Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
หวานรัก ณ ปลายดง - 14 ติดต่อทีมงาน

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10752311/W10752311.html

บทที่ 14

กระแสอุ่นซ่านขึ้นบนต้นแขน เหลียวหลุบลงมองก็พบคนดีกราบชดช้อย ตรึงตาขรึมไว้ เพื่อประชันกับแสงนุ่มและพราวหวานในตาคู่ที่ตนลอบโหยหา ภภีมหายก็ใจขัดไปหมด รีบเบนหน้าหนีชนวนที่อาจก่อความอ่อนแอขึ้นในมาดกระด้าง

"สามแสนขอโทษ" เธออ้อนเสียงหวาน "สามแสนรู้น่าว่าเมื่อกี้นี้ สามแสนพูดพลาดไปนิด สามแสนไม่ควรชวนพี่ชายกลับบ้าน มันเร็วเกินไป พี่ชายตั้งรับไม่ทันหรอก อย่าเพิ่งไปค่ะ"

ต้นแขนใหญ่โดนหน่วงเหนี่ยวไว้ในกรงนิ้วเล็ก ใบหน้าขรึมยังเบนไปทิศตรงข้าม สามแสนก็เข้าใจว่าเขาจำเป็นต้องซ่อนหน้าซ่อนตา และซ่อนความรู้สึกผิดอย่างว้าวุ่น เขาต้องสองจิตสองใจกับสิ่งที่ตัวเองละเมอเมื่อคืนวาน เหมือนสามแสนที่หวั่นไหวหายใจไม่ทั่วท้องมาจนถึงเดี๋ยวนี้นั่นล่ะ

"ทายาก่อน หลังพี่ชายน่ะ ไม่สวยเลย"

"ก็ฉันเป็นผู้ชาย จะให้หลังบางเนื้อนุ่มเป็นผู้หญิงได้ยังไง เรียนจบปริญญาตรีจริงหรือ พูดจาปัญญาอ่อนอยู่เรื่อย"

"ค่ะ สามแสนชอบพูดจาปัญญาอ่อนแบบนี้แหละ ไม่อย่างนั้น จะยั่วให้พี่ชายตอบโต้ได้ยังไง พี่ชายหวงคำออก"

"บ้า"

หัวใจมันวาบหวามขึ้น เพียงแค่ได้ยลกิริยาอมยิ้มระคนเขินนิดๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะรีบผินหน้าหนีอีก ทั้งที่เพิ่งจะเหลียวขวับมาทิ้งเสียงกระด้างกับสามแสนแค่ประโยคเดียวเอง

"เจ็บไหมคะ" เธอชวนคุย มือก็ละเลงขี้ผึ้งสีเหลืองอ่อนไปทั่วแผ่นหลัง "เมื่อคืนนี้ พี่ชายละเมอหล่นตึงลงไปนอนแผ่หลา ตลกมากเลย แต่สามแสนก็อดสงสารไม่ได้ คิดว่าพี่ชายต้องเจ็บมากด้วยแน่ๆ นอนยังไงคะ ซนจัง"

"เสร็จหรือยัง พูดมาก"

"เข้ากันดีไม่ใช่หรือคะกับคนพูดน้อย ขืนให้พูดมากกันทั้งคู่ บ้านคงหนวกหูแย่เลย"

"ไม่เลิกนะ ไอ้นิสัยต่อปากต่อคำนี่ น่าเบื่อ"

"สามแสนหายหน้าไปตั้งห้าปี ยังไม่หายน่าเบื่ออีกหรือคะ"

หนุ่มใหญ่กลืนน้ำลายอย่างไร้เหตุผล ซ่านกระสันในใจบอกไม่ถูกเลย ปรารถนาจะหมุนตัวแล้วกุมมือที่ขยันนวดเฟ้นแผ่นหลัง

อยากดึงขึ้นมาจูบ รั้งร่างคนดีมากอดรัด อยากให้เจ้าตัวได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นโครมคราม เธอต้องได้ยินเสียงคลื่นปรารถนามันซัดสาดครืนแล้วครืนเล่าในนั้น แล้วเธอจะได้เข้าใจเสียทีว่า ไม่ควรมาประชิดถึงเนื้อถึงตัวเขาแบบนี้

"เสร็จหรือยัง" เขาถามซ้ำ ไม่ตอบคำถามยียวนเมื่อครู่ด้วย

"เสร็จแล้วค่ะ ร้อนๆ หน่อยไหมคะ สามแสนไม่รู้ว่ามันเรียกว่าอะไร สามแสนไปขอป้ามาลีมา แกบอกว่าเป็นขี้ผึ้งสมุนไพร พอได้ยินคำว่าสมุนไพร สามแสนทำหน้าเหมือนจะอ้วกให้แกดูเลย"

