Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ผีบ้าน...ผีเรือน ติดต่อทีมงาน

ผีบ้านผีเรือน


บ้านใหม่หลังนั้นมองดูยังไงๆ ก็ดูวังเวงชอบกล แม้สีครีมที่ทาผนังบ้าน

จะดูใหม่บ่งบอกให้รู้ว่า เป็นบ้านใหม่ที่ยังไม่มีคนเคยอยู่ก็เถอะ แต่นี่ขนาด

10 โมงเช้าแล้วหน้าบ้านยังแทบไม่มีแดดส่องเข้าถึง


ถ้าไม่เพราะต้นไม้เถาวัลย์ที่ระแนงหน้าบ้านพันหนาจนแสงเข้าไม่ถึง ก็อาจ

จะเป็นไปได้ว่า หน้าบ้านนี้หันหลังให้แสงแดด ปลูกบ้านผิดทิศจริงๆเชียว

ฉันยืนพิจราณาบ้านอยู่นอกริมรั้วบ้าน อย่างไม่ค่อยชอบใจนัก ทั้งที่เพื่อนๆ

ของฉันทั้ง 3 คนยืนออไขประตูบ้านกันอยู่ข้างใน กลุ่มของฉันประกอบไป

ด้วย แมว สุ และ ฟิม ส่วนตัวฉันชื่อ ปู เรา 4 คน เรียนมากลุ่มเดียวกัน

ตั้งแต่ ม.ต้น จนจบ ป.ตรี ด้วยความที่เป็นญาติกัน และ บ้านใกล้เรือนเคียง

มาแต่เล็กทำให้พวกเรากินนอนด้วยกันมาตลอด ความผูกพันจึงมากขึ้นตาม

ลำดับ จนปีนี้อายุ 28 กันแล้ว ยังไม่มีใครจะคิดออกเรือนกันเลยสักคน


เมื่อ ฟิม เปิดประตูบ้านออกกลุ่มพวกเรา ก็ถึงกับปิดจมูก ร้อง ยี้ พร้อมกัน

โดยมิได้นัดหมายเมื่อกลิ่นสาปสางบางอย่างโชยมา เหม็นอับเป็นบ้า แมว

จอมห่วงสวยบ่นขึ้นเป็นคนแรกพลางสะบัดผมยาวของหล่อน

“ขอฉันเข้าก่อนเลยละกัน ลังเลกันอยู่ได้ ไฟฟ้ามันอยู่ตรงไหน เปิดหน่อย

ซิฟิม” สุ รีบเดินเข้าสำรวจบ้านคนแรก ตามประสาแม่บ้านมือโปร คงอยาก

ทำความสะอาดเต็มแก่ ส่วนฟิมรีบพุ่งไปเปิดไฟในบ้าน และสำรวจห้องน้ำใน

บ้านอีกครั้ง ฟิมเป็นคนที่ให้ความสำคัญ กับห้องน้ำของบ้านเป็นอันดับแรก

ไม่ว่าจะเช่าบ้านที่ไหน ก็จะวนดูห้องน้ำ ตั้งแต่ ขอดูบ้าน ทำสัญญา จนเข้า

อยู่ ดูเป็น สิบๆ รอบ ไม่รู้ดูอะไรของมัน ฉันก้าวเท้าเดินเข้าบ้านมา ก็สัมผัส

ได้ถึงความเย็นยะเยือกในบ้านนี้ ห้องโถ่งโล่งสะอาดตา มีฝุ่นหรือหยากใย่

บ้างก็เล็กน้อย คงจะปิดไว้นาน ฉันมองผ่านหน้าต่างหน้าบ้านออกไป เห็น

ยายแมวนั่งม้านั่ง เอาพัดคู่กายพัดโบกไล่ลมร้อน เสียงแมวเจี๊ยวแจ้วถาม

พวกฉัน “หายเหม็นอับหรือยัง จะได้เข้าไปซะที หน้าบ้านไม่มีลมเลย ร้อนจะ

แย่” แมวบ่นอุบอิบ “เข้ามาเลยไม่เหม็นแล้ว” ฉันตะโกนบอกผ่านหน้าต่าง

พลางยื่นหน้าออกมาต้องสะดุ้งสุดตัว มีผู้หญิงยืนข้างๆ ที่แมวนั่ง ก้มหน้ามอง

แมวหน้าตาหน้ากลัว เมื่อฉันเห็นเธอ เธอก็จ้องมองมาที่ฉัน ฉันหลบสายตา

นั้นด้วยตกใจสุดขีด แต่เมื่อหันไปดูอีกที ก็ไม่มีใครนอกจากแมวที่ก้มหยิบข้าวของลุกเดินมา


