ตอนที่ 11
อาหารถูกจัดลงบนโต๊ะสำรับเสร็จสมบูรณ์พร้อมพูนไปด้วยอาหารทางเหนือแทบทุกชนิดไม่ว่าจะน้ำพริกอ่อง น้ำพริกหนุ่ม แกงฮังเลไส้อั่ว แคบหมูและอีกหลากหลายเมนูหนูรินยิ้มหน้าบานอยู่เคียงข้างภูธนาที่เอาอกเอาใจเป็นพิเศษ ผิดกับบูรณาที่ยังคอยแต่ชะเง้อมองหาอิงแก้วที่สัญญาว่าจะร่วมรับประทานอาหารแต่ถึงเวลาก็ยังไม่มาเสียที ภูสิทธิและนราฆ่าเวลาบนโต๊ะอาหารด้วยการชักชวนว่าที่ลูกสะใภ้สนทนาปราศรัยอย่างเป็นกันเอง
“เป็นยังไงบ้างจ้ะมาเที่ยวเชียงใหม่สนุกไหม”ภูสิทธิเริ่มบทสนทนาบนโต๊ะอาหารยามเย็น หนูรินพยักหน้ายิ้มหวาน
“ชอบมากค่ะบรรยากาศดีมากยิ่งหน้าหนาวแบบนี้หนูรินชอบมากค่ะที่กรุงเทพยังไม่งดงามเท่านี้เลยนะคะมองไปทางไหนก็มีแต่หมอกขาว ดอกไม้เบ่งบานสีสวยงาม”
“แม่ดีใจนะคะที่คุณหนูรินชอบที่นี่”นรายิ้มรับและคงมีเมตตากับหญิงสาวที่ภูธนารักชอบพอ
“ค่ะ”เจ้าหล่อนพยักหน้าพลางยิ้มให้บูรณาที่ยิ้มแห้งๆ ตอบ
"เดี๋ยวจะได้ลองชิมอาหารเมืองเหนือบ้าง ดูซิจะถูกใจไหม”ภูสิทธิเชิญชวน หนูรินกวาดตามองอาหารเมืองล้านนาที่เย้ายวนส่งกลิ่นโชยน่าลิ้มลอง
“ก็นั่นสิแต่ยัยตัวแสบนั่นไม่มาซักที ไม่เคยรู้มารยาทในการพบปะผู้ใหญ่เลยหรือไงถึงให้คนอื่นเขาต้องรอ”ภูธนาเปรยขึ้น ปรอยตามองบูรณาที่ยังนั่งเงียบ
“ขอโทษๆ ค่ะ ขอโทษทุกคนจริงค่ะที่ทำให้รอ”อิงแก้ววิ่งร้อยเมตรตรงเข้ามาทันเวลา ขณะที่ทุกสายตาหันไปจับจ้องเธอเพียงคนเดียวโดยภูธนาที่ยังคงจับผิดหญิงสาวไม่เลิก ภูสิทธิและนราเจ้าภาพมื้อค่ำยิ้มรับไม่ได้ติดใจอะไรที่หล่อนมาสายเพียงไม่กี่นาที
“ไม่เป็นไรหรอกพวกเราก็เพิ่งมาถึง”นายใหญ่แห่งไร่ชาญทิพย์บอกกล่าวเพื่อไม่ให้เจ้าหล่อนกังวลและรู้สึกผิดกับเรื่องนี้มากนัก อิงแก้วยกมือไหว้อีกครั้ง “ขอโทษจริงๆ นะคะ”
“นั่งก่อนนะหนูอิง”นราพูดน้ำเสียงอ่อนโยนนึกเอ็นดูในตัวเพื่อนสนิทหลานสาวพร้อมสั่งให้บูรณาช่วยขยับเก้าอี้ให้เพื่อน อิงแก้วยิ้มรับทรุดตัวนั่งอย่างเรียบร้อย
“ขอบคุณค่ะ”
“มีนาฬิกาหรือเปล่าไม่เห็นเวลาหรือไงให้ผู้ใหญ่รอ”ภูธนาอีกตามเคยที่ไม่เลิกราหาเรื่องสาวเจ้าจนได้ อิงแก้วขยับตัวเล็กน้อยเมื่อเห็นใบหน้าของเขาที่ทั้งยับและไม่ต้อนรับแขกสักเท่าไร
