Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
(นิยายกำลังภายใน) วิหคดั้นเมฆา ผู้กล้าฝ่ายุทธจักร ตอนที่ 62 ติดต่อทีมงาน

“พี่รอง ๆ ท่านเหนื่อยมากแล้ว พักเสียก่อนเถอะ”

สือหย่งหลุนหันขวับไปมองน้องสาว บัดนี้มันมีแต่เหงื่อโซมกาย เสื้อผ้าเปรอะเปื้อนคราบดินเป็นรอยด่าง ส่วนสองมือกำลังโอบหินขนาดยักษ์เหวี่ยงพ้นไปอีกทาง

“แถวนี้มันอันตราย เจ้ารีบหลบไปเสีย”

ช่วงเวลาที่เกิดเหตุระเบิดนั้น มีเพียงสือหย่งหลุนอยู่ใกล้ประตูมากที่สุด โชคดีที่เด็กหนุ่มไวทายาดจึงกระโจนหนีได้ทัน ทั้งสือหย่งจวินซึ่งอยู่ห่างออกมายังช่วยฉุดร่างน้องชายอีกทอด จนหลบพ้นหินที่ถล่มซ้ำลงมาฉิวเฉียด

ภายหลังหายจากอาการตกใจในเหตุระเบิดแล้ว สือหย่งหลุนก็นำศิษย์ง่อไบ๊ขนย้ายกองหินจำนวนมหาศาลอย่างเอาเป็นเอาตาย ผ่านไปเนิ่นนานจนคนส่วนใหญ่ล้มตัวนอนแผ่หมดเรี่ยวแรงไปตามๆ กัน แต่เด็กหนุ่มก็ยังทำงานต่อไม่ลดละ

กระนั้นในสายตาสือจินหลิง ปริมาณหินกลับมิได้ดูลดลงแม้แต่น้อย

“พี่รอง หากท่านหักโหมจนล้มป่วยจะยิ่งไปกันใหญ่ อย่างน้อยก็หยุดดื่มน้ำสักนิดดีไหม”

“ประเดี๋ยวก่อน” เด็กหนุ่มก้มหน้าก้มตาทลายกำแพงหิน มิใช่มันไม่อยากฟังคำน้องสาว ทว่าภายในใจนั้นกลับมีแต่ความร้อนรนพลุ่งพล่าน คล้ายกับว่าหากมันรามือเพียงเล็กน้อย อาจต้องเสียใจไปตลอดชีวิต!

หลานสาวสกุลสือที่คิดเอ่ยปากท้วงต่อพลันรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง ครั้นหมุนตัวไปมองก็พบว่ากลางลานปรากฏคนแปลกหน้ากลุ่มหนึ่ง ที่น่าตระหนกคือคนจำนวนมากเช่นนี้ยังสามารถไปมาเงียบเชียบ พวกมันรุดมาใกล้เพียงปลายจมูกนางถึงเพิ่งรับรู้ ช่างเป็นฝีมือที่น่าหวาดหวั่นนัก

จากกลุ่มคนดังกล่าว บุรุษผู้หนึ่งได้ย่างเท้าขึ้นมาด้านหน้า มันวาดมือไพล่หลังมองบรรดาศิษย์ง่อไบ๊ที่กรูกันเข้ามาหาผู้บุกรุก ก่อนกวาดตาต่อไปยังผลทำลายจากการระเบิดรอบด้าน จบท้ายที่พวกสือหย่งหลุนซึ่งล้วนมีท่าทางเหน็ดเหนื่อยกับการขนหิน แล้วค่อยเอ่ยเสียงชืดชา

“อยากให้ข้าลองดูบ้างไหม”

**********

ภายในห้องลับที่เดิม สตรีทั้งสามล้วนออกอาการทรมาณเพราะขาดอากาศหายใจ ระหว่างช่วงเวลาเป็นตาย แม่ชีอาวุโสเมี่ยวเจินเค้นเรี่ยวแรงกล่าวกับเจ้าสำนักง่อไบ๊ว่า