"ทำไมล่ะ" พี่ชายหลงกลวาจาล่อหลอกของสาวน่ารักเสียแล้ว เขาผินหน้ากลับมา เพราะสงสัยจัง

"ก็สามแสนนึกถึงตอนที่ตัวเองโดนกรอกยาต้มนี่คะ ตอนนั้นพี่ชายใจร้ายมากเลย"

เธอหัวเราะน่ารัก หย่อนตลับขี้ผึ้งลงกระเป๋าเสื้อเชิ้ตสีเหลืองนวล ภภีมเพิ่งสังเกตเห็นว่าสามแสนดูเพรียวและสูงขึ้นอีกเล็กน้อย โดยเฉพาะช่วงขาดูเรียวอยู่ในกางเกงยีนทะมัดทะแมง

"ไปยืมรองเท้าใครมาสวม" ตาขรึมสำรวจจนถึงปลายเท้า แล้วพบว่ารองเท้าแตะคู่นั้น มันใหญ่และตลกไปหน่อย

"ของป้ามาลี" เธอตอบแล้วหัวเราะคิก "รองเท้าผ้าใบของสามแสนเปียกนี่คะ ตากตั้งแต่เมื่อวาน ยังไม่แห้งเลย หายร้อนหรือยังคะ" เธอหมายถึงแผ่นหลังช้ำ

"ฉันบอกว่าร้อนตอนไหนหรือ"

"อ้าว"

สามแสนอ้าปากค้าง โดนพี่ชายตลบหลังหน้าตายเสียอย่างนั้น เขาทำท่าเดินหนีไปไหนก็ไม่ทราบ สามแสนก็รีบฉวยข้อมือใหญ่ เธอยังคุยไม่จบ จึงตั้งใจว่าเขาไปไหน เธอไปด้วย

"อาดุ ไปกินข้าวเช้าได้แล้วจ้ะ"

ใบพลูตะโกนเจื้อยแจ้วมาขัดจังหวะการสนทนาที่มองผิวเผินก็เหมือนขัดแย้ง หากแต่ลึกเร้นลงสู่ก้นบึ้งหัวใจ ก็มีเพียงเจ้าตัวที่รับรู้ถึงความสุขอบอุ่น เยื่อใยบางกริบแต่นุ่มหวาน หมั่นแทรกและกระหวัดอยู่ในทุกคำทุกประโยคนั้น

"ทำอะไรของเธอ หลีกไป"

หญิงสาวโดนผลักไหล่ ปัดมือ เธอเซไปด้านข้างสองก้าว แต่ไม่นึกโกรธกิริยาฉุนเฉียวของใบพลูบ้านป่า เพราะเข้าใจแล้วว่าหล่อนหึงหวง

"ไปกินข้าวกันเถอะจ้ะ แม่ให้มาเรียก" เสียงกระด้างแหวใส่สามแสนเมื่อครู่ แปรเป็นอ่อนหวานเมื่อเลี้ยวไปอ้อนหนุ่มใหญ่ "วันนี้มีของโปรดอาดุด้วยนะ แม่บอกใบพลูเอง ใบพลูไม่เคยรู้เลยว่าอาดุชอบแกงป่า"

'อืม จริงด้วย' สามแสนนึกในใจแล้วยิ้มกริ่ม ห้าปีก่อน พี่ชายก็ขยันทำแต่แกงป่าเป็นอาหารเช้าเที่ยงเย็น เธอยังแอบค่อนขอดว่าทำเป็นอยู่อย่างเดียว ที่แท้ก็ของโปรดนี่เอง

"ไปก่อนเถอะ จะแวะไปเดินดูความเรียบร้อยราวป่าทางโน้นหน่อย เดี๋ยวตามไป"

"อาดุ"

"แล้วเมื่อกี้นี้นะ เสียมารยาทมาก ไปผลักแขกได้ยังไง"

"สามแสนไม่ใช่แขก" สามแสนรีบท้วง

"แขก" เสียงทุ้มลอยสวนสำทับทันควัน "เธอเป็นแขกของหมู่บ้านเรา พักพอหายเหนื่อยแล้ว เธอก็จะกลับ"

ใบพลูเหลียวไปขึงตาวาวใส่หน้าแห้งของสามแสน เธอกลืนน้ำลาย น้อยใจการตัดบทตัดรอนของพี่ชาย เขาก้าวยาวๆ ผละไปทางราวป่าข้างหน้า สามแสนไม่ค่อยอยากยอมตามใจเขานัก จึงทำท่าสาวเท้าตาม

"จะทำอะไรของเธอ" ใบพลูผลักอกหยาบคาย "ฉันเคยบอกเธอแล้วว่า อาดุเป็นหวานใจของฉัน เธอมีสิทธิ์ปลื้ม มีสิทธิ์ชื่นชม มีสิทธิ์หลงใหล แต่ไม่มีสิทธิ์มาเสนอหน้าแก่งแย่งกับฉัน"

