Gomen ne......Demo...ขอโทษนะ... แต่ว่า...(ชั้นรักเธอ) บทที่3
|
 |
บทที่3 Hana no youni yasashii(ความอ่อนหวานราวกับดอกไม้) ความจริง ไม่มีคำว่ารัก ความจริง ไม่มีคำว่าประทับใจ ความจริง ไม่มีคำว่าความสุข ความจริง ไม่มีคำว่าคาดหวัง แต่ ความจริง มีคำว่า เจ็บปวด อยู่
เสียงเปิดประตูห้องดังขึ้นมาอีกครั้ง โมทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิม เธอพยายามทำสีหน้าให้เป็นปกติขณะเปิดปากคุยเรื่องงานต่อไป แต่ข้อเสียของเออีกอย่างคือ หญิงสาวแม้จะพยายามใส่หน้ากากแต่ใบหน้าของเธอจะไปกับอารมณ์เสมอ
เป็นอะไรรึเปล่า? โทโมยะถามข้ามเรจิมาที่เธอ แต่หญิงสาวได้เพียงฝืนยิ้ม เธอเปิดปากเรื่องบทละครต่อไป หันไปพูดกับคินเมื่อเขาถามถึงฉากที่ตัวเองต้องออกมีหลายส่วนที่เธอต้องปรับให้เท่ากับคิน
ชายหนุ่ม ฮิอิจิริ คิน ขมวดคิ้วมองเธอเล็กน้อย รู้สึกว่าอีกฝ่ายดูแปลกไป เหมือนเสียงที่พูดอยู่สั่นๆ แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้พูดอะไร
ใบหน้าหวานนั้นตวัดตางอนมามองนักเขียนบท ยูกิเอียงคอเล็กน้อยอย่างไม่แน่ใจ และวินาทีนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้นอีกครั้ง
อภิวุฒิขมวดคิ้วมองเธออย่างหงุดหงิดแทนชาวญี่ปุ่นทุกคน เรื่องแบบนี้คนญี่ปุ่นค่อนข้างถือ ในเวลาประชุมควรจะปิดเสียงโทรศัพท์ โมเลยตัดสินใจจะปิดเครื่องเสีย แต่เมื่อเปิดฝาพับขึ้นมาและเห็นชื่อของใครคนนั้น ร่างของเธอก็พลันชะงัก มันขึ้นชื่อเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษว่า BEEM
ใบหน้านั้นนิ่งงันและซีดขึ้นมาทันใด ทั้งๆที่น้อยครั้งมากที่จะโทรมา ถ้าไม่ใช่ว่า มีธุระจริงๆ สายที่ใจลึกๆเธอเองก็รออยู่
กิริยาที่ยืนค้างไม่รับและไม่ตัดสายโทรศัพท์นั้นทำให้บุคคลที่เหลืออยู่เกิดความสงสัย
ซึยกะซังยูกิเรียกชื่อเธอเสียงเบา แต่นั่นก็มากพอที่จะเรียกสติเธอ หญิงสาวสะดุ้งวูบจนมือนั้นร่วงจากมือแทบจะหล่นพื้นถ้าไม่ใช่เรจิรับไว้ทัน เธอรีบคว้ามือถือจากมือเรจิก่อนจะกดปุ่มปิดเครื่องซะและหันมาโค้งขอโทษทุคคนที่นั่งอยู่ตรงนี้
วินาทีนั้นเธอไม่รู้หรอกว่าโทโมยะพึมพำคำพูดบางอย่างกับตัวเองขณะหันมามองเธอ
ประมาณสามชั่วโมงในการประชุมเสียงฝีเท้าทั้งหมดสิบเอ็ดคู่ก็เดินออกมา เหล่าหนุ่มๆหันมาจับกลุ่มคุยเรื่องงานที่มีโปรแกรมต่อในวันนี้ซึ่งมีเพียงโทโมยะ ยิและอัจจิที่มีงานในบริษัทแต่เรจิกับคินมีงานนอกค่ายขณะที่โชยะมีงานนอกก็คือการเขียนบทความลงคอลัมน์นิตยาสาร
ขอบคุณที่เหนื่อยครับ/ค่ะเป็นประโยคสุดท้ายที่ร่ำลากันเมื่อเสร็จงานทั้งหมดโค้งให้กันและกันก่อนจะแยกย้าย
ยูกิแปลกใจที่หญิงสาวไม่ได้หันมามองเขาด้วยแววตาแพรวพราวเช่นเดิมแต่กลับมองมือถือด้วยความกังวงใจ
