Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ศาสตราแห่งเดราเนียร์ บทที่ 21 ปริศนาแห่งเดราเนียร์กับการสูญเสียสิ่งสำคัญ และบทส่งท้าย(อวสาน) ติดต่อทีมงาน

ศาสตราแห่งเดราเนียร์บทแรก
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=moonyforever&group=17

บทที่ 21 สู่แดนราชันย์มาร
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10747689/W10747689.html

<22>

ปริศนาแห่งเดราเนียร์กับการสูญเสียสิ่งสำคัญ

ฟอร์เซ็ตติยืนจ้องดูเนินผาศิลาซึ่งตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าด้วยสายตาฉายความกังวล
รัคเชนน์เดินมาหยุดยืนข้างกายเขาพร้อมกับเอ่ย

“ข้าไม่หวั่นเกรงต่ออสูรร้ายหรือปิศาจตนไหนทั้งนั้น” นางมองหน้าจอมเวทหนุ่มนิ่ง “และจะไม่มีวันถอยหลังหนีเป็นอันขาดตราบที่ยังมิได้สังหารเจ้าจอมมารนั้นให้พินาศ”

“ข้าก็เช่นเดียวกัน” โมไดพูดเสริมขึ้นมา “ข้าจะไม่หยุดเดินจนกว่าจะถึงปราสาทของเจ้าจอมปิศาจชั่วและนำตัวของลินซ์กลับคืนมาอย่างปลอดภัย”

“ข้ารู้ดีในข้อนั้นแต่ข้าก็ยังอดห่วงพวกเจ้าไม่ได้”

“พวกเรามีสิ่งใดน่าเป็นห่วงกัน” ดาร์คเอลฟ์สาวพูดเสียงห้วนพลางเลื่อนมือไปขยับกรามร์ซึ่งแขวนไว้ข้างเอว “ข้ามีดาบเทพที่โซลย์ยอมสละชีวิตมอบให้มา ส่วนเจ้าหนูนั่นมีบรุนนาลาดาบเพลิงที่ทรงอานุภาพที่สุดของเหล่านักรบเวท เพียงแค่อาวุธวิเศษสองอย่างนี่ผนวกกับพลังเวทอันร้ายกาจของเจ้า ข้าคิดว่าคงเอาชนะเจ้าราชันย์มารได้ไม่ยากนัก”

ฟอร์เซ็ตติระบายลมหายใจออกมาอย่างหนักหน่วงด้วยลางสังหรณ์บางอย่างกำลังรบกวนจิตใจของเขาอย่างรุนแรง จอมเวทหนุ่มมองหน้ารัคเชนน์นิ่ง

“ไม่ว่าพวกเจ้าจะพูดอย่างไรข้าก็อดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดีเพราะทางข้างหน้านับแต่ตรงนี้เราจะประมาทไม่ได้แม้เพียงสักก้าว จงอย่าแยกห่างจากกันเป็นอันขาด”

“เจ้าก็เช่นเดียวกัน” ดาร์คเอลฟ์สาวกล่าว “อย่าได้พลั้งเผลอก้าวเดินนำพวกเราไปเร็วนักเพราะเจ้าเป็นเหมือนศูนย์รวมพลังใจของเราทั้งสองซึ่งจอมมารเองก็ย่อมรู้ดีและเขาต้องทำทุกวิถีทางที่จะกำจัดเจ้า”

“ข้ารู้” ฟอร์เซ็ตติตอบ “เจ้าสองคนพร้อมแล้วหรือยัง”

“ข้าพร้อมตั้งแต่เห็นหน้าเจ้าครั้งแรกแล้ว” โมไดพูดและยิ้มกว้าง “นำทางไปได้เลยเจ้าจอมเวท”

จอมเวทแห่งมาร์วัลลัสมองหน้ารัคเชนน์อีกครั้ง นางยิ้มให้กับเขาด้วยสีหน้ามั่นคง จอมเวทหนุ่มจึงก้าวเดินนำหน้าพวกเขาออกไป ยังมิทันที่จะได้ล่วงผ่านเนินผาแรก เสียงคล้ายวัตถุขนาดใหญ่กลิ้งลงมาจากที่สูงก็ดังสนั่นขึ้น ฟอร์เซ็ตติชะงักและเงยหน้าขึ้นมองพร้อมกับเบิกตากว้างด้วยความตระหนกเมื่อเห็นเนินศิลาตรงหน้ากำลังพังทลายลงมา ก้อนหินขนาดใหญ่หลายสิบก้อนกลิ้งตรงมาหาพวกเขาราวกับจะบดขยี้คนทั้งสามให้แหลกละเอียดเป็นผุยผง จอมเวทหนุ่มยกไม้เท้าของเขาขึ้นและกระแทกลงไปบนพื้นพร้อมกับร่ายมนตร์

“ดันเนอร์ ลันด์”

ผิวดินเบื้องหน้าของเขาเกิดอาการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงและเกิดรอยร้าวเป็นทางยาว มันแยกออกจากกันเป็นร่องลึกและกว้าง รองรับก้อนหินขนาดใหญ่ที่กลิ้งเข้ามาจนหมดเหลือเพียงฝุ่นละอองที่ฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศ แผ่นดินสั่นสะเทือนอีกครั้ง รอยแยกตรงหน้าค่อยๆเลื่อนเข้าหากันและประสานจนสนิท โมไดถึงกับอ้าปากค้างด้วยความรู้สึกพิศวงในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วชนิดที่เขาเองยังตั้งตัวไม่ทัน ต่างจากรัคเชนน์ที่ยืนมองดูด้วยสีหน้านิ่งเฉย ฟอร์เซ็ตติหันกลับมามองเด็กหนุ่มพร้อมกับกล่าว

“จอมมารเริ่มต้อนรับพวกเราแล้ว”

