Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
สิทธิของสัตว์ ติดต่อทีมงาน

“คุณหมอครับ ผมเจ็บ…เจ็บมากเหลือเกิน ขอยาให้ผมด้วยเถอะ… มันปวด ปวด…โอย…”
       
         ผู้ป่วยชายวัยปลายร่างผอมบอบบางจนเห็นถึงริ้วรอยซีดแห้งไม่ต่างกับซากศพที่มีชีวิต กำลังนอนส่งเสียงคร่ำครวญอยู่บนเตียงเก่าๆ ในแผนกผู้ป่วยรวมของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง

  เสียงเครือพร่าด้วยความชราและสั่นสะท้านจากความทุกข์ทรมานทำให้หลายคนในห้องต่างมองมาด้วยความรู้สึกเวทนาสงสาร


    ป้ายหน้าเตียงสีขาวสะอาดเขียนชื่อ สกุล และโรคร้ายที่เกาะกินเรือนร่างนั้นอยู่ โชคดีที่ “ความไร้การศึกษา” ทำให้ไม่อาจจะอ่านและแปลชื่อภาษาต่างด้าวนั้นได้เข้าใจ ผู้ป่วยจึงคิดแต่เพียงว่าตัวเองเป็นโรคตับเรื้อรัง ที่ต้องรักษาอยู่ภายในโรงพยาบาล และอีกไม่นานก็จะหาย… กลับไปบ้านได้เสียที

        บ้าน…


         แค่นึกถึงเท่านั้น หัวใจของคนเจ็บก็ลอยลิบกลับไปสู่สถานที่อันคุ้นเคยในความฝันสุดโพ้นฟ้า ทุ่งนาสีเขียวขจีที่แตกรวงเป็นสีทองอร่ามในยามฤดูเก็บเกี่ยว นึกถึงใบหน้าของเมียและลูกที่เคยได้อยู่ร่วมกันพร้อมหน้า รอยยิ้มของคนเหล่านั้นเคยได้เห็นทุกวันจนชาชิน ทั้งเสียงหัวเราะของแม่และลูกที่น่ารักทั้งสองคน แต่เขาไม่เคยคิดถึงสุดหัวใจขนาดนี้มาก่อนเลย


   “พ่อต้องกลับมาบ้านอีกนะจ๊ะ ฉันจะทำน้ำพริกมะขามที่พ่อชอบไว้ให้”


       บัวเผื่อนลูกสาวคนโตบอกกับเขาเช่นนั้น แค่รู้ว่าลูกสาวเป็นห่วง หัวใจของคนเป็นพ่อก็พองคับอกแล้ว



        “เออ อีกไม่กี่วันล่ะวะ พ่อจะกลับไปกินน้ำพริกฝีมือเอ็ง กินให้ชุ่มปอดไปเลย”



          เขาตอบลูกสาวในใจ ปีนี้บัวเผื่อนโตมากแล้ว สิบห้าย่างสิบหก… แต่ถึงจะโตแค่ไหนเขาก็ยังอดห่วงไม่ได้ตามเคย แม้จะไม่มีเงินให้มันเรียนหนังสือสูงๆอย่างที่หวังเอาไว้ แต่ก็พยายามเลี้ยงดูอย่างดี ขอให้มันไม่เป็นคนเลว ไม่ลักเล็กขโมยน้อยให้ใครๆเขาว่าก็พอแล้ว



        ความปวดดูเหมือนจะทวีขึ้นไปอีก จนบีบความคิดฝันแตกกระจายไม่ต่างกับฟองสบู่สีรุ้งกลางแดดจ้า มันปวดร้าวไปทั้งช่องท้อง ร้อนเหมือนมีไฟนรกเข้ามาสุมไว้ แผดเผาไปทั้งร่าง ปวดจนทนแทบจะไม่ได้… ทนไม่ได้!



         “หมอ…”



         “คนเจ็บปวดมากเลยค่ะ เพ้ออีกแล้ว จะทำยังไงต่อไปดีคะ?”



