Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
กระบี่รันทด ภาค 2.......บทที่ 7 (Dust in the wind) ติดต่อทีมงาน

============
กระบี่รันทด
บทที่  7
============

ตอนที่แล้ว
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10668405/W10668405.html



สินค้าของสำนักคุ้มกันภัย
ที่หลายคนแก่งแย่ง สุดท้ายกลับอยู่กับกระบี่รันทด

++++++


แม่นางฟ้อนซิ่งเอ่ยปากขอดูสินค้าปริศนาอย่างสนใจ กระบี่รันทดล้วงมือไปในอกเสื้อแล้วส่งให้อีกฝ่ายรับมาพิจารณาดูอย่างระมัดระวัง

ลักษณะเป็นกล่องสี่เหลี่ยมสีดำทำจากโลหะเล็กๆยาวประมาณคืบ มีความหนาบางเท่าความหนาของกระบี่ทั่วไปเท่านั้น

กล่องแบบนี้จะบรรจุอะไรได้

และของมีค่าสุดยอดหาค่ามิได้นั้นคืออะไร

“ท่าทางแข็งแรงมาก” นางให้ความเห็นขณะลองใช้นิ้วมือเคาะตรวจดูหลายครั้ง

“กล่องนี้มีความแข็งแรงเป็นพิเศษ คาดว่าทำมาจากโลหะผสมสูตรลับของสำนักคนเหล็ก ดูก็รู้ว่าราคาแพงมาก และสิ่งของในกล่องนี้ต้องนับว่าแพงจนสุดบรรยาย แพงปางตาย”

“บางทีอาจเป็นตั๋วแลกเงิน” โฉมสะคราญเจ้าบ้านเอ่ยปากให้ความเห็นขึ้นมาบ้าง บุรุษหนุ่มฟังแล้วขบคิดครู่หนึ่งก่อนแย้งขึ้นมาว่า

“ตั๋วแลกเงินต่อให้มีค่ามหาศาลปานใด ก็ไม่เห็นต้องจัดจ้างสำนักคุ้มกันภัยขนาดนี้ บางทีอาจเป็นของล้ำค่าจนสุดเทียบเปรียบปางตายจริงๆ”

“แล้วมันคืออะไร”

“ข้าไม่มีปัญญาทราบ”

คนเราพอบอกไม่มีปัญญา ก็คล้ายปัญญาไม่มีจริงๆ โฉมสะคราญก็คล้ายไม่มีปัญญาซักถามต่อไปเพราะรู้ว่าต่อให้มีปัญญาถามคนถูกถามก็ไม่มีปัญญาตอบ

สาวงามผู้มาเยือนยื่นกล่องปริศนาคืนให้แล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนาว่า

“แล้วท่านจะทำอย่างไรในวันพรุ่งนี้”

“ข้าก็ต้องไปเขาอิงฝา อย่างไม่มีปัญญาหลีกเลี่ยงอยู่แล้ว”

คาดว่ามันไม่มีปัญญาหลีกเลี่ยงจริงๆ  นับว่างานนี้มิอาจไม่ไป เกี่ยวข้องกับชีวิตผู้คนยิ่งไม่อาจไม่ไป เนื่องเพราะมันเห็นความสำคัญของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นชีวิตของผู้อื่นหรือชีวิตของมัน

เขาอิงฝา อยู่ห่างจากเมืองไม่มากไม่น้อยไม่ไกลมากนัก เคยเป็นสถานที่ประลองฝีมือของยอดฝีมือมากมาย ธิดากระบี่ม่วงหวานก็เคยรุดขึ้นไปบนยอดเขามาแล้ว ชื่อนี้มีตำนานแสนเศร้าถึงสตรีนางหนึ่งรอคอยคนรักอยู่ในห้องหอ บนยอดเขาสูงเพียงเดียวดาย จนร่างกายและวิญญาณพลัดพรากจากลากัน นางตายไปในขณะอิงแอบแนบฝาบ้านนานนับปี จนกลายเป็นตำนานของเขาอิงฝา