ฟิมเปิดประตูหลังบ้านลมเย็นวูบก็พัดผ่านเข้ามา ดูค่อยสดชื่น ขึ้นมาบ้าง

ฉันเดินออกไปดูหลังบ้าน ตามเพื่อนๆ ไม่คิดจะเล่าเรื่องเมื่อกี้ให้ใครฟัง เดี๋ยว

จะพากันกลัว ซึ่งอาจเป็นไปได้ที่ฉันตาจะฝาด หลังบ้านโล่งสะอาดตา มีศาล

พระภูมิตรงโคนต้นมะม่วงริมรั้วบ้าน และอีกมุมมีท่าน้ำยื่นออกไปในคลอง ที่

นั่ง 2 ฝั่งซ้ายขวาดูน่านั่งรับลมทีเดียว แสงแดด ก็ดูจะส่องผ่านจากหลังบ้านนี่

แหละ “ฟิม ! แกแน่ใจนะว่าบ้านนี้มันค่าเช่า 2000 จริงๆ ไม่มีล่วงหน้า ไม่

ใช่ฟังผิดนะ” สุ ถามขึ้นทันทีด้วยอยากรู้ "และแน่ใจนะว่า 2000 ไม่มีผี

เหมือนที่เก่า" ฉันกับแมวประสานเสียงถามฟิมต่อทันที ซึ่งฟิมก็ยกมือห้าม

ทัพก่อนจะตอบด้วยอย่างมั่นใจ “ชัวร์ 2000 แน่นอน และเช็คแล้วบ้านสร้าง

ใหม่ๆ บนที่ดินเจ้าของเดิม ไม่มีผีแน่นอน เพราะที่ดินนี้ไม่มีอดีตเป็นป่าชง

ป่าช้า ถ้าจะมีก็มีแต่ตัวเก่าเท่านั้นแหละที่มันจะตามเรามา” “ว้าย” ฉันร้อง

เสียงหลง แค่คิดก็ขนลุกแล้ว แมวตกใจเสียงฉันกระโดดกอด สุ แน่นตา

เหลือก “บ้า ทำเอาฉันตกใจหมด” สุ สะบัดมือแมวออกก่อนเดินเข้าบ้านไป

ฉันว่าเราสำรวจชั้นบนกันเถอะ ฟิม เอ่ยชวนเราเปลี่ยนที่ แล้วพวกเราก็เฮโร

รีบแย่งกันขึ้นชั้นบนเพื่อแย่งห้องนอนกันสุดฤิทธิ์ โดยมิได้สังเกตว่ามีสายตา

อีกคู่ คอยมองตามกลุ่มเราอยู่ตลอดเวลา


เช้าวันรุ่งขึ้นที่โต๊ะอาหารหอมกรุ่นไปด้วยข้าวต้มหมูทรงเครื่อง ที่ สุ เป็น

ผู้ปรุงแต่ง ขึ้นตั้งโต๊ะ บนโต๊ะมีเครื่องปรุงข้าวต้ม และข้าวต้มตัก 4 ชาม

เตรียมพร้อมรอรับประทานอย่างดี ฉันเดินกลับขึ้นมาหวังเรียก ฟิม และ

แมว ที่หน้าห้องแต่ จ๊ะเอ๋แมวที่หน้าห้อง แมวพยักหน้า เออๆ เป็นเชิงให้รู้ว่า

ลงไปก่อน เพราะเจ้าหล่อนยังยืนเปียผมอยู่หน้ากระจกห้องน้ำ ฉันเดินกลับ

ลงกระไดมา พลางว่า “ในห้องแก ไม่มีกระจกหรือไง มายืนถักเปียหน้าห้อง

น้ำให้เมื่อย” สุ ว่า “คุยอะไรกัน รีบๆ ลงมากินกันเร็วๆ เดี๋ยวข้าวต้มจะเย็นเสีย

หมด” ฟิมลงตามฉันมาส่งเสียงลำทับ “รู้แล้วๆ” ฉันดันเก้าอี้นั่งลงแล้วสัง

เกตุว่าลืมช้อน จึงลุกเดินไป หยิบที่ชั้นวางจาน “ไม่ตักไว้ให้อีกสักชามหรือ

จะได้เย็นพอดีฟิมต่อชามที่ 2 เดี๋ยวมันก็ว่าร้อน กินไม่ทันใจมันอีก” ฉันออก

ความคิดเห็นขณะนั่งลงตักข้าวต้มเป่าไอความร้อน แหมทันที่เข้าปาก ก็รู้ว่า

รสข้าวต้มฝีมือ สุ อร่อยจริงๆ เชียว แมวลงมานั่งกินเป็นคนสุดท้าย พร้อมผม

เปียติดกิ๊บที่คิดว่าเริด สุดๆ ของหล่อนทุกคนก้มหน้าก้มตา ปรุงข้าวต้มไปกิน

ไปอย่างอร่อย พร้อมบทสนทนาการย้ายบ้านเมื่อวานอย่างสนุกสนาน ฉัน