เขาเดินต่อไปทันทีที่พูดจบ ทั้งสามเดินผ่านปราการศิลาซึ่งเป็นภูเขาขนาดย่อมไปอย่างไม่ลำบากนัก แต่เมื่อเข้าเขตภูเขากลุ่มสุดท้าย พวกเขาก็ต้องตกใจเมื่อเบื้องหน้ามีฝูงสุนัขป่าไม่ต่ำกว่าห้าสิบตัวกำลังยืนแยกเขี้ยวคำรามราวกับรอคนทั้งสามอยู่ โดยเจ้าตัวที่ยืนหน้าสุดมีขนาดใหญ่กว่าตัวอื่นถึงสามเท่า ดวงตาสีเหลืองของมันส่องประกายวาววับขณะที่จ้องผู้บุกรุก มันส่งเสียงขู่ในลำคอ พวงหางพองฟูและชี้ชันขึ้นในลักษณะคุกคาม

“แบบนี้แย่แน่” รัคเชนน์กล่าวเบาๆ “เจ้าพวกนี้ไวกว่าหมาป่าธรรมดาหลายเท่านัก เราจะทำยังไงกันดี”

“ใช้รันนิ่งจัดการกับมันเสียก็สิ้นเรื่อง” โมไดพูดพร้อมกับดึงรันนิ่งออกมาจากซองและปล่อยออกไปทันที อาวุธบินของเขาบินโฉบร่อนฉวัดเฉวียนไปมาอย่างรวดเร็วแต่เจ้าจ่าฝูงกลับว่องไวกว่า มันกระโดดหลบการโจมตีของรันนิ่งได้ในขณะที่หมาป่าตัวอื่นพลาดท่าโดนมีดบินสังหารตายไปหลายตัว หัวหน้าฝูงสุนัขปิศาจแยกเขี้ยวคำรามด้วยความโกรธ มันจ้องมองกลับไปทางศัตรูด้วยสายตาอาฆาตและไล่มองพวกเขาด้วยสายตาพิจารณา โมไดและรัคเชนน์รีบดึงดาบของตนออกมาเมื่อหมาป่าแห่งแซฟเวจย์เริ่มขยับเข้ามาใกล้ ดวงตาสีเหลืองทองทอแสงวาบขึ้นเมื่อมองไปทางฟอร์เซ็ตติ มันแยกเขี้ยวและกระโจนเข้าใส่เขาทันทีเพราะมั่นใจว่าจอมเวทที่อยู่ตรงหน้าไม่มีอาวุธใดในมือ หมาป่าที่เป็นบริวารต่างพากันกระโดดเข้าโจมตีรัคเชนน์และโมไดตามหัวหน้าฝูงของพวกมัน ทั้งคู่กวัดแกว่งอาวุธคู่กายฟาดฟันใส่ร่างสุนัขป่าปิศาจอย่างไม่ยั้งมือ ดาร์คเอลฟ์สาวรีบหันไปทางจอมเวทซึ่งเอี้ยวตัวหลบคมเขี้ยวของจ่าฝูง มันพลิกตัวกลับทันทีที่เท้าทั้งสี่กระทบพื้นและดีดตัวเข้าหาฟอร์เซ็ตติอีกครั้งหมายจะขย้ำคอของเขาให้ขาดกระจุย จอมเวทหนุ่มเลื่อนไม้เท้าของเขาออกไปข้างหน้าพร้อมกับร่ายมนตร์

“เบรนเนน!”

เปลวเพลิงสีแดงฉานสว่างวาบจากปลายไม้พุ่งเข้าใส่ร่างจ่าฝูงของสุนัขป่าแห่งแซฟเวจย์จนขนของมันลุกไหม้ เจ้าหมาป่าร่วงลงไปนอนชักดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้นพร้อมทั้งส่งเสียงร้องโหยหวนสร้างความตระหนกให้กับลูกน้องของมันจนหลายตัวถึงกับซุกหางของตัวเองเข้าไปในขาหลัง พวกมันหยุดการโจมตีคนทั้งสามทันทีและมองดูซากร่างที่ดำเป็นตอตะโกของหัวหน้าฝูงด้วยความลังเล จนโมไดแกว่งดาบของเขาและร้องตะโกนออกมาดังๆ ฝูงหมาป่าแห่งแซฟเวจย์พากันร้องลั่นด้วยความตกใจก่อนพากันวิ่งหนีหาย เด็กหนุ่มหัวเราะเสียงดัง

“คิดว่าจะเก่ง ที่แท้ก็แค่หมา”

“มันคิดผิดที่เลือกทำร้ายเขา” รัคเชนน์พูดขึ้นพลางเลื่อนสายตาไปที่ฟอร์เซ็ตติที่กำลังยืนมองดูซากสุนัขด้วยสายตาเศร้า เขาเงยหน้าขึ้น

“มันคิดว่าข้าไม่มีภัยเพราะไร้อาวุธ”

“แต่มันคิดผิดมหันต์” โมไดกวัดแกว่งบรุนนาลาในมือไปมาก่อนเก็บกลับลงฝัก “เพราะเจ้าน่ะคือตัวอันตรายที่สุด”

จอมเวทแห่งมาร์วัลลัสหัวเราะในลำคอก่อนเดินละจากซากของหมาป่า เขาขมวดคิ้วพร้อมกับเพ่งสายตามองไปยังเบื้องหน้า ในทิศทางที่ตั้งของปราสาทจอมมารซึ่งซ่อนตัวอยู่ในท่ามกลางภูเขาขนาดเล็ก รัคเชนน์รีบถามขึ้นทันที

“มีอะไร”

“ผีดิบ มันกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้”

“ในตอนกลางวันนี่น่ะหรือ” ดาร์คเอลฟ์สาวพูดด้วยรู้สึกความแปลกใจ ฟอร์เซ็ตติกำไม้เท้าในมือแน่น