ไม่ว่าจะเป็นตำนานหรือเรื่องจริง แต่เรื่องเล่าเศร้าหม่นเช่นนี้ กระตุ้นความพลุ่งพล่านภายในจิตใจผู้คนได้เป็นอย่างดี ความไม่สมหวังจากความรักไม่ว่าจะอยู่ในยุคใดสมัยใดก็บันดาลให้ผู้คนรับฟังจนหม่นมัวไปด้วยราวกับเป็นเงาดำติดตามมนุษยชาติ ตลอดกาล ความรักบางทีก็ให้ประกายเจิดจรัสสุกใสสว่างแต่บางครั้งแสงสว่างกระจ่างนั้นก็ทำให้เกิดเงาดำทาบผ่านในบางแง่มุมได้เช่นกัน

บุรุษหนุ่มก็ไม่ทราบว่าไฉนมันจึงมาพัวพันเรื่องนี้  ความจริงมันตั้งใจเดินทางไปหมู่ตึกไร้รักเท่านั้น เพื่อพบพานธิดาหมู่ตึกไร้รัก มิคาดว่าพัวพันเรื่องราวยุ่งยากมากเรื่องไม่ตั้งใจ

โฉมสะคราญจ้องมองหน้ามันครึ่งค่อนวันจึงเอ่ยเบาๆว่า

“ดังนั้นท่านจึงมิอาจไม่ไป”

บุรุษหนุ่มขมวดคิ้วครึ่งค่อนวันจึงเอ่ยตอบอย่างเลื่อนลอย

“เรามิอาจไม่ไป”

ทันใดนั้น แม่นางฟ้อนซิ่งหัวร่อขึ้นโดยไม่ต้องรอถึงครึ่งค่อนวันแล้วบอกอย่างยิ้มแย้มว่า

“แต่ข้าต้องไปแล้ว รบกวนพวกท่านนานแล้ว อยู่นานเกินไปแล้ว ดังนั้นมิอาจไม่ไปเช่นกัน”

โฉมสะคราญโรงเตี๊ยมฉุดแขนเสื้อของนางเอาไว้ก่อนบอกว่า

“ท่านเพียงอยากไม่ไป ย่อมสามารถไม่ไป เรามีห้องพักชั้นดีให้ท่าน ลดครึ่งราคาทั้งที่พักและอาหาร ท่านพอใจอยู่หนึ่งวันย่อมสามารถไม่ไปหนึ่งวัน ท่านพอใจอยู่หนึ่งเดือน สามารถไม่ไปหนึ่งเดือน”

“ข้าดีใจ แต่อยู่นานไปเกรงจะชักนำเภทภัย พวกมันต้องตามล่าตัวข้า อยู่หนึ่งวันพวกท่านอันตรายหนึ่งวัน อยู่หนึ่งเดือนอันตรายหนึ่งเดือน”

“พวกมันเป็นพวกใดกัน”

“พวกที่จ้างข้า”

ทั้งกระบี่รันทดและโฉมสะคราญโรงเตี๊ยมรับฟังอย่างตั้งใจ ดังนั้นแม่นางฟ้อนซิ่งไม่อาจไม่อธิบายต่อไป  นางกล่าวขึ้นช้าๆ คล้ายทบทวนเรื่องราวยาวนาน

“ฟังว่าเจ้าของกล่องใบนี้เจ็บป่วยปางตายใกล้ตาย มันได้แบ่งมรดกทรัพย์สินให้แก่ทายาทถ้วนทั่วทุกตัวคน ยกเว้นกล่องใบนี้ มันซึ่งเพียรเฝ้าดูแลเก็บรักษามาแสนนานตลอดชีวิต พลันทุ่มเทเงินในส่วนของมันว่าจ้างสำนักคุ้มกันภัยนำของสำคัญนี้มาส่งให้คนผู้หนึ่ง”

“คนผู้นั้นเป็นใคร” โฉมสะคราญอดถามแทรกขึ้นมาไม่ได้

“คนผู้นั้นอยู่ในวังแมวเหมียว คนผู้นั้นเป็นใครชื่ออะไร มีเพียงเฒ่าซกมกกับเฒ่าซกเล็กทราบ”