               “ให้มอร์ฟีน 5 มิลลิกรัม ไอวี* แล้วเดี๋ยวค่อยตามด้วยทาม็อกซิเฟน(tamoxifen)”



       “ค่ะ”



       รู้สึกเหมือนเข็มแทงทะลุผ่านผิวเนื้อพร้อมน้ำยาถูกกดผ่านเข้าไปช้าๆ เสียงตอบรับจากพยาบาลในชุดสีขาวดูเหมือนจะอยู่ไกลแสนไกล...  เห็นเป็นภาพของประไพ เมียรักยืนอยู่เบื้องหน้า น้ำตาไหลนองอาบแก้มแทน



       “พี่ชม กลับบ้านเราเถอะ กลับไปที่บ้านเรา…”



        “พ่อจ๋า”



         มันปะปนกันทั้งเสียงของลูกรักและเมียแก้ว ความรู้สึกคล้ายวูบดิ่งอีกครั้ง คราวนี้มันมืดสนิทไร้ความรู้สึกใดๆทั้งมวล



                 ***********



          “เป็นไงบ้างคะหมอ?”



          คนถามเป็นหญิงวัยย่างเข้าหกสิบ แต่งตัวด้วยผ้านุ่งผืนเก่าๆสีซีดจาง และเสื้อเนื้อหยาบสีกรมท่ามอซอ ผมเผ้าหงอกขาวประปรายขมวดรัดเอาไว้หลวมๆด้วยยางเส้นเล็กๆ เห็นถึงรอยยับย่นของผิวเนื้อที่แห้งหยาบด้วยกรำงานมาตลอดชีวิต



            “ถ้าไม่ผ่าตัดอีกครั้ง ก็คงต้องรักษาด้วยคีโม… การรักษาทางยาเพื่อบำบัดผู้ป่วยเพียงอย่างเดียว แต่ผมก็ไม่แน่ใจ… อย่างมากก็อาจจะชะลอเวลาไปได้สัก สอง-สามเดือน”



       “แต่…แต่ถ้า ผ่าตัด”



         “คนไข้ก็จะมีชีวิตรอดได้นานมากขึ้น และอาจจะ… ดีขึ้น”



         คนพูดหยุดคำว่า“หาย” เอาไว้ในลำคอ มะเร็งตับระยะสุดท้ายเหลือแค่การชะลอชีวิตผู้ป่วยเอาไว้ให้นานที่สุดตามความปรารถนาของญาติผู้ป่วย เขารู้สึกสงสารหญิงชราผู้นี้จับใจ เข้าใจถึงความยากลำบากในการกระเสือกกระสนหาเงินมารักษาผู้เป็นสามีสุดที่รัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับโรคที่รู้ว่าดำเนินมาเกือบถึงปลายทางแล้ว…



            “รักษาด้วยยา… แต่ดิฉัน”



          เขาบอกราคายาออกไป มันเป็นกลุ่มยาพิเศษนอกเหนือจากรายการบัญชียาหลักสำหรับเบิกจ่ายได้ในราคาถูก หญิงชรานิ่งไปอึดใจ



       “ผมเข้าใจครับป้า แต่นี่ก็เป็นการบริการที่คิดในราคาที่ต่ำที่สุดแล้ว คุณป้าลองไปติดต่อที่แผนกสังคมเคราะห์อีกทีนะครับ เผื่อว่าจะหาทางช่วยเหลือกันได้บ้าง”



       “ดิฉันไปมาหลายครั้งแล้วค่ะ หลายครั้งเหลือเกินแล้ว…”



        ประโยคหลังเป็นเพียงการรำพึงเบาๆ ของนาง ก่อนจะเดินโผเผตรงเข้าสู่ห้องคนไข้ ความรู้สึกอ่อนล้าและมืดมนจนเหมือนกับไม่เห็นทางออกใดๆเลยในชีวิต ทำไมหนอ?