“เราอยู่ในเขตของแซฟเวจย์แผ่นดินของราชันย์ปิศาจ ทุกหนทุกแห่งล้วนเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังของเขา เหล่าผีดิบและอสูรร้ายสามารถเคลื่อนที่ได้ตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน”
“แล้วพวกมันมากันมากแค่ไหน” โมไดถามขึ้นมาบ้าง จอมเวทหนุ่มหันหน้ากลับมามองดูเขาพร้อมกับตอบ

“ราวห้าร้อยตัว”

*/*/*/*/*/*
คอร์ฟคาคาร์สยืนนิ่งอยู่บนระเบียงโล่งหน้าท้องพระโรงอันเป็นยอดสูงสุดของปราสาท กระแสลมอันปั่นป่วนพัดผ่านร่างของเขาจนเรือนผมสีดำพลิ้วกระจายไปทางด้านหลัง ผ้าคลุมสีดำสะบัดจนบังเกิดเสียง ดาม่อนมองดูกิริยาของผู้เป็นนายด้วยสายตาวิตกเพราะรู้ดีว่าความเงียบสงบที่มีอยู่ในขณะนี้คือเครื่องหมายบ่งบอกว่าราชันย์มารกำลังอยู่ในอารมณ์พิโรธอย่างที่สุด เสียงคำรามเบาๆที่ดังออกมาจากลำคอของจอมมารทำให้หัวหน้าโจรรีบก้มตัวลงด้วยความรู้สึกหวั่นเกรง

“เจ้าเลือดผสมชั้นต่ำนั่นกำลังสังหารบริวารที่น่ารักของข้าอย่างสนุกมือ” คอร์ฟคาคาร์สกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบน่ากลัว ไอความร้อนอันเกิดจากโทสะแผ่กระจายออกจากร่างจนมองเห็นเป็นเปลวระริกเต้นไหวรอบกายของเขา ดาม่อนถึงกับสั่นไปทั้งตัว เขาสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากจอมมาร

“ดาม่อน!”

“ขอรับท่านจอมปิศาจ”

เขาค้อมตัวลงต่ำที่สุดขณะกล่าวขานรับคำ ราชันย์ปิศาจหมุนกายกลับมาและสั่งด้วยน้ำเสียงอันดุดัน

“จงลงไปยังห้องใต้ดิน นำร่างเหยื่อของข้าสิบคนไปมัดห้อยไว้ที่คอของเฟนน์รีจากนั้นให้นำมันไปดักรอเจ้าครึ่งจอมเวทนั่น ฆ่าพวกมันให้หมดอย่าให้เหลือชิ้นส่วนแม้เพียงเส้นผมสักเส้น”

“แต่เฟนน์รีคงไม่ฟังคำของข้า..” ดาม่อนแย้งแล้วก้มหน้าลงเมื่อเห็นดวงตาวาววับของจอมมาร คอร์ฟคาคาร์สเลื่อนมือไปที่ชายผ้าคลุมของตนและฉีกมันออกมาเป็นริ้วยาว เขาผูกชายทั้งสองเข้าไว้ด้วยกันก่อนยื่นให้กับลูกน้องผู้ภักดี

“แขวนมันไว้ที่คอของเจ้า แล้วเฟนน์รีจะเชื่อฟังคำสั่งของเจ้าทุกคำ”

ดาม่อนค้อมกายลงจนต่ำและรีบก้าวออกจากห้องของจอมปิศาจตรงไปยังคุกใต้ดิน เขาสั่งให้สมุนที่เหลือคัดตัวเด็กที่มีรูปร่างใกล้เคียงกันมามัดมือโยงติดไว้ด้วยกันสิบคนและจูงออกไปยังนอกปราสาท หัวหน้าโจรหยุดยืนอยู่หน้าถ้ำกว้างแห่งหนึ่งเขากัดปากตนเองแน่นก่อนตัดสินใจร้องตะโกนด้วยน้ำเสียงก้องกังวาน

“ข้าได้รับคำบัญชาจากท่านคอร์ฟคาคาร์สให้มาสั่งเจ้า เฟนน์รี จงออกมาหาข้าเดี๋ยวนี้!”

เสียงร้องคำรามของสัตว์ดังสะท้อนผนังถ้ำออกมา ดาม่อนสะดุ้งเล็กน้อยแต่ยังฝืนยืนตัวตรง หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อเห็นเงาขนาดใหญ่กำลังเคลื่อนออกมาจากถ้ำ เด็กทั้งสิบคนที่ถูกมัดโยงต่างพากันร้องไห้ระงมเมื่อร่างของสิ่งที่อยู่ภายในปรากฏให้เห็นเต็มตา หัวหน้าโจรพยายามกลืนน้ำลายลงไปในลำคอก่อนกล่าว

“ราชันย์มารต้องการให้เจ้าออกไปสังหารผู้บุกรุกสามคนที่หน้าปราการแห่งแซฟเวจย์”

กรงเล็บของเฟนน์รีเงื้อขึ้นและตวัดฉับลงมาราวต้องการตะปบร่างของมนุษย์ที่กำลังยืนออกคำสั่งตรงหน้า พลังมืดอันรุนแรงแผ่ออกมาจากเชือกสีดำที่คล้องคอของดาม่อนทำให้มันชะงัก ดวงตาสีเหลืองซีดเขม้นมองดูหัวหน้าโจรแน่วนิ่งก่อนลดอุ้งมือมรณะลง มันครางออกมาเบาๆ

