยะจะคบผู้หญิงมามากมาย แต่ชายหนุ่มไม่ใช่ไม่เลือก

อัจจินั้นทำหน้าเฉยๆ ชายหนุ่มอ่านอะไรออกแต่ไม่อยากเข้าไปยุ่งกับเรื่องของคนอื่น ขณะที่คินกับโชยะหันไปมองใบหน้าหวานที่พยายามกลืนสีหน้าปุเลี่ยนๆเป็นหน้ายิ่มตามปกติ เมื่อสองหนุ่มเห็นอย่างนั้นก็หันมาแอบหัวเราะที่รู้เพียงสองคน

ยูกินั้นตีสีหน้าแทบไม่ถูก เขาไม่เคยถูกผู้หญิงมองขนาดนี้มาก่อน ขนาดเขาเป็นไอดอลชื่อดังที่มีแฟนคลับผู้หญิงมากมาย แฟนคลับนั้นจะมองเขาอย่างชื่นชม ชื่นชอบ แต่ไม่เปิดเผยและรุนแรงเหมือนหญิงสาวตรงหน้าที่ส่งสายตาว่าชอบมาอย่างซื่อตรงและจริงใจอย่างเปิดเผยถึงขนาดนี้ แม้แต่คนรอบตัวก็ดูออก

คุจิอินจึงพยายามเบี่ยงประเด็นเข้าเรื่องงานแทน มันทำให้โมลดความสนใจในตัวเขาลงทำให้พลอยแอบโล่งอก แต่ชายหนุ่มก็ต้องแอบชมบางอย่างในตัวหญิงสาว เพราะเมื่อเข้าเรื่องงานโมก็มีที่ท่าจริงจังและเป็นการเป็นงานขึ้นมาทันที ตรงส่วนนี้นั้นเหมือนกับเรจิ ยูกิจึงได้ฟังภาษาญี่ปุ่นด้วยน้ำเสียงแหบห้วนและจริงจังถึงสองคน

“บทของผมตรงนี้ต้องมีปัญหาครอบครัวเหรอ? และตรงนี้ผมต้องร้องไห้และทะเลาะกับแม่ใช่มั้ย?” เรจิถามเสียงห้วนแม้จะเปลี่ยนสรรพนามเป็นผมเมื่ออยู่ในห้องประชุมแต่ก็ไม่ได้ทำให้สุภาพขึ้นเสียเท่าไหร่ เขาหันมาถามคนเขียนบทแต่โมได้เพียงกระพริบตาปริบๆนั่งงงๆ

อภิวุฒิเลยต้องหันมาแปลเป็นภาษาไทยให้เธอฟัง ชายหนุ่มชาวญี่ปุ่นที่เหลือจึงเข้าใจในทันที ไม่ใช่ว่าโมฟังภาษาญี่ปุ่นไม่ออก แต่เรจิเป็นคนที่พูดรัวเร็วและติดอยู่ในลำคอ ยิ่งไม่ใช่คนญี่ปุ่นจึงฟังลำบาก บางครั้งก็จับได้ว่าพูดอะไร แต่บางครั้งก็ไปเสียเร็วจนงงได้ง่ายๆ

ขณะที่นั่งกันอยู่โชยะก็นึกอะไรขึ้นได้ ใบหน้าเท่ที่ติดซื่อนั้นหันมาทางอภิวุฒิก่อนเปิดปากถาม”แล้วนางเอกละคร ดาราฝ่ายหญิงคนอื่นๆล่ะครับ?”