คนที่โทรเข้ามาคงจะเป็นแฟน
ชายหนุ่มทายอยู่ในใจ รู้สึกโล่งอกที่อีกฝ่ายไม่ได้แสดงท่าทีเปิดเผยอีก แต่ก็แอบรู้สึกแปลกๆอยู่ในใจและกลายเป็นว่าเขากลับเป็นฝ่ายมองหญิงสาวค่อยๆเดินหายไปเมื่อโมเดินลงไปยังบันไดชั้นล่าง
เคนิชิ เรจิเรียกเราน่ะ น่าจะคุยเรื่องละคร เสียงเรียกจากอัจจิทำให้ใบหน้าหวานสวยนั้นหันไป
เฮ้ย อัจจิ ยู พวกนายน่ะ" คำเรียกห้วนๆด้วยเสียงแหบๆตามสไตล์ของอัจจินั้นทำให้ทั้งสองต้องเดินเข้าไปหา
เหมือนช่วงเวลาหยุดไปชั่วขณะ เมื่อรอปลายสายรับโทรศัพท์เมื่อเธอโทรกลับไป ขาเรียวยาวนั้นเดินวนเวียนอยู่หน้าตู้ขายน้ำเมื่อเดินลงบันไดลงมาหนึ่งชั้น ขณะที่บันไดลงชั้นต่อไปอยู่ข้างหน้าแต่โมก็ไม่ได้คิดเดินลงไปอีก เมื่อได้ที่เงียบๆไม่มีคนอย่างตรงตู้ขายน้ำกระป๋องตรงนี้ เมื่อหมดประชุมเธอก็ล่ะออกมา ส่วนนากามูระนั้นก็ต้องตามอภิวุฒิไปทำงานอื่นต่อ
ประวัติความรักในชีวิตเธอนั้นไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก เธอไม่ใช่ผู้หญิงอ่อนหวานอ่อนโยน ออกจะห้วนห้าวและแข็งกระด้าง แต่กลับอ่อนไหวง่ายเป็นที่สุด การตกหลุมรักใครซักคนจึงกลายเป็นงานอดิเรกบ่อยครั้ง
ตอนอายุสิบสี่เธอไปชอบเพื่อนที่สนิทกันมากคนนึงเรารู้จักกันตั้งแต่ประถม แต่ตอนที่เธอไปบอกว่าชอบเขากลับหัวเราะและไม่ยอมตอบอะไรกลับมา ตอนอายุสิบห้าก็เพื่อนสนิทอีกคนนั่นเหละ หมอนี่ปฎิเสฐเธอตั้งแต่ยังไม่ทันพูดด้วยซ้ำ และมาอีกทีตอนอายุสิบเก้าเธอไปปิ๋งชายหนุ่มหน้าตาดีที่เรียนอยู่คณะเดียวกัน แต่เขากลับมีแฟนอยู่แล้วซ้ำยังเอามาโชว์ตัวให้เธอเห็นเพื่อให้เธอตัดใจอีกต่างหาก
และสักพักเธอก็ไปชอบเพื่อนที่เป็นเสมือนรุ่นพี่คนนึง เธอพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อให้เขาหันมามอง แต่เขากลับบอกว่าชอบคนอื่นอยู่แล้วและกำลังรอคำตอบจากผู้หญิงคนนั้นอยู่ และยังมาพร้อมกับคำพูดเจ็บๆว่า ผู้หญิงที่ไม่ชอบต่อให้แต่งยังไง เปลี่ยนแปลงยังไง ก็ไม่ชอบ
และตอนอายุยี่สิบ ก็คือ บีมชายหนุ่มก็เป็นเพื่อนเธออีกเช่นกัน ในตอนนั้นเธอมีเพื่อนสนิทที่เป็นผู้หญิงอยู่อีกคน ก็คือรี หญิงสาวค่อนข้างเป็นที่นิยมในคณะ หน้าตาดี ขาว ฉลาด และมีพรสวรรค์ และเป็นที่ปรึกษาของเธอในหลายเรื่องโดยเฉพาะเรื่องความรัก แต่ตัวเธอเองนั่นเหละที่ไม่รู้อะไรเลย
ตอนนั้นอาจารย์ที่สนิทกับกลุ่มของเธอมากคนนึงกำลังคุยกับเธอและรีเรื่องที่มีเด็กหนุ่มรุ่นน้องที่มาจีบเพื่อนสาวของเธอคนนี้
เด็กคนนี้ก็ดูดีนะ อาจารย์ว่า แต่บีมดูดีกว่า ประโยคนั้นทำเอาเธอชะงัก หัวสมองว่างเปล่าไปชั่วครู่ ก่อนที่ความสงสัยจะครอบงำและเปิดปากถามออกไปว่า
บีมเคยจีบรีเหรอคะ?
อ้าว โมไม่รู้เหรอ?
