พอตกบ่ายเจ้าชายกันนาร์ก็เสด็จมารออยู่ที่ห้องปรุงยาตามรับสั่ง พระองค์พาหนุ่มหล่อชาวแลมพ์ตันในเครื่องแต่งกายแบบนักบวชไปยังอาคารทรงวิคตอเรียซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากวิหารจันทรามากนัก ระหว่างทางก็อธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง พร้อมกับย้ำว่าหน้าที่ของเขาคือทำให้เจ้าหญิงแคธรีนกลับเป็นเหมือนเดิมโดยเร็วที่สุด
นักบวชหนุ่มเดินอย่างสงบเสงี่ยมตามหลังคนเป็นเจ้าชายไปบนระเบียงหินอ่อนที่มีภาพวาดของอดีตราชาและราชินีแห่งกรีนแลนด์ในกรอบทองคำฝังอัญมณีล้ำค่าแขวนประดับ สลับกับเชิงเทียนตั้งพื้นทรวดทรงอ่อนช้อยและกระจกเงาสูงท่วมศีรษะในกรอบทองคำฉลุลายละเอียดงาม เนื้อกระจกเที่ยงตรงใสแจ๋วสะท้อนภาพช่องหน้าต่างโค้งฝั่งตรงข้าม เลยไปถึงท้องฟ้าสีครามจัดแต้มระบายด้วยปุยเมฆขาวภายนอก
ที่หน้าต่างบานหนึ่งมีชายหนุ่มร่างสูงยืนอยู่ เส้นผมสีดำสนิทยาวถึงกลางหลังและอาภรณ์สีดำล้วนทำให้เขาดูสะดุดตายิ่งกว่าเครื่องเรือนราคาแพงพวกนั้นหลายเท่า ท่ากอดอกเหยียดตัวตรงขาแยกออกจากกันเล็กน้อย แฝงความเชื่อมั่นในตัวเองเต็มเปี่ยมจนเกือบจะกลายเป็นหยิ่งผยอง ทว่าเมื่อเจ้าชายกันนาร์สาวพระบาทเข้าไปใกล้ ชายผู้นั้นก็หันกลับมาถวายคำนับทันทีเหมือนรออยู่แล้ว ท่าหยิ่งผยองหายวับไปกับตาเหลือเพียงรอยยิ้มสวยบนใบหน้าหล่อเหลาชวนมอง “สวนในลินเด็นงามจริง เห็นทีหม่อมฉันต้องส่งคนสวนที่ทาเนียร์มาเรียนรู้วิธีการจัดสวนกับพระองค์บ้างแล้ว”
“เจ้าชายดิเร็กซ์!!“ เจ้าชายกันนาร์อุทานอย่างตื่นตะลึง หากเพียงครู่เดียวก็ทรงเกลื่อนสีพระพักตร์ได้เป็นปกติ พระองค์รีบสาวพระบาทเข้าไปหาผู้เป็นแขกพลางกล่าวขอโทษไปด้วย
“หม่อมฉันไม่ทราบว่าจะเสด็จ ต้องขอประทานอภัยจริงๆ พ่ะย่ะค่ะที่ไม่ทันได้ส่งคนไปต้อนรับ”
“ไม่ใช่ความผิดของพระองค์หรอกพ่ะย่ะค่ะ ทางหม่อมฉันต่างหากที่เดินทางมาลินเด็นกะทันหัน ...ได้ข่าวว่าราชาเอลเบอเรธประชวรหนัก”
คิ้วเข้มของเจ้าชายกันนาร์เลิกสูงขึ้นเล็กน้อย พระหทัยเต้นแรง พระองค์คาดไม่ถึงจริงๆ ว่าแผนการขององค์ราชาจะสัมฤทธิ์ผลไวปานนี้
“ ‘ข่าว’ ลือไปไกลจนถึงทาเนียร์เชียวหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันเพิ่งกลับจากซาร์ด บังเอิญเดินทางผ่านมาแถวนี้พอดี ได้ยินชาวบ้านแถบชายแดนพูดกันหนาหูว่าองค์ราชาทรงพระประชวร ยังไม่รู้ว่าจริงเท็จแค่ไหน”
“พระองค์ก็เลยรีบร้อนเสด็จมาหาคำตอบจนถึงที่นี่”
เจ้าชายดิเร็กซ์ทรงพระสรวลเบาๆ เสมือนไม่รู้เท่าคำประชดของอีกฝ่าย