คำถามนั้นทำให้วงQuestที่เหลือรู้สึกตัว อภิวุฒิมองไปทางนากามูระเป็นเชิงให้ตอบคำถามแทน ใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเคราของนากามูระจึงหันมาทางชายหนุ่มหน้าตาดีทั้งหก

“ยังเคสติ้งกันไปม่จบน่ะสิ ตอนนี้คัดออกไปเยอะแล้วล่ะ”นากามูระแย้มรอยยิ่มเล็กน้อยก่อนพูดประโยคถัดมา “พอประกาศจะรับนักแสดงหญิงหน้าใหม่ที่จะมาเล่นคู่กับพวกนาย ผู้หญิงไม่รู้จากไหนมากมายก็มาออดิชั่นกันเต็มไปหมด”

                                        เธอรู้ดีเลยล่ะ

โมร้องอยู่ในใจ เพราะเธอเป็นยคนนึงที่ต้องไปแคสนักแสดงหญิงเหล่านั้น พวกขาวๆ สวยๆเต็มไปหมด และทายได้เลยว่ากว่าครึ่งนั้นเป้นแฟนคลับวงQuest โดยเฉพาะแฟนคลับของโทโมยะที่เป็นชายในฝันของผู้หญิงทั่วเอเชีย เธอกวาดตามองปฎิกิริยาของแต่ละคน แต่ชายหนุ่มทั้งหกก็มีสีหน้าปกติ ไม่ตกใจหรือดีใจอะไรเป็นพิเศษ ก็น่าอยู่หรอกเป็นไอดอลระดับนี้แล้วเรื่องแบบนี้คงเจอจนชิน

“ถ้าอย่างนั้นทำไมรีบเรียกประชุมล่ะครับ”โชยะถามต่อ แววตาซื่อๆนั้นมีความฉลาดเฉลียวแฝงอยู่ “หรือว่าต้องเร่งเปิดกล้องเพราะแฟนคลับพวกเรามาเร่งทางบริษัท”

                                          ใช้ได้แฮะ

โมย่อยเก็บไว้ในใจ คุรุยะ โชยะ ซื่อแต่ไม่โง่ แต่ก็นั่นเหละหมอนี่จบกฎหมายเชียวนะ

“ให้พวกเราประกาศข่าวเรื่องนี้ก็ได้นี่ครับ” คินแก้ปัญหา “ให้พวกเราคุยกับแฟนคลับผ่านบทสัมภาษณ์ พวกเขาต้องเข้าในแน่นอน”
จะว่าไปถ้าเป็นคินพูดล่ะก็....

“ผมว่านี่คงไม่ใช่ปัญหาทั้งหมดใช่มั้ยครับ” โทโมยะที่นั่งอยู่ข้างๆเธอพูดขึ้น ใบหน้าคมดวงตานิ่งๆนั้นหันไปทางอภิวุฒิ

“คุณอภิวุฒิคงเตรียมการไว้หมดแล้ว” เรจิเสริมขึ้น มาดเท่าๆน้ำเสียงแหบๆนั้นทำให้แลดูจริงจังโดยที่เจ้าตัวไม่ต้องพยายามทำ ส่วนตรงนี้ก็คล้ายกับเธอมากทีเดียว “ทั้งสถาณที่นัดถ่าย ตัวประกอบ หรือนักแสดงรับเชิญที่จะเบี้ยวเวลาไม่ได้เด็ดขาด แต่นางเอกกลับยังไม่ได้ ความจริงก็แค่ถ่ายฉากที่ยังไม่มีนางเอกไปซักผักก็เท่านั้น แต่ผู้กำกับน่าจะบอกพวกเราหน่อยนะครับ”

                                          กัคโคอิ (เท่มาก)

ความจริงตามนิสัยของคนญี่ปุ่นนั้นเวลาทำงานจะตัดสินใจกันเป็นทีม เธอเลยพอเข้าใจว่าทำไมเหล่าชายหนุ่มถึงไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ และก็พอเข้าใจว่าทำไมอภิวุฒิถึงไม่ได้บอกก็เพราะไม่อยากให้เรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่

