Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
หวานรัก ณ ปลายดง - 15 ติดต่อทีมงาน

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10764916/W10764916.html

บทที่ 15

มันคงจะดีกว่า หากว่าพี่ชายจะดื่มน้ำดับกระหาย และผ่อนคลายความเหนื่อยจากการซ่อมสะพาน ด้วยการวางกระบอกไม้ไผ่ลง แล้วเงียบไปเลย หรือไม่ก็เมินหน้าหนีแววตาภักดีของสามแสน เพราะถ้าเป็นแบบนั้น หัวใจของสามแสนมันไม่เจ็บ แต่ตอนนี้มันเจ็บ เพราะเขาออกปากไล่สามแสนอีกแล้ว

"กลับบ้านเสียที อย่าให้พูดหลายหนเลย ฉันก็พอรู้ว่าเธอไม่ใช่สาวปัญญาอ่อน ไอ้นิยายที่เธอแต่งตลกๆ ว่าด้วยเรื่องดั้นด้นเข้าป่าเข้าดงตามหาพี่ชายเพื่อขอบคุณที่ครั้งหนึ่งเขาเคยช่วยชีวิต มันอวสานตั้งแต่เธอได้เจอหน้าฉันในวันแรกแล้ว เข้าใจไหมสามแสน"

"เข้าใจค่ะ"

"เข้าใจก็ดีแล้ว พรุ่งนี้กลับบ้านเสียทีนะ"

"พี่ชายก็กลับกับสามแสนด้วยสิคะ พี่ชาย" สามแสนเรียกเสียงเข้มหนัก แล้วรีบยืดฝีเท้าตามไปขวางหน้า "อย่าเดินหนีสามแสนอย่างนี้ พี่ชายคือผู้ชายปากร้ายใจดี มีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว และรักษาคำสัญญา อย่าให้สามแสนต้องหมดศรัทธาในสิ่งเหล่านี้เลยค่ะ"

"หมดสิดี ให้สิ่งที่เธอเพ้อเจ้อมา หมดไปจากใจไม่เข้าท่าของเธอเร็วเท่าไหร่ ก็จะยิ่งดีต่อเธอเท่านั้น หลีก"

"มันไม่เข้าท่าตรงไหนคะ" สามแสนไม่หลีก แต่กลับย้อนถามด้วยท่วงท่ามุ่งมั่น สบตากล้าหาญ

"ฉันบอกว่าหลีก"

"ไม่หลีก"

"ปัญญาอ่อนจริงๆ "

สามแสนฉุนจัดทีเดียว พี่ชายจิ้มขมับลงมาหยาบๆ ออกแรงไม่มากเลย ก็สามารถยันได้ทั้งหน้าทั้งตัวของสามแสนเซแซดๆ แล้วร่างสูงก็ย้ายไปอวดผิวสีคล้ำกลางแดดอ่อน ก่อนจะค่อยๆ จมลงกลางลำน้ำ แล้วไปโผล่แค่ท่อนอกใกล้สะพาน

'ดื้อจริงๆ ' เธอย่นจมูกแล้วแอบค่อนขอดในใจ ตอนแรกก็ทำหน้าบึ้งนิดหน่อย แต่พอเขาหันมา เธอก็รีบแจกยิ้มน่ารัก นึกขำตัวเองที่เปลี่ยนอิริยาบถได้เร็วแท้ แต่ก็เกือบไม่ทัน เพราะวิถีมองมา มันก็เร็วเหมือนตวัดตาแวบเดียวเอง

"ยิ้มกับใครน่ะสามแสน"

"อ้อ นายเรก ยิ้มกับพี่ชาย เมื่อกี้นี้เราเถียงกันนิดหน่อย เขาเถียงสู้สามแสนไม่ได้หรอก เลยหนีลงน้ำไปแล้ว"

นายขิงย้ายแววตาอคติลงไปจับแขนคล้ำกลางลำน้ำ ย่นจมูกใส่นิดหน่อย ทำนองว่า 'ชังน้ำหน้า' แต่มันก็ไม่ใช่ความรู้สึกที่จริงจังร้อนแรง แค่ไม่ชอบที่อีกฝ่ายกร่างเงาในหัวใจใบพลูสุดสวยเท่านั้นล่ะ

"ราวป่าทางโน้นมีลำธารตื้นกว่าทางนี้หน่อย สามแสนลงไปว่ายเล่นได้อย่างปลอดภัยเลย สนไหม มีต้นไม้สูงและสวยให้ปีนด้วย กิ่งไม้แข็งแรง นั่งห้อยเท้าก็สบายนะ ไปไหม"

"ไป"