แววตาสลดของเธอทำให้อาจารย์อ้าปากและกรั่นกรองเรื่องราวได้ในทันทีเมื่ออ่านสีหน้าเสียใจของเธอ ในเวลานั้นเกิดความริษยาขึ้นมาในหัวใจ ริษยาผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่ว่ามองยังไงเธอก็เทียบไม่ได้เลยแม้แต่น้อย นี่เธอไม่ได้รู้เรื่องอะไรกับเขาเลย เธอเป็นคนโง่ใช่มั้ย?
ถึงแม้เธอจะถูกคิดว่าใจแคบแต่เธอก็ไม่ลังเลเลยที่จะเดินออกจากลุ่มพร้อมกับเพื่อนชายอีกคนหนึ่งที่ตอนนี้ก็ยังคงสนิทกันอยู่ ก็คนที่โทรมาบอกเธอเรื่องการแต่งงานของบีมกับรีนั่นเหละ โด ก็คือชื่อของมัน
ฮัลโหล เสียงปลายสายที่ตอบกลับมาทำให้หญิงสาวคืนสติ น้ำเสียงเขาเบาๆนิ่งๆที่เธอไม่ได้ฟังมานาน
แก..โทรมาเมื่อกี้
โดมันบอกว่าแกไม่มางานแต่ง ทำไม?
เธอกลืนน้ำลายกระพริบตาเล็กน้อยก่อนตอบ งานเยอะ อยู่ที่ญี่ปุ่นด้วยคงบินกลับไม่ได้
แน่ใจ ไม่ใช่ว่าแกไม่อยากมา ถ้าเป็นไอ้โดแต่ง แกจะมาไหม น้ำเสียงนั้นติดเคืองเล็กน้อย บีมนั้นลึกๆแล้วเป็นคนขี้เหงาและชอบอยู่รวมกับเพื่อน และต้องการให้คนรอบข้างสนใจ การที่เธอไม่ไปงานแต่งคงทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจอยู่พอสมควร หญิงสาวจึงตอบแบบกึ่งรับกึ่งสู้
ถ้าตารางว่างไปแน่ คนญี่ปุ่นเป็นคนตรงเวลา ทำอะไรจริงจัง ปลีกตัวไปลำบากจริงๆ และเธอก็รีบเปลี่ยนเรื่อง ได้แต่งจนได้นะ แกชอบรีมาตั้งแต่ปีหนึ่งแล้วนี่
ก็เพิ่งจะได้คบกันจริงๆก็ตอนปีสี่ และถึงจะได้แต่ง แกเองก็น่าจะมีแฟนซักทีนะ
ใช่สิ หนีเธอไปกันหมดแล้วนี่ ทั้งที่รู้ว่าชอบ ก็ยังพูดแบบนี้อีกนะ
ถ้าหาได้แล้วจะบอก เธอพูดด้วยน้ำเสียงปกติ แต่แววตากลับร้อนผ่าว ใจนั้นหดหู่ไปมากตรงข้ามกับเสียงแข็งๆของตัวเอง
อย่างแกคงยาก
นั่นสินะ ก็มีแต่คนปฏิเสฐนี่ แม้แต่แกก็เหมือนกัน
หาหนุ่มญี่ปุ่นที่แกชอบซะสิ แล้วก็แต่งงานไปซะ จะได้... ปลายสายมีความลังเลเล็กน้อยก่อนตัดใจพูดออกมา จะได้เลิกชอบกูด้วย
แค่นี้นะ
เธอกระแทกเสียงดังก่อนวางสาย ทั้งที่คุยกันเพียงไม่กี่นาที แต่กลับสร้างความเจ็บปวดให้มากมาย น้ำตาอุ่นร้อนนั้นค่อยๆไหลอาบใบหน้าโดยไม่รู้ตัว ความรักที่ไม่มีทางเป็นไปได้นั้นค่อยๆเข้ามาตอบย้ำในใจจนสะท้อนออกมาทางใบหน้าและน้ำตา
ช่างเห็นแก่ตัวดีแท้ คำพูดที่บีมพูดออกมาช่างเห็นแก่ตัว ตัวเธอเองก็เช่นกันที่ใจแคบไม่สามารถยอมรับคู่รักคู่นี้ได้
แผ่นหลังกว้างนั้นถไหลลงกับกำแพงพร้อมเสียงสะอื้นเบาๆที่เล็ดลอดออกมา ทำไมกันหนา ทุกครั้ง มันต้องจบลงแบบนี้เสียทุกที ตัวเธอน่ะไร้ค่าถึงขนาดนั้นเชียวหรือ
โมไม่รู้ตัวเลยว่าทางลงบันไดที่เธอเคยเดินลงมานั้นบัดนี้มีคนๆนึงก็ใช้เดินลงมาเช่นกัน เป็นช่วงเวลาที่เธอขึ้นเสียงใส่โทรศัพท์มือถือและเริ่มร้องไห้ จนฝีเท้าที่เดินอยู่ต้องชะงักหยุดอยู่เพียงมุมกำแพงไม่กล้าจะเดินออกมาให้เห็นหน้า
ยูกิยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก เขาเดินลงมาเพื่อซื้อกาแฟร้อนที่ตู้ขายน้ำอัตโนมัติแต่กลับเจอเหตุการณ์คาดไม่ถึง จะเดินเข้าไปก็ยังไงอยู่ แต่จะเดินหนีทิ้งผู้หญิงที่นั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่เขาก็ทำไม่ได้ แต่นัยน์ตางอนคู่หวานนั้นก็ต้องเบิ่งตาเมื่อเห็นใครอีกคนเดินขึ้นบันไดมาจากบันไดอีกฝั่งที่อยู่ตรงหน้าหญิงสาว