“เชิญเสด็จทางนี้เถิดพ่ะย่ะค่ะ”
เจ้าชายกันนาร์ออกเดินนำผู้เป็นแขกตรงไปยังห้องรอเฝ้าสุดมุมระเบียง โดยมีนักบวชชาวแลมพ์ตันเดินตัวลีบตามหลังไปด้วย อาคันตุกะหนุ่มปรายพระเนตรมองเจ้าของร่างในชุดสีเทาเงินยาวรุ่มร่ามนั้นแวบหนึ่ง ก่อนตรัสขึ้นลอยๆ
“ ‘ข่าวลือ’ ที่พระองค์ว่า เห็นทีจะเป็นเรื่องจริงสินะพ่ะย่ะค่ะ”
“อะไรทำให้ทรงคิดเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
เจ้าชายดิเร็กซ์แย้มพระสรวล
“เพราะว่านักบวชคงไม่มาเดินเล่นในตำหนักหลวงแน่ๆ หรือว่าเจ้าชายทรงมีกิจอื่นใดกับนักบวชรูปงามที่เดินตามมาข้างหลังคนนั้นล่ะพะย่ะค่ะ ถ้าเป็นเช่นนั้นหม่อมฉันก็ต้องขอประทานอภัยด้วยที่เดาผิด”
ดวงเนตรสีม่วงของเจ้าชายกันนาร์หรี่ลงเล็กน้อย ทรงซ่อนความหงุดหงิดพระทัยเอาไว้ภายใต้น้ำเสียงร่าเริงตามปกติ เมื่อตรัสว่า
“เจ้าชายช่างสังเกตเหลือเกิน ถูกแล้วพ่ะย่ะค่ะ องค์ราชาของเราประชวรพระโรคประหลาดมาหลายวันแล้ว ท่านหมอเองก็ดูเหมือนจะจนใจ ไม่ว่ายาขนานใดก็ไม่สามารถรักษาพระอาการให้ทุเลาลงได้ หม่อมฉันเลยคิดจะลองพึ่งเวทมนตร์ของพวกนักบวชดูบ้าง”
“ขนาดนั้นเชียวหรือพ่ะย่ะค่ะ...” ชายหนุ่มผมดำเบิกตากว้างด้วยท่าทีเสแสร้งอย่างเห็นได้ชัด “พอดีหม่อมฉันเพิ่งไปรับตัวนักบวชที่เก่งที่สุดของทาเนียร์กลับมาจากซาร์ด ถ้าเจ้าชายไม่รังเกียจหม่อมฉันจะตามตัวเขามาช่วยตรวจดูพระอาการอีกแรง...”
“อย่าได้ทรงลำบากไปเลยพ่ะย่ะค่ะ เรามี ‘ท่านเมล’ นักบวชที่เก่งที่สุดของกรีนแลนด์อยู่ตรงนี้ทั้งคนแล้ว แต่ก็ต้องขอบพระทัยที่ทรงเป็นห่วง”
“นักบวชที่เก่งที่สุดของกรีนแลนด์?” เจ้าชายดิเร็กซ์เลิกพระขนง
“เจ้าหนุ่ม...เอ่อ...ท่านผู้นี้น่ะหรือพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันว่าเขาออกจะดูอ่อนอาวุโสไปสักหน่อย ที่ทาเนียร์ของเรานักบวชอายุน้อยขนาดนี้เป็นได้แค่พวกฝึกหัดเท่านั้น แล้วที่สำคัญ นักบวชเขาไม่พกดาบกันไม่ใช่หรือ...ท่านเมล” ท้ายประโยคทรงหันไปตรัสกับ ‘นักบวชที่เก่งที่สุด’ โดยตรง
คนที่ถูกทึกทักให้เป็นนักบวชตวัดสายตาขึ้นมองผู้พูดเป็นครั้งแรก ดวงเนตรคมกริบสีรัตติกาลที่จ้องตอบกลับมาทำให้หัวใจของนางแทบจะหยุดเต้น เมลิอานาร์พยายามอย่างยิ่งที่จะบังคับสายตาไม่ให้เหลือบแลไปยังรอยสีแดงจางๆ บนหลังพระหัตถ์ขวา ซึ่งนางรู้ดีว่าเกิดขึ้นเพราะสาเหตุใด ...เจ้าชายดิเร็กซ์ยังไม่ทรงลืมเรื่องเมื่อคราวก่อน ข้อนี้หญิงสาวแน่ใจ แต่ที่แน่ใจยิ่งกว่านั้นคือ ดูเหมือนพระองค์จะจำนางได้ด้วย!