"สามแสนไม่ได้คิดที่จะ.. "

"คิด" ใบพลูจิ้มไหล่ดุดัน "ฉันมองตาเธอแวบเดียว ฉันก็รู้แล้ว เตือนไว้ก่อนนะ สาวสวยอย่างใบพลู ไม่เคยยอมให้หญิงหน้ายาวหน้าแป้นที่ไหนมาสะเออะเป็นคู่แข่ง"

"ใบพลู ไปกันใหญ่แล้ว สามแสน.. "

"ท่องไว้ให้ขึ้นใจ อาดุเป็นของฉัน เขาเป็นหวานใจของใบพลูคนสวยคนนี้คนเดียวเท่านั้น ถ้าเธอคิดจะแย่งเขาไปจากฉัน เธอกับฉันต้องได้เห็นดีกันแน่ อย่านึกว่าเป็นสาวชาวกรุงแล้วฉันจะเกรงใจนะ"

"ใบพลูอยากเข้าใจอย่างนั้นก็ช่างเถอะ สามแสนไม่ได้เข้าป่ามาเพื่อทะเลาะกับใบพลู ไม่ต้องการเป็นศัตรูกับใครเลย สามแสนมาตามหาพี่ชาย จะพาเขากลับบ้าน เขาอยู่ป่านาน.. "

"เขาไม่กลับ" ไหล่มนคนดีของภภีมโดนผลักอีกแล้ว พร้อมกับเสียงตวาดดุร้ายของใบพลู "ที่นี่คือบ้านของอาดุ เขาจะไม่จากบ้านของตัวเองตามผู้หญิงหน้านวลชาวกรุงอย่างเธอเข้าเมือง เธอนั่นแหละ ที่นี่ไม่ใช่บ้านของเธอ ไปเสียให้พ้น"

"ไม่ไป สามแสนจะไปก็ต่อเมื่อพี่ชายไปด้วย ถ้าเขาไม่ไป สามแสนก็จะไม่ไปไหนทั้งนั้น สามแสนมาที่นี่เพื่อมาตามเขากลับบ้าน เขาต้องกลับบ้านพร้อมกับสามแสน"

"นี่เธอ.. "

"พี่ชายยังมีพ่อแม่รอให้กลับไปอยู่อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา มีคู่หมั้นที่รอว่าเมื่อไหร่พี่ชายจะกลับไปแต่งงานด้วยเสียที"

"ไอ้บ้า นี่แน่ะ"

คำว่า 'คู่หมั้น' มันคมกริบเกินไป สาวสวยอย่างใบพลูทนฟังไม่ได้ มันเจ็บที่หัวใจ แล้วตัวต้นเหตุที่พ่นวลีบัดซบออกมา ก็ต้องรับโทษ

นายขิงโผล่มาทันได้ยินเสียง 'ฉาด' หนักหน่วง ร่างสวยของสามแสนผงะ เธอสะดุดกับก้อนหิน ทำท่าจะหงายหลังล้ม ซึ่งก็ไม่ใช่ทำท่าล่ะ ล้มจริงๆ แต่ก็ไม่ถึงกับคลุกพื้น เพราะนายขิงปรี่มาช่วยรับไว้ทันท่วงที

"ทำอะไรน่ะใบพลู ทำไมต้องลงไม้ลงมือรุนแรง เป็นยังไงบ้าง อ้าว สามแสน"

เสียงติเตียนใส่สาวชาวดง แปรเปลี่ยนเป็นอุทานตื่นเต้นแกมลิงโลด นายขิงยิ้มกว้าง ประคองสามแสนให้ยืนมั่นคง ลูบหน้าอย่างสนิทสนมตามประสาเพื่อนที่เคยร่วมหัวหกก้นขวิดด้วยกันมาหลายต่อหลายกิจกรรมในมหาวิทยาลัย

สาวสวยอย่างใบพลูก็เลยเจออึ้งสะกด หล่อนได้แต่กลอกตา อ้าปากค้าง มองหนุ่มชาวดงประคบประหงมสาวชาวกรุง ด้วยความรู้สึกแปลกๆ เหมือนใจมันจะระคายพิลึก

"ไม่เป็นไร แล้วนี่นายเรกทำไมมาอยู่ที่นี่ สามแสนแปลกใจมากเลย"

"ยังจะมาพูดอีก คนแปลกใจน่ะ ต้องเป็นเราต่างหาก อ้อ จริงสิ ที่ลุงกาจเล่าว่ารับจ้างนำทางผู้หญิงในเมืองมาตามหาพี่ชาย ก็คือสามแสนหรือเปล่า"

"ใช่ สามแสนเอง ปล่อยได้แล้ว สามแสนไม่เป็นไร"