เกิดอะไรขึ้น เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหน้าเธอ ร่างสูงใบหน้าคมหล่อเหลานั้นยืนนิ่งมองเธอที่นั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่เพียงลำพัง โทโมยะเดินขึ้นมาจากบันไดชั้นล่างและเห็นเธอเข้าพอดี
เมื่อมีคนมาเห้นแถมคนๆนั้นเป็นถึงท็อปสตาร์ไอดอลดัง หญิงสาวก็รีบลุกขึ้นยืนปาดน้ำตาพยายามทิ้งเรื่องที่เข้ามาไป ชายหนุ่มเดินเข้ามาใกล้ก่อนขมวดคิ้วมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาและจมูกที่แดงเถือกนั่นด้วยแววตางงงวยก่อนจะเปิดปากถามอีกครั้ง
เกิดอะไรขึ้น
นิดหน่อยน่ะ อย่ากังวลไปเล) เธอเดินถอยออกจากชายหนุ่มเล็กน้อยก่อนยิ้มให้ รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อยที่ศิลปินที่ตัวเองปลื้มสนใจ
ขณะที่โมจะเดินหนีลงบันไดไปเพราะสภาพที่ย่ำแย่ของตนเอง โทโมยะกลับหันมาหาเธอ เมื่อชายหนุ่มหันมามองหญิงสาวขณะที่ยืนอยู่และได้พิจารณาให้ชัดๆ ก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายสูงจริงๆ สูงเท่าเขาได้เลย ถ้าใส่รองเท้ามีส้นคงสูงเท่าคิน
เธอสบกับนัยน์ตานิ่งๆตามแบบฉบับของโทโมยะก่อนที่ชายหนุ่มจะเปิดปาก
ผมเคยไปจัดคอนเสิร์ตโซโล่ของตนเองที่ประเทศไทย คุณเป็นหนึ่งในคนที่ไปดูคอนเสิร์ตผมใช่มั้ย? คุณอยู่แถวหน้าที่เกือบติดขอบเวที
ความแปลกใจและความดีใจแล่นเข้ามาในใจเธอ ยังไงซะวันนี้ก็มีเรื่องน่ายินดีมากกว่าเรื่องน่าเศร้าใจ
จำได้ด้วยเหรอ? ใบหน้าคมของเธอมีแววประหลาดใจ
โทโมยะพยักหน้านิ่งๆก่อนเสริม ตอนแรกผมจำไม่ได้ แต่รู้สึกคุ้นหน้าคุณตอนนั่งระชุมกัน
เธอแย้มรอยยิ้มกว้างในทันที แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเมื่ออีกฝ่ายยังคงถามเธอต่อ
ทำไมคุณมาดูคอนเสิร์ตของผมล่ะ คุณชอบยูกิไม่ใช่เหรอ?
เธอหัวเรราะนิดๆกับคำถามนั้น มองชายหนุ่มที่ยังคงมาดนิ่งเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงเช่นเดิม
ชั้นชอบผลงานของคุณ เธอยอมรับ ถึงแม้เวลาคุณร้องเพลงเสียงจะไม่เพราะ เล่นละครได้ดีแค่บางบท
โทโมยะพยักหน้าเล็กน้อยกับคำวิจารณ์นั่น เพิ่งเคยมีแฟนคลับมาพูดติตรงๆแบบนี้ครั้งแรก
แต่คุณก็เต้นเก่ง มีเสน่ห์ คุณเล่นหนังรักเก่งนะ ละครที่คุณเล่นกับคิโยะซังเรื่องที่แล้ว คุณเล่นออกมาได้น่ารักมาก เธอหมายถึงหนังรักเรื่องนึงที่โทโมยะและคิโยะเคยเล่นเมื่อสองปีที่แล้ว
ที่ญี่ปุ่นไม่ค่อยจะนิบมทำหนังแนวโรแมนติคหรอก เพระในประเทศไม่ค่อยนิยม ส่วนใหญ่จะเป็นหนังแนวสืบสวน หรอหนังดราม่ามากกว่า เพราะฉะนั้นถ้าเป็นหนังรักก้จะดำเนินไปแบบธรรมชาติ
แล้วผมเล่นหนังดราม่าไม่เก่งเหรอ ผมเคยเล่นเป็นหมอด้วยนะ
หนังเรื่องนั้นสนุกมากเลยล่ะ แต่คุณเล่นได้แข็งมาก
ชายหนุ่มที่ถูกวิจารณ์นั้นระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเสียดังลั่น แล้วคุณว่าใครเล่นหนังดราม่าเก่ง?
