Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
Gomen ne......Demo...ขอโทษนะ... แต่ว่า...(ชั้นรักเธอ) บทที่4 ติดต่อทีมงาน

บทที่4 Moshimo…kono sekai kara kimi ka nakunattara (ถ้าหากโลกใบนี้ปราศจากเธอ)

     ถ้าฝนไม่ตก                 ก็ไม่รู้ถึงความสำคัญของร่มหนึ่งคัน
     ถ้ากระเป๋าตังค์ไม่หาย   ก็ไม่รู้ถึงความสำคัญของเงินหนึ่งบาท
     ถ้าวิ่งแข่งไม่ชนะ           ก็ไม่รู้ถึงความสำคัญของหนึ่งวินาที
     ถ้าเขาไม่จากไป            ก็ไม่รู้ความสำคัญของคนหนึ่งคน



เสียงนาฬิกาปลุกดังระงมไปทั่วห้องนอนที่มีแสงเล็ดรอดเข้ามาน้อยนิดเมื่อเจ้าของห้องแง้มปิดม่านตลอดคืนเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องแสบตาในตอนเช้า

           นัยน์ตาคมนั้นแง้มเปิดขึ้นอย่างช้าๆเธอค่อยๆกวาดตามองห้องนอนโล่งๆอย่างไม่คุ้นตา ห้องนี้เหมือนห้องนอนสไตล์โมเดิร์นทั่วไป หน้าต่างอยู่ตรงข้ามกับเตียง ตู้เสื้อผ้าขนาดเล็กอยู่ซ้ายมือขนาดกระทัดรัดของมันบ่งบอกว่าเจ้าของห้องไม่ชอบแต่งตัว ขวามือเป็นโต๊ะเขียนหนังสือที่รกไปด้วยหนังสือเพลงและมีโน๊ตบุ๊คยี่ห้อแพงสีดำวางอยู่ เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นในห้องเป็นสีดำตัดกับวอล์เปเปอร์สีขาว ถ้าไม่นับกีตาร์โปร่งที่วางอยู่มุมห้องฝั่งซ้ายที่ติดกับประตู

                                               ห้องใครเนี่ย?

                                           ห้องผู้ชายแน่นอน

           สติสัมปะชัญญะของโมค่อยๆกลับเข้ามา ภาพหลายภาพรุมเข้ามาในหัวราวกับภาพถ่ายในอัลบั้มที่ค่อนข้างสับสนวุ่นวาย เธอได้มากินข้าวเย็นกับยูกิและโทโมยะ เธอเมามาก ใช่เธอเมามาก พูดอะไรไปบ้างนะ จำไม่ค่อยได้เลย และ.. เมื่อคิดได้ถึงตรงนี้ นัยน์ตาก็เบิกกว้าง หน้าเหวอขึ้นมาทันใด

                                             เธอจูบยูกิ

                                            ซวยสราดด

           ไม่สิสำหรับเธอเป็นเรื่องน่ายินดีมากเลยต่างหาก ใช่ ใช่ (อายหน่อยเถอะหล่อน) แต่สำหรับยูกิมันต้องเป็นเรื่องที่แย่มากๆแน่ๆ เอาไงดีล่ะ

           หญิงสาวขยับตัวบนเตียงทันทีจนมือไปฟาดอะไรบางอย่างที่อยู่ข้างๆทำให้เธอขมวดคิ้วและหันไปมองอย่างจริงจัง ตอนแรกเธอไม่ได้สังเกตเพราะร่างนั้นอยู่ใต้ผ้านวมสีขาวเลยพาลนึกไหว่าเป็นหมอนข้าง

เธอเลยเลิกผ้าห่มขึ้นเพื่อพิจารณาร่างนั้นให้ชัดๆ ร่างของชายหนุ่มหน้าผอมติดกร้านเท่ที่นอนเปลือยท่อนบน ผมดกดำนั้นยุ่งเหยิง นัยน์ตาเรียวยาวนั้นกระพือเปิดขึ้นช้าๆสบกับนัยน์ตาคมของเธอ

เรจี่!

           เธอเบิกตาอีกครั้งอย่างตกใจและครั้งนี้เบิกกว้างมากกว่าครั้งก่อน ก่อนความตกใจนั้นทำให้เผลอใช้หมัดต่อยอีกฝ่ายไปเต็มหน้าจนร่างของเรจิเสียหลักตกจากเตียงไปบนพื้น

           “โอ่ย (เฮ้ย)” ชายหนุ่มร้องเสียงหลง

           “ว๊าก”หญิงสาวร้องตาม (ความจริงมันควรเป็นกรี๊ดนะ)

           เรจิตื่นได้ในทันที ใบหน้าเท่ๆนั้นบ่งบอกถึงความหงุดหงิด จนนัยน์ตาเรียวหันมามองผู้หญิงที่ลุกพรวดขึ้นนั่งบนเตียงอย่างดุๆ

           กิริยานั้นทำให้เธอเริ่มพิจารณาเรื่องที่อยู่ตรงหน้า เนื่องจากเธอเป็นคนไม่มีจริตจกร้านจึงไม่ได้ลุกขึ้นมาตบ โวยวาย กรีดร้อง ปาหมอน เหมือนพวกนางเอกละครน้ำเน่า เพียงแต่เผลอปล่อยหมัดไปด้วยความตกใจเท่านั้น แต่น่าแปลกที่หมัดเธอไม่มีแรงเลยแม้แต่น้อย

           “ ขอโทษไคโตะ แต่มันเกิดอะไรขึ้น”