นางหยุดเล็กน้อย หันมามองหน้าบุรุษหนุ่ม แล้วเอ่ยว่า

“บางที ท่านก็ทราบ”

“ข้าทราบจริงๆ”

กระบี่รันทดยอมรับแต่โดยดี ว่ามันทราบ ยอมรับโดยไม่มีการลังเลเพราะนี่คือนิสัยพิสดารของมัน รับว่าทราบแต่ประกันว่ามันต้องไม่เอ่ยนามนั้นออกมาอย่างเด็ดขาด เมื่อไม่เอ่ยนามนั้นออกมา ความลับย่อมเป็นความลับต่อไป

สองโฉมสะคราญก็ย่อมไม่เอ่ยปากถามว่าบุคคลนั้นเป็นใครเช่นกัน เพราะล้วนแน่ใจว่าต่อให้เพียรถามสามปีสี่เดือน มันก็ไม่อาจง้างปากตัวเองเอ่ยนามนั้นออกมา

แม่นางฟ้อนซิ่งพลันหัวร่อเสียงใส พูดดังๆว่า

“ข้าสามารถบอกนามของผู้ว่าจ้างข้าได้ เพราะฟังแล้วไม่เห็นมีความหมายอะไรกับข้ามากมาย เพราะข้าไม่ได้สัญญาอะไรกับมัน ยิ่งตอนนี้แยกตัวออกมาจากพวกมันแล้ว มันผู้นั้นมีนามว่า “กงจื้อไข่เค็ม” อยู่เบื้องหลังการว่าจ้างพวกของจอมมารคอหอย ให้ลงมือช่วงชิงสินค้า”

“เป็นมัน....”  เจ้าของโรงเตี๊ยมแสนสวยร้องโพล่งอย่างตื่นเต้น

“ท่านรู้จักมัน”   บุรุษหนุ่มซึ่งรับฟังอย่างเงียบงันเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย

“เราย่อมมิอาจไม่รู้จัก เนื่องเพราะร้านข้าเองก็สั่งไข่เค็มของมัน ฟังว่ากงจื้อไข่เค็มผู้นี้เล่าเรียนเพียรฝึกฝนการทำไข่เค็มมาจากคัมภีร์ไข่เค็มหมื่นปี อย่างแตกฉาน  ผู้คนมากมายสามารถทำไข่เค็มได้ แต่มิอาจกล่าวว่าผู้คนมากมายเหล่านั้นสามารถทำไข่เค็มเป็น ผู้คนสามารถทำไข่เค็มเป็นมิแน่ว่าสามารถทำไข่เค็มอร่อย สามารถทำไข่เค็มอร่อยมิแน่ว่าสามารถทำให้ทุกคนชื่นชมถ้วนทั่วอร่อยปางตาย”

“แปลว่าไข่เค็มของมันรสชาติอร่อยปางตาย”  แม่นางฟ้อนซิ่ง ถามอย่างไม่แน่ใจกับคำพูดวกวน

“ถูกต้อง ไข่เค็มของมันอร่อยปางตายจริงๆ ความจริงห้องครัวยังมีเหลือ ท่านสนใจเราจะทำยำไข่เค็มให้ท่านลองลิ้มชิมรสดู”

“ขอบคุณท่าน วันนี้ข้าบังเอิญอิ่มปางตายแล้ว ท่านเลี้ยงดูปูเสื่อจนแทบจะกลิ้งออกจากร้านแทนการเดินออกไปแล้ว มีโอกาสข้าย่อมมาชิมไข่เค็มให้ตายไปข้างหนึ่ง”

แล้วกงจื้อไข่เค็มผู้นี้ทำไมต้องการสินค้าชิ้นนี้ และเกี่ยวข้องอะไรกับวังแมวเหมียว

คำถามนี้ไม่มีใครเอ่ยถามออกมา หากแม่นางฟ้อนซิ่งกลับตอบคำถามนี้ออกมาเอง

“กงจื้อไข่เค็มผู้นี้เป็นบุตรชายของเฒ่าปลาทูเค็ม เฒ่าปลาทูเค็มเป็นบิดาของกงจื้อไข่เค็ม”

เรื่องราวพอเริ่มเปิดเผยกลับยิ่งพิสดารพันลึก เหตุใดบิดาจึงไม่ยินยอมมอบของมีค่านี้ให้ทายาท เหตุใดทายาทถึงลงมือช่วงชิงโดยไม่เอ่ยปากขอดีๆ ใช่ว่าเอ่ยปากขอดีๆจะยกให้หรือไม่ ทำไม อย่างไร....