เรจิซัง ไคโตะ เรจิซัง
ใช่ถ้าเป็นหนังดราม่า ก็ต้องเรจิซัง ชายหนุ่มจอมปากเสียในวงQuest เรจิเคยเล่นเป็นคนป่วยโรคมะเร็งระยะสุดท้ายที่ทำให้เธอร้องไห้มาแล้ว และเคยเล่นเป็นคนที่มีปัญญาทางจิตที่ชอบใช้ความรุนแรงโดยไม่รู้ตัว หนังทุกเรื่องที่เรจิเล่น เธอไม่มีทางผิดหวัง
โทโมยะพยักหน้ายอมรับ ไม่มีใครเถียงเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก่อนจะถามต่อเช่นกัน งั้นทำไมซึยกะซังชอบยูกิล่ะ
เกิดความเงียบขึ้นชั่วอึดใจ ก่อนโมจะยิ้มและตอบคำถาม น่ารัก เธอยอมรับ ยูกิซังมีสิ่งที่ชั้นอยากเป็น
ใบหน้าหวานที่ยืนหลบอยู่ตรงกำแพงนั้นแอบหันไปมองใบหน้าคมของหญิงสาวด้วยแววตาสนใจในคำพูดนั้น เขาไม่เคยได้ยินคำตอบแบบนั้นมาก่อน
หมายความว่ายังไง
ยูกิซังมีใบหน้าหวานสวย แต่ไม่ใช่แค่นั้น บุคลิกของเขาก็น่ารัก เสียงก็หวาน พูดจาลื่นหู และจริงๆแล้วเขาเป็นคนเข้มแข็งมาก และแข็งแกรงมากด้วย เธอแย้มรอยยิ้มเศร้าเมื่อพูดประโยคถัดมา ต่างกับชั้นมาก ชั้น...ความจริง..ชั้นเองก็อยากเป็นคนแบบนั้น
โทโมยะเบิ่งตาฟังคำพูดเหล่านั้น มีความแปลกใจในสีหน้าของเขา ก่อนที่นัยน์ตาคมโตจะหันไปที่มุมกำแพง เขารู้ตั้งแต่ขึ้นบันไดมาว่าใครยืนอยู่ตรงนั้น
เดินออกมาจากตรงนั้นเถอะ ยู เจ้าของชื่อสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันมาสบตากับลีดเดอร์ของวงและยอมเดินออกมา แววตาของโมมีความแปลกใจผุดออกมาก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นตกใจและอายในที่สุด
หว่าย ยูกิของเธอ (ตั้งแต่เมื่อไหร่) ได้ยินที่เธอพูดหมดเลยรึเปล่า
หญิงสาวเพียงคนเดียวปั้นหน้าลำบากขึ้นมาทันที ขณะที่ยูกิตัดสินใจไม่สบตาด้วย เขารู้สึกแปลกๆ
การถูกชมเป็นเรื่องที่น่าดีใจ แต่คำชมนั้นเหมือนคำวิจารณ์ที่มองเขาทะลุปรุโปร่ง ทั้งที่ความจริงเพิ่งรู้จักกันแค่ไม่กี่วัน
ไปกินข้าวเย็นด้วยกันไหมครับ เสียงหวานนั้นชวนขึ้นกลางปล้องแก้เขิน ไม่สนใจแววตาขบขันของโทโมยะ และแววตาดีใจสุดชีวิตของโม
เป็นครั้งแรกที่ยูชวนเขากินข้าว ชายหนุ่มหน้าหวานที่เปรียบเสมือนน้องเล็กของวงนั้น ด้วยความที่เขาแก่กว่าซึ่งนับว่าเป็นรุ่นพี่จึงทำให้ยูกิไม่ค่อยกล้ามาตีสนิทมากนัก และติดที่จะเกรงใจเขา แต่เขารู้ดีว่ายูกินับถือเขามาก
ความคิดของโทโมยะนั้นต่างจากโมมาก ใบหน้าของหญิงสาวที่อมโศกเปื้อนน้ำตานั้นกลายเป็นวาววับราวเพชรอย่างกับว่าเจอทองคำร้อยล้านตรงหน้า
ต๋าย ยูกิชวนเธอกินข้าว ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกได้มั้ยเนี่ย (เขาชวนกินข้าวนะยะ ไม่ใช่ขอแต่งงาน)
ขณะที่โทโมยะกำลังอ้าปากตอบ ผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างๆก็ชิงตอบเสียก่อน โมใช้มือทั้งสองไปกุมมืออีกฝ่ายก่อนจะพยักหน้าหงึกหงักจนคอแทบหลุด