เมลิอานาร์กลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ แข็งใจตอบออกไปด้วยน้ำเสียงธรรมดาที่สุด
“พ่ะย่ะค่ะ นักบวชย่อมไม่พกอาวุธไม่ว่าชนิดใด มันเป็นกฎ”
“อย่างนั้นหรือ ข้านึกว่าท่านได้รับการยกเว้นจากกฎข้อนี้เสียอีก”
น้ำเสียงของเจ้าชายดิเร็กซ์ฟังสะดุดหูเสียจนเจ้าชายกันนาร์ต้องเบือนพระพักตร์กลับมามอง
“นักบวชของหม่อมฉันทำอะไรให้เคืองเบื้องพระบาทหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“เปล่าหรอกพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันแค่เย้า ‘นักบวช’ ของพระองค์เล่นเท่านั้น”
“ถ้าอย่างนั้นเชิญเจ้าชายประทับรอในห้องนี้ก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
เจ้าชายกันนาร์เสด็จนำอาคันตุกะหนุ่มเข้าไปในห้องกว้างที่ตกแต่งอย่างสวยงามด้วยเครื่องเรือนสีน้ำตาลและทอง กลมกลืนกับชุดเก้าอี้ผ้าไหมดุนลายดอกละเอียดยิบสีเหลืองอ่อนลออตา พระองค์หยิบกระดิ่งเงินอันเล็กที่วางอยู่บนโต๊ะริมประตูขึ้นมาสั่นเบาๆ เพียงครู่เดียวมหาดเล็กสองนายก็ก้าวเข้ามาในห้องเพื่อรอรับคำสั่ง เจ้าชายหันไปตรัสอะไรกับพวกเขาสองสามประโยค ก่อนเบือนพระพักตร์กลับมาหาผู้เป็นแขก “หม่อมฉันต้องขอตัวพาท่านเมลไปถวายการตรวจพระอาการสักครู่ก่อน เสร็จแล้วจะให้คนมาเชิญเสด็จพระองค์ คิดว่าคงใช้เวลาไม่นาน” “อย่าเกรงใจไปเลยพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันรอได้ เชิญเจ้าชายกับ..ท่านนักบวชตามสบาย”
เจ้าชายดิเร็กซ์ตรัสตอบด้วยรอยแย้มสรวลละมุนบนเรียวโอษฐ์ หากทันทีที่ร่างของเจ้าชายกันนาร์และนักบวชหนุ่มลับออกประตูไป รอยแย้มพระสรวลก็จางหายราวกับไม่เคยปรากฏขึ้นบนพระพักตร์มาก่อน
“ท่านไปก่อเรื่องอะไรเอาไว้หรือ?”
เจ้าชายกันนาร์ตรัสถามขึ้นลอยๆ เมื่อทรงแน่พระทัยว่าเสด็จห่างออกมาจากห้องรอเฝ้าพอสมควรแล้ว
“ทรงหมายถึงอะไรพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่เห็นเข้าใจ” คนถูกถามตีหน้าซื่อได้อย่างแนบเนียน
“อย่ามาทำไก๋ ข้าพอจะอ่านสายพระเนตรของเจ้าชายดิเร็กซ์ออก...ถามจริงๆ เถอะท่านเมล ท่านกับเจ้าชายดิเร็กซ์เคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อนใช่หรือเปล่า”
เมลิอานาร์เกือบสะดุ้ง ...พี่ชายของเจ้าหญิงกาอิยาห์นี่ ถ้าไม่ทรงฉลาดเป็นกรดก็ต้องเป็นพวกขี้ระแวงสุดๆ อย่างไม่ต้องสงสัย
“เปล่านี่พ่ะย่ะค่ะ” หญิงสาวปฏิเสธเอาไว้ก่อน ...ก็คนก่อเรื่องตัวจริงมันเจ้าซิส ไม่ใช่นาง
“ท่านแน่ใจนะ”
“แน่ใจสิพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะโกหกพระองค์ทำไม” ...ถ้าไม่จำเป็น...