นายขิงเพิ่งรู้สึกตัวว่าประคองสาวงามไว้นานเกินควร เขาหัวเราะขำๆ แต่พอหันไปยังสาวโดนอึ้งสะกด ใบหน้าลิงโลดครึกครื้นก็เปลี่ยนเป็นเคร่งตึงไม่พอใจ

"สามแสนเป็นเพื่อนของพี่ ทำไมใบพลูเสียมารยาท เธอมาจากในเมืองนะ มาเป็นแขกของหมู่บ้านเรา ทำไมไม่ต้อนรับขับสู้อย่างเจ้าบ้านที่ดี นิสัยแย่มากเลย ต่อไปพี่ต้องอบรมใบพลูให้มากกว่านี้แล้วล่ะ"

"ไอ้.. ไอ้.. "

"ไปกันเถอะสามแสน ขอโทษแทนหวานใจของเราด้วยนะ พ่อแม่ตามใจน่ะ คนในหมู่บ้านก็เอ็นดู เห็นว่าสวยที่สุดอยู่คนเดียว ก็เลยติดนิสัยเหลิงลำพอง ชอบทำอะไรเอาแต่ใจอยู่เรื่อย ไปกินข้าวเช้ากันเถอะ พ่อให้มาตาม"

เขาพูดไปด้วย จูงมือเล็กนำห่างไปทุกทีด้วย ไม่สนใจอากัปกิริยาอึกอักเงอะงะของสาวชาวดงในดวงใจแม้แต่น้อย สาวสวยอย่างใบพลูจึงได้แต่หมุนตัวหันรีหันขวาง ชูหมัดขึ้นและลง ขยี้เท้า เตะก้อนหิน คำรามฉุนเฉียวในลำคอ

กิริยาอื่นยังพอมองข้ามไปได้ แต่แสงร้อนปนริษยานิดๆ เจือแหนหวงบางๆ ในดวงตานี่สิ แม้จะว้าวุ่นสับสนอยู่บ้าง แต่หากนายขิงได้ประสานสักแวบ ใจก็คงพองโต เพราะระดับเขาก็น่าจะอ่านว่า มันเป็นปฏิกิริยาตอบสนองของ 'คนมีใจให้กัน'

"ไอ้บ้า ไอ้พี่ขิงบ้า ไอ้ผู้ชายบ้า กล้าหักหน้าสาวสวยอย่างใบพลูแบบนี้ได้ยังไง ไอ้พี่ขิงบ้า"

นั่นล่ะ ประโยคเดือดดาลที่โพล่งผุดออกมาจากแรงอารมณ์สับสน แต่นายขิงกับสามแสนก็ไปไกลเกินกว่าจะได้ยิน ทั้งสองสนทนากันอย่างเบิกบาน เพราะเป็นเพื่อนที่สนิทสนมกันอยู่ และไม่ได้เจอกันนานแล้ว หลังจากเรียนจบ จนแม้แต่มานั่งลงในวงอาหาร ก็ยังสนทนาไปกินไปอย่างครึกครื้น




สาวสวยอย่างใบพลูไม่อาจลืมภาพกะหนุงกะหนิงบาดตาของหนุ่มสาวในวงอาหาร ตลอดครึ่งวันนี้ เจ้าตัวฮึดฮัดกระฟัดกระเฟียด พาลใส่คนรอบข้างไปทั่ว แต่ก็ไม่มีใครถือสา เพราะคุ้นเคยกันดีกับนิสัยวืดขึ้นวืดลงเหมือนคลื่นกระเพื่อมกลางทะเลของแม่คุณ

กิ่งไม้ใหญ่และแข็งแรงมากพอที่จะรับน้ำหนักของร่างอรชร คือสถานที่ระงับความฟุ้งซ่าน ใบพลูปีนขึ้นมานั่งห้อยเท้า เด็ดใบใกล้มือมาหยิกจิกโยนใบแล้วใบเล่า

ปากก็งึมงำด่านายขิงไปเรื่อยเปื่อย ไม่มีใครฟังเข้าใจนอกจากตัวเอง ก็เพิ่งจะประโยคหลังๆ ในจังหวะที่นายขิงแอบมาโผล่หลังโคนต้นเงียบๆ นี่ล่ะ ที่เจ้าตัวส่งเสียงตัดพ้อขึ้นจมูกออกมาดังหน่อย

"ไอ้พี่ขิงบ้า คนบ้า จูบเราเอาเป็นเอาตายขนาดนี้แล้ว ยังมีหน้าไประริกระรี้กับสามแสนบ้านั่น ไอ้คนบ้า ไอ้พี่ขิงบ้า เกลียดที่สุดเลย เกลียด อย่ามาให้เจอหน้านะ สาวสวยอย่างใบพลูจะเตะให้ฟันร่วง ให้จูบผู้หญิงหน้าไหนไม่ได้อีกเลย"