ไปกัน
เป็นการกินข้าวที่ลึกลับที่สุดในชีวิตของโม เพราะสองหนุ่มเป็นไอดอลดัง ถ้าเกิดมีเธอไปเดินอยู่ด้วย ปาปาคงแอบถ่ายรูปไปได้ ถ้ามีข่าวเข้าใจผิดขึ้นมาคงไม่ดี เธอจึงต้องเดินห่างสองหนุ่มประมาณเมตรกว่า ต้องเดินเข้าไปในร้านอาหารช้ากว่าทั้งสองสิบนาที ร้านอาหารนั้นเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมซ้ำยังเป็นร้านใหญ่ แบ่งเป็นห้องๆมีถึงสามชั้น พนักงานแต่งยูคาตะต้อนรับและบริการอย่างแข็งขัน
นักร้องทั้งสองจองห้องอาหารส่วนตัวไว้ชั้นบนสุดก่อนจะโทรบอกให้เธอรู้ โมเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสามของร้านอาหาร ก่อนจะใช้มือเปิดบานประตูกระดาษหรือที่เรียกว่าโชจิ และเดินเข้าไป
มันกว้างประมาณหกเสื่อ มีโต๊ะอาหารวางอยู่ตรงกลาง และมีเบาะรองนั่งที่ข้างละสอง เธอนั่งลงตรงข้ามไอดอลทั้งคู่
ขอโทษด้วยถ้ามันจะไม่สะดวกไปบ้าง ถ้ามีข่าวหลุดออกมาคงไม่ดี
โมยิ้มให้อีกฝ่ายก่อนแย้ง ไม่ต้องขอโทษหรอก พวกคุณเป็นไอดอลนี่ แล้วโทโมยะ เอ๊ย อาบาราอิซัง และเคนิชิซัง ก็ดังมากเสียด้วย เธอเผลอเรียกอีกฝ่ายห้วนๆจึงรีบเปลี่ยนเป็นเรียกนามสกุลเพื่อให้เกียรติ์อีกฝ่าย
ทั้งสองไม่ได้สังเกตว่าใบหน้าหวานหลังแผ่นพับเมนูนั้นมีรอยหนักใจ เขาดันโพล่งชวนทั้งสองกินข้าวทั้งที่นัดกับอัจจิไว้แล้ว เมื่อกี้เพื่อนร่วมงานเจ้าของใบหน้าน่ารักเพิ่งโทรมาตามเขา และอัจจิก็ทำเสียงไม่พอใจอะไรบางอย่างในลำคอเมื่อเขาอธิบายถึงเหตุผลที่ต้องผิดนัด
บริกรสาวในชุดยูคาตะนั้นชันเข่าเปิดบานเลื่อนก่อนเข้ามาในห้อง และรับออร์เดอร์ไป ยูกินั้นสั่งอาหารจานโปรดที่เขากินอยู่เป็นประจำคือราเม็งที่ใส่สาหร่ายเป็นจำนวนมาก ไม่มีมื้อไหนที่ชายหนุ่มจะไม่มีสาหร่าย ส่วนโทโมยะนั้นโดยปกติชายหนุ่มชอบกินเนื้อ แต่เมื่อเป็นอาหารเย็นและต้องคอยดูแลหุ่นตัวเองอยู่ตลอดทำให้เขาสั่งแค่คะเระ(ข้าวแกงกะหรี่)เท่านั้น
ส่วนเธอนั้นก็สั่งเมนูที่ตนเองกินอยู่ประจำคือนาเบะ(หม้อไฟ)เธอค่อนข้างเข้มงวดในการกินโดยเฉพาะอาหารเย็น เพราะไม่ยอมอ้วย และผิวของเธอแพ้อาหารง่าย แต่นั่นเหละตามแบบของคนญี่ปุ่น ชายหนุ่มทั้งสองสั่งซาเกะ (วอลค์ก้าญี่ปุ่น)มาคนละขวดใหญ่ ไม่มีผู้ชายคนไหนในญี่ปุ่นที่ไม่ดื่มเหล้าและแน่นอนด้วยความอยากลองของเธอบวกกับอารมณ์ที่ไม่ปกติทำให้เจ้าตัวสั่งมากินเองอีกขวด
กลิ่นที่ฉุนกึกจมูกและรสชาติหวานเปรี้ยวขมฝาดลิ้นปนเปไปมา จนหญิงสาวติดใจดื่มพรวดพราดอย่างไม่เจียม เธอไม่คิดว่าตัวเองจะโดนฤทธิ์แอลกอฮอล์ครอบงำ เพราะเป็นคนที่เคยอยู่ในวงเหล้าตั้งแต่ในสมัยมหาลัย และดื่มเหล้าเป็น แต่เธอลืมไปอย่างก็คือซาเกะจะมีฤทธิ์แรงกว่าเหล้าทั่วไปถึงสองเท่า
ปัง!