           ชายหนุ่มเมื่อฟังประโยคนั้นก็คลายความหงุดหงิดลง นึกโล่งอกที่อีกฝ่ายไม่เป็นอย่างหญิงไทยส่วนใหญ่ที่ลุกออกมาเอะอะโวยวาย แต่ก็ต้องลูบหน้าที่โดนหมัดเข้าไป

           “เมื่อคืนเธอเมามาก ยูโทรมาหาชั้น” เรจิเริ่มอธิบายก่อนเดินไปหยิบขวดน้ำเปล่าที่วางอยูบนพื้นข้างเตียงมายกกระดกใส่ปาก “บอกให้มารับเธอไปหน่อยเพราะนากามูระไม่รับสาย และชั้นก็อยู่ใกล้แถวนั้นที่สุด เพราะคอนโดชั้นอยู่ละแวกนั้น เราต้องให้พนักงานหญิงในร้านพาเธอมาที่คอนโด เพราะถ้าปาปาจับภาพได้คงจะแย่” ใบหน้าของชายหนุ่มเรียบเฉยก่อนพูดต่อ “เธออาเจียนตลอดทั้งคืน เพิ่งหยุดไปตอนตีสี่ และชั้นก็เพิ่งได้นอนตอนนั้น โทษละกันที่มานอนข้างๆความจริงชั้นนอนโซฟานอกห้อง แต่ต้องมาพยาบาลเธอทำให้ต้องอยู่ในห้องทั้งคืน และมันเหนื่อยเลยขึ้นมานอนเตียง”

           “ไม่เป็นไร ชั้นต่างหากที่ต้องขอโทษ” ประโยคนั้นและสีหน้าสำนึกผิดทำให้อีกฝ่ายแย้มรอยยิ้ม

           เรจิเป็นคนยิ้มเต็ม เมื่อยิ้มรอยที่ดวงตาของเขาจะเป็นสามเส้น และตรงรอบริมฝีปากจะขึ้นมาอีกรอบ เป็นรอยยิ้มของคนที่จริงใจ

           เรจิเดินหายไปจากห้องสองนาทีก่อนจะกลับมาพร้อมแก้วน้ำที่มีนำสีชมพูอยู่ข้างใน

           “กลูโคส ดื่มซะ ตอนนี้ปากเธอคงขมและไม่มีแรง”

           เธอพึมพำขอบคุณก่อนจะจิบน้ำ รู้สึกดีขึ้นมาทันที และความหิวก็เริ่มเข้ามา เพราะตอนนี้กระเพาะเธอว่างเปล่า และไม่มีแรงแม้แต่จะเดิน เสียงโทรศัพท์ของเรจิดังขึ้นในเวลานั้นเป็นเพลงเมโลดี้เรียกเขาของยี่ห้อมือถือนั้นเองบ่งบอกว่าชายหนุ่มไม่ได้สนใจเรื่องหยุมหยิมอย่างตั้งเสียงเรียกเข้ามือถือ เขาควานหาโทรศัพท์บนโต๊ะรกๆก่อนรับสาย

           “โอ้ ยู”ชื่อนั้นทำให้โมหันไปจ้อง เรจิพูดภาษาญี่ปุ่นรัวๆที่เธอจับได้ยากก่อนวางสายและหันมาพูดกับเธอ

           “ยูมันห่วงเธอ เมื่อคืนก็โทรมาหลายสายเหมือนกัน โทโมะก็โทรมา”

           เธอดีใจที่สองหนุ่มเป็นห่วง โดยเฉพาะยูกิ แต่ดูท่าเธอต้องเคลียร์เรื่องกับนักร้องหนุ่มหน้าหวานคนนนี้เสียแล้ว

                                                   แต่เรื่องนี้

                                            เธอไม่เสียใจหรอกนะ



           ไอร้อนจากข้าวต้มในชามเซรามิคสีดำนั้นส่งกลิ่นหอมที่แม้แต่เธอที่ไม่พิศวาสอาหารชนิดนี้ก็รู้สึกหิวได้ และเมื่อลองชิมก็รู้สึกว่ามันอร่อยมาก ถึงกระเพาะเธอจะไม่ได้ว่างเปล่าก็ยังคงรู้สึกอร่อย ก่อนจะหันไปมองเรจิอย่างนึกทึ่งว่าไม่น่าเชื่อว่าผู้ชายแบบนี้จะทำอาหารเป็น จำได้ว่าเรจิเป็นคนที่ไม่เคยยุ่งเกี่ยวในเรื่องครัวเลยนี่นา

           “อร่อยไหม” เรจิถามเธอที่นั่งจ้วงเอาจ้วงเอาโดยไม่พูดไม่จาด้วยสีหน้าขำๆ ข้าวต้มเป็นอาหารชนิดเดียวที่เขาทำได้ดี เขานั่งตรงข้ามกับหญิงสาวบนโต๊ะกินข้าวในห้องนั่งเล่น ถัดจากโต๊ะกินข้าวที่เป็นโต๊ะไม้สีดำแล้วคือโซฟายาวสีดำและทีวีจอแบนสี่สิบสองนิ้วที่ตั้งอยู่ เรจิเปิดดูข่าวในยามเที่ยงแล้วในเวลานี้

           “อุไม(โคตะระอร่อย)” เธอพูดห่ามด้วยน้ำเสียงจริงใจ มันทำให้เรจิยิ้มขำ เขาแทบไม่ได้ยินผู้หญิงพูดแบบนี้มาก่อน[1]

           “ขอเตือนไว้ก่อนนะ”เรจิเอ่ยขึ้น “ยูกิไม่ชอบผู้หญิงพูดจาห้วนๆเหมือนผู้ชายหรอก”

           ประโยคหลังทำให้เธอเงยหน้าขึ้นจากชามหันมามองอย่างจริงจัง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกตกใจแต่อย่างใด