“ข้าตายที่นี่นับว่ากระไรได้ เสียดายเพียงก่อนหน้านี้เป็นห่วงแต่ชื่อเสียงตนเองและศิษย์พี่อย่างหน้ามืดตามัว ทำร้ายเหว่ยเอ๋อจนพิการเพื่อมิให้มีการเปิดห้องลับมาตัดสินโทษตน หลังจากนั้นยังไม่สำนึก ลอบจ้างคนไปวางยาเจ้าสำนักและอี้เหนียงอีก ช่างเป็นการกระทำที่ต่ำช้าเสียจริง”

ต้องรอจนใกล้ตายคนตรงหน้าถึงค่อยสำนึกผิดถูก แต่ด้วยเรื่องในอดีตรวมถึงความภักดีต่อสำนักของนาง ก็ทำให้แม่ชีจินถู่ถือโกรธมิลง

“เรื่องลอบวางยาพิษที่เมืองหลิวหมื่นใบนั่น ข้ายกโทษให้อาจารย์อา”

แม่ชีอาวุโสเมี่ยวเจินผงกศีรษะแผ่วเบาเป็นเชิงขอบคุณ ด้วยนางเสียโลหิตมาก่อนหน้าแล้ว อาการขาดอากาศจึงเกิดหนักกว่าใคร

“เสียดายก็แค่มิอาจไปขอโทษเหว่ยเอ๋อด้วยตนเอง ทั้งที่เรื่องในครั้งนี้ นางนับเป็นผู้ต้องรับเคราะห์มากที่สุด” จากหางตายับย่น ปรากฏน้ำตาไหลเป็นสาย “ละอาย...น่าละอายยิ่งนัก”

“เมี่ยวเจินซือไถ่” ฟ่านไป่หนิงเอ่ย “อาการของเหว่ยเอ๋อนั้นพอเยียวยาได้บางส่วน โปรดคลายกังวลลงบ้างเถิด”

แม่ชีอาวุโสเมี่ยวเจินส่ายหน้าเชื่องช้าราวจะแสดงให้รู้ว่าคำปลุกปลอบนั้นมิได้ทุเลาความหนักอึ้งในใจแม้แต่น้อย ฟ่านไป่หนิงหมายจะเอ่ยอีกหลายคำทว่าหัวสมองกลับมึนงง ความคิดเชื่องช้ากว่าที่เคย

หากดรุณีน้อยพอมีความรู้ด้านนี้สักนิด น่าจะเอะใจว่าเมื่อตะเกียงหมื่นปีส่องสว่างในห้องปิดทึบมาได้ ย่อมแสดงว่าที่นี้มีช่องระบายอากาศอยู่ ทว่าถึงทราบไปก็เท่านั้น ด้วยตอนนี้ช่องระบายอากาศได้ถล่มลงมาตามแรงระเบิดเสียแล้ว พวกนางคงได้แต่นั่งรอความตายถ่ายเดียวเท่านั้น

ยามนั้นเอง เจ้าสำนักง่อไบ๊อาศัยเรี่ยวแรงที่ยังหลงเหลือ คลานมาคุกเข่ายังกลางห้อง โขกศีรษะคำนับเสื้อผ้าตัวแทนปรมาจารย์สามครั้ง แล้วเอ่ยปากด้วยกิริยาหนักแน่น

“เรียนปรมาจารย์กั่วเซียงและอดีตเจ้าสำนักโจวจื่อยั่ว ศิษย์ไร้สามารถไม่อาจนำพาง่อไบ๊ให้ยิ่งใหญ่กลับต้องทิ้งชีวิตลงเสียแล้ว ทว่าศิษย์ก็อยากกระทำประโยชน์ต่อสำนักเป็นครั้งสุดท้าย ด้วยการขออนุญาตท่านทั้งสอง ทำลายคัมภีร์นพยมให้สิ้นซาก”

“ดี!” แม่ชีอาวุโสเมี่ยวเจินพึมพำอ่อนล้า “คัมภีร์ที่ก่อแต่ความวุ่นวาย หากเจ้าทำลายมันเสียได้ก็ถือว่าสานต่อภารกิจซึ่งเจ้าสำนักรุ่นก่อนไม่อาจทำสำเร็จ สมควรแล้ว”