โมใช้มือที่ว่างจากการไม่ถือขวดซาเกะทุบโต๊ะอาหารเสียงดังสนั่น ส่งผลให้ไอดอลทั้งสองสะดุ้งเล็กน้อย ยูกิที่กำลังเคี้ยวสาหร่ายอยู่เต็มปากนั้นสำลักอาหารชนิดโปรดของตนขึ้นมาทันใด ขณะที่โทโมยะที่กำลังตักแกงกะหรี่เข้าปากนั้นจำต้องวางช้อนลงเพราะไม่อยากสำลักอาหารเหมือนคนข้างๆ
แต่งงานเหรอ แล้วยังมาชวนให้บินกลับไปร่วมงานอีก จะบ้ารึไง โมชึ้นเสียงดัง ใบหน้าคมนั้นแดงด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ ยูกิ โทโมยะ ถ้าพวกนายรู้ว่าเพื่อนคนนึงมีใจให้ แต่นายกำลังแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น นายจะชวนเพื่อนคนนั้นไปร่วมงานแต่งไหม? แววตาของเธอคลอด้วยน้ำตาเล็กน้อย
ชายหนุ่มทั้งสองอ้าปากพะงาบๆเหมือนปลาทองที่รอรับอาหารแต่แตกต่างกันตรงที่ทั้งคู่กระพริบตาปริบๆได้ ไม่นึกว่าหญิงสาวตรงหน้าจะคออ่อน ดูจากบุคลิกห้วนห้าวแล้วน่าจะคอแข็งด้วยซ้ำ ยูกิและโทโมยะสบตากันด้วยความงุงง
ใช่สิ มีแต่คนปฎิเสฐชั้น ชั้นมันไม่อ่อนหวาน มันไม่น่ารักนี่ แต่ก็เป็นความผิดของพวกนายนั่นเหล่ะที่ชอบผู้หญิงแพทเทิร์นเดิมๆน่าเบื่อๆพวกนั้น เธอชี้นิ้วใส่ทั้งสองอย่างเสียมารยาท และวางขวดซาเกะลงบนโต๊ะ
คุณเมาแล้ว โทโมยะบอกเสียงเบา พอเข้าใจแล้วว่าทำไมซึยกะซังถึงร้องไห้ ซึยดะซังผมว่าเราควรกลับได้แล้ว
ชั้นไม่เมาและไม่กลับด้วย เธอตะตอกเถียงใส่ชายหนุ่ม ทำให้โทโมยะเงียบ เขาไม่ได้โกรธแต่สงสารมากกว่า ใบหน้าของซึยกะซังตอนนี้เหมือนสีหน้าผิดหวังของศิลปินที่ไม่ได้เดบิวท์
ซึยกะซัง ยูกิพูดขึ้นมาบ้าง เขามีสีหน้ากังวลใจ คุณเป็นคนดี ผู้ชายดีๆมีอยู่อีกมาก ซักวันคุณจะเจอคนที่ใช่ แต่น้ำเสียงหวานอ่อนโยนนั้นไม่ได้ทำให้เธอสงบลง
เป็นคนดีแล้วยังไง เธอพูดทั้งน้ำตา น้ำเสียงเริ่มสั่น ผู้ชายที่ชั้นเคยชอบแทบทุกคนก็บอกว่าชั้นเป็นคนดี แต่พวกเขาก็ไม่ได้รักชั้น ไม่เห็นมันจะดีตรงไหน เธอเถียงก่อนมือจะไปปัดขวดเหล้าโชจูจนหกลงพื้นและกระเด็นหกใส่เธอ
ยูกิเมื่อเห็นแบบนั้นก็ยากจะทนดู เขาลุกออกจากเบาะนั่งของตนเดินข้ามโต๊ะ ไปเก็บเหล้าที่ตกมาตั้งบนโต๊ะอีกครั้ง มองเสื้อและใบหน้าที่เลอะเหล้าด้วยความลำบากใจก่อนจะหยิบกระดาษทิชชู่ที่มีอยู่น้อยนิดที่ริมโต๊มาเช็ดเสื้อและใบหน้าของหญิงสาว โทโมยะมองภาพนั้นด้วยสีหน้าที่คาดเดาบางอย่าง พอจะทายอะไรบางอย่างในอนาคตได้
โมมองใบหน้าหวานที่ไม่ห่างนั้นด้วยแววตาที่โทโมยะก็อ่านออก