“จงแขวนร่างมนุษย์เหล่านี้ไว้รอบคอของเจ้า ห้ามกินมันเป็นอันขาดไม่ว่าเจ้าจะหิวกระหายเพียงใดเพราะเหยื่ออันโอชะที่แท้จริงนั้นคือผู้บุกรุกสามคนที่กำลังรออยู่ข้างนอกนั่น จงไปได้เฟนน์รีและอย่าได้สร้างความผิดหวังให้กับท่านคอร์ฟคาคาร์สเป็นอันขาด”

ร่างอสูรครึ่งยักษ์ครึ่งหมาป่าคว้าร่างของเด็กทั้งสิบขึ้นไปแขวนไว้ที่คอ มันคำรามด้วยความหงุดหงิดอีกครั้งก่อนเดินออกไป ดาม่อนถึงกับถอนหายใจด้วยความรู้สึกโล่งอกที่รอดพ้นจากกรงเล็บของอสูรร้ายไปได้ เขามองตามหลังร่างของมันจนหายลับไปกับสายตา

*/*/*/*/*/*

รัคเชนน์ตวัดกรามร์ตัดลำคอของผีดิบตัวสุดท้ายก่อนหันไปมองจอมเวทซึ่งกำลังเผาร่างอสุรกายตนหนึ่งจนมอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน ดวงตาสีฟ้าฉายแววเย็นชาออกมาวูบหนึ่งก่อนมลายหายไป เขาเงยหน้าขึ้นมองมายังนางพร้อมกับก้าวเข้ามาหาโดยโมไดกระโดดเข้ามายืนใกล้ๆ เด็กหนุ่มสะบัด
บรุนนาลาในมือสองสามครั้งราวต้องการไล่คราบเลือดที่ติดอยู่บนเนื้อดาบก่อนเก็บเข้าฝัก

“เหนื่อยเป็นบ้า” โมไดบ่นพลางกวาดตามองซากร่างผีร้ายที่นอนเกลื่อนกลาดรอบตัว “เจ้าผีดิบพวกนี้มันยกกันมาหมดแซฟเวจย์เลยหรือยังไง”

“ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีเพราะข้าเองก็เริ่มหมดแรงที่ต่อสู้กับพวกมันแล้วเหมือนกัน” ดาร์คเอลฟ์สาวกล่าวด้วยอาการหอบหายใจ “ข้าอยากยืนพักสักครู่”

“เจ้าคงยังพักตอนนี้ไม่ได้แน่” จอมเวทหนุ่มเอ่ยขึ้นมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม โมไดและรัคเชนน์มองหน้าเขาพร้อมกัน

“ทำไม”

“มีอสูรอีกตัวกำลังตรงมาหาเรา” ฟอร์เซ็ตติตอบ เขากระชับไม้เท้าในมือแน่น “มันร้ายกาจกว่าเจ้าผีดิบพวกนี้หลายเท่าเลยทีเดียว”

“ถ้าอย่างนั้นก็รีบๆเข้ามาเลย” เด็กหนุ่มดึงบรุนนาลาออกมาอีกครั้ง “ข้าจะได้ฟันมันให้ขาดเป็นสองท่อนด้วยดาบเพลิงนี่”

เสียงขู่คำรามดังขึ้นทันทีที่โมไดกล่าวจบ ร่างสูงตระหง่านของอสูรยักษ์ที่มีขนรุงรังหยาบกระด้างปรากฏขึ้น มันอ้าปากกว้างอวดเขี้ยวอันคมกริบปล่อยให้น้ำลายไหลยืดย้อยออกมาขณะที่ย่างสามขุมเข้าไปหา ฟอร์เซ็ตติลดไม้เท้าในมือของเขาลงเมื่อได้ยินเสียงร้องไห้ดังออกมาจากร่างสยอง หัวใจของจอมเวทแห่งมาร์วัลลัสกระตุกวูบเมื่อเห็นร่างของเด็กหลายคนถูกมัดห้อยแขวนไว้บนลำคอของอสูรยักษ์ เสียงรัคเชนน์ครางออกมา

“นิ...นี่มันอะไรกัน”

กรงเล็บที่แหลมคมตวัดฟาดลงมายังพวกเขา ดาร์คเอลฟ์สาวกลิ้งตัวหลบอย่างว่องไว โมไดรีบคว้ารันนิ่งของเขาออกมาแต่ต้องหยุดเมื่อฟอร์เซ็ตติร้องห้าม

“อย่าโมได! เดี๋ยวรันนิ่งจะพลาดไปโดนเด็กพวกนั้นเข้า”

เด็กหนุ่มสบถออกมาสองสามคำก่อนเก็บอาวุธของตนกลับเข้าซอง เขารีบวิ่งเข้าไปยืนใกล้ๆขาของมันและตวัดบรุนนาลาฟันลงไปที่ข้อเท้าของเฟนน์รีแทน มันร้องคำรามด้วยความโกรธก่อนยกอุ้งเท้าของมันขึ้นไล่เหยียบเด็กหนุ่ม เขาหลบหลีกด้วยความคล่องแคล่วว่องไว

“ขนของมันทั้งหยาบทั้งแข็ง ดาบของเจ้าทำอะไรมันไม่ได้หรอก” จอมเวทหนุ่มร้องตะโกนบอก เขาหมุนตัวหลบหลีกกรงเล็บของอสูรหมาป่าและร่ายคาถาระเบิดนิ้วของมันจนกระจุยไปอันหนึ่ง เจ้าเฟนน์รีรองลั่นและเอื้อมมือขึ้นไปกระชากร่างของเด็กออกมาขยี้ด้วยความโกรธท่ามกลางความตกใจของฟอร์เซ็ตติ

“เราต้องช่วยเด็กพวกนั้นก่อน” รัคเชนน์พูดขึ้น “ไม่อย่างนั้นพวกเขาโดนฆ่าตายหมดไม่เหลือแน่ ซ้ำเรายังทำอะไรเจ้ามนุษย์หมาป่านี่ไม่ได้ด้วย”