เจ้าสำนักง่อไบ๊กระแทกหน้าผากคำนับอีกสามครั้ง แล้วก็หยัดกายมานั่งคุกเข่าเช่นเดิม แววตาซึ่งเหม่อมองเบื้องหน้าล้วนเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย เนิ่นนานถัดมานางค่อยเอ่ยเชื่องช้า

“แม่นางฟ่าน ข้าขอความช่วยเหลือสักอย่างเถิด” นางก้มหน้าหลบสายตา “ช่วย...ทำลายคัมภีร์แทนข้าด้วย”

ฟ่านไป่หนิงเข้าใจในบัดดล ด้วยฐานะเจ้าสำนักง่อไบ๊แล้ว การคงอยู่ของวิชานพยมก็รังแต่จะนำความเดือดร้อนมิมีสิ้นสุด แต่คัมภีร์ที่มีประวัติยาวนานและเกี่ยวพันกับสำนักง่อไบ๊อย่างลึกล้ำเช่นนี้ จะให้ตัดใจกำจัดด้วยน้ำมือตนเอง แม่ชีจินถู่ย่อมมิอาจกระทำได้

ดรุณีน้อยฝืนเกาะกำแพงดันตัวขึ้น แล้วค่อย ๆ เดินมุ่งเข้าหาช่องหินกระทั่งหยิบกล่องไม้ดังกล่าวมาอยู่ในมือจนได้

ฟ่านไป่หนิงผินหน้ามองเจ้าสำนักง่อไบ๊อีกครั้ง ทว่าฝ่ายตรงข้ามกลับเอาแต่หลบตา สองมือซึ่งวางทาบบนตักสั่นระริก ริมฝีปากเม้มแน่น คล้ายดั่งว่าหากไม่ทำเช่นนี้ นางอาจจะเอ่ยห้ามปรามดรุณีน้อยในช่วงเวลาสำคัญก็เป็นได้

ลูกศิษย์ซินแสเทวะหมุนตัวไปหาตะเกียงหมื่นปีซึ่งอยู่ใกล้ที่สุด ตกลงใจจะใช้พระเพลิงเผาผลาญคัมภีร์นพยม เพื่อเซ่นดวงวิญญาณซึ่งต่างสูญเสียให้กับคัมภีร์เล่มนี้ทั้งทางตรงและทางอ้อม

นางค่อย ๆ เลื่อนฝาไม้ออกด้วยเรี่ยวแรงที่เริ่มหดหายไปทีละน้อย ทว่าเมื่อฝาไม้เปิดกว้างพอให้ด้านในปรากฏแก่สายตา ดรุณีน้อยกลับเบิกตาโพลงราวมีภูตผีผุดขึ้นมาตรงหน้าก็มิปาน

“มีอะไรหรือ”

แม้เจ้าสำนักง่อไบ๊จะหลับตาอยู่ แต่แม่ชีอาวุโสเมี่ยวเจินยังคงสังเกตฟ่านไป่หนิงโดยตลอด และคำพูดเจือน้ำเสียงแปลกใจของนางก็กระตุ้นให้ศิษย์หลานลืมตาขึ้นทันที

ดรุณีน้อยไม่ตอบคำถามนั้น เพียงหยิบ “ของ” ในกล่องออกมาให้ผู้อาวุโสทั้งสองดู พวกแม่ชีก็พร้อมใจอุทานลั่น

“นั่นมันสิ่งใดกัน”

“ไม่จริง”

ช่วงที่สตรีทั้งสามพากันตกตะลึงสับสน พลันบังเกิดเสียงกึกก้องสนั่นหวั่นไหว หินที่สุมปิดปากประตูล้วนดีดกระจายไปคนละทิศ อากาศภายนอกพวยพุ่งเข้ามาอย่างต่อเนื่อง พัดอาการทรมาณลับหายในพริบตา

สิ่งที่ฉายเด่นในคลองจักษุของดรุณีน้อยคือบุรุษแปลกหน้าผู้หนึ่ง มันกำลังเกร็งฝ่ามือทั้งสองออกกว้างในท่าผนึกลมปราณ เห็นได้ชัดว่าคนที่ช่วยชีวิตพวกนางไว้คือมันนั่นเอง