           “รู้แล้ว แต่ต่อให้เปลี่ยนคำพูดชั้นก็ไม่เข้าข่ายเสป็คเขาอยู่ดี เพราะชั้นไม่ใช่ผู้หญิงที่มีความเป็นผู้หญิงอยู่มาก และก็ไม่ใช่แนวอ่อนแอน่าปกป้องและถึงจะเปลี่ยนมันก็ไม่ใช่ชั้น ชั้นอยากให้เขาชอบในสิ่งที่ชั้นเป็น”

           “ยาก” เรจิสรุปในทันที สีหน้าของชายหนุ่มบ่งบอกตามที่พูด แต่อะไรบางอย่างก็ค้างอยู่ในใจเขาเหมือนกัน

           ลางสังหรณ์บ่งบอกว่าถ้าเป็นยูกิก็ต้องซึยกะนี่เหละ ยังไงผู้ชายแบบยูกิก็ไม่เหมาะกับผู้หญิงสไตล์นั้นอยู่ดี

           โมเงียบไปเมื่อฟังประโยคนั้น รู้สึกเจ็บในอกขึ้นมาริ้วๆ แต่ไม่เป็นไร คนอย่างเธอไม่เป็นไรอยู่แล้ว

           ขณะที่เธอกำลังอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองเรจิก็ลุกขึ้นเดินหายไปในห้องน้ำที่อยู่ถัดจากโซฟาไปเล็กน้อย แล้วไม่นานเสียงกริ่งประตูก็ดังขึ้น เธอจำต้องละจากข้าวตัมที่เกือบหมดชามและเดินไปที่ประตูแทน

           ด้วยความที่ไม่ใช่คนละเอียดและไม่ค่อยระวังทำให้ลืมคิดไปว่ามันไม่เหมาะเสียเลยที่ตัวเองจะเป็นคนเปิดประตูถ้ามีคนมาเห็นว่าเธออยู่กับเรจิล่ะก็คงไม่ดีแน่นอน

           โมปลดโซ่และกลอนประตูให้แขกในทันที เธอสบกับนัยน์ตาตาของอีกฝ่าย และพิจารณาหน้าขาวหวานนั่น ร่างนั้นสูงประมาณร้อยหกสิบกว่าซึ่งสูงมากแล้วสำหรับผู้หญิงญี่ปุ่น แต่ก็เตี๊ยกว่าเธอมากอยู่ดี ผมยาวสีน้ำตาลอ่อนโดยการย้อมนั้นมัดเป็นแกละสองข้าง มีผมม้าปิดหน้าผากเล็กน้อย ด้วยหน้าหนาวทำให้หญิงสาวอยู่ในชุดเดรสสีชมพูระบายเป็นชั้นเหนือเข่าทับด้วยเสื้อแขนยาวขนสัตว์สีขาว และสวมถุงน่องสีดำหนายาว

                                              โห น่ารักเชียว

                                อย่างกับหลุดออกมาจากนิตยสารวัยรุ่น

เธอนึกชมหญิงสาวตรงหน้าในใจ แต่คนที่ถูกเธอชมนั้นกลับขมวดคิ้วบางที่ถูกเขียนขึ้นด้วยความงงงัน

“ขอโทษนะคะ คุณคือ?”

“โอ๊ะ ชั้นน่ะเหรอ?” ห่ามเช่นเคย ในวินาทีที่เธออ้าปากจะพูดเสียงจากด้านหลังก็ดังขึ้น

“เธอมาทำไม” เรจิพูดเสียงเย็นขณะเดินมาที่ประตูบ้าน ใบหน้ากร้านเท่ และแววตาดุนั้นดูน่ากลัวในยามนี้

“เราต้องคุยกันนะเรจิ”ใบหน้าหวานนั้นมีสีหน้าลำบากใจ

“ไม่มีอะไรต้องพูดกันอีกแล้ว กลับไปซะ”

ทำไมหยาบคายจัง

โมหันมามองหน้าเรจิด้วยความไม่ชอบใจ แต่เธอเห็นอะไรบางอย่างในแววตาเรียวดุนั่น บางอย่างที่ทำให้เธอเข้าในในทันที

ดวงตาคู่โตของใบหน้าหวานนั้นรื้นไปด้วยน้ำตาก่อนหันมาหาเธอและกลับไปอ้าปากถามชายหนุ่มเพียงคนเดียวด้วยความน้อยใจ

“ผู้หญิงคนนี้เป็นแฟนใหม่ของเรจิซินะ”

                                          เหว่ย ไม่ใช่!

โมหน้าเหวอขึ้นมาทันใด อ้าปากจะปฏิเสฐแต่แน่นอนว่าคนถูกถามต่างหากที่ชิงตอบก่อน

“ใช่”

เฮ้ย ตอนไหนวะ!

และแน่นอนอีกนั่นเหละว่าไม่ทันที่เธอจะได้แก้ต่างให้ตัวเอง หญิงสาวหน้าหวานราวตุ๊กตาญี่ปุ่นนั่นก็รียวิ่งออกจากประตูบ้านของเรจิราวกับฉากในละครน้ำเน่าตอนที่นางเอกเข้าใจพระเอกผิดเป็นภาพสโลโมชั่นยังไงยังงั้น

แล้วถ้าเรจิเป็นพระเอก ยัยตุ๊กตานั่นเป็นนางเอกแล้วเธอเป็นไรเนี่ย นางร้าย นางรอง หรือ นางอิจฉา แต่ที่แน่ๆนี่ไม่ใช่ละครไทยหลังข่าวซักหน่อย แล้วเธอไม่ได้มากรี๊ดสลบหรือตบหน้าใครด้วย

โมหันมามองชายหนุ่มตาเขียว หญิงสาวไม่ได้โกรธที่ถูกดึงเข้าไปในเกมส์น้ำเน่า และไม่ใช่คนมีนิสัยที่คิดเรื่องชื่อเสียงของตัวเองเท่าใดนัก แต่ที่เธอโกรธ

“ยัยผู้หญิงน่ารักนั่นชอบนายไม่ใช่รึไง”เธอขึ้นเสียงใส่อีกฝ่าย “ไปทำให้เข้าใจผิดทำไม?”