สามแสนพยักหน้ากลั้วรอยยิ้มกระตือรือร้น เธอหรี่ตาไปยังกลางลำน้ำ รีรอจนพี่ชายเหลียวกลับมา แล้วโบกมือแทนคำอธิบายว่า 'สามแสนไปทางโน้นนะพี่ชาย' จากนั้น ก็ควงแขนหนุ่มสุดหล่อชาวดงแต่หุ่นนายแบบ พาเดินตัวปลิวอย่างสนิทสนม

นายขิงเห็นแล้วละว่า นายดุมองตามทุกฝีก้าว จึงจงใจโอบไหล่สาวชาวกรุงผู้น่ารัก แสร้งยื่นหน้าพาปากชิดแก้ม ชวนคุยเรื่องป่าๆ ที่เจ้าของสายตาไม่ได้ยิน และเพราะไม่ได้ยิน และเพราะเห็นเพียงท่าทางใกล้ชิด สายตามันจึงพราวด้วยความระแวง 'อย่างลืมตัว'




ภภีมรีบสูดหายใจลึกยาว ระงับอาการ 'หึงหวง' เขาไม่ปฏิเสธมันหรอก แต่ก็ไม่ควรยอมรับและปล่อยให้มันเบ่งอิทธิพล

ในเมื่อเขาตั้งใจเด็ดเดี่ยวต่อการหันหลัง สามแสนก็มีสิทธิ์เต็มเปี่ยมต่อการคบหาชายใดก็ได้ แล้วชายใดที่ว่า ถ้าครอบครองหัวใจน่ารักดวงนั้นได้สำเร็จ เขาก็ขอยินดีด้วย แม้หัวใจตัวเองจะร้าวแหลกซ้ำแล้วซ้ำอีกก็เถอะ

"ไม่ใช่ตอกตรงนั้นนายดุ ข้างบนต่างหาก ใจลอยหรือ"

ตะปูหลุดมือเลย เพราะตกใจกับเสียงร้องเตือนดังๆ ยังดีว่าค้อนไม่หลุดมือตามไปด้วย เขากระแอมในลำคอ ก่อนจะร้อง 'อืม' ให้ผู้หวังดีรับรู้ พลางรับตะปูตัวใหม่มาตอกในตำแหน่งที่ควรตอก

"เป็นอะไรหรือเปล่า ไม่สบายไหม แกน่ะชอบว่ายน้ำเล่นตอนฝนตกนี่" ผู้หวังดีจิกคำถามไม่ปล่อยเลย

"ไม่เป็นไร ลืมบ้างไม่ได้หรือ ของมันพลาดกันได้ ฉันไม่ใช่เทวดานะ"

"โอ้ แกนี่ทำโง่นะ" เสียงครึกครื้นลอยมาขำๆ "อย่างแกน่ะหรือไม่ใช่เทวดา เอาล่ะ ไม่ใช่ก็ได้ แต่เทพบุตรน่ะ แกหลีกเลี่ยงไม่ได้นะเว้ยนายดุ สาวๆ มองกันตาเยิ้มเชียว นี่ขนาดแก่คราวพ่อมันแล้วนะ"

"ลุงฟ่อน เดี๋ยวเถอะ ไปไกลๆ หน้าเลย"

ผู้หวังดีชื่อ 'ลุงฟ่อน' แกหัวเราะลงลูกคอ ชอบใจที่แหย่นายดุให้หน้าตึงตาขวางได้ เพราะสังเกตว่า ตั้งแต่สาวชาวกรุงชื่อสามแสนมาปรากฏตัว หนุ่มใหญ่ออกอาการแปรปรวนรวนส่ายพิกล ทำงานไม่ค่อยมีประสิทธิภาพเหมือนเก่าเลย

ประเดี๋ยวก็ค้อนหล่นตะปูร่วง หงุดหงิด แล้วหยุดทำงานเสียเฉยๆ อย่างไม่มีเหตุผล หรือว่าจะจริงตามที่ลุงแม้นแอบมาเปรยๆ เมื่อคืนว่า

"แกคอยดูไปเถอะ แม่หนูสามแสนคนนี้แหละ จะเป็นคนมาพลิกชะตาชีวิตของไอ้นายดุล่ะ"

"หมอดูแล้วล่ะลุงแม้นเอ๊ย"

"ไอ้ลุงฟ่อน แกอย่ามาปรามาสความคิดความอ่านของไอ้ลุงแม้นนะเว้ย รู้จักฉันน้อยไปแล้ว ถ้าฉันไม่แน่จริง พวกแกจะยอมยกย่องฉันเป็นผู้นำหมู่บ้านหรือ ฟังต่อไหม" ตอนท้ายลุงแม้นก็ทำเป็นสำทับเสียงเข้มขึงขังเชียว

