Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
มิ่งแก้วจอมหทัย บทที่ ๑๔ : ศึกแรก ติดต่อทีมงาน

บทที่ ๑๔ : ศึกแรก

ชายหนุ่มเอ่ยปากขอบใจทหารที่พาเขามาจนถึงเรือน นัยน์ตาสีเหล็กมองไปรอบตัวเรือนแลอาณาบริเวณโดยรอบด้วยความรู้สึกเสมือนว่าตนเองฝันไปกระนั้น ในเมื่อวันวานนี้เองเขายังเป็นคนโทษถูกจำตรุอยู่แท้ๆ หากทิวานี้โชคชะตากลับพลิกผันได้มานอนเรือนหลังงามในฐานะนายกองระดับสูงที่พร้อมจักเลื่อนสู่ชั้นแม่ทัพในทิวาอันใกล้นี้ อันที่จริงชะตาเขาพลิกผันมาหลายต่อหลายคราแล้ว นับแต่เวียงตองเทียนแตก จากนายกองสู่นายโจร ก่อนกลับคืนสู่ฐานะเดิมอีกคำรบ ไม่สิ แสนหลวงค้านตนเอง มิใช่ฐานะเดิม แต่สูงกว่าเดิมต่างหาก ว่าที่แม่ทัพหนุ่มยิ้มน้อยๆ เมื่อหวนคิดถึงรอยแย้มพระโอษฐ์แสนหวานเจือนัยที่เขาไม่อาจแจ้งได้ในทิวานั้น นี่เองคือสิ่งที่เจ้าหลวงพระองค์ใหม่ตั้งพระทัยจักทำ แรกที่ผู้คุมเข้ามาบอกความให้ทราบนั้น เขาถึงกับมึนงงอยู่ใช่น้อยเพราะไม่คิดว่าตนเองจักได้รับการอภัยโทษรวดเร็วปานนี้ จนกระทั่งระเมาปราดเข้ามาเขย่าแขนเขาอย่างปรีดานั่นแหละ จึงได้รู้สึกตัว

ร่างสูงขึ้นมายืนอยู่บนชานเรือน หากเวียงตองเทียนไม่แตกเสียแล้ว เขาจักมีโอกาสได้รู้จักมิตรใหม่ผู้สูงศักดิ์องค์นี้ล่ะหรือ แสนหลวงทอดถอนใจยาวก่อนที่ความคิดของตนจักเพริดไปไกลกว่านั้น จงจำเอาไว้เถิดแสนหลวงเอย เจ้าเป็นได้แต่เพียงมิตรแลข้ารองบาทที่พร้อมถวายความจงรักแลภักดีตลอดชีวิตเท่านั้น อย่าได้มุ่งหวังสิ่งอื่นใดเลย ความรู้สึกใดก็ตามที่ซ่อนอยู่เบื้องลึกของหัวใจ ก็ขอกดเก็บให้อยู่ ณ ตำแหน่งนั้นไปตลอดกาลเถิด      

ยังไม่ทันที่เจ้าของเรือนจักล่วงเข้าสู่ด้านใน ร่างสูงก็วิ่งขึ้นบันไดเรือนมาเสียงโครมคราม แสนหลวงยิ้มพลางส่ายหน้าอย่างขันๆ แทบไม่ต้องหันหน้าไปดูก็รู้ว่าเป็นผู้ใด

“นายท่าน โอย ข้านึกว่าท่านนอนเสียแล้ว”

“ฟ้าไม่ทันมืด จักนอนได้อย่างใด เจ้านี่พูดชอบกล แล้วนี่มีอันใด”

ระเมาหัวเราะแหะๆ พลางนั่งแปะลงง่ายๆ ที่พื้นชานนั้นเอง

“เมื่อครู่ท่านอุ่นเมืองมาที่เรือนข้า บอกความให้ข้าร่วมประชุมศึกยามตอนวันพรุ่งที่คุ้มรับรองของเจ้าหลวงเมืองแก้วเจ้า แลสั่งข้าให้บอกนายท่านด้วย”

คิ้วเข้มขมวดหากันนิดหนึ่ง ฝากความรึ ไยต้องฝากความในเมื่อเรือนเล็กที่ระเมาอยู่นั้น ห่างจากเรือนของเขาแค่ไม่กี่วาเท่านั้น อุ่นเมืองจักเลยมาบอกเสียเองมิได้กระนั้นฤๅ จักว่าไปตั้งแต่ทิวาที่เขาถูกคุมตัวนั้น อุ่นเมืองก็มิได้เฉียดกรายหรือเข้ามาสนทนากับเขาเลยสักครึ่งคำ แม้นอีกฝ่ายถือตัวแล้วปฏิบัติต่อโจรทุกนายโดยเสทอกันแล้ว เขาเห็นจักไม่แปลกใจ แต่นี่ดูเหมือนอุ่นเมืองจักทำเช่นนี้กับเขาแค่คนเดียว ส่วนแจ้งหล้า เสือปก แลน้อยอินทร์นั้น ก็เข้ามาดูแลชวนพูดคุยอยู่เสมอ กระทั่งเขาถูกจำตรุแล้ว คนทั้งสามก็แวะเวียนมาถามไถ่สารทุข์สุขดิบมิได้ขาด