“ขอโทษค่ะคุณภูธนา”หล่อนประชดประชันเต็มที่และดูเขายังติดใจที่อิงแก้วทำให้อาหารมื้อค่ำของเขาจืดชื่นขึ้นมาทันทีแต่ก็ยังรักษามารยาทบนโต๊ะอาหารโดยการไม่ต่อล้อต่อเถียงตอบ
“งั้นมาครบแล้วก็เริ่มทานกันเลยนะ”ภูสิทธิตัดบทสงครามนี้เพื่อไม่เสียอรรถรสในมื้อเย็น นรามองแม่สาวจิ้มลิ้มก่อนจะขึ้นด้วยคำถามว่า
“หนูอิงมาทานข้าวก็ดีเหมือนกันป้าก็ว่าจะถามเรื่องร้านกาแฟว่าเป็นยังไงบ้าง”อิงแก้ว หยุดหยิบช้อนส้มหันยิ้มตาหยีก่อนตอบ
“ก็เรียบร้อยดีค่ะถึงจะมีอะไรขรุขระบ้าง”
“ไม่บ้างละมั้ง”ภูธนาขัดขึ้นหน้าตาเฉยขณะที่ตักอาหารใส่จานให้หนูริน อิงแก้วพ่นลมออกปากพลางหันไปยิ้มให้คุณนราขัดเขินเล็กน้อย
“อะไรนะตาภู”นราหันไปทางลูกชายราวกับฟังไม่ถนัดแต่ภูธนายังอมยิ้มนิดๆ ก่อนจะตอบ
“ไม่มีอะไรครับแม่”เขาชายตามองอิงแก้วแอบสะใจลึกๆ ถึงแม้จะบริการให้หนูรินไปพร้อมกันอิงแก้วเหลือบมองข้ามโต๊ะมองด้วยความเจ็บใจแต่ก็ไม่ได้ต่อความ
“แล้วเหนื่อยบ้างไหมจ้ะหนูอิง”ภูสิทธิถามอิงแก้วสลับกับนรา ขณะที่หนูรินยังเงียบถึงแม้จะไม่พูดอะไรแต่ในเมื่อความสนใจตกที่อิงแก้วเป็นพิเศษก็แอบน้อยใจบ้างเป็นบางครา ดีที่ภูธนายังคอยสนใจตักอาหารให้หล่อนถึงแม้จะหันไปแขวะอิงแก้วเป็นครั้งคราว
“เหนื่อยค่ะแต่ว่าอิงชอบงานนี้ค่ะ อิงชอบเจอผู้คนเยอะๆ ได้ทำงานบริการมันก็ดีเหมือนกันแล้วยิ่งได้กินเบเกอรี่กับกาแฟอิงอารมณ์ดีเลยค่ะ”เจ้าหล่อนบอกเล่าแวววาวตามประสาเด็กแจ่มใสแสดงความจริงใจออกมาซื่อๆ นราและภูสิทธิหัวเราะไปกับความไร้เดียงสาของเจ้าหล่อนเช่นเดียวบูรณาที่มีความสุขคล้อยตามไปด้วย
“แล้วแขนนั่นเป็นไงบ้าง”ภูสิทธิถามต่อด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นเฝือกบนแขนของหล่อนที่ยังสวมไว้และสาเหตุเรื่องราวทั้งหมดก็มาจากลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเขานั่นเอง อิงแก้วก้มลงมองเล็กน้อยก่อนจะเงยหน้าขึ้นตอบ
“อ้อ ก็ต้องเก็บไว้ซักเดือนน่ะค่ะ หมอถึงจะเอาออกให้”
“น่าสงสารหนูอิงจริงเชียวเพราะเจ้าภูแท้ๆ”ภูสิทธิหันไปต่อว่าลูกชายบ้าง ภูธนาทำหน้าเหลอหลาพลางยักไหล่ หนูรินยังคงเงียบราวกับส่วนเกินที่ไม่มีใครสนใจ
“อ้าว คุณพ่อครับทำไมโทษผมอย่างนั้น”
“ก็จริงนี่ปล่อยให้น้องทำงานคนเดียวแกล้งน้องเค้าจนเป็นเรื่อง”
