สักพักคู่กรณีที่เดินมาชนนายตำรวจหนุ่มก็เดินจากไปจากที่เกิดเหตุ
นายตำรวจหนุ่มค่อยๆหันไปมองกล้องที่ตกอยู่พื้นเบื้องล่าง และค่อยๆเดินไปหยิบมันขึ้นมา
สภาพเครื่องกล้องที่เห็น หากจะซ่อมคงต้องเสียเงินพอควร
กล้องของผมเป็นอะไรมากหรือเปล่า
ตรีวิทย์ รู้สึกห่วงกล้องถ่ายรูปของตนมากกว่าสิ่งใดทั้งหมดในเวลานี้
จำปาเองก็รีบรุดเข้ามายืนดูอยู่ข้างๆเพื่อนเช่นกัน
นายตำรวจหนุ่มมองหน้าตรีวิทย์ พร้อมกับถอนหายใจ
ตอนที่กล้องตัวนี้ตกลงพื้นมันอยู่ในมือของผม เพราะฉะนั้นผมจะต้องเป็นคนรับผิดชอบ
ไม่นะ ดิฉันว่าเด็กวัยรุ่นคนที่เดินชนคุณเมื่อตะกี้มากกว่าที่จะต้องรับผิดชอบ
จำปารีบออกความเห็น ด้วยเห็นว่าคงไม่ถูกต้องนัก
หากจะให้นายตำรวจคนนี้ ต้องมารับผิดชอบ ในสิ่งที่ไม่ใช่ความผิดของเขา
ผมก็คิดแบบนั้น แล้วนี่คุณทำไมไม่กักตัวเขาเอาไว้ ตอนนี้เขาเป็นคู่กรณีของคุณนะ
ตรีวิทย์มองทีท่าของนายตำรวจหนุ่มคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ
นายตำรวจหนุ่มเหมือนจะครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ชั่วครู่
เขาค่อยๆมองหนุ่มชาวไทยผู้เปราะบางตรงหน้ากลับคืนบ้าง
เด็กหนุ่มคนเมื่อตะกี้ เขาพักอาศัยอยู่ที่แฟลตเดียวกับผม ครอบครัวของเขาจนมาก
เขาคงไม่มีเงินมาชดใช้ค่าซ่อมกล้องถ่ายรูปราคาแพงๆแบบนี้ให้พวกคุณหรอก
อ้าว
ตรีวิทย์อุทานออกมา ความไม่เข้าใจที่มีต่อเขาแต่แรก
เริ่มมีแวบหนึ่งของความรู้สึกที่ดีต่อนายตำรวจคนนี้เกิดขึ้น
ความรู้สึกที่ดีกับวันเวลาเหงาๆ มาประสบพบและก่อประสานกันได้อย่างลงตัว
คำยืนยันและกิริยาท่าทีของความต้องการรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้น
ทำให้ทั้งตรีวิทย์และจำปาไม่อยากทัดทาน ถ้อยคำสนทนาที่มีต่อมาอีกเนิ่นนานของการติดต่อกัน
ทำให้ต่างฝ่ายต่างรับรู้ความเป็นไปของกันและกันมากขึ้น
วันเวลาแห่งอดีตยังคงผ่านเข้ามาในความรู้สึก
นายตำรวจคนนี้ชื่อหลีเฟ่ยอายุยี่สิบห้าปี หากนับวันดูแล้ว
ตรีวิทย์เป็นน้องเขาอยู่แค่สิบสองวัน ด้วยวัยที่ไล่เลี่ยกัน ด้วยความรู้สึกทางใจที่คล้ายคลึง
ทำให้การติดต่อคบหาดำเนินกันไปได้อย่างลงตัว
ตรีวิทย์จำได้ว่าการได้พบเจอหลีเฟ่ยในคืนแรก
กับการที่จะต้องเดินทางกลับกรุงเทพฯในคืนนี้ เป็นความรู้สึกที่ขัดแย้งต่อกันอย่างมาก.. ..
เขาเป็นชายหนุ่มชาวฮ่องกงที่มีความสุภาพแบบแปลกๆ
สายตาที่เขาจ้องมองตรีวิทย์ ตลอดการได้พูดคุยและพบเจอกัน ตลอดห้าวันในฮ่องกง
เหมือนคนที่กำลังโหยหาบางสิ่ง สิ่งอัดอั้นสุมอยู่ในใจ และไม่อาจเปิดเผยได้.. ..