นายขิงเม้มปากกลั้นหัวเราะ หัวใจวาบหวามพองโต คับแน่นไปด้วยความสุข สายตานุ่มมองหาตำแหน่งที่จะปีนขึ้นไปสมทบกับร่างน้อย ที่ยังเขย่ากระฟัดกระเฟียดจนใบไม้ไหว

กว่าจะหายฉุนเฉียว หายหึงหวง ใบเขียวๆ คงโดยปลิดจนเหลือแต่ต้นโกร๋น อย่าให้ความรักของเขา กลายเป็นตัวทำลายความชอุ่มของมันเลย

แต่เมื่อมานึกอีกที แทนที่จะปีนขึ้นไปให้ยุ่งยาก เขาน่าจะหาวิธีทำให้หล่อนลงมาดีกว่า จูบบนดินยังไงก็ง่ายกว่าบนกิ่งไม้ แล้ววิมานเสน่หาบนนั้น มันก็น่าหวาดเสียวเกินไป เขาไม่ใช่ทาร์ซาน คงร่ายพิศวาสได้ไม่เก่งเท่า

"นั่นงูน่ะใบพลู กระโดดลงมาเร็ว"

พ่อรูปหล่อเจ้าเล่ห์ตะโกนร้อนรนเสียงดัง ทำลายหมดทั้งภวังค์ฮึดฮัดและความกล้าหาญ สาวสวยอย่างใบพลูลืมตัวไปจริงๆ ว่านั่งห้อยเท้าอยู่บนกิ่งไม้ ร่างอรชรร่วงตุบลงตามสัญชาตญาณหนีงู แต่ดูว่าหนีไม่พ้นเสือเจ้าเล่ห์ตะปบ เพราะนายขิงอ้าแขนรอท่ามั่นคงอยู่ก่อนแล้ว

"ไอ้พี่ขิง" ปลายเสียงตวาดฟังเครือสั่นใจหายไปสักนิด

"ก็พี่น่ะสิ จะรอให้เป็นอาดุหรือ ป่านนี้ ใบพลูคอหักไปแล้วล่ะ" เขาย้อนทะเล้น ขยับร่างในอ้อมแขนให้เข้าที่

"ปล่อยใบพลูลง ไหนล่ะ ไอ้งูน่ะ ใบพลูจะตีหัวมันหน่อยซิ"

"มันเลื้อยหนีไปตั้งแต่พี่ตะโกนแล้วล่ะ"

"เอ้า งูเลื้อยหนีไปแล้ว ก็ปล่อยใบพลูลงเสียทีสิ จะอุ้มไว้ทำไมอีก"

"อุ้มไว้เป็นหวานใจของพี่ขิงไง พี่รักใบพลูนี่ จะให้อุ้มไว้ทั้งชีวิต ก็ไม่ขัดข้องนะ"

ตาวาวเหมือนแม่เสือ มันไม่ชวนให้ยำเกรงมากไปกว่าอยากจูบ นายขิงวาบหวามร้อนแรงเหมือนมีคลื่นไฟเคลื่อนขึ้นเคลื่อนลงอยู่ในร่าง

เขาอุ้มคนสวยหายเข้าไปหลังราวป่าละเมาะ วางร่างนุ่มลง แล้วไม่รอให้อีกฝ่ายแผลงพยศ ก็รีบสกัดด้วยจุมพิตปรารถนา ไม่มีการกั๊กความเร่าร้อน ไม่อะลุ่มอล่วยต่อความเสน่หา

ร่างน้อยในอ้อมกอดจะดิ้นขลุกขลักแค่ไหนก็ช่าง หากแต่สองแขนนี้ จะขอทำหน้าที่กักขังหน่วงเหนี่ยว ตราบจนกว่าจุมพิตพิศวาสจะสร่างความพลุ่งพล่าน

จากยืนก็กลายเป็นนั่ง แล้วย้ายลงนอนทอดทับไปบนพงหญ้า ร่างระทวยนุ่มนิ่มอยู่ใต้กายหนักร้อน นายขิงกลั้นหายใจไม่ไหว จำต้องถ่ายถอนจุมพิตร้าวราน พลางย้ายมาฝังพักพิงในซอกคอ

ก่อนจะเลื่อนใบหน้าเคลิ้มแกมคลั่ง มาเกลือกแนบบนทรวงอุ่น ได้ยินถนัดถนี่ถึงเสียงเต้นตึงตังของหัวใจสาวบริสุทธิ์ นึกเอ็นดูและเวทนา แต่กายชายกลับปวดร้าว ใคร่ต่อการระรานให้เร้นลึกถึงใต้อาภรณ์

"พี่ขิงทำกับใบพลูแบบนี้สองสามหนแล้วนะ ใบพลูจะฟ้องพ่อ" วาจาแลฮึกเหิมดีอยู่ หากปลายเสียงฟังสั่นปนรัญจวนแปลกๆ