“เห็นท่านอุ่นเมืองว่าจักรีบไปร่วมงานเฉลิมฉลองเจ้า นายท่าน เราไม่ไปร่วมงานด้วยฤๅเจ้า”

“เราเป็นคนโทษเพิ่งพ้นทัณฑ์ จักเสนอตัวเสนอหน้าเข้าร่วมได้อย่างใด”

“แต่ข้าแลทุกคนใคร่ถวายพระพรกับมิ่ง...เอ้อ เจ้าหลวงพระองค์ใหม่”

“เช่นนั้นก็จงทำกันแต่เพียงเงียบๆ ในหมู่พวกเราเถิด การแสดงคารวะแลถวายพระพรไมม่จำเป็นต้องทำเฉพาะพระพักตร์นี่นา ขอเพียงเราตั้งใจแลออกมาจากใจจริงแล้ว อยู่ที่ใดก็ทำได้ ข้าเชื่อว่าความตั้งใจนี้เจ้าหลวงกาสะลองจักทรงรับรู้ได้”

ถ้อยวาจาเรียกขานบ่งความคารวะสูงสุด อันที่จริงทหารที่มาส่งเขาที่เรือนนี้ก็ได้แจ้งแล้วว่าเจ้าหลวงกาสะลองมีพระราชประสงค์ให้เขาเข้าร่วมงานด้วย หากพอคิดถึงฐานะของตนแล้ว แสนหลวงจึงตัดสินใจไม่เข้าร่วมทั้งที่ใจอยากไปสักเท่าใดก็ตาม ถึงเขาจักได้เป็นนายกองสูงสุดแลยศนั้นได้รับการรับรองในมหาสมาคมแล้วก็ตาม แต่เขาก็ยังรู้สึกอยู่นั่นเองว่ากลิ่นแห่งคนโทษแลตรุที่จองจำตนมาหลายทิวานั้นยังติดผิวกายไม่สร่าง เช่นนั้นควรแล้วฤๅที่เขาจักพาตนเข้าไปในงานอันยิ่งใหญ่แลสมพระเกียรติเช่นนั้น ระเมาหน้าม่อยไปนิดหนึ่งแต่ก็ยินยอมทำตามที่นายพูดแต่โดยดี ก่อนจักลากลับไปเมื่อดาวประจำเมืองขึ้น          


“ยังไม่นอนอีกฤๅไร น้องข้า วันพรุ่งต้องตื่นแต่รุ่งมิใช่รึ”

เสียงเรียกจากทางด้านหลัง ทำให้คนที่นั่งอยู่ที่ชานเรือนหันมาทางผู้พูดทันที ดวงหน้าคมสันปรากฏรอยยิ้มขึ้นนิดหนึ่งก่อนขยับตัวเปลี่ยนอิริยาบถ ชายหนุ่มเอนหลังพิงกับราวชานอย่างสบายๆ แต่แววตายังคงมีแววครุ่นคิดไม่รู้วาย ซึ่งผิดจากท่าทีรื่นเริงที่เจ้าตัวแสดงออกเมื่อตอนค่ำหนักหนา แจ้งหล้าดื่มเมรัยฉลองให้น้องน้อยของตนแทบว่าจักเป็นจอกต่อจอก ภูหลวงเห็นแล้วยังอดกังวลมิได้ว่าน้องชายจักเมาพับก่อนงานจักเลิก ทว่าพองานเลิกเมื่อตอนล่วงเข้าต้นมัชฌิมยาม แจ้งหล้ากลับสามารถเดินกลับเรือนโดยไม่มีท่าทีมึนเมาจนนิดเดียว ครั้นอาบน้ำแล้วก็มานั่งเล่นอยู่ที่ชานเรือนอยู่เป็นนาน ผู้มาใหม่ลงนั่งข้างๆ สังเกตเห็นสีหน้าแววตานั้น แต่มิได้พูดอันใด กลับนั่งเอนหลังดุจเดียวกับชายหนุ่มผู้เป็นน้องชาย ภูหลวงรู้ดี คนอย่างแจ้งหล้านั้นหากมีอันใดอัดอยู่ในใจแล้วก็ไม่จำต้องถาม เพราะไม่ว่าจักช้าหรือเร็ว เจ้าตัวก็ย่อมถามขึ้นมาเอง ครานี้ก็เฉกกัน มิทันนานเลย แจ้งหล้าก็เป็นเอ่ยปากขึ้นก่อน

“พี่ภูหลวง น้องใคร่รู้ ดาวที่เจ้านาง เอ้อ เจ้าหลวงกาสะลองทรงเรียกขานว่าดาวไฟนั้นเป็นดาวประจำตัวของผู้ใด”