ด้านเจ้าสำนักง่อไบ๊ซึ่งนั่งกลางห้องก็เห็นบุรุษคนดังกล่าวเช่นกัน นางจึงอุทานว่า

“โจซานตง ประมุขพรรคอสุราอาฆาต เจ้ามาทำอันใดที่นี่”

สิ้นประโยคดังกล่าว ดรุณีน้อยค่อยพบว่าพวกสือหย่งหลุนต่างตั้งท่าระแวดระวังอยู่อีกด้านของลานกว้าง ตรงกลางบรรดาสมุนชุดม่วงของพรรคอสุราอาฆาตยังสยบศิษย์ง่อไบ๊หลายคนไว้เป็นตัวประกัน นั่นคงทำให้พวกสือหย่งหลุนไม่กล้าผลีผลาม

โจซานตงย้ายมือกลับมาไพล่หลัง กล่าวอย่างปลอดโปร่ง

“ง่อไบ๊ต้อนรับคนแบบนี้ ดูท่ามารยาทจอมยุทธ์ฝ่ายธรรมมะจะถดถอยลงทุกวัน”

ดรุณีน้อยกรอกตาหนึ่งรอบก็พลันปะติดปะต่อเรื่องราวได้เกือบทั้งหมด ดังนั้นฉวยจังหวะที่ฝ่ายตรงข้ามยังไม่ทันขยับตัว ทิ้งกล่องไม้ลงพื้นแล้วรีบยื่นของในมืออีกข้างไว้เหนือเปลวไฟของตะเกียงหมื่นปี พลางร้องว่า

“ประมุขโจ ท่านต้องการมาเสาะหาผืนหนังชิ้นสุดท้ายของคัมภีร์สลายภพกลับไม่แจ้งล่วงหน้าก่อน นั่นก็คงมิใช่มารยาทของแขกที่ดีหรอกนะ”

“หา...ผืนหนังนั่นคือคัมภีร์สลายภพเช่นนั้นหรือ เจ้ารู้ได้อย่างไร” เจ้าสำนักง่อไบ๊อุทานเป็นคำรบสอง ตอนที่ของในกล่องซึ่งควรเป็นหนังสือกลับกลายมาเป็นผืนหนังที่นางไม่เคยเห็นมาก่อนก็นับว่าประหลาดแล้ว มิหนำซ้ำตัวดรุณีน้อยเองยังเห็นสิ่งนั้นแค่ชั่วแวบ กลับทราบว่าเป็นคัมภีร์สลายภพเพราะเหตุใด

ฟ่านไป่หนิงไขข้อข้องใจว่า

“แรกสุดนั้น ข้าพยายามคิดว่าคัมภีร์นพยมกลายเป็นแผ่นหนังผืนหนึ่งได้อย่างไร หากเดาว่าเป็นกรณีคนในอาจสับเปลี่ยนเองนั้น ย่อมไม่มีทางเกิดภายในหนึ่งปีที่เหว่ยเอ๋อบาดเจ็บจนไม่เหลือใครมาเปิดประตูได้ ซึ่งหากคัมภีร์นพยมถูกขโมยไปก่อนหน้านั้น ป่านนี้ผู้ฝึกวิชาก็น่าจะมีฝีมือรุดหน้าผิดปกติจนคนง่อไบ๊สังเกตเห็นแล้ว ดังนั้นที่ว่าคนในขโมยคัมภีร์ไปจึงตัดทิ้ง ก็เหลือเหตุการณ์ที่น่าจะเป็นไปได้ก็คือตอนที่นางมารผู้ฝึกคัมภีร์สลายภพบุกเข้ามายังที่แห่งนี้ เพราะนั่นเป็นครั้งเดียวที่คนนอกสำนักสามารถเข้ามาใกล้ที่ตั้งของคัมภีร์มากที่สุด”