"โอ้ ฟังจ้ะฟัง" แล้วแกก็ต้องรีบประจบด้วยเสียงขำๆ กลับไป

"ตามสายตาอันแหลมคมของฉันนะเว้ย" ลุงแม้นโอ้อวดไม่อายปากเลย "แม่หนูสามแสนมีอิทธิพลต่อนายดุมาก ฉันมองออกว่านายดุมันเป็นห่วงแม่หนูจะตาย ตอนอุ้มไปส่งโรงหมอ ฉันเห็นน้ำตามันด้วย แล้วแกดูสิ มันมีเหตุผลอะไรที่จู่ๆ ต้องย้ายพรวดพราดเข้าไปซ่อนหน้าอยู่ในดงโจรวะ"

"อ้าว มันก็เบื่อหน้าเราไง หรือไม่ก็เบื่อหน้าลุงแม้น"

"มันตั้งใจซ่อนหน้าซ่อนใจมันต่างหาก มันไม่อยากให้เราจับได้ว่ามันคิดถึงแม่หนูคนนั้นเว้ย"

"คิดถึงทำไมวะ รู้จักกันแค่วันสองวัน"

"ความรักมันไม่สนใจเวลาแค่วันสองวันหรอกเว้ยไอ้ลุงฟ่อน ตอนแกรักเมียแก แล้วดักฉุดมาซ่อนอยู่ในป่าจนกลับออกไปไม่ได้น่ะ แกเจอหน้าเมียแกกี่หนวะ"

ลุงฟ่อนหัวเราะออกมาขำๆ เมื่อภวังค์ไหลมาสิ้นสุดลงตรงคำถามเจาะใจ แกยอมรับว่าตอนเป็นหนุ่มก็ทำไม่ค่อยถูกต้องนัก กับการดักฉุดศรีภรรยาเข้าป่ามาครองรักอย่างเอาแต่ใจ แต่มันก็ช่วยไม่ได้ แกเห็นปุ๊บก็รักปั๊บนี่หว่า

แล้วพ่อแม่ผู้หญิงก็เล่นตัว ตั้งแง่รังเกียจ หาว่าแกต่ำต้อยไร้สกุล แกหมั่นไส้ก็เลยดักฉุดเสียให้รู้แล้วรู้รอด แล้วเป็นยังไง ตอนนี้แกกับศรีภรรยามีลูกมาเป็นโซ่ทองคล้องรัดยาวเฟื้อยตั้งหกคน เลี้ยงกันแทบไม่ไหว

มันอาจจะจริงตามที่ลุงแม้นคาดการณ์ไว้ก็ได้ เพราะโดยปกติแล้ว นายดุไม่ค่อยจะมีปฏิกิริยาตอบสนองกับอะไรง่ายๆ ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ หรือสิ่งของ

เจ้าตัวมาโผล่ในป่า พร้อมกับท่าทางหมดอาลัยตายอยาก คล้ายว่า 'อยู่ได้ก็อยู่ ตายได้ก็ตาย' และไอ้ท่วงท่าแบบนี้ มันก็สอดคล้องกันดีกับการวางเฉยไปเสียหมดทุกเรื่องที่ดาหน้าเข้าหา

จะมีก็แต่แม่หนูชาวกรุงคนนั้นละกระมัง ที่สะกิดปฏิกิริยาของไอ้หนุ่มหน้าดุให้เกิดได้ ก็ดูแต่เวลานี้สิ เจ้าตัวไม่ค่อยมีสมาธิทำงานสักนิด คอยแต่เหลียวไปยังราวป่าที่แม่หนูชาวกรุงหายเข้าไปพร้อมกับนายขิง แกไม่ได้นับหรอกว่ากี่ครั้งแล้ว แต่ถ้าใครถาม แกจะตอบเลยว่า 'ถี่เว้ย'




ใบพลูกระแทกกระบอกไม้ไผ่ดังตึก น้ำดื่มข้างในกระฉอกเล็กน้อย ร่างเล็กน่าเอ็นดูใต้ชุดกางเกงขาสั้นสีน้ำตาลกับเสื้อยืดคอกลมสีขาวตัวหลวม หย่อนกระฟัดกระเฟียดเบียดเข่านายดุ ตาขวางร้อนก็ซัดไปขึงขังกับสามแสน ที่สะเออะมานั่งประชิดติดเนื้อหนุ่มใหญ่หวานใจ