เจ้าชายกันนาร์พยักพระพักตร์น้อยๆ เป็นเชิงรับรู้ ก่อนจะสาวพระบาทนำไปสู่ห้องบรรทมของประมุขแห่งกรีนแลนด์ตรงสุดทางเดิน
ที่หน้าประตูสีขาวมีทหารองครักษ์ยืนเฝ้าอยู่สองนาย เพียงแค่มองแวบเดียวเมลิอานาร์ก็บอกได้ทันทีว่าทั้งคู่เป็นชาวแลมพ์ตัน พวกเขาค้อมกายลงทำความเคารพเจ้าชายกันนาร์แล้วหันไปผลักบานประตูให้เปิดออก รอจนผู้มาเยือนทั้งสองก้าวผ่านเข้าไปภายในเรียบร้อย จึงหับประตูลงตามเดิม
เจ้าชายกันนาร์ทรงชี้ให้นักบวชหนุ่มนั่งรอที่เก้าอี้ผ้าไหมสีเทาเงินในห้องรับรองด้านหน้า ส่วนพระองค์เสด็จไปเคาะประตูอีกบานซึ่งซ่อนอยู่ระหว่างเตาผิงและกระจกเงาในกรอบทองคำฝังมุก ทรงผลุบหายเข้าไปหลังประตูบานนั้นพักใหญ่ ก่อนจะเยี่ยมพระพักตร์กลับออกมากวักพระหัตถ์เรียกให้อีกฝ่ายตามเข้าไปภายใน
“ท่านเมลพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท นักบวชจากแลมพ์ตันที่กระหม่อมเคยกราบทูล” เจ้าชายกันนาร์เอ่ยแนะนำ
“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ”
เมลิอานาร์ค้อมกายลงต่ำ ...ไหนๆ นางก็ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นผู้ชายมาตั้งแต่ต้นแล้ว ถ้าต้องเป็นนักบวชอีกสักตำแหน่งจะเป็นไรไป
“สวัสดี ท่านนักบวช” เสียงห้าวคุ้นหูตอบกลับมา
คนในชุดนักบวชพยายามเพ่งสายตาฝ่าผ้าม่านสีขาวรอบเตียงไปยังร่างที่ประทับกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนนั้น หากไม่สามารถมองเห็นผู้เป็นประมุขแห่งกรีนแลนด์ได้ถนัด
“กันนาร์คงบอกท่านแล้วสินะว่าต้องทำอะไรบ้าง”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ดี แล้วท่านพร้อมจะลงมือได้เมื่อไหร่”
“เมื่อไหร่ก็ได้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมพร้อมเสมอ”
“ดีมาก... ถ้าอย่างนั้นรีบลงมือเสียคืนนี้เลย หลังพระอาทิตย์ตกดินครึ่งชั่วยามข้าจะให้กันนาร์นำท่านไปยังวิหารจันทรา...”
“วิหารจันทรา!?” นักบวชหนุ่มทวนคำ ดวงตาสีน้ำเงินงามเบิกกว้างอย่างไม่เชื่อหู
“ถูกแล้ว วิหารจันทรา ‘งาน’ ของท่านรออยู่ที่นั่น”
คำตอบปนเสียงทรงพระกรรสะที่ดังลอดออกมาจากพระแท่นบรรทม มีกังวานประหลาดคล้ายเสียงหัวเราะขลุกขลักอยู่ในลำคอ จนหญิงสาวในคราบนักบวชต้องเพ่งมองเงาร่างสูงใหญ่บนเตียงด้วยความเป็นห่วง ...ท่าทางพระอาการจะหนักมิใช่น้อย
“เอ่อ ไหนๆ กระหม่อมก็มาแล้ว จะให้ตรวจดูพระอาการสักหน่อยมั้ยพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ต้อง!!” ชายหนุ่มสองคนในห้องปฏิเสธออกมาแทบจะเป็นเสียงเดียวกัน