กระบี่รันทดถอนใจยาว พลันบอกกับเจ้าของโรงเตี๊ยมแสนสวยว่า

“เรากลับอยากทานยำไข่เค็ม และทอดปลาทูเค็ม”

มันอยากทานจนปางตายใจจะขาดจริงๆ เพราะไม่แน่ใจว่าพรุ่งนี้จะมีโอกาสทานหรือไม่

**********
 

อรุณรุ่ง

นกกาเริ่มโบยบิน ผู้คนเริ่มออกจากบ้าน ท้องฟ้าหม่นมัว เมฆเกลื่อนลอยคล้อยเคลื่อน  สายลมเยือกเย็นครวญครางรวดร้าว

กระบี่รันทดตื่นแต่เช้า แต่งตัวเรียบง่าย สีหน้าท่าทางเรียบง่าย เพียงรู้สึกในใจยังไม่รันทดเพียงพอ พลังฝีมือความจริงยังไม่สมบูรณ์ แต่ก็ไม่นับว่าตกต่ำย่ำแย่

เจ้าของโรงเตี๊ยมคนงามมาส่งมันหน้าโรงเตี๊ยม นางยังอยู่ในชุดแดงดอกเหมยสวยสดใส ใบหน้าของนางยังประดับรอยยิ้ม ยังจะมีเครื่องประทินโฉมใดมีค่ามีประสิทธิภาพมากเท่ารอยยิ้ม

กระบี่รันทดมองแล้วหลบสายตาวาววามคู่นั้น

มันไม่อาจมองนาน มิใช่ว่าไม่อยากมอง หากเนื่องเพราะพอมองคราใดจิตใจพลันกระเจิดกระเจิง เลือดลมพลุ่งพล่านลมปราณแตกซ่านจนหน้ามืดแทบล้มคว่ำลง ความสดสวยงดงามเป็นอันตรายต่อพลังรันทดอย่างยิ่ง บั่นทอนพลังฝีมืออย่างยิ่ง

โชคดี”

นางกล่าวอำลาสั้นๆ นัยน์ตาคล้ายมีม่านหมอกชนิดหนึ่ง แต่มิได้เอ่ยปากมากความ  บางครั้งการเอ่ยปากมากความก็ไม่มีประโยชน์อันใด เรื่องราวบางอย่างควรเก็บไว้ภายในส่วนลึกของจิตใจตลอดไป ขุดค้นนำมาว่ากล่าวนิ่งร้าวฉานซานซมจมลึก

“ข้าจะกลับมากินยำไข่เค็ม”

มันบอกอำลาแบบนี้ ไม่จำเป็นต้องเอ่ยลาเป็นทางการ บางครั้งการเอ่ยปากอำลาทำร้ายจิตใจผู้คนมากไป ต่อให้พลัดพรากจากลาจริงๆถ้าไม่เอ่ยปากบอกลา คนฟังยังมีความหวังว่าวันหนึ่งจะกลับมาพานพบประสบเจอ ต่อให้รอจนตายก็ถือว่าตายไปโดยมีความหวังอิงแอบแนบอยู่ข้างใจ

ตายแบบไม่อ้างว้างเดียวดายจนเกินไป

“ข้าจะทำอาหารไว้คอยรอ”

การมีอะไรทำไว้คอยรอ ในวันเวลาที่รอคอย อย่างน้อยประเสริฐกว่าไม่มีอะไรไว้คอยรอ ย่อมดีกว่าการหายลับดับสูญแบบไร้ความหวังเช่นกัน