“เจ้ามีวิธีดีๆไหมล่ะ” โมไดร้องถามพลางกระโดดถอยหลังหนีกรงเล็บของเฟนน์รีที่พุ่งเข้ามาหา มันฟาดลงไปบนก้อนหินจนแตกละเอียดเป็นผง เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายด้วยความรู้สึกสยอง ฟอร์เซ็ตตินิ่งไปเล็กน้อยก่อนตัดสินใจตอบ

“มี”

ยังไม่ทันที่เพื่อทั้งสองจะได้เอ่ยถาม จอมเวทหนุ่มก็เดินไปยืนอยู่ตรงหน้าอสูรหมาป่ายักษ์ มันหรี่ดวงตาสีเหลืองซีดของมันลงพร้อมกับคำราม

“มัวรออะไรอยู่แกถูกส่งมากำจัดข้าไม่ใช่หรือ เฟนน์รี”

ฟอร์เซ็ตติร้องท้า อสูรหมาป่าแยกเขี้ยวร้องขู่พร้อมกับกางกรงเล็บของมันออกและตะปบลงไปยังร่างของจอมเวทแห่งมาร์วัลลัสเต็มแรงจนพื้นดินที่เขายืนอยู่ยุบตัวลงไปเป็นหลุมลึก โมไดและรัคเชนน์ต่างร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ แต่แล้วก็แปรเปลี่ยนเป็นความสนเท่ห์เมื่อไม่พบร่างของฟอร์เซ็ตติอยู่ภายใต้อุ้งมือหยาบหนานั้น มีเพียงไม้เท้าสีขาวของเขาที่ปักทะลุหลังมือของ เฟนน์รีลงไปตรึงติดกับพื้นดินด้านล่าง ส่วนตัวของจอมเวทหนุ่มนั้นกลับขึ้นไปยืนอยู่บนไหล่ของเจ้าอสูรยักษ์ เขารีบร่ายมนตร์เผาเชือกที่มัดเด็กที่เหลืออยู่จนขาดสะบั้นเป็นจังหวะเดียวกันกับมืออีกข้างของปิศาจหมาป่าเอื้อมขึ้นมาคว้าตัวของเขาไว้ ฟอร์เซ็ตติกัดฟันร่ายเวทสร้างตาข่ายสีฟ้าเข้มขึ้นเพื่อรองรับ ร่างเด็กทั้งหมดมิให้ตกกระทบกับพื้นเบื้องล่างจนเป็นอันตราย รัคเชนน์และโมไดรีบวิ่งไปพาพวกเขาทุกคนออกมาอย่างรวดเร็ว

“ฟอร์เซ็ตติ”

ดาร์คเอลฟสาวร้องเรียกจอมเวทด้วยความเป็นห่วง เขาร้องลั่นเมื่อเฟนน์รีกระชับอุ้งมือของมันจนแน่น โมไดจึงตัดสินใจปล่อยรันนิ่งออกไปทันที มีดบินของเขาหมุนฉวัดเฉวียนปาดผ่านข้อมือของเฟนน์รีแต่เพราะขนอันหยาบหนาของมันทำให้รันนิ่งไม่สามารถทำอะไรมันได้แม้แต่รอยข่วน เด็กหนุ่มร้องตะโกนด้วยความโกรธ

“หมาป่าอย่างแกทำอะไรข้าไม่ได้หรอก”

จอมเวทหนุ่มคำรามออกมา ดวงตาสีฟ้าค่อยๆแปรเปลี่ยนไปเป็นสีน้ำเงินเข้มดุดัน เฟนน์รีแยกเขี้ยวตอบพร้อมกับพยายามดึงมือข้างที่ถูกไม้เท้าปักเอาไว้ให้หลุดออก

“ข้าใช้เวทตรึงมือของแกเอาไว้แล้วเจ้าเฟนน์รี ต่อให้แกเก่งกาจมากแค่ไหนก็ไม่มีวันดึงมือออกจากไม้เท้าของข้าได้เป็นอันขาด”

ฟอร์เซ็ตติพูดเสียงต่ำ เจ้าอสูรหมาป่าร้องเสียงดังด้วยความโกรธ มันบีบร่างของเขาจนแน่นราวต้องการให้แหลกละเอียดคามือ จอมเวทหนุ่มแสยะยิ้ม

“โทษที่แกบังอาจสังหารเด็กต่อหน้าข้ามันหนักหนาสาหัสนัก จงตายอย่างทรมานเถิดเจ้าหมาป่าชั่ว!”

กระแสลมอันปั่นป่วนรุนแรงพัดโอบล้อมรอบกายของจอมเวทแห่งมาร์วัลลัส เรือนผมสีเงินที่ปลิวกระจายค่อยๆแปรเปลี่ยนไปเป็นสีขาว เฟนน์รีถึงกับเบิกตากว้างเมื่อเห็นร่างที่อยู่ในอุ้งมือของมันกำลังลุกเป็นไฟ

“เจ้าจอมเวทนั่นจะกลายเป็นแบบนั้นอีกแล้วหรือนี่”

โมไดพูดด้วยน้ำเสียงตระหนกขณะที่ดวงตานั้นยังคงจ้องมองดูร่างของฟอร์เซ็ตติด้วยความเป็นห่วง รัคเชนน์มองเด็กหนุ่มด้วยสายตาไม่เข้าใจ

“เขาจะกลายเป็นแบบไหน”

“ปิศาจ”