“ก็แหมเรื่องมันก็ผ่านมาแล้วผมก็ขอโทษอิงแก้วแล้ว”เขาว่า อิงแก้วแลบลิ้นลับหลังแต่ก็ทำให้โต๊ะอาหารนี้มีเสียงหัวเราะไม่น้อย หนูรินยังเงียบเพราะไม่รู้เรื่องราวที่ผ่านมาระหว่างภูธนาและอิงแก้วได้แต่ยิ้มแห้งๆอยู่คนเดียว นราเห็นว่าที่ลูกสะใภ้เริ่มนิ่งจึงชวนคุยเพื่อไม่ให้หญิงสาวลูกสึกไม่ดี“หนูรินเงียบเชียว ชอบอาหารพื้นเมืองไหมคะ”หนูรินสะดุ้งเฮือกเล็กน้อยเมื่อถูกถามอย่างรวดเร็ว พยักหน้าตอบเก้กัง
“ชอบค่ะอาหารอร่อย บรรยากาศก็ดีค่ะ”หล่อนตอบถึงแม้จะเสียคล่อยไปบ้าง
“แล้วหนูรินตอนนี้ทำงานที่ไหนหรือคะ”
“อ้อ หนูรินช่วยคุณพ่อดูแลบริษัทน่ะค่ะตอนนี้คุณพ่อกำลังสนใจอยากซื้อกาแฟจากทางไร่ชาญทิพย์อยู่เหมือนกัน หนูรินจึงเลยมาบอกเกริ่นไว้ให้คุณพ่อก่อนแล้วเดี๋ยวคุณพ่อหนูรินจะติดต่อทางธุรกิจกะคุณพ่ออีกที”
“อืมเมื่อวันก่อนท่านก็โทรศัพท์มาหาพ่อเหมือนกันก็คุยกันคร่าวๆ แล้ว”คุณภูสิทธิเสริม หนูรินยิ้มให้กับภูธนา
“แหมทองล่มในหนองทองจะไปไหน”อิงแก้วพูดขึ้น หนูรินยิ้มแก้มปริ
“อิงแก้วก็พูดเข้าทำเอาหนูรินเขิน”
“ว่าแต่เราเหอะไม่มีฟงมีแฟนกับเขาหรือ”ภูธนาได้ทีแขวะจนได้ อิงแก้วเหลือบมองเขาด้วยแววตาขุ่นมัวขนาดไม่สนทนาด้วยแต่ก็ยังโดนลูกหลงเข้าจนได้
“ก็เนื้อคู่ฉันยังไม่เกิดไง”
“สงสัยต้องไปตัดไม้แถวหลังบ้านมาทำคานให้กับเธอละมั้งยัยอิง”ภูธนาเปรียบเปรยจนทุกคนบนโต๊ะอาหารพากันสำลักอาหารขำขันกันถ้วนหน้า อิงแก้วถลึงตาใส่ชายหนุ่มด้วยความเกรี้ยวกราดแต่ยังรักษากิริยามารยาทต่อหน้าผู้ใหญ่ไว้เป็นอย่างดี
“หาดีไม่ได้ก็อย่ามีเลยเผื่อเจอคนปากเสียและจะอยู่ไม่ยืด เผลอๆ อาจจะฆ่ากันตายกันไปก่อนแต่ฉันก็รู้แค่ว่าผู้ชายที่ปากเสียชอบหลงตัวเองอายุไขมักจะสั้นเพราะปากพาจน”โดนตอกเข้าถึงกลับทำเอาภูธนาเตรียมอ้าปากต่อกรแต่ดีที่ถูกปรามด้วยสายตาพ่อแม่เขาจึงเงียบไปเสียดื้อๆ บูรณาแอบขำคู่กัดทั้งสองมองแล้วน่าเอ็นราวกับคู่ใหม่ปลามันไม่มีผิด ผิดกับหนูรินที่ได้แต่เงียบมองเหตุการณ์ด้วยความสงบ