"ที่นั่งมีตั้งเยอะ จะมาเบียดอาดุของฉันทำไม ถอยไปอีก" หล่อนแหว ถือดีว่าเป็นเจ้าถิ่น

"เออ รู้ว่าเบียดก็ดีแล้ว ถอยๆ กันออกไปเสียบ้าง ไม่รู้จะอัดเข้ามาทำพระแสงอะไร กินข้าวไม่ค่อยจะลง"

ภภีมเปรยลอยๆ ไม่เชิงว่าไล่ใคร ระหว่างสาวชาวป่ากับสาวชาวกรุง เพราะแม่สองนางก็จงใจมานั่งเบียดขนาบ จนกระดิกไม่ได้ เขาตกเป็นเป้าสายตาขำๆ ที่ไม่อยากจะบอกว่าหลายคู่ เพราะเท่าที่เห็น มันก็ทุกคู่เสียมากกว่า ไม่ยกเว้นแม้แต่แม่บ้านแม่ครัว ที่ยังทยอยยกอาหารเข้ามาตั้งกลางวงอีกหลายวง

"สามแสน ทางนี้" นายขิงตะโกนเรียก พลางกวักมือ

"ถ้าอย่างนั้น สามแสนไปนั่งวงโน้นนะคะพี่ชาย"

"จะไปก็ไป เธอเป็นอะไรกับอาดุหรือ ถึงต้องรายงานหรือขออนุญาต ไปสิ รีบไป เดี๋ยวไอ้พี่ขิงมันจะลงแดงเสียก่อน ดูตาดูหน้ามันสิ คิดถึงเหมือนจะเป็นจะตาย ทุเรศจริงๆ "

พาลหาเรื่องสาวชาวกรุงมันไม่หนำใจพอ ใบพลูคนสวยจึงต้องกระแนะกระแหนแผ่เผื่อไปยังหนุ่มชาวป่าหน้าหล่ออีกเล็กน้อย หล่อนไม่พอใจเอง มันเป็นความรู้สึกแปลกแปร่งอยู่ในห้วงอารมณ์ บรรยายไม่ถูก แต่สัมผัสได้ว่าหงุดหงิดและไม่ชอบ

ถ้าเป็นไปได้ นายขิงก็ไม่ควรแสดงความสนิทสนมจี๋จ๋ากับสาวคนอื่นต่อหน้าหล่อนไม่ใช่หรือ ในเมื่อเขาเป็นเจ้าของจูบแรกที่หล่อนสูญเสีย เขาก็ต้องรับผิดชอบ ให้เกียรติไว้หน้า ยกย่องให้หล่อนเป็นใหญ่ที่สุด เหนือใจ และเหนือหญิงอื่น

"เดี๋ยว สามแสน" ภภีมแตะมือเล็ก ก็แค่แตะเบาๆ แต่ใบพลูตาวาววับ อกร้อนฉ่าทันที "ตอบฉันมาก่อน ที่ฉันสั่งไว้เมื่อตอนบ่ายน่ะ จะว่ายังไง"

"เรื่องอะไรคะ พี่ชายสั่งตั้งหลายเรื่อง สามแสนจำได้ไม่หมดหรอก"

"แล้วจำเรื่องไหนได้บ้างล่ะ"

"ก็.. " สาวงามทำท่าคิด กลอกตาปั้นหน้าทะเล้น "ก็ไม่จำทั้งหมด เพราะคำสั่งของพี่ชาย มันไร้เหตุผล และออกแนวเผด็จการไปหน่อย"

"สามแสน" เสียงทุ้มถูกกระชากออกมาอย่างไม่ค่อยพอใจ

"ปีนี้สามแสนอายุยี่สิบสองแล้วนะคะ เรียนจบปริญญาตรีแล้ว สามแสนจะไม่กลัวพี่ชายเหมือนเมื่อห้าปีก่อนอีก อันที่จริง ตอนนั้นสามแสนก็ไม่ได้กลัวพี่ชายหรอกนะ แต่เห็นว่าตัวเองยังเด็กอยู่ ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงผู้ใหญ่ มันบาป"

'เด็กบ้า' ภภีมลอบด่าปนอารมณ์กระสันนิดๆ เธอลอยหน้าเข้ามาเสียใกล้ตอนท้ายประโยค เน้นเสียงเข้มหนักเหมือนยั่วให้เขาเกิดโทสะ ตีมือเขา แล้วลุกผละไปนั่งเบียดเข่ากับนายขิง

พอรับจานข้าวจากหนุ่มหล่อ เธอก็ยังมีแก่ใจเหลียวกลับมาเม้มปากยิ้ม ลอยหน้าทะเล้นยั่ว คิดว่าเธอคงไม่รู้นั่นละว่า เขาอยากกระแทกหน้าเธอด้วยจานข้าวแถวๆ นี้