โมไดตอบสั้นๆ เขารีบดึงร่างของเด็กและร้องบอกรัคเชนน์ให้รีบถอยออกมาเมื่อร่างของ
เฟนน์รีมีไฟลุกท่วม มันส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนและดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด กรงเล็บที่กุมร่างของจอมเวทคลายออกปล่อยร่างของเขาให้ร่วงตกลงไปก่อนร่างยักษ์ของมันจะทรุดตัวลง ดวงตาสีเหลืองซีดจับจ้องมองฟอร์เซ็ตติแน่วนิ่งและมอดไหม้จนหมดเหลือเพียงซากดำเกรียม จอมเวทหนุ่มยืนมองดูมันนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงเดินไปดึงไม้เท้าออกจากซากตอตะโก ดวงตาสีน้ำเงินเข้มตวัดเหลือบมองมาทางโมไดและรัคเชนน์ ทั้งคู่ถึงกับผวาเยือกไปทั้งตัว ฟอร์เซ็ตติยิ้ม

“เสียงของโซลย์คอยเรียกข้าเอาไว้ ข้าไม่มีวันกลับไปเป็นเหมือนแต่ก่อนแน่”

จอมเวทหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มเหมือนเช่นปรกติก่อนปิดเปลือกตาลง เรือนผมสีขาวค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นสีเงินสว่างดุจเดิม ใบหน้าอันดุดันกลับคืนเป็นงดงาม ดวงตาสีฟ้าส่องประกายวาววับเมื่อเขาลืมตาขึ้นและจ้องมองดูเพื่อนทั้งสองคน

“เจ้าไม่สูญเสียตัวเองแล้ว” โมไดครางออกมาพร้อมกับยิ้มกว้าง “เจ้าขับไล่ความมืดออกไปจากใจของตนได้แล้วเจ้าจอมเวท”

“ความมืดนั้นยังคงอยู่ตราบใดที่ข้ายังมีโทสะ” ฟอร์เซ็ตติตอบ “เพียงแต่มันไม่สามารถควบคุมร่างของข้าได้อีกต่อไป”

“ข้าดีใจที่ได้ยินเช่นนั้น” เด็กหนุ่มตบไหล่จอมเวทสองสามครั้ง ก่อนหันไปดูแลเด็กบางคนที่ได้รับบาดเจ็บ รัคเชนน์มองหน้าฟอร์เซ็ตติและยิ้ม

“เจ้าเปลี่ยนไปจากแต่ก่อนมาก” นางวางมือลงบนอกของเขา “ยินดีด้วยนะฟอร์เซ็ตติ”

“นั่นเป็นเพราะเพื่อนชาวมอร์เซลของพวกเรา” จอมเวทกล่าวพลางยกมือขึ้นกุมมือของดาร์คเอลฟ์สาว “มิตรภาพและความจริงใจของพวกเขาสร้างแสงสว่างให้เกิดขึ้นภายในใจของเราสองคน”

รัคเชนน์ยิ้มอย่างอ่อนโยน ดวงตาสีเทาฉายแววเศร้าสร้อยขึ้นเมื่อหัวใจกระหวัดถึงโซลย์ เอลฟ์สาวดึงมือของนางออกจากมือของฟอร์เซ็ตติและหมุนกายเดินไปหาโมได จอมเวทหนุ่มระบายลมหายใจเบาๆ

“ขอบใจเจ้ามาก โซลย์”


หลังจากทำแผลให้กับเด็กที่ช่วยเหลือมาจากเฟนน์รีและซ่อนพวกเขาไว้ในซอกเขาจนมิดชิดดีแล้ว ฟอร์เซ็ตติ โมไดและรัคเชนน์จึงรีบเดินทางตรงไปยังปราสาทของจอมมารต่อทันที และเมื่อพวกเขาเดินผ่านภูเขาลูกสุดท้ายเข้าไป ปราสาทศิลาของราชันย์มารก็ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าโดยมีกองทัพผีดิบนับร้อยยืนรอการมาของพวกเขาอยู่ โมไดดึงรันนิ่งออกมาจากเอวและยิ้ม

“ข้าขอเป็นผู้เปิดทางเอง” เด็กหนุ่มชูอาวุธบินของเขาขึ้น ดวงตาทอประกายวาววับขณะที่ท่องมนตร์ “บลาสต์!”

รันนิ่งระเบิดลุกเป็นไฟและวิ่งปราดออกไปทันที มันโฉบร่อนตัดร่างของผีดิบจนขาดกระจุยกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในขณะที่รัคเชนน์กระชับกรามร์ในมือแน่น แล้วสะบัดดาบฟันอากาศเต็มแรง

“พิฆาต!”

คลื่นพลังสีขาวพุ่งวาบออกจากคมดาบวิ่งเข้าใส่ฝูงผีดิบ พวกมันระเบิดเป็นผุยผงทันทีที่กระทบพลังของกรามร์ ดาร์คเอลฟ์สาวหมุนตัววาดมือเหวี่ยงดาบออกไปด้านข้างฟันร่างอสุรกายที่เดินเข้ามาใกล้จนขาดและลุกไหม้เป็นจุณ

“อัซซ์บรุนน์!”

เสียงเวทกำกับบรุนนาลาดังมาจากโมได เขาเหวี่ยงดาบเพลิงไปทุกด้านที่มีร่างของผีดิบหรืออสุรกายไม่เว้นแม้แต่โจรร้ายที่วิ่งเข้ามา เปลวเพลิงรูปจันทร์เสี้ยวตัดทุกอย่างที่ขวางจนพังราบเป็นหน้ากลอง ในขณะที่ฟอร์เซ็ตติร่ายเวทเพลิงเผาทำลายร่างของศัตรูทุกคน

ในที่สุดคนทั้งสามก็สังหารบริวารของจอมมารจนสิ้นไม่มีเหลือ พวกเขาเดินมาหยุดยืนที่บ่อหินละลายอันเป็นปราการสุดท้ายที่จะเข้าสู่ปราสาทของราชันย์ปิศาจ ฟอร์เซ็ตติมองดูสะพานหินที่ทอดโค้งข้ามกระแสลาวา เขาขมวดคิ้วเมื่อเห็นร่างของใครคนหนึ่งกำลังยืนขวางทางอยู่