บุรุษหนุ่มไม่เอ่ยปากอะไรอีก รองเท้าหนังราคาถูกๆ ส่งเสียงดังเบาๆขณะมันเดินออกไป ออกไปตามถนนซึ่งกำลังฟื้นตื่นและชีวิตมากมายของเหล่าผู้คนซึ่งมีชะตากรรมชักนำหมุนเวียนว่ายไปตามเส้นทางของแต่ละคน กระบี่ของมันอยู่ในฝักกระบี่เสียบไว้บริเวณสายรัดเอวอย่างง่ายๆ เพราะมันชอบความเรียบง่าย ความเรียบง่ายซึ่งเรียบง่ายที่สุดคืนสู่สามัญ

ถนนสายหลักในที่สุดนำออกสู่นอกเมือง นอกเมืองความจริงผู้คนตามเส้นทางสัญจรควรลดน้อยลง กิจกรรมต่างๆ ของผู้คนส่วนใหญ่ควรอยู่ในตัวเมือง แต่เช้านี้ถนนเส้นนอกเมืองกลับคึกคักเป็นพิเศษ
ผู้คนคล้ายพากันมุ่งหน้าไปยังร้านอาหารเล็กๆนอกเมือง

เป็นร้านอาหารซึ่งใหม่และจัดสร้างอย่างลวกๆ ในเวลาไม่กี่ชั่วยาม ร้านเล็กๆซอมซ่อไฉนมีผู้คนสนใจขนาดนี้

ผู้คนเข้าแถวเรียงกันเป็นแนวยาวอยู่หน้าร้าน กระบี่รันทดมองปราดออกไปก็เห็นเฒ่าซกเล็กกับแม่เฒ่าส้มตำ

ในเวลาแค่ข้ามคืน ทั้งสองถึงกับสร้างเพิงสุนัขแหงนเล็กๆ ข้างถนนนอกเมือง เพราะเล็งเห็นว่าการทำกิจการร้านอาหารนอกเมืองน่าจะดีกว่าในตัวเมืองซึ่งการจราจรแออัด นอกเมืองมีลานกว้างให้ผู้คนสามารถจอดรถม้าหรือจอดเกวียนได้มากมาย ในขณะในตัวเมืองร้านอาหารมักมีปัญหาการจอดพาหนะ ทำให้เสียลูกค้าไปอย่างน่าเสียดาย

เมื่อคืนทั้งสองตัดสินใจเดินทางกลับไปขุดเอาไหปลาร้าพันปีและสาก้าพร้อมอุปกรณ์ซึ่งฝังทิ้งเอาไว้กลับขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อตกลงใจร่วมอุดมการณ์ชีวิตเดียวกัน  มือส้มตำจะขาด มะละก้าและ สาก้าได้อย่างไรกัน อีกทั้งจิตวิญญาณของปลาร้าซึ่งทรงพลานุภาพหอมหวน อบร่ำกลิ่นจรุงขจรกระจายไปทั่วเมือง ชักจูงน้อมนำผู้คนจนน้ำลายนองหน้าพากันเดินออกมาจากเมืองดั่งโดนมนต์มายาสะกดวิญญาณ

เฒ่าซกเล็กละทิ้งชีวิตและชื่อเสียงในชั่วข้ามคืน เนื่องเพราะมันค้นพบตัวเอง

ชีวิตในยุทธภพ ชื่อเสียงไม่จีรัง การเข่นฆ่าจนจิตใจไม่อาจสุขสงบ  ความสุขกับการปรุงแต่งรสชาติอาหารบริการมวลชนเป็นสิ่งซึ่งมันเข้าถึงแก่นใจ โดยมีคู่กายคู่ใจเป็นหนทางอีกเส้นทางอันสงบเยือกเย็นกว่ามากนัก

และสำคัญคือพวกมันบรรลุ เข้าใจ เข้าถึงแก่นแท้ของปรัชญาและอุดมการณ์แห่งชีวิตแล้วไม่หลงติดอยู่กับเปลือกนอกของชีวิต

เฒ่าซกเล็กผงกหัวเป็นเชิงทักทายเมื่อเห็นบุรุษหนุ่มเดินมาแต่ไกล ประกายตาของมันยังคงคมวาวด้วยความเป็นยอดฝีมือแต่แววตาเพิ่มความสงบกระจ่างสดใสอย่างไม่น่าเชื่อแม้จะมีหยาดเหงื่อหยดไหล มันกำลังหั่นผักล้างผักอย่างตั้งใจ ผู้คนรับถุงส้มตำจ่ายเงินด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ก่อนมุ่งหน้ากลับบ้านซึ่งมีคนรักหรือไม่ก็ญาติพี่น้องเฝ้ารอคอยส้มตำระดับมหากาพย์ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อนในเมืองนี้