เห็นพวกเราหัวเราะร่าเริงแล้วรู้สึกดี ที่บ้านหลังนี้คงไม่เหมือนบ้านหลังเก่า

ที่เขาว่าเจ้าที่แรง หลังมื้ออาหารฉันกับสุ ช่วยกันล้างจานและเก็บขึ้นชั้น

ส่วนฟิมเอาของออกมาจากลังที่รถขนย้ายบ้าน นำมาส่งไว้ตั้งแต่เมื่อวานออก

มาจัดเรียงตาม ทีวี ตู้โชว์ ต่างๆ ส่วนแมวก็ออกไปทำความสะอาดส่วนหย่อม

เล็กๆ หน้าบ้าน และเก็บกวาดใบไม้ลานหลังบ้านต่อ ในขณะที่ฉันกับสุ ช่วย

กันแกะ ของวางตามตู้ ฟิมเอารูปพวกเราออกมาวางพลางว่า “จะวางตรงไหน

ดี รูปเก่าๆ พวกนี้” สุ หยุดวางของแล้วหันมามองตาฟิม เอ่ยเบาๆ “เอาเก็บไว้

ในกระเป๋าดีกว่า เดี๋ยวพวกเราไปถ่ายใหม่” แมวเดินเข้ามาเห็นรูปที่ทีวี ก็

สะดุ้ง เอ่ย เสียงแผ่วหน้าเสีย “แก...เอาด้วยหรือ" ฉันว่า"ภาพมัน ซีดๆ ดู

พวกเราขี้เหร่จริงๆ นั่นแหละ ไปถ่ายใหม่กันดีกว่า เผื่อจะสวยกว่านี้” ฟิมหยิบ

รูปเก็บลงกระเป๋าแล้วว่า “เออๆ ไปถ่ายใหม่เผื่อจะสวยขึ้นกว่านี้จริงๆ

นั่นแหละ” สุ ขยับเข้ามาใกล้ๆฉันแล้ว ยื่นหน้ากระซิบ ซึ่งทำให้ฉันต้องยื่น

หน้าไปฟัง “นี่ก็ใกล้ครบวันแล้วใช่มั๊ย” ฟิมเอ่ยตอบเสียงเรียบเฉย

“เราคงต้องไปกันนั่นแหละ” ฉันขยับตัวเข้าใกล้แมวแล้ว ออกความคิด

เห็น “ว่าแต่ว่า ตั้งแต่ย้ายมามีอะไร แปลกๆ ไหมพวกแก” ทันใดนั้น สุ ก็

กระโดด พรวดเดียวมาอยู่ตรงกลางวง สนทนา เอ่ยเสียงสั่น “มีกลิ่นน้ำหอม

อีกแล้ว” แมวร้อง“กรี๊ดดด” แล้วรู้สึกจะเย็นวาบข้างๆชั้นกับแมว

ฉันเห็นขนแขนเจ้าแมวตั้งชูชันเต็มที่ “สุ แกจะพูดให้ได้อะไรขึ้นมา ฉันอุ

ส่าห์ทำเป็นลืมๆ ทำไม่เห็น ไม่ได้ยินแล้วน่า” แมวส่งเสียงดุสุ แล้วพวกเราก็

แทบกอดกันกลม จนฟิมต้องลุกขึ้นยืนส่ายหัว “พวกแกก็บ้า อีกแค่ 2-3 วัน

เอง ทน ๆ เอาหน่อยน่า ว่าแต่คืนนี้จะเอาไงละเนี่ย”


คืนนี้พวกเรานอนรวมกันที่ห้องใหญ่ของฟิม เราเปิดทีวีเสียงเพลงดัง

จังหวะเร้าใจชวนสนุกสนาน แต่ใจพวกเรานั้น เต้นระทึก เพราะเมื่อคืนนี้ทั้งที่

ทุกคนอ่อนเพลีย หลับเป็นตายแต่ยังไม่วายเห็นใครเดินรอบเตียง เห็นนั่ง

ห้อยขาบนตู้เสื้อผ้า ช่างน่ากลัวจริงๆ และการที่คืนนี้พวกเรานอน รวมกันที่

ห้องฟิม ก็เป็นการยืนยันได้ว่า บางทีอาจเป็นการตาฝาดไปก็เป็นได้

เรานอนคุย นอนเล่นดู ทีวี กันเพลินจนเผลอหลับกันไปตามๆ กัน ตกดึกสงัด

เสียงหมาหอนทอดยาว เป็นทอดๆ ต่อกันไปดังมาจากทิศไหนไม่รู้

ฉันรู้สึกตัว ก็ พบว่าตัวเองเดินเล่นรับลมอยู่ตรงลานหลังบ้าน ยามดึกสงัด

อย่างนี้กลับทำให้ฉันรู้สึก สงบอย่างแปลกประหลาด ระยะหลังมานี่ที่บ้าน

วุ่นวายตลอดตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุรถชนประตูรั้วล้มใส่น้องกันย์เสียที่บ้านเก่า