“ข้าคงปล่อยให้พวกเจ้าผ่านเข้าไปไม่ได้”

ดาม่อนพูดขณะชักดาบออกมาจากฝัก รัคเชนน์เม้มปากตนแน่นก่อนพูด

“เจ้าจะภักดีกับเจ้ามารร้ายอีกต่อไปทำไม ในเมื่อหายนะกำลังรอเขาอยู่”

“ข้าพอใจที่ได้ทำเช่นนั้น” หัวหน้าโจรแห่งแซฟเวจย์กล่าวตอบ “แม้จะไร้ความเมตตาแต่ท่านคอร์ฟคาคาร์สก็ยังมอบความไว้วางใจในตัวของข้าซึ่งพวกพ้องเดียวกันไม่เคยมี”

“เจ้าอาจจะถูกชาวแซฟวีหักหลังมาโดยตลอด แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะต้องยอมสละชีวิตเพื่อเจ้าจอมมารชั่วนั่น”

“ท่านราชันย์มารอาจจะโหดเหี้ยมร้ายกาจ เพราะนั่นเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับตัวของท่านมาโดยกำเนิด มันเป็นความชั่วที่เกิดขึ้นโดยสัญชาติญาณ ผิดกับมนุษย์อย่างเราที่ยอมทำเลวเพื่อความสำเร็จของตนเอง”

“เจ้าคิดว่าเขาจะละชีวิตของเจ้าไว้หากได้ครอบครองทุกแผ่นดินแล้วอย่างนั้นหรือ” ฟอร์เซ็ตติเอ่ยถาม ดาม่อนมองหน้าเขาแล้วยิ้ม

“อย่างน้อยตอนนี้ข้าก็ยังมีลมหายใจ” เขาเหวี่ยงดาบมาข้างหน้า “ส่วนพวกเจ้าจงตายเสียที่นี่ทั้งหมดเถอะ”

ดาบในมือของดาม่อนสั่นระริกราวกับมีชีวิต เงาวิญญาณจำนวนมากหลั่งไหลออกมาจากเนื้อดาบสีเงินวาววับ โมไดกระชับบรุนนาลาของเขาแน่น มันเปล่งแสงสีแดงสุกสว่างขณะที่เด็กหนุ่มก้าวออกมาข้างหน้า

“ข้าจะเป็นคู่ต่อสู้ให้กับเจ้าเอง”

ดาม่อนเลิกคิ้วสูงดล้ายแปลกใจก่อนเหยียดริมฝีปากยิ้มเยาะ เขากวัดแกว่งดาบวิญญาณของเขาไปมามันส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนชวนสยอง

“มันเป็นดาบที่เคยใช้ประหารเหล่านักโทษ” ฟอร์เซ็ตติพูดกับเด็กหนุ่ม “พลังของมันจะเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่ได้ดื่มเลือดของคู่ต่อสู้ ระวังตัวไว้ด้วย โมได”

“ข้าจะช่วยส่งวิญญาณในดาบนั่นลงไปในนรกให้หมด ไม่ต้องกลัว”

เด็กหนุ่มตอบด้วยสีหน้ามั่นคง เขาเดินเข้าไปหาดาม่อนอย่างปราศจากความยำเกรง อีกฝ่ายยกดาบขึ้นวางจรดบนใบหน้าของตนและพุ่งตัวเข้าโจมตีโมไดอย่างว่องไว เด็กหนุ่มตั้งบรุนนาลาขึ้นรับและปัดอาวุธของฝ่ายตรงข้ามออกพร้อมกับเหวี่ยงกำปั้นเข้าใส่ปลายคางของเขา ดาม่อนถอยหลังออกมาสองสามก้าวก่อนถ่มน้ำลายลงบนพื้นแล้วยิ้ม

“ชั้นเชิงไม่เลวเลยนี่ไอ้หนู”

“ข้าจำมาจากเพื่อนของข้า” โมไดตอบพลางหมุนดาบในมือ คลื่นความร้อนแผ่กระจายออกมาจากตัวดาบเผาวิญญาณที่ลอยเข้ามากระทบจนแตกสลายไป หัวหน้าโจรหัวเราะ

“ข้าชักอยากเจอเพื่อนคนนั้นของเจ้าเสียแล้วสิ”

“ที่ที่แกจะไปมันตรงกันข้ามกับเขา!” เด็กหนุ่มตะโกน “เพราะข้าจะส่งแกลงไปยังนรก!”

เสียงคมดาบปะทะกันดังสนั่น และยิ่งเพิ่มความรุนแรงมากขึ้นทุกขณะ ดาม่อนอาศัยชั้นเชิงที่เหนือกว่ารุกเด็กหนุ่มจนเขาเกือบเสียทีไปหลายครั้งแต่ด้วยไหวพริบและความว่องไวผนวกกับวัยที่ยังน้อยทำให้โมไดสามารถตั้งรับและตีโต้คืนได้ทุกคราว เขายิ้มให้กับตัวเองเมื่อเห็นการเคลื่อนที่ของหัวหน้าโจรเริ่มช้าลง

“หมดแรงแล้วหรือไง” โมไดเยาะ ดาม่อนหัวเราะในลำคอ ก่อนก้าวถอยหลังออกไปสองสามก้าว เขาชี้ปลายดาบลงไปที่พื้น

“โปรดมอบพลังให้กับข้าด้วยท่านคอร์ฟคาคาร์ส” หัวหน้าโจรร้องขึ้น ยังไม่ทันที่โมไดหรือฟอร์เซ็ตตจะได้ทำอะไร ดาม่อนก็เสียบดาบเข้าไปในช่องท้องของตนเองจนสุดกำลัง ร่างสูงสะดุ้งเฮือก เลือดสีแดงเข้มไหลทะลักท่วมร่าง โมไดนั้นอ้าปากค้างด้วยความตระหนก