หลังจากรับประทานอาหารเย็นภูธนาพาแฟนสาวมาเดินเล่นที่ระเบียงชมดาวของไร่ชาญทิพย์ ลานกว้างปูด้วยไม้ขัดเงาวาวและเบื้องหน้าคือวิวรอบทิศของไร่กาแฟใหญ่ชาญทิพย์หนุ่มๆ สาวๆ พากันตื่นตากับท้องฟ้าที่ส่องระยิบระยับไปด้วยดวงดาวนับล้านตัดกับสีดำสนิทบนท้องฟ้ากว้างไกลสุดลูกหูลูกตาที่ถูกแต่งแต้มสีสันราวกับเพชรงามที่ต้องไฟ ลมหนาวพัดเบาๆ เย็นสบายในยามดึกต้นหญ้าไกวแกว่งเสียดสีเป็นแนวทางต้นกาแฟในไร่ถูกบดบังไปด้วยความมืดเห็นแค่เพียงเงาที่ฉายผ่านแสงจันทร์เพียงลาง บูรณาและอิงแก้วเดินมาดูดาวริมระเบียงต่างพากันส่งเสียงร้องให้กับความงามที่อยู่เบื้องหน้าด้วยความตื่นเต้น
“ดูดาวสิคะภู เต็มท้องฟ้าเลย”หนูรินชี้ไปที่เห็นดาวสวยนับล้านที่ละลานอยู่บนท้องฟ้าภูธนาโอบไหล่เจ้าหล่อนสบตาหวานฉ่ำ
“เป็นเหมือนของขวัญแห่งดวงดาวที่มอบให้กับที่รักไงจ้ะ”
“ค่ะที่รัก”หนูรินสบตากับชายหนุ่มด้วยแววตาประกายพราว ภูธนากำลังโน้มลงมาจูบลงบนหน้าผากเจ้าหล่อนช้าๆ แต่ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงของอิงแก้วที่ตะโกนขึ้น
“ดาวสวยมากๆ เลย”เจ้าหล่อนร้องขึ้นเสียงใสแจ๋ว ภูธนาผงะเหลือบมองเสียอารมณ์ที่โดนขัดอย่างไม่ตั้งใจ
“เรามาอธิฐานกันไหมบูร”เจ้าหล่อนบอก บูรณาเงยหน้ามองพลางยิ้มกว้าง “อืมๆ ก็ดีบรรยากาศวันนี้ดี๊ดีเนอะ”ว่าแล้วต่างคนต่างหลับตาประสานมืออธิฐานขณะที่ภูธนายังแอบมองอยู่ไกลๆ
“นี่อธิฐานว่าไงอิง”บูรณาหันมาถามเพื่อนสาวหลังจากที่ลืมตาขึ้นแล้ว
“ขอให้คนบางคนมีความสุขเพราะเค้ากำลังทุกข์ใจความรักทำให้คนหลายคนต้องช้ำใจฉันอยากเห็นรอยยิ้มของเค้าเห็นใบหน้าอันแสนสุขขอดวงดาวช่วยคุ้มครองให้เจ้าของเจ้าของดวงตาแห่งความอบอุ่นนั้นจงมีแต่สุขและรอยยิ้ม”
“เค้าคนนั้นเป็นใครอ่ะ บอกได้ป่ะ”
“เค้าคนนั้นเหรอ...” อิงแก้ว จิตนาการถึงหน้าของกิตติที่ยิ้มอยู่บนท้องฟ้าพร้อมกับหมู “ไม่บอกดีกว่า”
“แนะ เล่นตัวนะหล่อน”บูรณาหยอกเอิน อิงแก้วอายแกมเขิน
“เอ้อ! แล้วเมื่อเย็นไปไหนมาน่ะถึงมาช้า”บูรณาติดสงสัยตั้งแต่อยู่บนโต๊ะอาหารแต่ไม่กล้าถามเพราะก็กลัวว่าอิงแก้วจะคิดมากรวมทั้งยังมีภูธนาคอยซ้ำเติมอยู่ด้วย
“อ๋อ พอดีไปส่งพี่กิตติมาน่ะก็เลยมาสาย”หล่อนบอก ภูธนาหัวเราะเยาะมาแต่ไกลเมื่อได้ยิน (จากการแอบฟัง) ก่อนจะเดินตรงรี่มาทางสองสาว หนูรินเหลียวมองตามเมื่อเห็นว่าภูธนาเร่งเดินออกไปสนใจทางอื่นจึงได้แต่เดินตามมาเงียบๆ
“ที่แท้ก็ไปจู๋จี๋กันจนลืมเวลา”เขาเปิดฉากสงครามน้ำลายทันที สองสาวหันกลับมามองพร้อมหน้า