“ขอโทษด้วย” อภิวุฒิยอมรับ แวตาเรียวมีความหนักใจเล็กน้อย “ก็ตามที่เรจิคุงพูดนั่นเหละ แต่มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก ซักผักก็หานางเอกได้แล้ว อ๋อ จริงสิ” ผู้กำกับหนุ่มใหญ่เปลี่ยนเรื่อง เขาหันไปทางยูกิกับทาคุโอะ “ยูกิคุง ทาคุโอะคุง พวกนายสองคนต้องร้องเพลงประกอบเอนด์ดิ้งซองค์นะ แนวเพลงช้าๆเศร้าๆอย่างที่พวกนายถนัด แล้วก็” แววตานั้นจ้องไปที่ใบหน้าหวานของยูกิ “ยูกิคุง นายเสียงดีที่สุดในวง เตรียมร้องเพลงเดี่ยวประกอบอีกเพลงด้วย”

ชายหนุ่มเบิ่งตาเล็กน้อยก่อนพยักหน้าและฟังคำอถิบายเพิ่มเติม “แต่งเพลงด้วยนะ มีเวลาสองอาทิตย์ เอาเนื้อเพลงให้เข้ากับบทด้วย จะได้รีบอัดเสียงเลย”

“ครับ เข้าใจแล้วครับ” ยูกิตอบรับ เขาก้มโค้งให้ผู้กำกับเล็กน้อย และพยายามไม่สนใจแววตาปลื้มปิติจากผู้หญิงเพียงคนเดียวที่มองมาด้วยดวงตาหวานแหววเป็นประกายซึ่งไม่เข้ากับใบหน้าคมๆดุๆนั่นเอาเสียเลย

วงQuestนั้นคนที่ดังที่สุดคือลีดเดอร์อย่างโทโมยะ ด้วยบุคลิกและใบที่ทั้งเท่ทั้งสุภาพ เต้นเก่ง และมีเสน่ห์เหลือล้น แต่คนที่เสียงดีที่สุดคือยูกิของเธอ (เป็นของเธอตั้งแต่เมื่อไหร่กัน) แถมเป็นเมนเสียงหลักของวงด้วย

“เอ่อ อภิวุฒิซังครับ” อัจจิเรียกชื่อผู้กำกับหนุ่ม “เรื่องคอสตูมเรื่องนี้....”

“อ๋อ แน่อนอน เรื่องดีไซน์เสื้อผ้า ชั้นบอกดีไซน์เนอร์ไปแล้วว่าทาคุโอะคุงจะเป็นคนร่วมออกแบบด้วย”

ชายหนุ่มยิ้มอย่างพอใจเมื่อได้ฟังแบบนั้น ใบหน้าอ่อนเยาว์ราวเด็กอายุสิบห้านั้นแย้มรอยยิ้มออกมาอย่างน่ารักและสดใส
จริงสิอัจจิเก่งเรื่องดีไซน์เสื้อผ้านี่นา

คอนเสิร์ตของวงQuestเองอัจจิก็ร่วมออกแบบหับสไตลิสต์คนอื่นด้วย ออกมาสวยทั้งนั้นเลย เป็นคนเดียวในวงที่มีแฟนชั่นเป็นของตัวเองและแหวกแนวมากที่สุด คิดไปคิดมาก็อยากให้คนแบบนี้มาออกแบบเสื้อให้ซักชุด

วินาทีนั้นเองที่ประตูห้องประชุมเปิดผลัวะออกมา เผยให้เห็นหญิงสาวร่างเล็กที่สูงไม่เกินร้อยหกสิบเซนต์ ผมยาวนั้นรวบเป็นหางม้าสูง นัยน์ตาโตราวลูกกวางนั่นน่าเสียดายที่อยู่ใต้กรอบแว่นเลนส์หนาซ้ำกรอบแว่นยังใหญ่จนปิดบังใบหน้าเรียวไปเกินครึ่ง หญิงสาวสวมเสื้อเชิ๊ตและกางเกงยีนส์ตัวใหญ่ที่เกินกว่าเหตุ มันทำให้เธอนึกถึงตัวเองตอนมัธยมปลายที่มีสภาพไม่ต่างจากนี้นัก