“ไม่เกี่ยวกับเธอ” น้ำเสียงเย็นตอบกลับมา

“เหรอ แล้วที่ชั้นถูกดึงไปเป็นแฟนใหม่นายนี่ ไม่เกี่ยวเหรอ?”

เรจิส่งแววตาดุๆมาที่เธออีกครั้งอย่างหงุดหงิดและวุ่นวายใจ แต่ก็ไม่ยอมปริปากพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว

เธอเบื่อผู้ชายประเภทนี้ชะมัดคิดว่าตัวเองเท่ตาย น่ารำคาญมากกว่า แต่ในแววตาเรียวดุนั้นเธอมองเห็นอะไรบางอย่างอยู่ในนั้น ความเสียใจและความเจ็บปวด มันทำให้เธอตัดสินใจอะไรบางอย่างได้ทันที

“ไคโตะซัง”เธอเรียกอีกฝ่ายอย่างสุภาพ “ชั้นคิดวิธีตอบแทนที่นายพยาบาลชั้นทั้งคืน ให้ที่นอน และทำอาหารให้ออกแล้วล่ะ”

เธอเดินเข้าไปหยิบกระเป๋าของตัวเองในห้องนอนและเดินออกมาสวมรองเท้าไม่มีส้นของตัวเองเพราะเกรงใจความสูงของคนญี่ปุ่น แววตาคมนั้นหันมาสบตากับชายหนุ่มอย่างมีความหมาย

“ชั้นจะไปตามผู้หญิงคนนั้น อย่าทำให้เขาต้องจากไปสิ เมื่อนายชอบเขา นายจะรู้ค่าของคนๆหนึ่งก็ต่อเมื่อเสียเขาไปรึไง” สิ้นคำเธอก็รีบวิ่งไปทันที ทิ้งให้ชายหนุ่มหนุ่มยืนนิ่งอยู่เพียงลำพังคนเดียว มือนั้นกำหมัดแน่น

เธอไม่รู้อะไรเสียหน่อย



           ด้วยความที่เธอไม่ใช่คนชอบออกกำลังกาย และมีแรงเพียงข้าวต้มชามเดียวทำให้ร่างสูงหุ่นนักกีฬา(เพียงเปลือก)นี้วิ่งได้ไม่เร็วนัก ต่างจากหญิงสาวร่างบางที่วิ่งเร็วราวกับลม

           หญิงสาวที่มีใบหน้าราวตุ๊ตานั่นรีบวิ่งไปกดปุ่มลิฟต์ลง เธอจึงต้องฮึดวิ่งพรวดใช้มือสอดเข้าไปที่ประตูลิฟท์ทำให้มันเปิดอ้าออกอีกครั้งและเดินตามเข้าไป ทั้งสองไม่รู้ว่ามีชายหนุ่มคนหนึ่งที่ขึ้นลิฟท์มาอีกตัวเห็นเหตุการณ์เข้าพอดี

           โทโมยะขมวดคิ้วกับภาพนั้น เขาจำหญิงสาวทั้งสองได้ดี คนหนึ่งคือนักเขียนบทละครที่เขาตั้งใจมาเยี่ยม และอีกคน....

           “ชิโนฮาระ จิเอะ?” น้ำเสียงนั้นบ่งบอกถึงความแปลกใจ

ทำไมยังมาหาเร ในเมื่อจะแต่งงานอยู่แล้ว



           แสงแดดแรงแม้ในหน้าหนาวที่มาพร้อมกับลมหนาวเยือกที่หิมะได้หยุดพักลงแล้ว แดดที่อสบตานี้เข้ามากระทบร่างเล็กที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ยาวข้างสนามฟุตบอล ความร้อนจากเหงื่อและแสงแดดทำให้คลายหนาวลงมาบ้าง

           ยูกิยกน้ำเปล่าในขวดมากระดกก่อนจะเทราดใส่ดวงหน้าหวานที่ไม่ได้แต่งเติมเครื่องสำอางค์ใดๆในเวลานอกเวลางาน แต่มันกลับเต็มไปด้วยเหงื่อที่แทบอาบใบหน้าแทน เมื่อว่าเขาก็มาเล่นฟุตบอลกับเพื่อน ชายหนุ่มเล่นกีฬาชนิดนี้แต่เล็ก ชอบจนคิดว่าถ้าตัวเองไม่ได้เป็นดารานักร้องก็คงมาจริงจังกับอาชีพนักฟุตบอลแทน

           เขาอยู่ในช่วงพักครึ่งและเมื่อได้พักหัวสมองที่โล่งโปร่งก็มีเรื่องให้ขบคิดเข้ามา เมื่อคืนซึยกะซังเมามากทำให้เขาต้องโทรเรียกเรจิตามคำแนะนำของโทโมยะเพราะร้านนั้นอยู่แถวอาสากุสะซึ่งคอนโดของเรจิอยู่นิฮงบาชิใกล้กันมากที่สุด เมื่อพวกเขาสองคนจัดการจ้างพนักงานหญิงพาหญิงสาวไปส่งที่คอนโดของเรจิ โทโมยะก็ต้องขอตัวเพราะนัดไคโยะซัง นางเอกสาวที่กำลังคบหากันอยู่ตอนที่ยงคืน (แต่นั่นก็อาจอีกไม่นาน เมื่อารมณ์เบื่อมาหาลีดเดอร์ของเขา) เมื่อคืนเขาห่วงนักเขียนบทละครต่างชาติคนนี้เลยโทรหาเรจิไปหลายสาย และเมื่อเช้าที่รู้ว่าซึยกะซังสร่างเมาแล้วเขาก็โล่งอก

           เดี๋ยว!