"เมื่อไหร่จะไปๆ ให้พ้นๆ เสียที น่ารำคาญ มาลอยหน้าอวดสวยอยู่ได้ เปลืองเวลาชะมัด ในป่าละแวกนี้ จะมีใครมาสวยเกินหน้าเกินตาใบพลูได้ เชอะ หาไปเถอะ"

ใบพลูบ่นค่อนขอดไปเรื่อย แต่มือก็ไม่ลืมปรนนิบัติเอาใจ ตักกับข้าวใส่จานหนุ่มใหญ่หวานใจ เขาปรายตามองดุๆ หล่อนก็ยิ้มหวานบาดจิตสวนกลับ

เขาส่ายหน้าเอือมกับรำคาญ หล่อนก็ทำทีกระแทกไหล่ย่นหน้าทะเล้น ตั้งใจว่าต้องใช้วัยสะพรั่งกับกิริยาน่ารักน่าเอ็นดู กระชากใจหนุ่มใหญ่วัยคราวพ่อให้หลุดปลิวจากขั้วชาเย็นให้จงได้

สาวสวยอย่างใบพลูไม่เคยล่วงรู้เลยต่างหากว่า หัวใจของหนุ่มใหญ่วัยคราวพ่อ มันหลุดวิ่นปลิดปลิวไปนานร่วมยี่สิบปีแล้ว ชุลียาคือเจ้าของอย่างถาวร หล่อนครอบครองไว้ในสองมืออบอุ่นแต่ห่างเหินกันคนละภพ

แม้ว่า ณ ยามนี้ หล่อนอาจจะโอนหัวใจภักดีดวงนั้นสู่อุ้งมือปรารถนาของสามแสนไปแล้ว แต่สำหรับภภีม เจ้าของหัวใจแหลกสลาย มีเพียงคนเดียวหน้าเดียวและชื่อเดียว คือ 'ชุลียา'

แต่ก็นั่นล่ะ ชุลียาเป็นได้เพียงความทรงจำ การพลัดพรากจากตายก็เป็นได้เพียงจุดหักเหจุดหนึ่ง มันคือความว่างเปล่าสำหรับชีวิตที่ยังก้าวเดินต่อไปของภภีม

สามแสนเพียงแต่รีรอต่อการจี้เจาะเหตุผลนี้สู่หนุ่มใหญ่ใจรั้นเท่านั้นเอง เธอยังไม่สบช่อง แต่ก็จะไม่ย่อท้อและถอยหลัง สำหรับเธอ พี่ชายคือทุกก้าวที่จะกระตุ้นเร่งเร้าให้เดินไปข้างหน้าสถานเดียว

สามแสนพกพาความรักและความจริงใจอันมุ่งมั่นเช่นนี้ ดั้นด้นเข้าสู่ป่าดง แล้วผลลัพธ์ที่ปรารถนา มันก็ธรรมดามาก ซึ่งก็อาจจะได้ยินพี่ชายยอมรับในเชิงลบ ทำนองว่า 'ใช่ พี่รักสามแสน แต่เราคงไม่เหมาะจะรักกัน พี่จึงจำเป็นต้องจากสามแสนมาโดยไม่ล่ำลา'

คนอื่นอาจจะมองว่า คำตอบเช่นนี้ ไม่ได้ยืนยันชัดเจนว่า เขารักสามแสน แต่สำหรับสามแสน ประโยคอย่างนั้นล่ะ คือความรักที่ไม่มีวันบิดเบือนในหัวใจของพี่ชาย เธอจึงปรารถนาที่จะฟัง มากกว่าประโยคสารภาพตรงๆ เพียงแค่ว่า 'พี่รักสามแสน'

ดังนั้น มันจึงไม่แปลกเลย หากสามแสนจะหยุดยั้งความคิดสุขุมลง เพื่อซึมซับกับปฏิกิริยาของหัวใจข้างใน มันกำลังพองโตอย่างปลาบปลื้ม เพราะพี่ชายเผยความเยือกเย็นที่ไม่มั่นคงเอาเสียเลยให้เห็น

จริงอยู่ แม้จะย้ายวงมานั่งกับนายขิงแล้วก็ตาม แต่สามแสนก็ไม่ลืมลอบสังเกตพี่ชายอย่างเงียบๆ จนได้พบว่า เขาหมั่นชำเลืองมามอง หรี่ตาสังเกต เม้มปากคล้ายระแวงหรือไม่พอใจ เขาทำบ่อย หลายครั้ง กระทั่ง 'ถี่ๆ '