เฒ่าซกเล็กไม่ได้เอ่ยอะไรมากมายเช่นกัน มันเพียงวิ่งปราดมายื่นถุงใบเล็กให้กล่าวสั้นๆว่า

“ข้าให้ข้าวเหนียวส้มตำและปลาย่างท่านหนึ่งชุด”

ไม่ถามที่มาที่ไปมากมาย มันเพียงเชื่อใจ

เชื่อใจ..ก็เพียงพอแล้ว ไม่ว่ากระทำหรือเคยกระทำเรื่องราวใด ขอเพียงมีความเชื่อใจก็นับว่าพอเพียง หากไม่พอเพียงมีแต่จะถูกกัดกร่อนจิตใจตายทั้งเป็น ทีละน้อย กระบี่รันทดมีคุณค่าอย่างน้อยพอให้ผู้คนเชื่อใจ

ก้มหัวรับทราบกล่าวขอบคุณ ยื่นมือรับของฝากมาเก็บในกระเป๋าอกเสื้อ รู้ว่าอีกฝ่ายพบเส้นทางพบตัวเองแล้ว มันเพียงหวังว่าสักวันจะมีโอกาสพบตัวเองเช่นนี้บ้าง

ยิ่งห่างตัวเมืองเท่าใด บรรยากาศยิ่งอ้างว้าง เส้นทางสู่เขาอิงฝาเป็นเส้นทางไม่มีผู้คนสัญจรเพราะปลายทางเป็นยอดเขาสูงเสียดฟ้าอันหนาวเหน็บทุรกันดาร ยังจะมีผู้ใดเดินทางไปเยี่ยมเยือนดินแดนแบบนี้

แต่ช่วงวันเวลานี้มี

ร่องรอยของฝีเท้าผู้คนรอยเกวียนและรถม้าสับสนตามถนนสายรกร้างบ่งบอกอย่างดีว่ามีผู้คนเดินทางล่วงหน้าขึ้นไปก่อนแล้ว อาจเป็นคนของจอมมารคอหอยหรืออาจจะเป็นคนของสำนักคุ้มกันภัยซึ่งถูกจับไปเป็นตัวแลกเปลี่ยน ท่าทางเขาอิงฝาจะคึกคักไม่เบาเลยในวันนี้

เมื่อเดินทางถึงเชิงเขาพลันมีเสียงหัวเราะแว่วมาจากโขดหินสูงด้านข้าง เป็นเสียงหัวเราะที่คลับคล้ายคลับคลาเหลือเกิน เมื่อเดินไปถึงแนวป่าทางโค้งขึ้นเขาจึงเห็นบุรุษหนุ่มชุดยาวสีขาวหน้าเป็นคนหนึ่งกำลังนั่งหัวร่อรุนแรงอยู่คนเดียวบนโขดหิน

กระบี่หรรษานั่นเอง!

ครั้งสุดท้ายเจอกัน กระบี่หรรษา ได้พ่ายแพ้แก่กระบี่รันทดแบบหวุดหวิดและเหลือเชื่อชนิดไม่น่าเป็นไปได้  มิคาดว่าวันนี้มันมาดักทางอย่างน่าสงสัย

“ในที่สุดเจ้าก็มา ฮ่าๆๆ มาก็ขำ.....”