          นางปาดน้ำตาลวกๆ พยายามฝืนยิ้มเต็มที่เมื่อเปิดประตูผ่านเข้ามาในแผนกผู้ป่วยรวมที่จอแจด้วยเสียงร้องระงม โอดโอย ของบรรดาคนไข้ทุกประเภทจนฟังไม่ได้ศัพท์ เตียงของนายชมอยู่ริมสุดด้านใน เรือนร่างที่เคยแข็งแกร่งกำยำของสามีนางบัดนี้ผอมแห้งจนเห็นแต่ซี่โครงที่มีผิวเนื้อหยาบคล้ำหุ้มรัดเอาไว้ แขนขาลีบ ดวงตาสองข้างที่เคยสดใสรื่นรมย์ก็ลึกโหลเห็นนัยน์ตาขาวเหลืองระเรื่อด้วยอาการของดีซ่าน แก้มตอบซีดและเส้นผมบนศีรษะก็ร่วงเป็นกระจุกอยู่บนหมอน จะมีก็เพียงแต่บริเวณท้องน้อยเท่านั้นที่บวมโป่งขึ้นมาเหมือนคนเป็นท้องมาน กลิ่นเหม็นเน่าบางอย่าง คลุ้งอบอวลรอบบริเวณ จนนางแทบจะต้องกลั้นหายใจ



         นายชมกำลังหลับสนิทพอดี นางค่อยๆหย่อนตัวลงนั่ง แล้วมองร่างของชายผู้เป็นที่รักอย่างเต็มตาพร้อมกับถอนหายใจหนักหน่วง นัยน์ตาคู่นั้นหลับพริ้มเหมือนกำลังหลับฝันดี



        “อย่าให้คนไข้กระทบกระเทือนใจมาก ปล่อยให้เขามีความสุขกับชีวิตเป็นครั้งสุดท้าย”



        ประโยคของใครคนหนึ่งลอยมาในกระแสสำนึก หญิงชราถอนสะอื้นแผ่วเบา พยายามข่มกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลทะลัก ทันทีที่มันเอ่อปริ่มขังขอบก็รีบใช้มือที่เหี่ยวย่นปาดทิ้งไป



       ความสุขหรือ? สภาพนี้หรือคือความสุข??



            นางอยากปล่อยให้เขาหลับนานๆ หลับไปเลยโดยไม่ต้องตื่นขึ้นมารับรู้ความเจ็บปวดที่รอคอยอยู่อีกต่อไป พักหลังๆเขาเริ่มบ่นให้นางฟังบ่อยๆเมื่ออาการของโรคร้ายเริ่มลุกลามรุนแรง ความปวดร้ายกาจก็จะยิ่งทวีขึ้นเหมือนมันหรรษากับการได้สดับเสียงครวญครางอย่างทุกข์ทรมานของคนไข้



        “ฉันเป็นอะไรกันแน่จ๊ะแม่ไพ บอกมาเถอะ”



         นายชมสังหรณ์หลายครั้ง และนางก็พยายามบ่ายเบี่ยง รวมทั้งกลั้นน้ำตาเต็มความสามารถ



        “ฉันรู้นะว่าแม่ไพรู้  บอกมาเถอะว่าเป็นอะไร? มันไม่มีวันจะหายอีกแล้วใช่ไหม?”



          “ไม่จ้ะ พี่ไม่เป็นอะไรมากหรอก อย่าคิดมากสิจ๊ะ เดี๋ยวหมอก็ให้กลับบ้านได้แล้ว”



         นางพยายามปลอบเท่าที่สติปัญญาจะพึงทำได้ ทั้งที่รู้ว่าในระยะหลังๆมานี้นายชมเริ่มจะไม่เชื่อขึ้นมาแล้ว



        “ตามใจ! ไม่บอกก็ได้ ว่าแต่แม่ไพ เอาเงินที่ไหนมาให้ค่าหมอเขาล่ะ?”



        คำถามซื่อๆตรงไปตรงมาของสามีแทบจะทำให้นางสะอึก หญิงชราหยุดชะงักไปนานทีเดียว จะให้บอกได้อย่างไรว่าต้องเอาบ้านหลังเดียวและที่นาทั้งหมดที่มีอยู่ไปจำนอง!