ซึยกะซังชอบยูกิ แต่นั่นมันก็ชัดเจนมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
ยูกิ เธอเรียกอีกฝ่ายเสียงอ่อนไม่แข็งกระด้างเหมือนที่เรียกคนอื่น
ชายหนุ่มเจ้าของชื่อเลื่อนนัยน์ตาจากคางที่เปื้อนเหล้าของเธอที่กำลังเช็ดออกไปที่นัยน์ตาคู่คม ความจริงเขาไม่ชอบให้ใครมาเรียกชื่อเขาห้วนๆ แต่เมื่ออีกฝ่ายเมาก็ช่วยไม่ได้ แต่เขาไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรมากกว่าเรียกชื่อเขา
โมใช้มือทั้งสองจับข้อมือบางของชายหนุ่มไว้ ใบหน้าที่คลอไปด้วยนำตานั่นกระเถิบมามองใบหน้าหวานที่มีท่าทีงงงวยกับท่าทีของหญิงต่างชาติตรงหน้า
ยูกิก็เหมือนกันใช่ไหม คงจะปฏิเสฐชั้นเหมือนกันริมฝีปากนั่นเข้ามาใกล้จนเขาได้กลิ่นเหล้าคลุ้งออกมา
ผม...เขาหลุดเสียงออกมาเท่านั้น นัยน์ตางอนหวานนั่นต้องเบิ่งออกอย่างคาดไม่ถึง
เอาเข้าแล้วไหมล่ะ?
โทโมยะกลืนน้ำลายแทน เอามือกุมขมับ เขามีสีหน้าเมื่อยเมื่อต้องมาดูหนังสดโดยไม่ได้ตั้งใจตรงหน้า
ซึยกะซังจูบยูกิ แววตาคมนั่นไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย ต่างกับฝ่ายที่ถูกกระทำอย่างสิ้นเชิง นัยน์ตาหวานนั่นสั่นอย่างสับสนจับต้นชนปลายไม่ถูก
ริมฝีปากที่หนาเล็กน้อยนั่นให้ความรู้สึกที่ทั้งหวานทั้งขมราวกับรสเหล้าอย่างเดาไม่ถูก เสมือนหญิงสาวกำลังพยายามกรีดร้องเรียกหาความรักจากตัวเขา ความร้อนระอุที่ผ่านลิ้นเข้ามามันฝาดเสียจนอยากร้องไห้
ไม่ใช่ครั้งแรกที่ยูกิต้องจูบกับใคร อาชีพแบบเขาต้องได้สัมผัสริมฝีปากของผู้หญิงไม่รู้กี่คน แต่เป็นครั้งแรกที่เขารับรู้ความรู้สึกที่ถาโถมเข้ามามากขนาดนี้
ความอ่อนแอที่ไม่ใช่เพียงภายนอกเม่านั้นเราถึงจะเห็น แต่ภายใต้ร่างสูงใหญ่ที่แลดูเข้มแข็งกลับอ่อนไหวและอ่อนแอยิ่งกว่าใคร ยิ่งกว่าผู้หญิงคนไหนเก็บไว้อยู่ หัวใจของเขาพลันเต้นโครมครครามเมื่อได้สัมผัสถึงสิ่งนั้น
ความอ่อนหวานราวดอกไม้ดอกเล็กๆที่อยู่ภายในเกราะอันแสนแข็งแกร่ง
-----------------------------------------------------------------------------
โชจิ เป็นประตูเลื่อนที่มีโครงสร้างเป็นตาข่ายเป็นไม้และเอากระดาษสาญี่ปุ่นบางๆมาปิด ซึ่งแสงสว่างของด้านนอกสามารถผ่านเข้ามาในห้องได้
ซาเกะ (SAKE') หรือ เซอิฉุ (SEISHU) เป็นภาษาญี่ปุ่น แปลว่า เหล้าที่ทำมาจากข้าว
แก้ไขเมื่อ 05 ก.ค. 54 09:21:53
จากคุณ |
:
พรรณ PAN
|
เขียนเมื่อ |
:
2 ก.ค. 54 21:03:36
|
|
|
|