หากคิดทบทวนแค่เท่าที่ดรุณีน้อยอธิบายแล้ว ทฤษฎีจากปากนางยังมีช่องโหว่ ด้วยที่ผ่านมาไม่เคยมีการเปิดกล่องไม้ออกตรวจ ดังนั้นคัมภีร์นพยมจะหายไปเมื่อไหร่ย่อมไม่มีทางรู้ได้ จึงควรแยกพิจารณาออกเป็นสองช่วง

ช่วงแรกคือคัมภีร์ถูกขโมยไปนานมากแล้ว หากเป็นตามนี้คนขโมยไม่ว่าจะเป็นคนในหรือนอกสำนัก ก็น่าจะฝึกวิชาสำเร็จและเริ่มมีชื่อเสียงในยุทธจักร จนง่อไบ๊รู้สึกตัวว่าคัมภีร์ถูกขโมยตามทฤษฎีของนาง

แต่หากเป็นช่วงเวลาไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ คนขโมยย่อมจะพอเก็บงำประกายมิให้ผิดสังเกตได้ ทว่าเหตุผลที่นางมั่นใจว่าคัมภีร์มิได้เพิ่งหาย เนื่องจากทราบดีว่าในปัจจุบันคนที่รู้เรื่องห้องลับก่อนเหว่ยเอ๋อถูกทำร้ายมีแค่เจ้าสำนัก แม่ชีอาวุโสเมี่ยวเจิน และตัวเหว่ยเอ๋อเองเท่านั้น นางตัดเหว่ยเอ๋อออกด้วยหากนางฝึกวิชานพยมจริง ย่อมไม่มีทางถูกทำร้ายได้ ตัดแม่ชีอาวุโสเมี่ยวเจินทิ้งจากข้อเท็จจริงซึ่งนางยอมเปิดเผยยามถูกขังอยู่ร่วมกัน และตัดเจ้าสำนักง่อไบ๊เพราะถ้านางเป็นคนขโมยคัมภีร์คงไม่ลำบากลำบนหาเรื่องมาเปิดห้องลับอีกครั้งแน่ ทว่าฟ่านไป่หนิงไม่คิดแจกแจงรายละเอียดขนาดนี้ ด้วยมิต้องการเปิดเผยสาเหตุที่แม่ชีเมี่ยวเจินจำใจต้องฆ่าศิษย์พี่นั่นเอง

โชคดีว่าเกือบทุกคนในที่นั้นล้วนตกใจกับคัมภีร์ซึ่งถูกสับเปลี่ยนเกินกว่าจะไปคิดเรื่องอื่น จึงไม่มีใครเอะใจมาซักไซ้เพิ่มเติม เอาแต่นิ่งฟังฟ่านไป่หนิงอธิบายต่อ

“พอทราบว่าใครเป็นผู้ต้องสงสัยที่เหลือก็ราบรื่น นางมารคงอาศัยช่วงการต่อสู้ชุลมุนสับเปลี่ยนคัมภีร์ด้วยจุดประสงค์สองข้อ หนึ่งคือทำลายคัมภีร์นพยมที่อาจกลายมาเป็นคู่ปรับของคัมภีร์สลายภพได้ เพราะนางที่สำเร็จวิชาสลายภพแล้วย่อมไม่จำเป็นต้องมาเสียเวลาฝึกวิชาอื่นอีก และถ้านางยกคัมภีร์ให้ผู้อื่นไป...ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้แหละนะ ในยุทธจักรคงมีวิชานพยมออกอาละวาดตั้งนานแล้ว...”

ฟังถึงตรงนี้เจ้าสำนักง่อไบ๊ก็บังเกิดอารมณ์สลดหดหู่ ความต้องการทำลายคัมภีร์กลับมีผู้ตัดหน้าไปแล้วหลายสิบปี ไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือร้องไห้กันแน่ ฟากแม่ชีเมี่ยวเจินยิ่งย่ำแย่กว่านางเสียอีก เมื่อได้ทราบว่าการกระทำของศิษย์พี่ในอดีตนั้นกลับกลายเป็นเรื่องไร้สาระโดยสิ้นเชิง

จากคุณ : จันทร์พันฝัน
เขียนเมื่อ : 8 ก.ค. 54 17:54:08




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com