           นัยน์ตางอนหวานนั้นเบิกน้อยๆอย่างสงสัยตัวเอง ทำไมเขาต้องโล่งอก แล้วทำไมเขาต้องเป็นห่วงผู้หญิงคนนั้นด้วย ไม่สิเมาขนาดลุกขึ้นมาจูบเขาได้ ไม่ห่วงก็แย่แล้ว

           เขาคงต้องระวังซึยกะซังมากกว่านี้ เขาไม่เคยเจอผู้หญิงรุกขนาดนี้มาก่อน และยิ่งเป็นผู้หญิงในรูปแบบที่เขาไม่อยากเข้าใกล้แล้วด้วย

           ชายหนุ่มพยักหน้าให้ตัวเองก่อนวางขวดน้ำและวิ่งตามเพื่อนลงสนามไป เขาต้องระวังตัวดีๆเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเข้าใจอะไรผิด



           สายลมหนาวนั้นกระทบกับน้ำในบ่อปลาของสวนหลังบ้านสไตล์ญี่ปุ่น ใบบ้านเช่าหลังใหญ่ของโม ความหนาวทำให้หญิงสาวต้องดึงเสื้อขนสัตว์ไว้แนบกาย เธอเหม่อมองต้นไม้ที่กลายเป็นสีขาวเพราะหิมะและมองผืนหญ้าที่ขาวโพลนด้วยใบหน้าสวยอมโศกอย่างนึกเสียดาย

           โมอาบน้ำและเปลี่ยนชุดแล้ว เธอสวมเสื้อยืดและกางเกงวอร์มข้างในก่อนจะทับด้วยยูคะตะสองชั้นและผ้าพันคอผืนหน้าสีขาวเพื่อความอบอุ่น เสียงโทรศัพท์ของเธอดังขึ้นมาสองครั้งซึ่งเป็นสายจากนากามูระเรื่องงาน เธอต้องรีบแก้บทละครตรงส่วน Shooting script[2] แต่หญิงสาวไม่ได้ร้อนรนเรื่องละครหรือเรื่องที่ต้องเปิดกล้องอีกสองวันซึ่งในระหว่างนี้คือการโปรโมทซึ่งไม่ใช่หน้าที่ของเธอ สำหรับเรื่องที่ต้องคัดนักแสดงหญิงที่ต้องมาประกบคู่กับวงQurstก็เอาไว้กังวลทีหลังได้ แต่เรื่องที่ต้องกังวลตอนนี้คือเรื่องของผู้หญิงตรงหน้าและชายหนุ่มที่พยาบาลเธอทั้งคืน

           โมถอนหายใจหนึ่งเฮือก หญิงสาวไม่ถนัดทำตัวตีสนิทกับเพื่อนผู้หญิงหรือการเปิดอกคุยกันเสียเท่าไหร่ จะว่ายังไงดีล่ะ กับผู้หญิงแนวหวานๆเรียบร้อย หรือเรียกได้ว่าผู้หญิงดีๆน่ะ เธอจะไม่ค่อยเป็นตัวเองและไม่ชอบสนิทด้วย ก็ผู้หญิงพวกนี้น่ะจะพูดห่ามๆหยาบๆด้วยก็ไม่ได้ จะด่าก็ต้องหยุดลิ้นไว้เพราะเกรงใจสุดๆ จะชคหรือจะเตะใส่เหมือนเล่นด้วยก็ดูจะเป็นอะไรที่โหดร้ายไปเลย เธอกลายเป็นนางร้ายได้เลยล่ะ

แต่ตอนนี้เธอทำเพื่อคนตรงหน้าและคนที่เธอชี่นชม

           เธอยกชาร้อนที่เด็กรับใช้ยกมาเสริฟ์ไปยื่นให้หญิงสาวก่อนส่งยิ้มที่คิดว่าเป็นมิตรที่สุดไปให้ ที่อีกฝ่ายยอมมาบ้านของเธอ เพราะเธอดันประกาศไปว่า

           “ขอคุยเรื่องเรจิหน่อยได้มั้ย?” เธอตั้งใจเรียกชื่อชายหนุ่มห้วนๆเพื่อกระตุ้นหญิงสาว เพราะการที่จะเรียกใครด้วยชื่อเฉยๆได้นั้นสำหรับคนญี่ปุ่นถือว่าต้องสนิทกันมาก ถ้าไม่ใช่คนในครอบครัว เพื่อนสนิท ก็ต้องเป็นแฟนกัน

           นัยน์ตาโตของหญิงสาวนั้นช้อนขึ้นมาสบกับนัยน์ตาคมของเธออย่างมีจริตแม้ผู้หญิงด้วยกัน พอจะเข้าใจขึ้นมารำไรแล้วว่าทำไมเรจิถึงได้ชอบ

           “คุณเรียกชั้นมาคุยเรื่องของเรจิ เพราะคุณไม่สบายใจที่ชั้นไปยุ่งกับเขาใช่มั้ยคะ? ทั้งที่มีคุณเป็นแฟนอยู่แล้วใช่ไหมคะ? ชั้นเข้าใจ”