อากาศยามค่ำของคืนนี้ แม้จะไม่ปลอดโปร่งนัก แต่ก็ไร้ละอองฝนมาก่อกวนให้หวาดระแวง สะพานอาจจะซ่อมเสร็จเร็วขึ้น ภายในวันพรุ่งนี้ หรืออีกวันสองวัน แค่ว่าฝนจะแห้งให้ต่อเนื่องไปสักหลายวัน

ภภีมไม่หนาว แม้ว่าลมหนาวจะพัดผ่านมาแผ่วๆ เขาสวมกางเกงผ้าฝ้ายขาสามส่วน บนร่างกำยำที่ย้อมผิวด้วยสีคล้ำก็ปกปิดไว้เพียงเท่านั้น และกองไฟตรงหน้า ก็สาดแสงสีส้มกระทบแผงอก ทำให้ตรงนั้น มันแลสว่างกว่าตำแหน่งอื่น

เงาวูบวาบกับเสียงฝีเท้าเบาๆ เหนี่ยวมือให้หยุดเขี่ยกิ่งไม้ในกองเพลิงสีสวย พร้อมกับดึงตาขรึมดุขึ้น สามแสนยิ้มหวาน แต่ไม่ค่อยกลมกลืนกับแววตาทะเล้นนัก ภภีมก็เอ็นดูอยู่ แต่จนใจว่ามองนานไม่ได้ เขารีบตวัดกลับเมื่อจับได้ว่าหัวใจตัวเองมันดังตึงตังเกินไป

"สามแสนชงกาแฟมาให้ ลุงแม้นบอกว่าคืนนี้เป็นเวรของพี่ชาย ดื่มกาแฟเยอะๆ จะได้ไม่ง่วงเร็วไง เผื่อว่านักโทษแหกคุกคนนั้น จะโผล่พรวดพราดมา พี่ชายก็จะได้มีแรงไปสู้ ไป.. "

"วางไว้ แล้วไปนอนเถอะ ขอบใจนะ"

"ไม่เป็นไร สามแสนยังพูดไม่จบ" เธอดื้อเรียบร้อย แล้วนั่งบนก้อนหินก้อนหนึ่ง ยิ้มกว้างท้าทายประกายตาดุ "สามแสนเก็บส้มมาให้พี่ชายด้วย"

"ขอบใจ วางไว้ แล้วไปนอนเถอะ" ภภีมยืนยันวาจาเดิม

"สามแสนปีนขึ้นไปเองเลยนะ" สาวน่ารักก็ยืนกรานท้าทายด้วยแรงดื้อเรียบร้อย "นายเรกพาสามแสนไปเที่ยวในป่าตรงโน้น มีต้นส้มเยอะแยะ ต้นกล้วยก็เยอะนะ แต่สามแสนเลือกเก็บส้ม เพราะเห็นว่า.. "

"สามแสน ฉันเข้าใจแล้ว ขอบใจ ไปนอนเถอะ"

"พี่ชาย"

"ฉันไม่อยากจะด่าว่าเธอปัญญาอ่อน แต่เธอก็บังคับให้ฉันต้องด่าออกมาทุกที"

"พี่ชายคะ"

"ฟังให้ดีนะสามแสน" ภภีมหมุนตัวมาประจันแววตาน้อยใจ "ฉันพูดมากแล้ว พูดหลายหน และไม่นึกเหมือนกันว่าเธอจะมองไม่ออก ฟังไม่เข้าใจ ว่าฉันไม่ต้องการให้เธออยู่ที่นี่นานไปกว่านี้"

"แต่สามแสน.. "

"ฉันไม่สนใจความตั้งใจ ความเด็ดเดี่ยว และความมุ่งมั่นไร้สติ ที่คนจบปริญญาตรีน่าจะตรองได้เข้มกว่านั้น"

"ฟังสามแสน.. "

"เธอต่างหากที่ต้องฟังฉัน ฟังแล้วก็ทำตาม พรุ่งนี้กลับบ้านของเธอ ลืมที่นี่ ลืมฉัน แล้วถ้าเธอบอกว่า ที่เธอเข้ามาในครั้งนี้ ก็เพราะรู้สึกติดค้างในบุญคุณของฉัน อยากขอบคุณด้วยปากของตัวเอง ฉันก็ได้ยินหมดแล้ว"

"พี่ชาย"

"แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันยังไม่เห็นเธอทำ และฉันก็อยากให้ทำ นั่นก็คือตอบแทนน้ำใจที่ฉันเคยช่วยชีวิตเธอไว้เมื่อห้าปีก่อน ไม่ว่าฉันจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม ด้วยการกลับบ้านแล้วอย่ากลับมาที่นี่อีก"