       “ก็… ให้อีผันมันหยุดเรียนไปช่วยขายของ มันก็พอปะทังไปได้อยู่หรอกจ้ะพี่ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกน่า”



         “ฉันป่วยไปเสียคน ทั้งบ้านก็วุ่นวายกันไปหมด”



          สามีนางไม่วายบ่นพึมพำออกมาเบาๆ ไม่มีใครที่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ แต่ที่แน่นอนที่สุดที่นางรู้ก็คือ ผู้เป็นสามีไม่เชื่อคำพูดของนางเลยสักประโยคเดียว!



        หลังจากนั่งเฝ้าคนเจ็บอีกสักครู่ เมื่อเห็นเขาหลับสนิทโดยไม่มีทีท่าว่าจะตื่น นางจึงค่อยๆลุกขึ้นกลับบ้านไปก่อน พร้อมกับคำถามและภาระที่หนักอึ้งเต็มอกที่ยังหาคำตอบไม่ได้



         นายชมหรี่ตาลืมขึ้นช้าๆ เมื่อเห็นประไพเดินออกไป เขาเห็นเมียนั่งลงข้างๆและมองมาที่เขาตลอดเวลาขณะที่แกล้งทำเป็นหลับสนิท บางทีนางก็ยกชายเสื้อขึ้นมาซับน้ำตา บางทีก็หยิบเงินในชายพกออกมานับ เศษธนบัตรเก่าๆและเศษเหรียญไม่กี่บาท เห็นรอยหวั่นวิตกอยู่บนใบหน้าซีดเซียวที่คุ้นเคยมาตลอดชีวิต



         เขาเป็นหัวหน้าครอบครัวทำไมจะไม่รู้ว่าขณะนี้ทั้งบ้านจะปั่นป่วนวิ่งเต้นหาเงินมารักษาเขาขนาดไหน บัวผันต้องออกจากโรงเรียนมาช่วยแม่ขายของ บัวเผื่อนลูกสาวคนโตก็ไม่มีโอกาสได้เรียนต่อ ทั้งที่มันเป็นเด็กหัวดีใฝ่ดีมาโดยตลอด



         “หนูอยากจะเป็นพยาบาล จะได้ดูแลพ่อกับแม่ตอนแก่เฒ่า”



         เขาเคยเห็นความฝันเปล่งประกายเจิดจ้าในแววตาของลูกสาว เมื่อครั้งครอบครัวยังอบอุ่นมีความสุข ไม่ใช่การเผชิญกับโรคร้ายที่คอยกัดกร่อนชีวิตของตัวเองและทุกคนในบ้านเช่นนี้ แววตาแห่งความหวังและความฝันของบัวเผื่อน ดับวูบไปตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้ แต่ทุกครั้งที่ลูกสาวแวะเวียนมาหา เขามองเห็นแต่ความเจ็บปวดทุกข์ทรมานใจและความแห้งแล้งในแววตาไม่ต่างกับต้นไม้ที่กำลังจะยืนต้นตายซากในไม่ช้า…



         ตายทั้งเป็น!!



          อาการทรมานเริ่มทวีขึ้นอีกแล้ว มันปวดมากขึ้นทุกเวลานาที ทุกครั้งที่ต้องตื่นจากความฝันอันร้ายกาจเพื่อมาเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดที่มากยิ่งกว่า…



              กระนั้นแล้ว มันยังสมควรที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกหรือ? ในเมื่อปลายทางที่รออยู่ก็คือความตาย และเป็นความตายอันทุกข์ทรมานแสนสาหัส  ตายอย่างช้าๆ เมื่อพิษของโรคร้ายรุมเร้ารอบด้าน??



          คืนนั้น นายชมหายใจหอบรุนแรง จุกแน่นไปทั้งร่างกาย ความปวดเหมือนจะกัดกินเข้าไปถึงในเนื้อกระดูก เขาร้องครวญคราง ร้องและร้องจนไม่สามารถร้องออกมาได้อีก พยาบาลนำถังออกซิเจนมาต่อสายปั๊มเข้าปากจมูก เขามองเห็นพวกหล่อนส่ายหน้า ส่งสายตาแห่งความเวทนามาให้…



         มีพยาบาลและหมอเดินมาที่เตียง พร้อมยาฉีดระงับความเจ็บปวดเช่นเดิม ยาที่ช่วยให้ความทุกข์ทรมานคลายลงเพียงชั่วขณะ แล้วก็ผุดพลุ่งความทุกข์ทวีซ้ำขึ้นไปอีกเมื่อฤทธิ์ของยาคลายตัวลง มันเป็นวัฎจักรที่จะดำเนินไปเช่นนี้ ครั้งแล้วครั้งเล่า จนกว่าเขาจะตาย! เป้าหมายก็คือการสิ้นสุดลมหายใจลง เท่านั้นเอง!