                          โถ โธ่ นี่ถ้าเธอไม่อธิบายชาติหน้าล่ะมั้งถึงจะเข้าใจ

                                                    ปวดเฮดค่ะ

           “ทำไมผู้หญิงส่วนใหญ่ถึงไปชอบผู้ชายแนวเท่ๆ เงียบขรึม เย็นชา เก็บกด แบบนั้นทุกทีเลยนะ” หญิงสาวทอดเสียงเซ็งๆซึ่งมาพร้อมกับสีหน้าเบื่อหน่าย

           อ๋อ ต้องเพิ่มเข้าไปด้วยว่าจริงๆแล้ว อ่อนโยน แหม่เรจินี่ตรงทุกข้อเลยแฮะ ตามแพทเทิร์นพระเอกเดิมๆเป๊ะๆ โอ.. โห.. จะมีอะไรน้ำเน่าเท่านี้ไหมเนี่ย

           ประโยคนั้นทำให้ใบหน้าหวานน่ารักนั่นทำหน้างงขึ้นมาด้วยความงงงันของจุดประสงค์ของสาวต่างชาติตรงหน้า “เอ่อ คุณชื่อ”

           “ซึยกะ เรียกซึยกะเถอะ ง่ายดี”

           “เอ่อ ค่ะ ชั้น จิเอะค่ะ ชิโนฮาระ จิเอะ ตัวจิมาจากคันจิคำว่าตัวอักษร ส่วนตัวเอะมาจากคันจิคำว่ารูปภาพ” หญิงสาวอธิบายอย่างละเอียดละออตามนิสัย

หือ ชื่อเพราะนัก ชักอิจฉา

           “โอเค ชิโนฮาระซัง” เธอตัดสินใจเลิกนอกเรื่องในใจและหันมามองอีกฝ่ายอย่างจริงจัง “อันดับแรกชั้นกับเรจิ เอ๊ย ไคโตะซังไม่มีอะไรกัน เราเป็น...”หญิงสาวชะงักไปเล็กน้อย เป็นอะไรดีหว่า “เพื่อนกัน” ใช่ เพื่อนละกัน “อันดับที่สองที่ชั้นไปอยู่ในห้องของไคโตะซังเพราะเป็นเหตุสุดวิสัยไม่มีอะไรเกิดขึ้นแน่นอน” อย่างเรจิคงจะมามีอารมณ์อะไรแบบนั้นกับเธอหรอก

“อันดับสามที่หมอนั่นบอกว่าชั้นเป็นแฟนเพราะอยากไล่ชิโนฮาระซังให้ไป อันดับสี่เพราะไคโตะซังทำแบบนั้นแล้วมีท่าทีเสียใจชั้นเลยตามชิโนฮาระซังออกมา อันดับห้า ที่เรามานั่งกันอยู่ตรงนี้เพราะชั้นดันอยากรู้ว่าระหว่างไคโตะซังกับชิโนฮาระซังมันเกิดอะไรขึ้น” เมื่อพูดจบเธอก็หยิบชามาซดกระดกรวดเดียวจบ

                                        โอเคหมดคำอธิบายเสียที

           จิเอะมองสาวห้าวตรงหน้าด้วยแววตาอึ้งๆ เธอจะขยับริมฝีปากขัดหลายครั้งแต่อีกฝ่ายก็ไม่เปิดช่องว่างให้ขัดได้เลย ก่อนแววตาหวานจะมีความขบขันเมื่อมองท่าทีอีกฝ่ายเป่าปากตัวเองเพราะความร้อนจากชาที่ยกกระดกรวดเดียว ทำให้เธอสัมผัสได้ว่าหญิงต่างชาติแสนห้วนห้าวที่นั่งอยู่ตรงหน้าไม่ใช่คนเลวร้าย

           “อย่างนั้นเหรอคะ แปลว่าเรจิคงจะเกลียดชั้น จริงๆแล้วก็น่าอยู่หรอกที่จะเป็นแบบนั้น” ดวงหน้าหวานนั้นแลดูเศร้าขึ้นมาทันใด

           “เพราะอย่างนั้นช่วยอธิบายหน่อยได้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้น?” ความร้อนลวกปากเมื่อครู่หายไปแล้ว

           “ตกลงค่ะ ชั้นจะเล่าให้ฟัง” จิเอะยิ้มให้โมเป็นรอยยิ้มหวานที่ปนโศก แววตานั้นเหม่อมองไปยังสวนสวยของเธอด้วยความรู้สึกหนาวจับใจ

           “ชั้นกับเรจิเจอกันตอนต้องเล่นละครเวทีเรื่องหนึ่ง เขาเป็นไอดอลชื่อดังจึงถูกดึงตัวเข้ามาเล่นเป็นตัวเอก ส่วนชั้นที่ได้เข้ามาเล่นคู่ทั้งที่เป็นแค่นางแบบไม่มีชื่อเพราะผู้กำกับชอบใบหน้าและบุคลิคของชั้นที่เข้ากับบท ชั้น....” เมื่อถึงตรงนี้จิเอะก็เม้มริมฝีปากก่อนพูดต่อ “ชั้นชอบเขาตั้งแต่แรกเห็น”

                                               อือฮือ ปิ๋งล่ะสิท่า

           โมต่อให้ในใจ

           “แต่..”หญิงสาวพูดต่อ “เขาไม่มีท่าทีจะชอบชั้นเลยแม้แต่น้อย”

                                                     หยิ่งล่ะสิ

           และเจ้าตัวก็ต่อให้อีกในใจ

           “แต่พอถึงวันที่การแสดงละครเวทีรอบสุดท้ายมาถึง ชั้นก็ตัดสินใจบอกเขาในห้องแต่งตัว”