“เธอเป็นใคร” นากามูระหันไปถาม แต่คุจิอินกลับเป็นฝ่ายตอบแทน

“อ๋อ ผู้ช่วยของผมน่ะครับ ตอนนี้งานผมเยอะมากเลยรับคนเข้ามาช่วย ผมเพิ่งเรียกเธอมาน่ะครับ” คำอธิบายที่ทุกคนนิ่งไป

“สะ สวัสดีค่ะ มิอุระ โชโกะค่ะ คือ ขอความ...” ยังแนะนำตัวไม่ทันจบคนพูดก็ดันเสียหลักจนหกล้มเอาหน้ากระแทกพื้น ทั้งที่ตรงนั้นไม่มีอะไรให้สะดุดล้มได้ (สงสัยตื่นเต้นเกินเหตุ)

และคงจะหงายพื้นลงดังใจหมายถ้าไม่ใช่โมรีบลุกขึ้นมาฉวยข้อมือคว้าไว้ได้ทัน

“ไม่เป็นไรใช่มั้ยคะ?” เธอออกปากถามไม่ได้รู้สึกถึงความหนักของอีกฝ่ายเลย เมื่อโชโกะตัวเล็กกว่าเธอมาก ซึ่งอีกฝ่ายก็ได้ส่ายหน้าและออกปากขอบคุณเธอ

โมพาหญิงสาวให้ไปนั่งตรงเก้าอี้ของเอแทนเพราะมันใกล้ที่สุดก่อนจะย้ายที่ตัวเองมานั่งข้างเรจิที่ว่างอยู่ การกระทำของหญิงสาวราวสุภาพบุรุษท่ามกลางสายตาของผู้ชายเก้าคน

เหล่าชายหนุ่มทั้งหลายหันมามองเธอราวกับถูกแย่งบทบาท ยูกิเบิ่งตามองเธอเล็กน้อย รู้สึกประทับใจแปลกๆเพราะไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนมีมาดแบบนี้มาก่อน มาดเท่ๆที่เขาหวังว่าตัวเองจะมีบ้าง

แต่แล้วเสียงเพลงภาษาญี่ปุ่นก็ดังขึ้น เป็นเพลงที่ทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนี้รู้จักดี เพลงของยูทัคและยังเป็นเสียงของยูกิเสียด้วย ใบหน้าของชายหนุ่มหน้าตาดีทั้งหลายนั้นหันมามองยูกิเป็นตาเดียวก่อนจะหันไปมองที่ต้นเสียง และแล้วสาวผู้มาดเท่คนนั้นก็หยิบโทรศัพท์มือถือสีชมพูหวานจ๋อยแบบพับที่อยู่ในกระเป๋าเป้ออกมาอย่างลนลาน มือถือที่ไม่เข้ากับใบหน้าคมดุติดนั้นเลยแม้แต่น้อย นอกจากเป็นสีชมพูแล้ว ยังติดกากเพชรหวานแหววแพรวพราวสีเดียวกัน และยังมีที่ห้อยเป็นลูกไม้สีชมพูรูปหัวใจอีกต่างหาก
ช่างเป็นรสนิยมที่...

เกิดความเงียบไปสามสิบวนาทีก่อนที่เสียงหัวเราะจะระเบิดออกมา โชยะหลุดหัวเราะอย่างห้ามไม่อยู่ ใบหน้าเท่ๆนั้นแย้มรอยยิ้มกว้างอย่างไร้การเสแสร้ง ไม่ใช่ขำเพราะมือถือเป็นแบบนั้น แต่ขำเพราะมือถือแบบนั้นมาอยู่กับผู้หญิงแบบนี้ต่างหาก

แววตาเรียวเล็กของคินเองก็มีรอยขบขันอยู่เช่นกัน ซึ่งแม้แต่อัจจิที่ไม่ค่อยแสดงปฎิกิริยาออกมาชัดเจนก็หลุดเสียงหัวเราะออกมาเล็กน้อย ยูกิแทบหลุดเสียงดังถ้าไม่ใช่เกรงใจหญิงสาวและอยู่ในห้องประชุม

เรจิหันมามองหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างๆที่ยิ้มด้วยความอายก่อนแย้มรอยยิ้ม ขณะที่โทโมยะจ้องเธอไม่วางตา นากามูระใช้มือกุมขมับ โชโกะส่งสายตามาแบบงงงงเล็กน้อย อภิวุฒิส่งสายตามาที่เธอแบบว่า ไปโทรข้างนอก หรือ ปิดเครื่องซะ

                                       ทำไมมันดังตอนนี้ได้นะ

เธอติดนิสัยไม่ปิดเสียงมือถือมาแต่ไหนแต่ไร เพราะเรียนด้านศิลปะมาตลอด ทำให้ค่อนข้างใช้ชีวิตอิสระไม่ค่อยมีกฎเกณฑ์ซักเท่าไหร่
เธอรีบเดินออกนอกห้องก่อนรับสาย เอามือถือแนบหู

               “ฮัลโหล” เธอกรอกเสียงภาษาไทยเมื่อเห็นชื่อเพื่อสนิทบนหน้าจอมือถือ
               ความจริงเธอรอให้ใครคนนึงในประเทศไทยโทรมาหาเธออยู่ตลอด ทั้งที่เธอน่าจะเปลี่ยนเบอร์หรือเครื่องไปซะเมื่อมาที่นี่จะได้ไม่มาหวังอะไรลมๆแล้งๆ และคนที่โทรมากลับเป็นคนที่ไม่ได้วาดหวังไว้ทำให้เธอรู้สึกผิดหวังไปบ้างเหมือนกัน

                “เออ โม กว่าจะโทรหาติด”

                “โทรมาผิดเวลาสุดๆเลยวะ”เธอพูดห่ามตามนิสัย

                “ไม คุยได้รึเปล่า”

                “เออช่างเหอะ คุยได้รีบหน่อยล่ะกัน” เธอเร่งยิกๆ น้ำเสียงชายหนุ่มที่เป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยมหาลัยจึงกรอกกลับมา

                “ดี งั้นเข้าเรื่องเลย บินมางานแต่งได้มั้ย?” เสียงทุ้มถามเธอ

                “งานแต่ง? อ้าวนี่ตกลงแกจะแต่งงานกับแฟนแล้วเหรอ?”

                “เปล่า ไม่ใช่กู เป็นไอ้บีมกับรี”

                “เอ๊ะ?”

               ใบหน้าคมของหญิงสาวนิ่งชะงักไปถนัดตา ใบหน้าของคนสองคนตามชื่อนั้นลอยเช้ามาในหัว เหมือนมีอะไรบางอย่างสะกิดแผลที่อยู่ข้างในลึกๆ ประโยคบางอย่างลอยเข้ามาในห้วงคำนึง

                “บีมเคยจีบรีเหรอ?”

                “อ้าว โมไม่รู้เหรอ?”

-----------------------------------------------------------------------------
ฟุตน     ที่นอนหรือฟูกที่นิยมใช้นอนกับเสื่อตาตามิ สามารถพับเก็บได้ง่าย
เสื่อตาตามิ เสื่อปูบ้านของญี่ปุ่นทำจากพันธ์ไม้ต้นหญ้า
ยี่สิบสี่เสื่อตาตามิ เสื่อตาตามิ (1 ผืน = 1.8 ม. X 90 ซม.)
ฟุซุมะ  Fusuma ก็เป็นประตูเลื่อนที่ทำด้วยไม้และกระดาษใช้กระดาษหนาและแสงสว่างไม่สามารถที่จะผ่านได้ ซึ่งใช้เป็นประตูระหว่างห้อง

แก้ไขเมื่อ 05 ก.ค. 54 09:16:43

แก้ไขเมื่อ 05 ก.ค. 54 09:15:22

จากคุณ : พรรณ PAN
เขียนเมื่อ : 30 มิ.ย. 54 16:20:01




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com