         เสียงหมอบอกให้เตรียมผ่าตัดด่วน… ทำไมต้องผ่าตัดอีก? เพื่อชะลอความตายเอาไว้ หรือเพื่อยืดระยะเวลาความเจ็บปวดทรมานออกไปอีก?



         มนุษย์เรียกสิ่งนั้นว่า “มนุษยธรรม” …การฆ่าตัวตายเป็นบาป ฆ่าเองไม่ได้ หากต้องปล่อยให้คนผู้นั้นถึงแก่มรณกรรมเองโดยอณูแห่งชีวิตที่คุมเป็นร่างกายแตกสลายออกจากกันโดยธรรมชาติ  ต้องปล่อยให้ความเจ็บปวดทรมานดำเนินไปจนถึงขีดสุดของมันโดยมิอาจมีสิทธิ์ยุติ…



         ย่อมไม่ใช่สิทธิ์แห่งตนที่จะเป็นผู้กระทำโดยพลการ



         แม้ว่าดวงชีวิตนั้นจะริบหรี่ เจียนดับเต็มที



          แม้ว่าจะไม่มีความหวังเหลืออยู่สำหรับการยังชีวิตนั้นให้บังเกิดขึ้นอีกต่อไป



         แม้ว่าคนๆนั้นจะไม่ต้องการเลือกทางเดินแห่งการดำรงอยู่อีกแล้ว!



         นายชมยังพอมีสติ สายตาที่พร่าพรายมองเห็นพยาบาลตระเตรียมงานกับวายวุ่น อลหม่าน



          คนพวกนั้น พยายามที่จะช่วยชะลอเวลาแห่งความทรมานแก่เขาอย่างสุดชีวิต และพวกเขาก็รู้สึกภาคภูมิใจเหลือเกินที่ได้ช่วยสงเคราะห์ให้คนๆหนึ่งที่กำลังทุกข์ทรมานด้วยโรคร้ายให้อยู่ทนทุกข์ทรมานต่อไป



         เพื่อเป็นการเอาชนะต่อความตาย โดยอ้างถึงคุณธรรมและมนุษยธรรมที่เขามีอยู่เต็มเปี่ยม



          “ฉีดยาระงับปวดให้คนไข้”



         สังคมได้สร้างกรอบกฎขึ้นมาจำกัดชีวิตความเป็นอยู่ของคน ให้อยู่ในระเบียบแบบแผนแห่งจารีตวิถี และในที่สุดกติกาของสังคมก็ได้ล่วงล้ำเข้ามาจำกัดสิทธิเสรีภาพของวิญญาณมนุษย์!



        บัดนั้น ในความรู้สึกอันรางเลือนและเชื่อมต่อระหว่างการคงอยู่กับการแตกดับ เขาเห็นภาพสัตว์ป่าหลายตัวต่างวิ่งอย่างคึกคะนองในพงพี เสือโคร่งตัวโตโลดแล่นบนรวงคลื่นขจีของผืนพรมหญ้ากว้างใหญ่สุดสายตา ในระยะไกลออกไปเบื้องหน้า หมู่กวางหลายสิบตัววิ่งกรูเกรียวหนีภัยด้วยลีลาอันเป็นอิสระ ปราศจากพันธนาการร้อยรัด พวกมันมีสิทธิ์เต็มที่ที่จะหยุดยืนนิ่งรอคอยความตายที่วิ่งไล่มาจากเบื้องหลัง และพญาเสือก็มีสิทธิ์ของมันเช่นกันในการเลือกที่จะ “ล่า” หรือ “ยุติ”