           ภายในห้องพักนักแสดงหรือห้องแต่งตัวที่อยู่หลังเวทีนั้นมีเพียงนักแสดงนำสองคนที่ยืนอยู่ เมื่อสไตลิสต์หรือช่างแต่งหน้าได้เดินออกไปแล้ว ทั้งสองเปลี่ยนเป็นชุดลำลองธรรมดา ต่างคนต่างยืนนิ่งมองหน้าอีกฝ่าย

           “ชิโนฮาระซังคุณมีอะไรจะคุยกับผม?” น้ำเสียงแหบๆปนดุนั้นดังขึ้น ใบหน้ากร้านเท่ แววตาเรียวดุและมาดที่แมนกินขาดจนใครหลายคนอิจฉานั้นอยู่ในสายตาของดวงหน้าหวาน

           “คือ” มือทั้งสองของเธอกำชายเสื้อแน่นก่อนจะพูดเสียงดัง “ชั้นชอบคุณค่ะ”เธอหลับตาปี๋และยืนตัวสั่น หัวในเต้นลุ้น เมื่อในที่สุดก็พูดออกไปจนได้ จิเอะเลยไม่เห็นว่าอีกฝ่ายมีปฎิกิริยายังไง

           รู้สึกถึงอีกฝ่ายอีกทีชายหนุ่มก็เดินมาหาเธอ กระซิบที่ข้างหูว่า “ชั้นไม่ได้ชอบเธอ”สิ้นคำนั้นเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นก่อนจะปิดลงอย่างเงียบเชียบ

           จิเอะลืมตาขึ้นทันที เธอมองห้องที่ว่างเปล่าด้วยความรู้สึกเวิ้งว้าง ความผิดหวังรุมเข้ามาในใจ

           นั่นสิเจ้าชายคนนั้นจะมีตามาเหลียวเธอได้ยังไง

           โมฟังความรู้สึกเหล่านั้นด้วยความเข้าใจ เข้าใจถ่องแท้เลยก็ว่าได้ เพราะเธอเองก็ผ่านช่วงเวลานั้นมาหลายต่อหลายครั้ง พอฟังจิเอะแล้วก็ทำให้นึกถึงตัวเองขึ้นมาซ้อนทับจนคิดเบื่อหน่ายกับเหตุการณ์เหล่านี้ที่ตัวเองต้องเจอ

           สายลมหนาวยังคงพัดมาที่ระเบียงห้องนอนแต่ทั้งคู่กลับไม่คิดจะเดินกลับเข้าไปในตัวบ้าน

           “และชั้นก็ได้เจอเขาอีกครั้ง ตอนนั้นชั้นสนิทกับเพื่อนชายคนนึงอยู่”



           ตอนนั้นดึกสงัดเพราะกว่าจะเลิกงานแฟชั้นโชว์ก็ปาไปเกือบตีสอง รถไฟก็หมดแล้ว แต่เพราะจองโรงแรมที่ไม่ไกลจากสถาณที่จัดงานทำให้ไม่ยากเกินความสามารถที่จะเดินกลับ แต่..

           เสียงสายฝนที่เทสาดกระเซ็นตกลงมานั้นทำให้หญิงสาวได้เพียงยืนหลบอยู่ใต้อาคารตึกในฮอล์โยโยงิซึ่งความจริงเป็นสนามกีฬาแต่ถูกดัดแปลงเป็นจัดงานแฟชั้นโชว์ในวันนี้แทน คนอื่นๆทยอยกลับไปก่อนแล้วมีแต่เธอที่มัวแต่ชักช้าเลยเสร็จทีหลังซ้ำหญิงสาวไม่ใช่นางแบบชื่อดังจึงไม่มีสไตลิสต์ส่วนตัวที่คอยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ทำให้กว่าจะจัดการกับตัวเองเสร็จก็ปาไปร่วมชั่วโมง ดีที่เวลาเดินแบบเธอไม่ชักช้าแบบนี้

           แท็กซี่ก็ไม่ขับผ่านมาซักคัน เธอคงต้องวิ่งฝ่าฝนไปเสียล่ะมั้ง

           “ชิโนะจัง” เสียงทุ้มๆนั้นทำให้เธอหันไปด้านหลัง

           ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ หุ่นนายแบบทั่วไปกำลังเดินกึ่งวิ่งมาหาเธอ ดวงหน้าคมสันนั้นติดดูดี แต่ดวงตากลับกลมวสดูเป็นมิตรผิดกับหุ่นล่ำแมนนั่น

           “ชิโนะจังไม่มีร่มเหรอ ใช้กับผมก็ได้ ให้ผมไปส่งนะ” ชายหนุ่มแย้มรอยยิ้มเป็นมิตร

           “โอซึกะคุง” ชื่อเต็มๆของชายหนุ่มคือ โอซึกายะ โทดะ “จะดีเหรอ คนละทางกันรึเปล่า?” น้ำเสียงเธออกเกรงใจ

           แต่ชายหนุ่มกลับส่ายหน้าอธิบายว่า “มาเกรงใจอะไรกันแค่ตรงนี้เองแล้วตอนนี้ก็มืดมากแล้วด้วย” โอซึกะไม่พูดเปล่าเขายิ้มก่อนกางร่มและยื่นให้อีกฝ่ายเพื่อเชื้อเชิญ

           นั่นทำให้จิเอะหมดหนทางปฎิเสฐ ตั้งแต่เข้าวงการมามีแค่โอซึกะคุงนี่ล่ะที่เข้ามาพูดคุยกับเธอทั้งๆที่ไม่มีใครมาสนใจหญิงสาวเลย ชายหนุ่มเป็นคนพูดเก่ง และมองทุกอย่างในแง่ดีเสียเธอนึกอิจฉา เพราะฉะนั้นถึงแม้ฝนจะตกมันก็ไม่ดูน่าเบื่อเกินไปนัก