ฉันเองยังเกือบโดนชนเข้าไปด้วยกับอุบัติเหตุครั้งนั้น บางทีถ้าเป็นฉันน้อง

กันย์อาจจะยังมีชีวิตอยู่ อย่างน้อยน้องกันย์ก็สนิทกับพวกเราอย่างมาก

แกเป็นลูกพี่สาวของฟิม พวกเราเห็นแกมาแต่ตัวแดง ๆ ด้วยความสนิทคุ้น

เคย จึงทำให้น้องกันย์วิ่งเข้าออกบ้านเราเสมอ ๆ ความคุ้นเคย เคยชิน ทำให้

เราประมาท หลังเกิดเรื่องครั้งนั้น ทุกคนในบ้านก็มักเจออุบัติเหตุแปลกๆ ใน

บ้านหลังเก่าบ่อยครั้ง ตั้งแต่ของหล่นใส่ ตกกระได จมน้ำในอ่าง ลื่นล้มใน

ห้องน้ำ หรือแม้แต่โดนผีอำกันครบคน ว่ากันว่าบางทีน้องกันย์อาจต้องการ

ใครสักคนในพวกเราไปอยู่เป็นเพื่อนแกบ้าง โชคยังดีที่บ้านหลังนี้ไม่มีประวัติ

ร้ายๆ แถมยังอยู่ท้ายซอยหน่อย ค่อนข้างสงบเงียบ ต่างกับหน้าถนนบ้าน

หลังเก่า ซึ่งมีรถวิ่งส่งเสียงดังตลอดแทบทั้งวันทั้งคืน ฉันเดินคิดโน่นคิดนี่ไป

เรื่อยเปื่อยแล้วหย่อนก้นนั่งลงบนม้านั่งไม้ท่าน้ำ บ้านนี้ลมเย็นเงียบสงบ จน

ฉันรักบ้านนี้อย่างประหลาดเหมือนกับมันช่างเป็นที่เป็นทางของฉันเสียเหลือ

เกิน


ถ้าเขาคิดขายฉันคงต้องรีบขอซื้อเสียแล้ว มองออกไปบนธารน้ำสะท้อน

เงาพระจันทร์เกือบเต็มดวงสวยเหลือเกิน แหม นึก อยากให้พวกนั้นมาเห็น

ด้วยจริงๆ

ฉันอดอยากรู้สึกถึงความเย็นของน้ำไม่ไหวเลยลุกไปนั่งบันไดท่า

น้ำพลางเอามือวักน้ำเล่น โอโห้น้ำเย็นจริงๆด้วย ฉันหย่อนเท้าทั้งสองลงน้ำ

แกว่งเท้าแช่น้ำ แหมมีความสุขจริงๆเรา ฉันคิดปลาบปลื้มชุ่มฉ่ำกับความรู้สึก

สดชื่นนี้ไม่ไหว จึงตะโกนไปทางบ้านหวังให้ สุ แมวและฟิมออกมานั่งเล่น

ด้วยกัน

“สุ แมว ฟิม สุ แมว ฟิม ออกมานี่หน่อย มาเร็วๆ มานี่” ฉันตะโกน ซ้ำมา

ซ้ำไป อีกอึดใจหนึ่งหันไปมองก็เห็น สุ แมว และฟิม เดินออกมาหน้าตางัว

เงีย คล้ายคนละเมอเป็นที่สุด ฉันกวักมือให้ สุ แมว และฟิม รีบเดินมานั่งที่ท่าน้ำ


ขณะนั้นมือฉันก็วักน้ำอยู่ก็สะดุดเอากับอะไรสักอย่าง พันแขนขาฉันอยู่

ฉันก้มลงมองก็ต้องแปลกใจเพราะเป็นเส้นผมสีดำยาว พันขาพันมือฉัน พอ

ฉันขยับดึงขาแขนขึ้นกับติดเอาหัวใครซักคน ทำให้ฉันดึงขาดึงแขนขึ้นไม่

ได้ ฉันจับหัวและร่างที่ลอยน้ำนั้นพลิกหงายก็ตกใจสุดขีด ผู้หญิงคนนั้นที่จม

อยู่ในน้ำใกล้ๆ ขาฉันหน้าเธอซีดขาวและเหมือนเนื้อบนใบหน้าจะเป็นวุ้นนิ่มๆ

จวนจะเน่า ทันใดนั้นดวงตาหล่อนก็เบิกโพลงขึ้นจ้องมองมาที่ฉันและสแหยะ

ยิ้มให้กับฉัน ฉันกรีดร้องสุดเสียง ปากของเธอคนนั้นขยับพูดบางอย่างกับ

ฉัน ซึ่งฉันลุกไม่ขึ้น มือและขาถูกผมของหล่อนรัดแน่น จนร่างของหล่อนอยู่

บนตักฉัน ฉันกรีดร้องสุดเสียงให้ 3 คนช่วย ทั้ง 3 คน ก็พากันยืนตาค้างอยู่

อย่างนั้น และเรา 4 คนก็ประสานเสียงกรีดร้องดังไปทั่วบริเวณ


เสียงกรี๊ดประสานเสียงของเราทำเอาพวกเราลุกขึ้นนั่งกอดกันกลมโดยมิ

นัดหมายอยู่บนเตียง ฝัน ๆ เรา ฝันหรือนี่ ฉันพรึมพรำสับสน เสียง ฟิม พูดให้

ความมั่นใจขึ้นอีก “ฝันๆ พวกเราแค่ฝันไป” แมวตะโกนถามแทนความรู้สึกของ

พวกเรา "ฝันเหมือนกันหมดเนี่ยนะ?" แมวกอดฉันและสุเสียงสั่น สุกับฉันพูดแทบพร้อม

กัน “นั้นนะซิ” คืนนั้นทั้งคืนพวกเรานอนกอดกกันกลมใต้ผ้าห่มที่เราคลุม

โปงอยู่อย่างนั้น โดยไม่มีใครหลับ เพราะเราได้ยินเสียงเดินไปเดินมา เสียง

เปิดประตู เสียงน้ำไหล สาระพัดเสียงเหมือนเราครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่ตลอด