"ไม่ต้องฟ้องหรอก พี่กลัวเสียที่ไหน พี่จะเป็นคนบอกลุงกาจเองว่าพี่รักลูกสาวของแกหมดหัวใจ เวลานี้ ก็ต้องการลูกสาวของแกหมดหัวใจเหมือนกัน"

"ปล่อยใบพลูก่อน"

"ได้ แต่สัญญาก่อนว่าจะไม่แผลงฤทธิ์ พี่เหนื่อย ไม่อยากทะเลาะกับใบพลู"

หนุ่มหล่ออมยิ้มเอ็นดู ไม่ค่อยเชื่อกิริยาพยักหน้าหงอยๆ แต่ก็ขอวัดใจสักครั้ง กายหนักร้อนค่อยเขยื้อนเหมือนตัดใจพรากจากร่างนุ่มนิ่มไม่ได้ เขาลุกนั่งก่อน แล้วค่อยช่วยดึงมือสาวสวย

หล่อนทำหงิกแต่ก็น่ารักดี แก้มแดงเปล่งปลั่ง ทรวงอวบเต็มตึง ทุกอณูของเนื้อสาว มันก็สมบูรณ์สะพรั่งตามวัยสดใสนั่นล่ะ

"ใบพลู" เขากุมมือเล็กอย่างทะนุถนอม จูบเบาๆ ก่อนจะสารภาพซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าครั้งที่เท่าไหร่ "พี่รักใบพลู ตัดใจจากอาดุได้ไหม เขาไม่รักใบพลู พี่ว่าใบพลูเองก็รู้และดูออก แต่ทำไม.. "

'ฉาด' ใบพลูคนนี้ พร้อมจะฟังได้ทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องนี้ จะไม่มีใครเสนอหน้ามาบัญชาให้ใบพลูหันหลังตัดใจจากนายดุหวานใจได้เป็นอันขาด หล่อนเกลียดนัก ฟังมารดากรอกหูมาตั้งเท่าไหร่ เพิ่งได้เจอบิดาไม่ทันไร ท่านก็กรอกหูเหมือนกัน

ทำไมทุกคนต้องตั้งเงื่อนไขบ้าๆ ว่าหล่อนเป็นสาวสวยวัยสะพรั่ง ในขณะที่นายดุเป็นหนุ่มใหญ่วัยล่วงสี่สิบ อายุก็ส่วนอายุสิ โยงมาเกี่ยวกับความรักกับหัวใจภักดีของใบพลูคนนี้ได้ยังไง

"ใบพลูรักอาดุ แล้วต่อไปก็อย่ามาเห่าหอนทุเรศๆ แบบนี้ให้ใบพลูได้ยินอีก"

"ใบพลู" นายขิงน้อยใจจัง ที่โดนสาวในดวงใจตบหน้าอย่างไม่นำพากับความจงรักภักดีที่มีให้

"ไอ้กอดจูบทุเรศๆ แบบนี้ก็เหมือนกัน อย่าทำอีก ใบพลูไม่เคลิ้มสักนิด แล้วถ้าทำอีกครั้งนะ ใบพลูจะฟ้องพ่อ จะบอกว่าพี่ขิงลวนลาม พ่อต้องฆ่าพี่ขิงแน่ๆ "

"ใบพลู"

"ไม่แน่นะ ลุงแม้นก็อาจจะพลอยซวย ถูกชาวบ้านเมินหน้า หมดความศรัทธา ต่อไปจะร้องป่าวสั่งการอะไร ก็ไม่มีใครเขาอยากเชื่ออยากร่วมมือด้วยอีกแล้ว ไอ้พี่ขิงบ้า ไอ้ทุเรศ"

'ใบพลู' ชื่อของสาวสุดที่รัก มันฟังหวิวๆ ลอยๆ อยู่ในทรวงชอกช้ำ เจ็บแก้มเมื่อครู่ ยังเทียบกันไม่ได้กับใจที่เจ็บจริงเจ็บจัง ทำไมหล่อนตัดไมตรีร้อนแรงถึงเพียงนั้น

จริงหรือ สัมผัสกอดจูบของเขามันทุเรศๆ จนหล่อนไม่นึกเคลิ้มเลยสักนิดหรือ แล้วเมื่อครู่นี้เล่า กอดรัดเขาเสียแน่น สนองจุมพิตเขาอย่างเมามัน เบียดกายเข้ามาควานหาไอร้อนในกายแกร่ง แบบนั้น มันเป็นกิริยาอะไร เรียกว่าต่อต้านหรือ




สาวชาวดงหวานใจทอดทิ้งเขาไว้กับความปรารถนาเวิ้งว้างอีกแล้ว รายรอบคือพงหญ้าและป่าละเมาะ นายขิงขื่นใจอย่างบอกไม่ถูก เขาลุกกลับออกมา มองกิ่งไม้ที่สาวสวยนั่งแกว่งเท้าเพลินใจเมื่อครู่ก่อน แล้วเป็นฝ่ายปีนขึ้นไปนั่งแทนที่ ใจมันระทมจนไม่อยากไปเจอหน้าใครในเวลานี้