           ตามทางเดินและสวนสาธารณะที่เดินฝ่านนั้นมีแสงไฟจากโคมไฟตลอดไม่มืดจนเกินไป

           “โอซึกะคุงพูดเก่งจังเลยนะคะ เพื่อเดินแบบคุณเลยเยอะ ชั้นเห็นเพื่อนนางแบบบางคนเขาก็ชอบคุณด้วยนะ”

           “อย่างงั้นเหรอครับ ความจริงผมเห็นเพื่อนผมหลายคนอยากเข้ามาคุยกับชิโนะจังนะ แต่พวกเขาบอกว่าชิโนะจังชอบทำหน้าเศร้าพวกเขาเลยไม่กล้าทัก”

           “เอ๊ะ จริงเหรอคะ?”

           “โฮ่ ถ้าอย่างนั้น คงอยากได้เพื่อนคุยเพิ่มสินะ” เสียงเข้มจากด้านหลังทำให้ทั้งสองขมวดคิ้วก่อนหันไปมอง

           ชายหนุ่มร่างใหญ่สามคนที่มีขนาดตัวแทบไม่ต่างกันเลยเดินเข้ามาหาพวหเขา ผิวนั้นเกรียมแดดเหมือนคนที่ทำงานกลางแดดแรงตลอดเวลา ใบหน้าที่รกครึ้มด้วยหนวดเคราที่แม้แต่นากามูระยังต้องชิดซ้ายนั้นจ้องมองมาที่จิเอะด้วยแววตาที่มีประกายน่ากลัว

           เมื่อทั้งสามเดินมาใกล้พวกเขาก็รู้สึกถึงกลิ่นเหล้าที่คลุ้งตลบอบอวล ผู้ชายหนึ่งในนั้นกระชากแขนบอบบางของจิเอะจนร่างนั้นแทบปลิวตามแรง

           “เจ็บนะ”หญิงสาวร้องเสียงสั่น

           “ปล่อยเธอนะ"โอซึกะขึ้นเสียงเขาโยนร่มออกจาตัวกระชากแขนของชายไร้สติออกจากเพื่อนนางแบบ

           นั่นเหล่ะการตะลุมบอนก็เริ่มขึ้น เมื่อชายทั้งสามถูกสุราที่มากเกินควรมอมเมาจนเหนือเหตุผลก้ยากที่จะคืนสติกลับมา จึงใช้หมัดขวาพุ่งเข้าเต็มหน้าคมของนายแบบหนุ่ม

           “อั๊ก” ชายหนุ่มเสียหลักเซลงกับพื้นเล็กน้อยก่อนง้างลูกเตะไปที่ท้องอีกฝ่ายที่ต่อยเขาเต็มหน้า

           เวลานั้นเองที่ชายหนุ่มเองก็ถูกอีกคนถีบจากด้านหลังซ้ำยังถูดอีกคนที่รอโอกาสต่อยที่ท้องเขาเข้าไปเต็มๆ ความรู้สึกจุดอัดแน่นตามมาจนเข้าทรุดลงกับพื้น

           “โอซึกะคุง เป็นอะไรรึเปล่าโอซากะคุง ” สีหน้าของจิเอะบัดนี้ซีดเซียวแข่งกับเสียงที่สั่นสะท้านด้วยความกลัว เธออยากจะวิ่งไปหาเพื่อนที่หมดท่าแต่แขนกลับถูกกระชากลากออกมาให้ห่างขึ้นยิ่งเพิ่มความหวาดกลัวขึ้นมาในใจ

           “ได้โปรด ช่วยด้วย” เสียงเธอแทบกระซิบ

           “ปล่อยเธอนะ” โอซึกะพยายามยินขึ้นทั้งๆที่จุก แม้จะมีร่างกายที่แข็งแรงขนาดไหนแต่ก็ไม่ใช่ร่างกายที่ฟิตมาในสถาณการณ์นี้แต่มีไว้เวลายืนอยู่บนแคทวอล์คเท่านั้น

           เพล้ง!

           ขวดเหล้าเปล่าราคาแพงถูกตีเข้ากลางกระโหลกของนายแบบหนุ่มจนร่างสูงใหญ่นั่นล้มลงบนพื้นคอนกรัตที่ชื้นแฉะ สติดับวูบหายไปในทันใด

           เสียงสายฟ้าและสายฝนกำลังกระหน่ำเข้ามากลางดึกสงัด แสงไฟจากสวนสาธารณะนั้นสะท้อนดวงหน้าหวานที่หวาดกลัวมากในยามนี้ นัยน์ตาโตราวตุ๊กตานั้นกวาดมองนักเลงทั้งสามคนที่ยังคงเมามายแม้จะยืนอยู่กลางฝน แววตานั้นราวกับอยากกลืนกินเธอไปทั้งร่าง และความตื่นตระหนกก็เข้ามาในใจ

           “ได้โปรดช่วยด้วย”เธอเปล่งเสียงร้องระงม



--------------------------------------------------------------------------------

[1] ปกติอุไม ผู้ชายจะเป็นฝ่ายใช้พูด ผู้หญิงจะพูดเพียงโออิชิ(อร่อยจัง)เพราะอุไมเป็นคำหยาบ แต่โมเอามาพูดเฉย

[2] บทถ่ายทำ Shooting script รายละเอียดของมุมกล้อง ฉาก ขนาดภาพ ทิศทางของกล้อง
----------------------------------------------------------------------------------------------
ตอนที่4ค่าาา

จากคุณ : พรรณ PAN
เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 54 21:35:49




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com