เวลา จนมีเสียงนาฬิกาปลุกตอน 7 โมง นั่นแหละถึงได้สติแยกย้ายกันอาบ

น้ำแต่งตัวกันได้ บ่ายวันนั้นแมวกับฟิมออกไปเคลียร์งานคงเหลือให้

ฉัน กับ สุ อยู่บ้านกันแบบหวาดๆ ซึ่งเราก็ช่วยกันทำความสะอาดศาลพระภูมิ

ที่หลังบ้านอย่างน้อยก็อาจช่วยให้ใจเรารู้สึกเหมือนมีที่พึ่งบ้าง


ศาลพระภูมิที่หลังบ้านดูรกร้างและกระถางธูป รูปปั้นตุ๊กตาเสียกระบาลก็ดู

เก่าคร่ำครึ่ก แถมดูเหมือนจะมีรอยร้าวจางๆ อีกต่างหาก ฉันเห็นแล้วอดรู้สึก

วังเวงชอบกลในใจขึ้นมาไม่ได้ นึกถึงฝันเมื่อคืนนี้เล่นเอาฉันยังใจสั่นไม่หาย

เพราะผู้หญิงคนนั้นเป็นคนเดียวกันกับที่ฉันเห็นยืนอยู่ข้างแมว ฉันยืนมองดูสุ

ซึ่งดูตั้งอกตั้งใจทำความสะอาดศาลพระภูมิเจ้าที่ซะเหลือเกิน แม้มือจะสั่นไป

บ้างก็เถอะ สุ เปลี่ยนดอกไม้บูชาใหม่ นำผ้าแพร 3 สีพันใต้ศาล เอาช้างม้า

และนางรำ คนรับใช้วางเพิ่มใส่น้ำเต็มตุ่มเงินตุ่มทองใหม่ นำของไหว้ขึ้นไหว้

ทั้ง คาว หวาน ผลไม้ น้ำแดง ฉันได้แต่ยืนมอง สุ ทำไปเรื่อยๆ จนเพลินตา

สักพัก สุจุดธูปและนั่งลงตรงหน้าศาลพระภูมิ แล้วว่า บางอย่างซึ่งฉันก็รีบ

พนมมือ นั่งลงข้างๆด้วยทันที สุอธิฐานบนบานบางอย่างเบาๆซักครู่ก็ลุกขึ้น

ยืนปักธูปในกระถาง ฉันเงยหน้ามองตามสุไป ก็ตกใจแทบสิ้นสติ ฉันเห็นผู้หญิง

คนนั้นที่ฉันฝันถึงเมื่อคืนนี้ หล่อนยืนทำหน้าตาน่ากลัว อยู่ตรงอีกด้านของ

ศาลพระภูมิ แล้วชี้มือมาที่ฉัน พูดบางคำที่ฉันฟังไม่เข้าใจแล้วสแหยะยิ้ม

ฉันผงะเสียหลักล้มนั่ง และเป็นลมไปทันที


กลิ่นควันธูปยังตลบอบอวนอยู่รอบตัวฉัน ราวกับว่ามันถูกจุดไว้ใต้จมูกฉัน

เสียเหลือเกิน ไหนจะกลิ่นน้ำอบอันชวนเวียนหัวนี่อีก ฉันปรือตามองรอบๆ

ตัว เห็นว่าตัวเองอยู่บนเตียงนอนห้องเล็ก ซึ่งเป็นห้องของ สุ กับ ฉัน ลมเย็น

พัดผ่านหน้าต่างหลังบ้านมาฉันค่อยรู้สึกสดชื่นอย่างประหลาด เริ่มมีเรี่ยวแรง

พยุงกายลุกขึ้นนั่งได้ ฉันมองออกไปนอกหน้าต่างเห็นเป็นเวลาใกล้ค่ำ

โพ้ลเพ้ลแล้ว บ่อยครั้งที่ฉันรู้สึกสับสนเหมือนไม่รู้จักตัวฉันเองเหมือนคนที่

ทำตัวเองหล่นหายตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ!! แมวเปิดประตูห้องเข้ามาหยิบหวี

แปรงหน้าตู้กระจกแปรงผม 2-3 ทีแล้วแอบหยิบกิ๊บตัวโปรดของ สุ ขึ้นทาบ

เล่น 2-3 อัน แล้วถามฉันว่า “ค่อยยังชั่วขึ้นรึยัง” ฉันซึ่งยังคงเหม่อมองออกไป

นอกหน้าต่างไม่มีกะจิตกะใจจะตอบ ได้แต่พยักหน้ารับ “ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว

พรุ่งนี้อีกแค่วันเดียวเท่านั้นแหละ ก็คงเลิกวุ่นวายซะที” แมวพูดพลาง

ส่องกระจกหันซ้ายหันขวาดูกิ๊บตัวที่ติดว่าดูสวยรึเปล่า ฟิมซึ่งยืนอยู่หน้าประตู

ห้องว่า “สวยแล้วแก ลงไปกินข้าวกันเถอะ เผื่อฉันจะหายเวียนหัว เมารถเมา

ราซะที นี่ฉันก็ยังมึนๆอยู่เลย” “รถติดทีไร เป็นทุกที ฟิมแก่ลงไปเยอะแล้ว

ว่ะ” แมวส่ายหน้าพูดขอความคิดเห็นกับฉันแล้วเดินตามฟิมลงไป
ฉันลุกขึ้นจากเตียงเดินตามหลังแมว แล้วปิดประตูห้องเสียง

ประตูกระแทกดังปัง! เล่นเอาพวกฉัน 3คน ยืนสะดุ้งตัวแข็ง อยู่ที่บันได “ลม

มั้ง คงเป็นลมมันแรง” ฉันรีบพูดกลเกลื่อน ฟิมว่า “ใช่ลมแหง๋ๆ” แล้วรีบสาวเท้าลงบันไดไปโต๊ะอาหารอย่างเร็ว

เมื่อทุกคนประจำที่แล้ว ก็พากันกินข้าวเงียบเฉียบ เมื่อกินกันไปได้

ซักครู่แล้ว สุก็เอ่ยทำลายความเงียบขึ้น “เมื่อตอนบ่ายแก่ๆ ฉันก็ได้ยินเสียง

มันวีดร้องอีก” สุพูดไปหน้าตาเลิกลั่ก หันซ้ายหันขวา “พวกแกว่า...” แมว

หยุดกลืนน้ำลายแล้วค่อยพูดต่อ “วันพรุ่งนี้จะจบจริงรึเปล่าว่ะ”

ฟิมถอนหายใจก่อนจะตอบแมว “โบราณว่าไว้อย่างไงก็อย่างงั้น จะสงสัยกันทำไมว่ะ”

ฉันเห็นด้วยจึงว่า “รออีกแค่วันเดียวก็รู้แล้วน่า ว่าแต่ว่าพรุ่งนี้จะไปกันกี่โมง”

ฟิมรวบช้อนกินข้าวแล้วตอบ “เอาน่า พรุ่งนี้ยังไงก็ต้องไปกันทุกคน จะใช่หรือไม่ใช่พรุ่งนี้อีกวันเดียวเท่านั้น”

ฉันว่า “อีกวันเดียวจริงหรือไม่จริงเดี๋ยวก็ได้รู้ อดทนหน่อยนะ สุ” ฉันพูดแล้ว

จับไหล่สุเขย่าเบาๆ ใจนึกสงสารสุ เพราะในกลุ่มนอกจากฉันก็มีสุที่ค่อนข้าง

จะกลัวและขวัญอ่อนกว่าใครเพื่อนและยิ่งเมื่อตอนบ่ายที่เราเจอด้วยกันแล้ว ยังขนหัวลุกไม่หาย