ขณะที่ทอดตาหม่นหมองจ้องจับแสงแดดเหนือยอดไม้เบื้องหน้า สมองก็ระดมความคิดไม่หยุดนิ่ง มันต้องมีวิธีที่สามารถสลัดเงาของนายดุออกไปจากหัวใจของใบพลูได้สิ เขาต้องหาให้เจอ

หากต้องการสมมาดในปรารถนากับสาวชาวดง นายดุต้องถูกกำจัดออกไป ไม่สิ ใช้คำว่า 'กำจัด' มันฟังชั่วร้ายไปหน่อย เขาไม่เคยมองนายดุเป็นศัตรู นอกจากอิจฉาที่เจ้าตัวมีดี หุ่นดี หน้าตาดี ผิวดีแม้จะคล้ำก็เถอะ แล้วที่ดีที่สุด ก็คือ 'พูดน้อย'

ภาพลักษณ์ภายนอกที่โดดเด่นแบบนั้น ผู้หญิงมักจะหลงใหลได้ปลื้มในวินาทีแรกที่เจอเสมอ ในขณะที่เขาเป็นหนุ่มร่าเริงแจ่มใส พูดคล่องปรื๋อ จนบิดาเลือกเป็นตัวเก็งในการรับช่วงผู้นำหมู่บ้าน ทำไมหรือ ผู้ชายสดใส ยิ้มง่าย และอารมณ์ดี ไม่มีเสน่ห์หรือ

"เสน่ห์หรือ นายเรกน่ะหรือ มีสิ ทำไมจะไม่มี ก็ยิ้มสวยอย่างนี้ ประกายตามีชีวิตชีวาอย่างนี้ นี่ล่ะ คือเสน่ห์ของนายเรก เชื่อสามแสนสิ"

สายลมอ่อนๆ พัดพาคำพูดนานมาแล้วของสามแสนมาแผ่วในโสต มันดึงรอยยิ้มหดหู่ขึ้นบนปากบางของนายขิง

สามแสนมองโลกในแง่ดี เสน่ห์ของเธอ ก็น่าจะอยู่ตรงนั้น ประกายตาคู่นั้น เจิดจ้าแฝงความเด็ดเดี่ยว เธอเป็นนักกิจกรรมตัวยง และชอบสร้างรอยยิ้มบนใบหน้าของคนรอบข้าง ด้วยวาจาที่มากล้นไปด้วยวลีไมตรีเสมอ

อยากให้ใบพลูเหมือนสามแสน ไม่ต้องทั้งหมดก็ได้ แค่ว่าพูดจาอ่อนหวานกับเขาสักครั้ง เปิดใจกว้างแล้วมองความรักของเขาอย่างพินิจพิจารณา มันไม่น่ารังเกียจสักหน่อย

เขารักหล่อนด้วยใจบริสุทธิ์ พร้อมต่อการยกย่องเป็นมิ่งขวัญในเรือนใจ ไปเรียนกรุงเทพตั้งนาน เจอสาวสวยชาวกรุงแต่งกายงดงาม เปรี้ยวปรูดปราด แต่ใจดวงนี้ก็ไม่เคยวอกแวกโลเล ทุกลมหายใจเข้าออก ก็มีแต่ชื่อของใบพลูคนสวย คิดถึง อยากคุย อยากกอด อยากจูบ

"โว้ย" เจ้าตัวระเบิดเสียงออกมาอย่างหงุดหงิด "แล้วจะทำยังไงถึงจะไล่อาดุออกไปให้พ้นจากหัวใจใบพลูได้วะ สามแสนบอกว่ามาตามเขากลับบ้าน อีกนานไหมวะ กว่าจะกลับๆ กันไปเสียให้หมด"

สิ้นวาจาฉุนเฉียว สมองก็ใสปิ๊ง มองเห็นลู่ทางที่จะลบเหลี่ยมคมของหนามหัวใจให้บิ่นทื่อ ประกายตาที่พราวจ้าขึ้น ไม่ใช่แค่มีชีวิตชีวาตามที่สามแสนเคยบรรยาย หากแต่ยังกระจ่างด้วยแสงลิงโลดเต็มพิกัด

ใช่แล้ว ทางเดียวที่จะหันเหหัวใจใบพลู ก็ต้องช่วยสามแสนเกลี้ยกล่อมนายดุ ต้องหาวิธีหลอกล่อ ทำให้นายดุตามสามแสนกลับบ้าน ร่างปราดเปรียวกระโดดตุบลงมา ดีดนิ้วเปาะ ยิ้มกว้างอย่างยินดี รู้สึกระชุ่มกระชวยขึ้นเป็นกอง เมื่อมองเห็นแสงสว่างรำไรขึ้นในเส้นทางรักสายมืด