บอกพลางชี้ให้พี่ชายดูดาวสีแดงอมส้มที่จรัสแสงเรืองรุ่งเทียมกันกับดาวประจำพระองค์ของเจ้าหลวงกาสะลอง

“นึกอย่างใดขึ้นมาถึงถาม”

ภูหลวงถามยิ้มๆ ดวงตาเหลือบมองดาวเจ้าปัญหาที่ยังส่องแสงสกาวบนฟ้าแวบหนึ่ง

“น้องสังหรณ์ใจอย่างใดพิกล”

“เช่นนั้นพี่ขอถาม รู้แล้วได้อันใด ไม่รู้แล้วได้อันใด”

“อย่างน้อยก็ยังหาทางป้องกันได้”  

มิรู้จักหาเหตุผลดีไปกว่านี้ได้ ซ้ำไม่รู้ว่าจักถูกพี่ชายย้อนถามเอาดั่งนั้น ราชองครักษ์หนุ่มจึงตอบไปตามที่คิดเอาได้ในเพลานั้น อย่างน้อยก็ไม่ใช่การตอบข้างๆ คูๆ เพราะใจเขาคิดเช่นนั้นจริงๆ  

“แจ้งหล้าเอ๋ย บางเรื่องรู้แล้วก็ใช่ว่าจักป้องกันได้”

“หมายความว่าพี่รู้”

แจ้งหล้าขยับพรวดขึ้น จ้องเป๋งที่หน้าพี่ชายอย่างเค้นจักเอาคำตอบให้ได้ ภูหลวงยิ้มไม่ตอบคำ กิริยานั้นยิ่งทำให้คนเป็นน้องอยากรู้หนักขึ้นกว่าเดิม ท่าทีสุขุมที่เจ้าตัวมักแสดงต่อหน้าคนทั่วไปนั้น บัดนี้กลับเลือนหายกลายเป็นท่าทีของเด็กหนุ่มเลือดร้อนเข้าแทน ชายหนุ่มเขย่าแขนพี่ชายแรงๆ พลางถาม

“พี่ บอกน้องเถิด ม่วนนักฤๅอย่างใดที่เห็นน้องร้อนใจเยี่ยงนี้”

“มิใช่ม่วน แต่พี่มองไม่เห็นประโยชน์อันใด นิ่งแล้วฟังพี่แจ้งหล้า เจ้ารู้ดีมิใช่รึว่านอกจากพี่แลพ่อแล้ว ก็มีเจ้าหลวงฝาแฝดเท่านั้นที่แจ้งนัยนี้ ก็ในเมื่อทั้งสองพระองค์ยังมิได้รับสั่งหรือร้อนพระทัยอย่างใด ควรแล้วฤๅที่เราจักตีตนไปล่วงหน้า”

ราชองครักษ์หนุ่มค่อยสงบลงได้เมื่อยินวาจาของพี่ชาย หากเมื่อความคิดหนึ่งผุดขึ้นมากลางใจ ความกังวลก็ก่อเกิดเป็นคำรบสอง

“แต่พี่เอ๋ย เจ้าหลวงทั้งสองพระองค์ก็มิทรงทราบความมิใช่ฤๅ ว่าเจ้าหลวงกาสะลองโปรดเจ้าดาวไฟหนักหนา”

“หมายความว่าอย่างใด ที่ว่าโปรดหนักหนา”

ครานี้ภูหลวงสีหน้าเคร่ง ด้วยมิรู้ความข้อนี้เลยสักน้อย แจ้งหล้าจึงตัดสินใจเล่าความที่ตนได้รู้ได้เห็นมานานสู่ผู้เป็นพี่จนสิ้นความ ดวงหน้านั้นขรึมลงอย่างเห็นได้ชัด ร่างสูงผุดลุกขึ้นเดินลงจากเรือน ก่อนแหงนหน้ามองฟ้า เพลานี้ภูหลวงมิได้มองเห็นสิ่งใดนอกจากดาวสองดวงที่สถิตอยู่ในทิศทางอันเป็นตรงกันข้าม มือของเขายกขึ้นนับคล้ายคำนวณบางสิ่งอยู่ครู่ใหญ่ จึงละสายตาหันมาทางน้องชายที่เข้ามายืนอยู่ข้างๆ รอยกังวลฉายชัดในลูกแก้วสีน้ำตาลคู่นั้น

“จงรู้ไว้เถิดแจ้งหล้า ดาวไฟที่เจ้าหลวงกาสะลองทรงขานนามนั้น คือดาวประจำพระองค์ของเจ้าชายศิขริน หากนั่นมิใช่ข้อน่ากังวลเท่ากับสิ่งที่พี่จักบอกแก่เจ้าต่อไปจากนี้”


*** มีต่อค่ะ

จากคุณ : อินทรายุธ
เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 54 18:59:31




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com