เมื่อเราพูดจานัดแนะเวลากันเป็นที่เรียบร้อยว่าไปบ่ายแก่ๆ เย็นๆ หน่อยก็คง

พอจะสรุปเรื่องไป ไม่ไปได้ชัดเจนขึ้นอย่างน้อยก็ญาติๆกันอยู่ดี

หลังมื้ออาหาร ทุกคนก็รวมกันอยู่ที่ห้องโถงชั้นล่างหน้าทีวี ฟิมเปิดโน๊ตบุ๊ค

ดูงาน ส่วนแมวกับสุติดละครหลังข่าว ต่อด้วยรายการสัมภาษณ์ดาราคน

โปรดสุดกรี๊ดของพวกหล่อนฉันงี้เซ็งๆดูยังไงก็ไม่อินซักที เลยหยิบหนังสือ

บนโต๊ะมาเปิดอ่านเล่นฆ่าเวลาพลางๆจะขึ้นห้องก่อนก็กลัว ฉันเปิดอ่านไปซัก

พัก รู้สึกแปลกๆรอบๆ ข้างมันเงียบงันผิดปกติเหมือนใครจ้องมองฉันอยู่ ฉัน

แปลกใจจนต้องเงยหน้าจากหนังสือแล้วถาม

“เฮ้ยๆ พวกแกมองอะไรกันว่ะ” สุ แมว ฟิม มันเล่นจ้องฉันตาค้าง อ้าปากค้าง

อยู่ๆก็กรี๊ดพร้อมกันอย่างกับนัดเอาไว้ แล้วพากันกระโดดตัวลอยวิ่งขึ้นห้อง

นอนชั้นบนกันแทบตกกระได ฉันงี้พลอยกรี๊ดตามกันวิ่งขึ้นบันไดตามตูดพวก

มันด้วยตกใจสุดขีด แต่ขณะฉันวิ่งอยู่บนบันไดดันมองไปที่โซฟาตัวที่ฉันนั่ง

เห็นผู้หญิงผมยาวคนนั้นยืนตัวเปียกปอนชี้มือมาที่ฉันและ สะแหยะยิ้ม มี

เมือกสีดำลื่นไหลออกจากร่องฟันสีดำที่หล่อนยิ้มให้นั้น

ฉันส่งเสียงกรี๊ดสุดเสียงแล้วเปิดประตูห้องแมวไม่เจอพวกมัน เปิดห้องสุก็ไม่เจอพวกมัน

"ไอ้บ้าเอ้ยไปไหนกันหมด กรี๊ดๆ” ฉันร้องว่าพวกมันและร้องกรี๊ดๆด้วยความ

กลัว ทันทีที่เปิดห้องใหญ่ก็เห็นพวกมันนั่งคลุมโปงกันอยู่บนเตียง “ใครเปิด

ประตูว่ะ” เสียงเจ้าฟิมตะโกนออกมาจากผ้าห่ม ฉันรีบหันไปปิดประตูดังปัง

ใหญ่ หลังจากแลเห็นผู้หญิงน่ากลัวคนนั้นเดินขึ้นบันไดตรงมาทางฉัน

“กรี๊ด” ฉันส่งเสียงร้องเสียงหลงกระโดดขึ้นที่นอนจนเตียงขย่ม สุตะโกน

เสียงสั่น “ปู อย่าหลอกอย่าขย่มเตียงสุกลัวนะ”

ฉันเปิดผ้าเข้าไปนั่งขลุกด้วยแล้วว่า “กูก็กลัวเหมือนกัน พวกเมรึงจะวิ่งก็ไม่

บอกกูรเลย” “เย็นๆตรงกูนี่แหละ ทำไงดีว่ะ”เจ้าฟิมพูดจาพึมพรำ

“อย่าพูด ทุกคนอย่าพูด” แมวเตือนให้อยู่กันเงียบๆ พลางสวดมนต์ซึ่งฟังไม่ได้

ศัพท์ ผิดๆ ถูกๆ ฉันได้ยินเสียงเดินรอบๆเตียง เสียงของในห้องตกกรอบรูป

หล่นแตก ฉันหลับตาหูอื้ออึ่ง ฟังเสียงสวดมนต์ผิดๆ ถูกๆ จนรู้สึกกลัวหูอื้อตาลาย

นึกในใจว่าทำไมไม่เลือกบ้านดีๆ บ้านเก่าก็ผีหน้าบ้าน บ้านนี้ก็ผีในบ้าน โอ๊ย!

ฉันกลัวจนทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แต่ฉันรู้สึกตัวอีกที

เจ้าสามคนนั้นนั่งกอดกันหลับหัวเกยกันไปมา ฉันเปิดผ้าคลุมโปงออก เพราะ

นึกกลัวว่าเรา 4 คน จะขาดอากาศหายใจตายซะก่อน พวกเราหลับแบบสลบ

กันทีเดียว ฉันจับสุนอนหมอน จับแมวนอนให้ถูกท่า และจับเจ้าฟิม นอนให้

สบายๆหน่อย ห่มผ้าพวกมันแล้วฉันมานั่งข้างเตียง นึกทบทวนคงต้องทำ

อะไรซักอย่างกับบ้านหลังนี้


ฉันเดินไปเปิดผ้าม่านหน้าต่าง แดดอ่อนๆ ยาม 8โมงเช้าช่างสดใสนัก

เชียว ทำเอาฉันเผลอตัวลงมาเดินเล่นหลังบ้านอีกแล้ว อากาศยามเช้าหลัง

บ้านตรงท่าน้ำลมเย็นดีทีเดียว ฉันนั่งมองปลาตัวเล็กดำผุดดำไหว้ ฉันนั่งร้อง

เพลงเบาๆ รู้สึกตัวโล่งสดชื่นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนตั้งแต่มาอยู่บ้านนี้ บางที