          เป็นวูบที่คนไข้รู้สึกปลอดโปร่งใจอย่างประหลาด ก่อนที่กระแสความปวดเจ็บจะถั่งทะลักเข้ามาอีกระลอก ฉีกมโนภาพในจินตนาการให้แหว่งวิ่นลงในพริบตา



        เข็มฉีดยากดเข้ามาช้าๆ เสียงปั๊ม “แอมพู” ดังเป็นจังหวะก่อนฝาครอบต่อสายออกซิเจนจะครอบลงมาอีกครั้ง นายชมเพิ่งจะตระหนักในชีวิตของตนเอง ณ กาลบัดนั้นเอง



            เขาอยากจะอ้าปากร้อง ทวงสิทธิสุดท้ายของความเป็นมนุษย์ที่มีอยู่ สิทธิอันพึงได้ในการตาย อย่างสมศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์และด้วยความเต็มใจยินดียิ่ง



             เขาอยากจะไปให้พ้นจากโลกใบนี้ หลุดจากภาระทั้งมวลที่ผูกติดกับภาระทั้งหลายแห่งทุกข์ จากโรคร้ายที่ไม่มีทางรักษาให้หายเป็นปกติอีกต่อไป



            แต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์ แม้แต่จะกระชากสายออกซิเจนออกไปแล้วปล่อยตัวเองให้เลื่อนไหลไปสู่ห้วงทวารแห่งมฤตยูอันเยือกนิ่ง



             คนพวกนั้นไม่ได้ทำผิดอะไรเลย…



          เพียงแต่พวกเขา “เชื่อ”ในสิ่งที่ได้รับการบ่มเพาะมาตั้งแต่เกิด แล้วฝังรากของความคิดนี้ไว้ในหัว ยึดมั่นถือมั่นจนไม่กล้าแหวกความคิดปิดตายที่หนาหนักนี้ออกมาเผชิญความจริง



             …ความจริงที่รับรู้ได้เฉพาะตน



         เฉพาะคนเจ็บเท่านั้นจึงจะรู้ซึ้งถึงความเจ็บ!!



          มันเป็นสภาวการณ์ที่คาบเกี่ยวระหว่าง ความเป็น และความตาย ระหว่างมโนธรรมกับสัจธรรม



          โดยมีชีวิตของคนไข้เป็นเดิมพัน!



        คลื่นแห่งความปวดทรมานทะลักเข้ามาอีกระลอกและต้านกับฤทธิ์ยาอย่างทรหด นายชมคล้ายกับว่าตัวเองเป็นเพียงวัตถุชิ้นหนึ่งที่ถูกโยนเล่นไปมาระหว่างสองฟากฝั่งของ แพทย์ และพญามัจจุราช โดยที่วัตถุชิ้นนั้น ไม่มีสิทธิ์ขอฎีกาชีวิตของตนเองเลย!

            เขาเป็นเจ้าของชีวิต แต่กลับไม่มีสิทธิ์เลือก



             ภายในช่องท้องระอุร้อนเหมือนถูกลวกด้วยน้ำเดือด มันแผ่ความร้อนราวประลัยเพลิงจนเม็ดเหงื่อผุดชุ่มร่าง ลมหายใจผ่าวร้อนแผ่วล้าลงทุกขณะ

            …ภาพสัตว์หลายร้อยชนิดวิ่งกันพล่านในจอภาพแห่งมโนนิมิต… สิงโต เก้ง กวาง หรือช้างป่า พวกมันต่างเคลื่อนไหวด้วยลีลาอันเป็นอิสระ หากหนึ่งในสรรพสัตว์เหล่านั้น มีสัตว์อีกชนิดหนึ่งถูกพันธนาด้วยเชือกล่ามรอบตัว กำลังวิ่งเซซังปะปนมาในกลุ่มเดรัจฉาน

          …เป็นร่างของสัตว์มนุษย์!!

                     ******************

* ไอวี Intra vein คือการให้ (ยา, ฯลฯ) ทางเส้นโลหิตดำ

จากคุณ : สามปอยหลวง
เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 54 19:26:11




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com