"แล้วเราก็จะไม่ได้พบกันอีก"

"ฉันก็ทำอย่างนั้นให้เธอเห็นแล้วนี่ ฉันหันหลังให้เธอ จากเธอมาโดยไม่ล่ำลา ไม่รอจนกว่าเธอจะพ้นขีดอันตราย เพราะฉันไว้ใจไอ้หมอ ฉันเชื่อว่ามันจะช่วยชีวิตเธอได้ เธอรอดตายก็ดีแล้ว ฉันพอใจแค่นั้น แล้วระหว่างเรา มันก็จบแค่นั้น"

สามแสนเม้มปาก ใจระคายไปด้วยหนามเล็กๆ ที่กรูมาทิ่มแทง ทุกวาจาตัดรอนของพี่ชายเชือดเฉือนโหดร้ายไปหน่อย เธอเชื่อว่าเขาปรารถนาอย่างนั้น เขารักชุลียา ภรรยาผู้พลัดพรากจากตายไปพร้อมกับเลือดก้อนแรกในอก

เขาจะไม่ต้อนรับโอกาสใหม่ รักใหม่ หญิงใหม่ แต่เขาคงลืมไปว่า ชีวิตที่หมดอาลัยตายอยากของเขา มันเริ่มต้นด้วยก้าวใหม่ก้าวแล้วก้าวเล่าทุกๆ เช้าที่ดวงตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า แล้วมันจะมีสักก้าวไม่ได้เชียวหรือ ที่จะบรรจบพบชนกับสามแสน

เขาลุกไปยืนหันหลัง อวดความเพรียวในวัยสี่สิบต้นๆ แผ่นหลังสีคล้ำแลบึกบึนและแข็งแกร่ง พร้อมที่จะต้อนรับใบหน้าของสามแสนลงแนบอย่างแสนรัก แต่สามแสนจะไม่ทำอย่างนั้นหรอก เขาต่างหากต้องเป็นฝ่ายหยิบยื่น ต้องเป็นฝ่ายเผยความปรารถนาอยากสัมผัสและแนบชิดใบหน้าของสามแสนเอง

"สามแสนมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการเดินทางกลับเข้ามาที่นี่ สามแสนยังไม่ได้บอกพี่ชายเลย" เธอตามมายืนข้าง แล้วเอ่ยเสียงขรึม

"ถ้ามันจะทำให้เธอกลับบ้านไปอย่างหมดความค้างคาใจ ฉันก็ยินดีจะฟัง เธอบอกมา แล้วกลับไปนอน พรุ่งนี้ให้ตื่นแต่เช้ามืด แล้วฉันจะให้ลุงกาจนำทางเธอกลับบ้าน"

"สามแสนคิดถึงพี่ชาย ตั้งแต่ตื่นลืมตาในวินาทีแรก สามแสนเจอหน้าพี่หมอแทนหน้าพี่ชาย หายป่วยและดึงดันจะกลับมาตามหาพี่ชายที่นี่ แต่พี่หมอก็ถ่วงเวลาด้วยเหตุผลที่ว่า สามแสนยังเด็ก อาจจะยังไม่เข้าใจว่า การอยากลับมาหาพี่ชายที่นี่ มันเรียกว่าอะไร หรือหมายความว่ายังไง"

"จะบอกว่าตอนนี้บอกได้แล้วว่ามันเรียกว่าอะไร หรือรู้แล้วว่ามันหมายความว่ายังไง ใช่ไหม"

"ค่ะ สามแสนเข้าใจทั้งหมดแล้ว และสามแสนก็จะไม่ทิ้งมันไป สามแสนมาเพื่อขอบคุณ มาเพื่อพาพี่ชายกลับบ้าน มาเพื่อบอกว่าสามแสนรัก.. "

"เป็นไปไม่ได้หรอกสามแสน อย่ามาปัญญาอ่อน"

'สามแสนรักพี่ชาย' ประโยคนี้สำคัญไม่ใช่หรือ มันเป็นความตั้งใจที่สามแสนวางไว้ข้อสุดท้าย แต่พลังของมันกลับยิ่งใหญ่เหนือกว่าสองข้อแรก

หากแต่ภภีมก็ไม่ได้อดทนฟังจนถึงข้อนั้น เขาตัดบท แค่นหัวเราะเหมือนโกรธ เดินหนีไปสองสามก้าว แล้วค่อยหมุนกลับมาเท้าสะเอว ประจันหน้ากับแววตาหม่นหมอง