ถ้าพวกฉันตักบาตรทำบุญให้บ้างเจ้าที่บ้านหลังนี้คงไม่มาหลอกพวกเราก็เป็นได้


เสียงผัดข้าวผัดฝีมือของ ฟิม ฟังดูก็รู้ว่าชำนาญแค่ไหน แค่เสียงแค่กลิ่น

ก็การันตีได้ว่า อร่อยเหาะ สุดยอดขนาดไหน สุ เดินออกมาหลังบ้านเอาข้าว

และน้ำขึ้นไหว้ที่ศาลพระภูมิ ฉันลุกจากท่าน้ำเดินมาหาสุ สุเงยหน้าลุกมา

มองที่ฉันและยิ้มถามฉันว่า “กินข้าวผัดกันไหม” ฉันละงงๆ มันมาแนวไหน

ของมัน ไม่ต้องชวนฉันก็กินอยู่แล้ว ฉันเดินผ่านสุไปหาแมวที่ยืนพิงประตู

หลังบ้านโบกมือไหวๆ ให้คนข้างบ้าน หน้ายิ้มแย้มแจ่มใส พลางบอกแมว

ว่า “รู้จักเขาไปหมดไปกินข้าวกันดีกว่า” แมวเดินตามหลังฉันเข้ามาตามด้วย

สุ ทุกคนรีบนั่งประจำที่ รอฟิมเสริฟข้าวผัดของโปรด “แมวมันร้อนนะ เป่่าซะ

ก่อนสิ” ฟิมปรามทันทีที่แมวตักข้าวเข้าปากไม่เป่าไล่ความร้อนที่ขึ้นไอ

แมวทำปากห่อๆ เป่าลมไล่ความร้อนในปาก ทำเอาสุกับฉันขำกันด้วยตลก

ท่าทางของแมว แมวทำตาค้อนใส่พวกฉันแล้วว่า “แหมก็มันหิวนี่น่าฉันเองก็

ทานร้อนพอได้ ไม่ใช่ไอ้ฟิม ซักหน่อย ตัก 2 จานตลอด กลัวข้าวเย็นไม่ทัน

กิน” ฟิมว่า “เกี่ยวไรด้วยเล่า ก็จานแรกทานรอๆ แต่พอจาน 2 อร่อยเย็น

พอดีกินเลย” ฟิมพูดจบ ยังหัวเราะคิกคัก ฉันตักข้าวเข้าปากพลางบอกสุ

ว่า “ปล่อยมันทะเลาะกันเรื่องของมัน” สุพยักหน้าขำๆ แล้วหยิบแตงกวาเข้า

ปากเคี้ยวตุ้ยๆ ฟิมว่าต่อ “เมื่อคืนนี้....” ทุกคนส่งเสียง จุ๊ๆ ให้หยุดพูดดี

กว่า เพราะเมื่อคืนโดนกันเยอะ เยอะจริงๆ นี่ก็ยังขนลุกกันไม่หาย ซึ่งฟิมก็

อดออกความคิดเห็นไปโดยปริยาย

“ข้าวของอะไร ที่จะเป็นสื่อฉันว่าเอาไปด้วยดีกว่า จะได้คืนมันไป ฟิมว่าไง”

สุขอความคิดเห็น “ใครว่าไง ฉันไม่รู้หรอกนะ แต่...ของฉันเก็บเตรียมไว้

เรียบร้อยแล้ว” แมวเอ่ยตอบโดยไม่มองหน้าใคร ส่วนฉัน “ยังไงก็ได้” ฉัน

ตอบพลางลุกจากเก้าอี้ เดินไปหยิบน้ำมารินดื่มตรงตู้เย็น เสียงเจ้าพวกนี้ยัง

กระซิบงึมงำอยู่ที่โต๊ะกินข้าว


ฉันนึกสนุกวางแก้วน้ำกระแทกลงโต๊ะเสียงดังตึงใหญ่ เห็นพวกมันสะดุ้ง

โหย่งแล้วฉันก็อดขำหัวเราะเสียงดังไม่ได้ สุหน้าซีดมากกว่าเพื่อนส่งเสียง

ตามหลังฉันซึ่งเดินขึ้นบันไดมาแล้วทันที “สนุกนักเหรอ! หลอกกันเนี่ย คนยิ่งกลัวๆ อยู่ด้วย”


ตอนเย็นๆ กว่าจะมาถึงวัดได้ก็ทุลักทุเลเอาการ เพราะรถแท๊กซี่ดันเล่นชอบกลกัน

น่าดูโฉบเข้าจะรับ ก็พากันเปลี่ยนใจโฉบออกไปกันเฉยๆ เล่นเอาพวกฉันยืน

เกาหัวกันเป็นแถว ไม่รู้เอาไงของมัน เดี๋ยวจะรับ เดี๋ยวไม่รับเกือบจะมาไม่ทัน

เสียแล้ว ทันทีที่รถจอดที่บริเวณวัดแล้ว เรารีบเดินเข้าศาลา เสียงพระสวด

ฟังวังเวงจนฉันรู้สึกขนลุกทั้งตัว ในศาลาเห็นผู้คนแต่งชุดสีดำมากมายจน

ละลานตา ฉันเดินตามหลัง 3 คนไป รู้สึกเบลอๆ งงๆ กลิ่นธูปและน้ำอบแรง

เสียจนฉันเวียนหัว เบลอๆ สุนั่งลงรับธูปในมือเด็กที่มาช่วยงาน แต่หน้าตา

เด็กสาว วัย 14-15 ช่างคล้ายใครสักคนที่ฉันนึกไม่ออก สุส่งธูปต่อๆ กันมา

แล้วทุกคนก็ก้มลงอธิฐานอโหสิกรรมกัน ฉันนั่งลงรอรับธูปในขณะที่พวก

เพื่อนยืนขึ้นแล้วเช็ดน้ำตากัน ฉันเงยหน้ามองที่รูปข้างโลงแล้วแทบผงะ

ตกใจอย่างที่สุด มันเป็นรูปฉันนี่นา มือไม้ฉันอ่อนยวบแทบล้มตึงลงกับพื้นส่ง

เสียง กรีด ร้องดังสุดเสียง “ไม่......ไม่จริง”