กระบี่หรรษาหัวร่อใส่หน้าคู่ปรับเก่าทันที หัวร่อจนตัวงอด้วยความขบขัน ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรน่าขันมากมาย แต่เพราะหลักวิชาของกระบี่หรรษา ตรงกันข้ามกับกระบี่รันทด จึงเห็นสรรพสิ่งขบขันไปหมด มีเรื่องเล่าว่า เฒ่าหรรษา ซึ่งเป็นอาจารย์ของมัน ในงานศพบิดาตาของมัน  มันยังนั่งหัวร่อในงานศพอย่างไม่มีชิ้นดี

มันกระโดดปราดลงมาราวดาวตก มาหยุดอยู่เบื้องหน้า หัวร่อพลางทักทายพลางว่า

“ยินดีที่ได้เจอกัน ฮ่าๆ.. เจอกันก็ขำ ฮ่าๆๆ”

ท่าทางและเสียงหัวร่อของมันก่อกวนจนกระบี่รันทดเลือดลมเดือดพล่าน เสียงหัวร่อคล้ายกระบี่นับร้อยนับพันจู่โจมมาร้อยทิศพันทางเสียดประสาทสุดแสนกล้ำกลืน วูบนั้น มันจึงรีบนึกถึงเรื่องอันน่ารันทดทันที

สมัยเด็กๆ มันเคยเลี้ยงแมวไว้ตัวหนึ่ง แต่วันหนึ่งถูกคนลึกลับจับกินเป็นอาหาร เหลือไว้แต่กระดูกแมว นั่นเป็นเรื่องโหดร้ายเหลือเกิน กับจิตใจอ่อนไหว ภาพใบหน้าแมวๆ กลับมาในความทรงจำอีกครั้งกับเหตุการณ์อันน่าเศร้านั้นทำให้พลังพลิกฟื้นกลับมาทันที

ประกายรันทดคล้ายประกายวาบแห่งอสนีบาตฉีกแหวกแยกก้อนเมฆเบิกบานกระจัดกระจาย หางตาคล้ายมีหยาดน้ำตาไหลรินให้กับแมวน้อยที่น่าสงสาร

เสียงหัวร่อขาดหายไปครู่หนึ่ง เป็นจังหวะให้กระบี่รันทดแค่นเสียงร้าวลึกถาม

“เจ้าต้องการอะไร”

“ต้องการอะไร...” กระบี่หรรษาทวนคำแล้วส่งเสียงหัวเราะอีกครั้ง
“ข้าต้องการอะไรเหรอ ฮ่าๆๆ ข้าต้องการประลองกระบี่กับเจ้าอีกครั้ง..ฮ่าๆๆ ขำอีกแล้ว อีกครั้งก็ขำ ฮ่าๆ ”

“เจ้าอาการหนักกว่าเก่า”

“กว่าเก่า ฮ่าๆๆ ..กว่าเก่าหรือ  ขำเห็นๆ ฮาๆๆโอย..ใจจะขาด..ใจจะขาดก็ขำฮาๆๆ ความจริงมีคนจ้างข้ามาประมือประเมินฝีมือเจ้าเท่านั้น ..ฮา เท่านั้นก็ขำ..ข้าเห็นว่าอยู่ว่างๆ ก็เลยรับปาก โอ๊ย รับปากก็ขำอีกแล้วฮ่าๆๆ”

กระบี่หรรษาหัวเราะจนตัวงอ ไม่ว่าเรื่องราวใดก็คล้ายน่าหัวเราะไปหมด นับว่าเป็นหลักวิชาอันน่าตื่นตกใจสุดแสน วิชาแบบนี้มีสักกี่คนในโลกกล้าฝึกฝน

ขณะตัวงอลง มือของมันพลิกวูบขึ้นมาจากเอว ประกายกระบี่หรรษาพุ่งวาบขึ้นมาราวสายฟ้า

กระบี่รันทดคล้ายไม่ทันได้มอง คล้ายจมอยู่ในความฝัน คล้ายกำลังหยอกเล่นอยู่กับแมว แต่จู่ๆร่างของมันก็ถอยปราดไปด้านหลังหลบพ้นกระบี่แรกไปได้อย่างหวุดหวิด ความเย็นยะเยียบเส้นหนึ่งกรีดผ่านหางคิ้วซ้ายจนแทบทำร้ายถึงผิวหนัง ฝีมือของกระบี่หรรษารุดหน้าจากเดิมไปหลายขั้น

แก้ไขเมื่อ 02 ก.ค. 54 21:19:35

จากคุณ : Psycho man
เขียนเมื่อ : 2 ก.ค. 54 07:40:36




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com