เจ้าชายกันนาร์รีบสาวพระบาทมายืนขวางอยู่หน้าพระแท่น ในขณะที่ประมุขแห่งกรีนแลนด์ทรงเปลี่ยนพระอิริยาบทจากท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนเป็นนอนราบลงกับฟูกทันที
“ท่านกลับไปก่อนเถอะ จะได้มีเวลาเตรียมตัว เอาไว้หลังพระอาทิตย์ตกดินเราค่อยพบกันอีกที” พี่ชายของเจ้าหญิงกาอิยาห์ตรัสเหมือนจะไล่
คนในชุดนักบวชมองหน้าอีกฝ่ายสลับกับราชาหนุ่มอย่างไม่เข้าใจ ทั้งสองพระองค์ทรงกลัวอะไรกันนักหนา หรือเพราะเห็นว่านางเป็นชาวแลมพ์ตันจึงไม่ไว้ใจ หญิงสาวยักไหล่...ถ้าเป็นเพราะสาเหตุนั้นก็ช่วยไม่ได้
นางถอยกลับไปที่ประตู ค้อมกายลงถวายคำนับทั้งองค์ราชาและเจ้าชายกันนาร์อีกครั้ง ก่อนจะหมุนกายเดินตัวตรงออกจากห้องไป
พอลับร่างของนักบวชหนุ่ม องค์ราชาและเจ้าชายกันนาร์ก็ถอนพระทัยเฮือกออกมาพร้อมกัน
“เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ ว่าแต่นักบวชของเจ้ารูปหล่อดีนี่ มิน่า เจ้าถึงได้เป็นห่วงน้องสาวนัก ข้าคิดว่าพอจะเข้าใจความรู้สึกของคนเป็นพี่ชายอย่างเจ้าขึ้นมาบ้างแล้ว” ราชาหนุ่มตรัสแกมสรวล
เจ้าชายกันนาร์พระพักตร์บูด
“ฝ่าบาท... เลิกล้อกระหม่อมสักทีเถิดพ่ะย่ะค่ะ แล้วทรงตอบมาด้วยว่าทำไมอยู่ดีๆ เกิดเปลี่ยนพระทัยกะทันหัน ไหนทีแรกพระองค์ตรัสว่าจะบอกความจริงเรื่องที่ไม่ได้ประชวรให้ท่านนักบวชรู้ ถึงได้ให้กระหม่อมนำตัวเขามาเข้าเฝ้าที่นี่”
“ข้า..เอ่อ...ข้าก็มีเหตุผลของข้าละน่า”
ราชาหนุ่มทรงอ้ำอึ้งอย่างมีพิรุธ ...ก็จะให้บอกได้อย่างไรล่ะว่าพระองค์ถูกเจ้านักบวชกำมะลอนั่นเห็นในสภาพที่ไม่อยากจะให้ใครเห็นมากที่สุดเข้าเสียแล้ว ขืนยอมให้หมอนั่นเห็นหน้าอีกครั้ง เขาจะต้องรู้อย่างแน่นอนว่าหญิงรับใช้ที่เจอในวิหารจันทราเป็นคนเดียวกับประมุขแห่งกรีนแลนด์ แล้วพระองค์จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
“ก็มันเหตุผลอะไรล่ะพ่ะย่ะค่ะ” เจ้าชายกันนาร์ยังคงซักไม่ลดละ
“เจ้าไม่ต้องรู้สักเรื่องก็ได้น่ากันน์ เอ้า...ไหนเจ้าว่าแขกคนสำคัญของพวกเราเสด็จมาถึงแล้วไงล่ะ รีบไปทูลเชิญพระองค์เข้ามาสักทีสิ”
ราชาเอลเบอเรธทรงตัดบทด้วยการคว้าสมุนไพรประหลาดของเจ้าหญิงกาอิยาห์มาโยนใส่พระโอษฐ์เคี้ยว เพียงครู่เดียวก็มีอาการเหมือนกับคนป่วยหนัก พระพักตร์ซีดเผือด พระวรกายร้อนจัดราวกับไฟ เจ้าชายกันนาร์เห็นดังนั้นจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากรีบเสด็จไปทูลเชิญเจ้าชายแห่งทาเนียร์มาเข้าเฝ้าก่อนที่ฤทธิ์ของสมุนไพรจะเสื่อมลง
แก้ไขเมื่อ 09 ก.ค. 54 08:44:30
แก้ไขเมื่อ 09 ก.ค. 54 08:34:54
แก้ไขเมื่อ 07 ก.ค. 54 20:43:38
จากคุณ |
:
akihiro
|
เขียนเมื่อ |
:
7 ก.ค. 54 20:43:22
|
|
|
|