รอบตัวฉันหมุนเคว้ง คล้ายมีแรงดึงดูดมหาศาล ดูดตัวฉันมาอยู่ท่ามกลาง

ภาพในอดีตดังมิติ มิติหนึ่ง ภาพหลายภาพสับสนปนเป เกินจะรับได้ ฉันหลับ

ตาน้ำตาไหลเมื่อลืมตาขึ้น


ภาพตรงหน้าเป็นภาพวันเกิดอุบัติเหตุ รถเสียหลักพุ่งเข้าชนประตูรั่วบ้านฉัน

ถูกอัดเข้ากับประตูอัลลอยขนาดใหญ่ ในขณะที่น้องกันย์เข้าพ้นประตูรั้วไป
แล้ว

ฉันสิ้นสติในทันที รู้สึกตัวที่โรงพยาบาลฉันเห็น เจ้ากันย์ตัวเปื้อนเลือด

อยู่บนเตียง ในขณะที่เข็นเข้าห้องฉุกเฉิน ฉันวิ่งตามเข้าห้องฉุกเฉิน ทำแบบ

เดิมๆ ที่ฉันเคยทำมาแล้วด้วยคิดว่า เจ้ากันย์เป็นคนที่ถูกรถชนแต่เมื่อมอง

ดีๆ เลือดบนตัวเจ้ากันย์คือเลือดฉัน อาการตาค้างของกันย์ก็คงจะเป็นเพราะ

เด็กเล็กๆ อย่างเจ้ากันย์ ก็คงจะช็อคมากกว่า ภาพถัดมา ฉันยืนอยู่ท่ามกลาง

เพื่อนๆ อย่าง สุ แมว ฟิม ชีวิตปกติของฉัน เปิด-ปิดไฟ เดินเข้าออกห้อง

ต่างๆในบ้าน กินข้าว ดื่มน้ำ เปิดและปิด ทีวี เครื่องเสียง จนทุกคนต้องย้ายบ้าน

เพราะกลัวฉัน! ภาพพวกเราที่พากันสนทนาเฮฮา ส่วนมากเราคุยกันเป็น

กลุ่มๆ ฉันเลยคิดไปเองว่าถามฉัน ตอบฉัน คุยกับฉัน ฉันไม่เคยคุยกับใคร

สองคนเลยสักครั้งเดียว! ภาพบนโต๊ะอาหาร จานข้าว ที่เห็นตั้งโต๊ะ 4 ใบ

ใบที่ 4 เกินจำนวนคน คือใบที่ตักอาหารไว้ให้เย็นสำหรับจานที่ 2

ของฟิม ฉันหลงคิดไปเองว่าเป็นของฉัน แล้วทุกครั้งที่ฉันต้องหยิบช้อนมากิน

ข้าว ฉันมักหยิบช้อนตกทุกครั้ง ทุกคนจึงรีบจ้ำกินข้าว เพราะกลัวฉัน ไหนจะ

เหตุการณ์ที่ฉันมักจะกินช้า และทุกคนรีบเก็บอาหารบนโต๊ะหนี ซึ่งฉันคิดว่า

เพื่อนแกล้ง แต่ที่จริงคือเขาไม่เห็นฉัน ไม่เคยเห็นฉัน!!!

ภาพที่ฉันตกใจร้องกรี๊ด ทุกคนได้ยินเสียงฉันกรี๊ด จึงได้แต่วิ่งหนี ไปคลุม

โปง ฉันวิ่งตามไปเปิดปิดประตูห้อง ยิ่งทำให้ทุกคนกลัวมากยิ่งขึ้น ผ้าคลุม

โปงที่ฉันกระชากออกแล้วคลุมกลับลงมายิ่งทำให้หลอนเข้าไปอีก


ว่าแต่...ถ้ากลิ่นธูปที่ตลบอบอวนคือตัวฉัน แล้วผีผู้หญิงที่ฉันเห็นชี้หน้ามา

ที่ฉันบ่อยๆ หละ เขาพูดว่าอะไรน่ะ! ฉันคิดสับสนกับภาพมายาที่ปรากฏมา

ปรากฏไป ก็มีแรงดึงดูดอย่างมหาศาล ดึงฉันกลับไปที่บ้าน ตรงท่าน้ำหลัง

บ้าน


ฉันเห็นภาพมายาตรงหน้าอีกครั้ง ผู้หญิงคนนั้นยืนอยู่ตรงศาลพระภูมิ

แล้วชี้มือมาที่ฉัน ภาพบางอย่างที่ฉันเคยเห็น เธอขยับปากพูด เสียงที่ฉัน

ไม่เคยได้ยิน และอาจไม่อยากได้ยิน


“เมรึงมาแทนกูร” เสียงของเธอก้องกังวานฟังดูน่ากลัวที่สุดในชีวิตแต่กลับมี

พลังตรึงฉันให้อยู่กับที่ในบ้านหลังนี้ ไปอีกนานแสนนาน


“เมรึงมาแทนกูร”

“เมรึงมาแทนกูร”

“เมรึงมาแทนกูร"


เสียงเปิดประตูรั้วหน้าบ้านเข้ามา ฉันได้ยินเสียงทุกสิ่งภายในบ้านอย่าง

ชัดเจนราวกับว่าบ้านกับฉันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทุกสิ่งที่พวกนั้นคิดภายใน

บ้านนี้ ฉันยังได้ยินชัดเจน พวกนั้นคงกลับมาจากงานศพฉันแล้ว วันนี้วันเผา

ครบ100วันที่ฉันหายจากโลกของพวกเขาอย่างถาวร

แต่เป็นวันที่ฉันตื่นขึ้นในโลกของวิญญาณอย่างเต็มตัว ฉันเพียงแค่คิด

ในทันทีที่ต้องการอยากเข้ามาในบ้าน ก็ปรากฏว่าฉันยืนอยู่ในห้องโถง

ชั้นล่างของบ้าน ฉันยืนมองเพื่อน ๆ ของฉัน เปิด-ปิดตู้เย็นหยิบน้ำ หยิบ

ขนม ผลไม้ ใส่ปาก พลางสนทนาบางอย่างซึ่งฉันไม่สนใจฟัง ฉันน้ำตาไหล

ด้วยรู้สึกห่วงหา ห่วงใย อาลัยกับเพื่อนรักทุกๆ คนเป็นที่สุด ฉันบอกกับตัว

เอง ใช่แล้ว..ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้น ฉันจะอยู่ในบ้านหลังนี้กับเพื่อนๆของฉัน

จะไม่ยอมไปไหน หรือให้ใครไปไหนทั้งนั้น ฉันจะหาวิธี ทำทุกอย่างเพื่อให้

เราอยู่ด้วยกันตลอดไป ในบ้านหลังนี้ที่ฉันได้ครอบครองและฉันคิดว่า

"ฉันชอบมันเสียแล้ว"

*********************

จากคุณ : นายเรียว
เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 54 00:42:13




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com