"ฉันจะไม่ไปไหน เทวดาหน้าพรหมก็มาพาฉันออกไปไม่ได้ ฉันเกลียดที่นั่น แล้วฉันก็เชื่อว่าเธอคงรู้เรื่องของฉันจากไอ้หมอมันหมดแล้ว เธออาจไม่รู้สึกอะไร และคิดว่าสิ่งที่ฉันทำอยู่ มันเหลวไหลและยึดมั่นถือมั่นกับสิ่งที่จบไปแล้วเกินไป"

"สามแสนไม่ได้คิดอย่างนั้น สามแสนเพียงแต่.. "

"ฉันไม่สนใจความคิดของคนทั้งโลกหรอก ฉันรู้แต่ว่าฉันสูญเสียอย่างใหญ่หลวง แล้วถ้ามันการเป็นสูญที่เกิดจากน้ำมือคนอื่น ฉันก็ยังพอทำใจยกโทษให้ตัวเอง แต่เธอคงรู้แล้วสิว่า คนอื่นไม่ได้ทำในสิ่งเหล่านี้ คนที่ทำไม่ใช่คนอื่น"

น้ำตารื้นขึ้นทันทีด้วยความสะเทือนใจยิ่ง สามแสนสงสารพี่ชาย ตาขรึมดุแดงก่ำขึ้น พร้อมกับหยาดน้ำใสก็คลอเบ้าในทันทีที่เขาเท้าความแม้จะเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของอดีตก็ตาม

เสียงสั่นเครือที่สำทับลอดไรฟัน ก็ทั้งหนักและต่ำลึก เขาเจ็บปวดมากเลยใช่ไหม เธอมาตอกย้ำเขาด้วยความตั้งใจของตัวเองอย่างนั้นหรือ

"พี่ชายขา สามแสน.. "

"ตอบแทนบุญคุณของฉัน ด้วยการกลับบ้านนะสามแสน แล้วอย่ากลับมาอีก ฉันขอร้อง อย่าบีบคั้นให้ฉันอึดอัด คับแค้น จนต้องหนีหัวซุกหัวซุนไกลไปกว่าป่าผืนนี้อีกเลย ทิ้งฉันไว้ที่ปลายดงแห่งนี้ ทิ้งฉันไปสามแสน ทิ้งฉันไป ฉันขอร้อง"

แล้วน้ำตาแห่งความขมขื่นก็รินเป็นสาย ทั้งสามแสนที่ตรึงร่างไม่ไหวติง ทั้งภภีมที่หันหลังให้อย่างร้าวราน หนุ่มสาวเกาะกุมความเจ็บปวดภายใน ด้วยน้ำตาทุกหยดที่ร่วงเผาะอย่างเงียบๆ

สามแสนได้แต่เฝ้ามองแผ่นหลังผ่านม่านน้ำตาพร่าเลือน เธอยังเชื่อมั่นเสมอว่า มันต้องอบอุ่นมากยามที่พาใบหน้าลงแนบอย่างแสนรัก แต่ว่าขณะนี้ เธอไม่กล้าสืบเท้าเข้าใกล้วิมานระกำที่พี่ชายย้ายขึ้นไปพักพิงแล้ว ด้วยความเงียบที่เขาก่อขึ้น หลังสิ้นประโยควิงวอนแตกพร่าน่าสงสาร

ความสงสารกำลังแปรรูปเปลี่ยนร่างเป็นกำแพง ถ้าสามแสนยอมสยบ ถอดใจ ท้อถอย และหันหลังกลับ พี่ชายก็จะถูกบดบังไว้เบื้องหลัง แล้วเธอก็จะไม่มีโอกาสได้พบได้เจอกับเขาอีกเลยตลอดกาล

มันเป็นนาทีสำคัญที่สามแสนต้องตั้งสติ และไตร่ตรองอย่างรอบคอบ เธอเม้มปากเยือกเย็น ตระหนักอย่างเจ็บปวดว่า ความรักของเธอมันแขวนอยู่บนเส้นด้ายบางๆ ของคำถามต่อไปนี้ว่า

'ยอมสยบหรือเปล่าสามแสน ถอดใจไหม ท้อถอยหรือยัง ตัดสินใจดีๆ หน่อย เพราะการหันหลังในครั้งนี้ จะไม่จบสิ้นลงเพียงแค่คืนนี้นะ แต่มันส่งผลยาวนานชั่วนิจนิรันดร์ทีเดียว ใคร่ครวญดีๆ สามแสน ใคร่ครวญดีๆ '

จากคุณ : รัชนีกานต์
เขียนเมื่อ : 6 ก.ค. 54 18:45:24




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com