สามแสนไม่รับรู้หรอกว่า นายขิงมีใจช่วยเหลืออย่างมีแผน เธอไม่เคยคิดจะขอความช่วยเหลือจากใครอยู่แล้ว ที่ดั้นด้นเข้าป่าเข้าดง ก็เพียงเพื่อชวนพี่ชายกลับบ้าน ไม่ใช่บังคับให้กลับ ถ้าเขาไม่เต็มใจ เธอก็ประกาศความเด็ดเดี่ยวกับทุกคนไปแล้วว่า 'พี่ชายอยู่ที่ไหน สามแสนก็จะอยู่กับพี่ชาย'

"อะไร" ภภีมขึ้นจากน้ำ กางเกงเปียกลีบแนบเนื้อ เสื้อกล้ามก็เปียกชุ่มเหมือนกัน

"อยู่ป่านานกว่าสามแสนแท้ๆ เลย กลับไม่รู้จักกระบอกไม้ไผ่ ไอ้เจ้านี่นะ เขามีไว้ใส่น้ำ ไว้ดื่มแก้เหนื่อย"

"สามแสน ไปให้ไกล.. "

"ไม่ไป" สามแสนรีบสกัดวาจาที่เธอเดาได้ ทำนองว่า 'ไปให้ไกลๆ หน้า' "ดื่มน้ำก่อนค่ะ อย่าทะเลาะกับสามแสนน่า พี่ชายเหนื่อยไม่ใช่หรือ จะทะเลาะกับสามแสนให้เหนื่อยกว่าเดิมอีกทำไม เอ้า ดื่ม หรือว่าต้องให้กรอก"

"อุ๊บ สามแสน เดี๋ยวเถอะ ไอ้เด็กนี่"

หนุ่มใหญ่เสียหลักหน้าหงายเล็กน้อย แต่ก็ประหลาดใจที่ไม่รู้สึกโกรธจริงๆ ไม่รู้สึกอีกด้วยว่า ตัวเองกระชุ่มกระชวยขึ้น จากการตามพะเน้าพะนอน่ารักของสาววัยสดใส เธอซุกซนหาเรื่อง แกล้งยื่นกระบอกน้ำพรวดมาชนปาก แล้วหัวเราะคิกคักให้เขาหรี่ตาแสร้งเคืองแสร้งเอ็ด

อากัปกิริยาภายนอกมันเป็นของปลอม เพราะของจริงภายใน มันคือความสุขที่แสนอบอุ่นเจือซาบซ่าน ภภีมซึมซับความรู้สึกนั้นไว้อย่างซาบซึ้ง

เขารับรู้ถึงแรงผูกพันห่วงใยที่สาวงามมีให้ เธอไม่ไปไหนเลย นั่งกับเดินอยู่บนฝั่งนี่ละ สลับกันไปสลับกันมา โดยไม่มีทีท่าว่าเบื่อหน่าย หมั่นทอดใบหน้าของชุลียาลงไปกลางลำธาร ขยันส่งดวงตาหวานของชุลียาจ้องเขม็งก็แต่เพียงเขา

แต่แม้ว่าจะรับรู้อย่างนั้น และสัมผัสได้ด้วยจิตอันซาบซึ้งมากแค่ไหน ภภีมก็ยังไม่วายขมขื่นร้าวราน เพราะรับรู้อีกเหมือนกันว่า 'สามแสนไม่ใช่ชุลียา'

เขารักสามแสน รักเพียงเพราะว่าเธอมีใบหน้าเหมือนภรรยาสุดที่รัก รักด้วยเหตุผลนี้เท่านั้น จนถึงทุกวันนี้ เขาไม่เคยลืมประโยคเชือดเฉือนเตือนสติของคุณหมอแสวงบุญในคืนนั้น

เขาเห็นด้วยว่า ความรักของเขาไม่ซื่อ ไม่บริสุทธิ์ และไม่ยุติธรรมต่อสาวงามคนนี้ และเพราะเห็นด้วย เขาจึงตัดใจหันหลังอย่างเจ็บปวด

แต่เหมือนกรรมเก่าคอยระรานกลั่นแกล้ง ทำให้เขาไม่อาจตัดใจลืมเลือนความน่ารักของเด็กสาวหลงป่าคนนี้

ไม่เคยห่างร้างจากความรู้สึกเอ็นดูในความเข้มแข็งของสาวน้อย ไม่เคยทอดทิ้งความประทับใจที่เธอเก่งเหลือเกินต่อการประคับประคองตัวเองไว้อย่างดีที่สุด ในภาวะวิกฤติที่ไม่มีใครบอกเธอได้ในเวลานั้นว่า เธอจะรอดหรือตาย ณ ปลายดงนั้น

จากคุณ : รัชนีกานต์
เขียนเมื่อ : 3 ก.ค. 54 11:01:51




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com