“จะ...เจ้าทำบ้าอะไรกัน”

หัวหน้าโจรแห่งแซฟวเจย์ยิ้ม แล้วจู่ๆร่างทั้งร่างก็เกิดอาการสั่นสะท้านขึ้นอย่างรุนแรง วิญญาณที่แฝงอยู่ในดาบต่างไหลพรั่งพรูออกมาและแทรกตัวไปตามส่วนต่างๆของร่างกาย

“นี่มัน”

ฟอร์เซ็ตติร้องขึ้นด้วยความตระหนกต่างจากโมไดที่ยังคงยืนนิ่ง เขากุมบรุนนาลาในมือแน่นเมื่อเห็นร่างของดาม่อนเริ่มขยายตัวออก แขนทั้งสองข้างแปรเปลี่ยนไปทีละน้อย มันเหยียดตรงขึ้นปลายนิ้วทั้งห้ารวบชิดเข้าหากันและสมานจนเป็นเนื้อเดียว ชั่วพริบตาร่างของหัวหน้าโจรก็กลายเป็นอสูรร้ายร่างอัปลักษณ์ที่มีแขนทั้งสองข้างเป็นดาบอันคมกริบ ดวงตาสีแดงก่ำจ้องมองโมไดอย่างมุ่งร้าย เขาร้องคำรามออกมา

“ตายเสียเถิด ไอ้หนู”

ร่างสยองเดินเข้าหาบุตรแห่งเดฟล่อนและเหวี่ยงแขนที่เป็นดาบทั้งสองข้างปาดไปมา โมไดหมุนตัวหลบคมดาบไปได้อย่างหวุดหวิดก่อนดึงรันนิ่งออกมาจากซอง คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันคล้ายกับกำลังลังเลใจ เด็กหนุ่มยิ้ม

“นักดาบก็ต้องวัดฝีมือกันด้วยดาบ”

รันนิ่งถูกเก็บกลับเข้าที่ของมันท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด้วยความเป็นห่วงของรัคเชนน์ โมไดหันมาหลิ่วตาให้กับนางก่อนกลิ้งตัวหลบฝ่าเท้าของดาม่อน เขาหมุนบรุนนาลาปาดไปที่ข้อเท้าของหัวหน้าโจรกลายร่างก่อนดีดตัวออกไปทางด้านข้างเพื่อให้พ้นจากรัศมีคมดาบของอสูรร้าย มันร้องด้วยความเจ็บปวดและเดินย่างสามขุมเข้าหาเด็กหนุ่มพร้อมกับเงื้อแขนที่เป็นดาบทั้งสองขึ้นหมายจะฟันร่างของเขาให้ขาดเป็นสามท่อน โมไดยืนรออย่างใจเย็น

“จงสำแดงพลังของเจ้าออกมา บรุนนาลา!”

เขาตะโกนร้องออกมาพร้อมกับยกดาบเพลิงขึ้นปัดแขนดาบที่ตวัดมายังเขาออกไปด้วยความว่องไว บรุนนาลาส่องแสงสุกสว่างราวเปลวเพลิง

“ลงนรกไปเสียเถอะ เจ้าโจรชั่ว!” โมไดแทงดาบเข้าไปที่อกของดาม่อนสุดแรงจนมิด

“อัซซ์บรุนน์!”

บรุนนาลาลุกโชติขึ้น เปลวเพลิงของมันเผาร่างอสูรของดาม่อนจนมอดไหม้ เขาก้าวถอยหลังออกไปสองสามก้าวแล้วจ้องมองดูโมไดแน่วนิ่ง และยิ้ม

“เก่งมาก เจ้าหนู”

ร่างแสนอัปลักษณ์ทรุดฮวบลงพร้อมกับดวงวิญญาณนับสิบดวงที่พุ่งหนีออกมาแต่เปลวไฟจากดาบเพลิงก็วิ่งตามไปแผดเผาพวกมันจนหมดสิ้นไม่มีเหลือ ในที่สุดหัวหน้าโจรแห่งแซฟเวจย์ก็สิ้นชีพลง

“เจ้าก็นับเป็นนักสู้คนหนึ่งเหมือนกัน”

โมไดเอ่ยขึ้นก่อนดึงดาบออกจากร่างของดาม่อนซึ่งบัดนี้คืนสภาพกลับเป็นมนุษย์ดังเดิม เด็กหนุ่มก้มศีรษะลงราวกับเป็นการให้เกียรติต่อผู้ตายก่อนหันมาทางฟอร์เซ็ตติและรัคเชนน์

“เก่งมาก” จอมเวทหนุ่มเอ่ยชมอย่างจริงใจ โมไดยกมือขึ้นลูบผมตัวเองด้วยความรู้สึกขัดเขินก่อนจะกล่าว

“เจ้าจอมมารอยู่ข้างใน พวกเรารีบเข้าไปกันเถอะ”


*/*/*/*/*/*

ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไรคห. 2 ที่มูนนี่โพสต์บทอวสานไว้ถึงไม่ขึ้น พยายามแก้ไขแล้วปรากฏว่ามันหายไปเลย ดังนั้นคงต้องขอรบกวนผู้อ่านตามบทจบบริบูรณ์ได้ที่ blog ค่ะ

ต้องขออภัยในความไม่สะดวกนะคะ

http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=moonyforever&month=06-07-2011&group=17&gblog=24

และ

http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=moonyforever&month=06-07-2011&group=17&gblog=25

ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านค่ะ

แก้ไขเมื่อ 06 ก.ค. 54 15:38:02

จากคุณ : Moony_Lupin
เขียนเมื่อ : 6 ก.ค. 54 08:39:36




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com