“พี่ชายเธอนี่ถ้าไม่หาเรื่องซักวันจะเป็นอะไรมากป่าว”อิงแก้วเบือนหน้าทางบูรณาที่ยิ้มรับแหยๆ
“เอ๊ะ! ยัยอิง”เขาอุทานขึ้น อิงแก้วยกมือขึ้นกอดปรอยตามองพี่ชายบูรณานิ่งๆ เพื่อตั้งสติ
“ทำไมคะคุณภูมีปัญหาอะไรหรือเปล่าฉันเห็นคุณภูคอยจิกกัดฉันทั้งวันเป็นอะไรมากไหมคะ แหมๆ บรรยากาศออกจะดีทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะคะเสียบรรยากาศหมด”
“เธอมากกว่ามั้งมาถึงก็ร้องโวยวายรู้ไหมว่าเสียงแว้ดๆ ของเธอมันน่าหนวกหู”เขาออกจะฉุนหล่อนที่ขัดความสุขของเขากับหนูรินตั้งแต่แรก อิงแก้วกอดอกเหลียวหน้ามองเขาเป็นเชิง
“มีป้ายเขียนห้ามร้องโวยวายไหม”
“แต่ที่นี่มันบ้านพี่นะต้องการความเงียบสงบ”
“และนี่ก็บ้านบูรณาเหมือนกัน ต้องการความสุข”เจ้าหล่อนสวนกลัวรวดเร็ว ชายหนุ่มร้อนตัวตั้งป้อมทำสงครามอีกครั้ง
“ก็ว่าเชียวทำไมถึงไม่มีใครสอยลงจากคานซักทีเพราะเธอมันไม่ยอมโตปัญญาอ่อนคุยอยู่กับดวงดาว พระอาทิตย์ พระจันทร์อะไรนั่น”ภูธนาเริ่มพาลใส่ไปทั่ว อิงแก้วกลั้นอารมณ์โกรธที่พร้อมปะทุได้ทุกเมื่อ
“คนไม่มีจินตนาการก็มองไม่เห็นสิ่งสวยงามหรอกมองก็เพียงแต่ด้านมืดด้านเดียวหาความสุขในชีวิตไม่ได้หรอก”อิงแก้วต่อกรไม่รั้งรอ ภูธนาพ่นลมหายใจออกยิ้มเยาะได้หน้าหมั่นไส้เท่าที่เคยเป็น
“นั่นสิให้ตายเหอะผู้หญิงอย่างเธอนี่มันยียวนกวนประสาทไม่น้อยเลยจะทำอย่างไรดีกะคนอย่างเธอ”
“แล้วไง”อิงแก้วถามกวนอารมณ์ ภูธนาแสยะยิ้มมองหล่นตั้งแต่หัวจรดปรายเท้า
“ไม่แล้วไง ก็มองให้เต็มตาก็เห็นได้แต่ผู้หญิงนิสัยร้ายที่กำลังขึ้นคานไง”ชายหนุ่มหัวเราะร่า อิงแก้วกัดฟันยกไม้ยกมือขึ้นกำหมัดหุนหัน หนูรินกลายเป็นแค่ตัวประกอบในฉากนี้เสียแล้วหล่อนรู้สึกเกลียดอิงแก้วมากขึ้นหลังจากที่บนโต๊ะอาหารหรือตอนไหนๆ หล่อนขโมยความสนใจจากทุกคนไปรวมทั้งภูธนาที่คอยแหย่ให้อิงแก้วอารมณ์เสียและต้องมีปากเสียงกันเสมอ นั่นทำให้หนูรินรู้สึกตัวว่าหล่อนกับภูธนาเริ่มห่างไกลกันมากขึ้นทุกนาที
“อยากลองดีหรือไงจับตีก้นเหมือนคราวก่อนดีไหม”ภูธนาว่าจะเอื้อมมือเข้าไปดึงแขนแต่อิงแก้วขยับตัวหนีพร้อมตั้งการ์ดเอาเรื่อง
“อย่างนะเข้ามามีเรื่องแน่”
“ตัวก็เท่ากะลูกหมาทำเป็นพูดดี”ภูธนายิ้มอย่างมีความสุขที่ได้หาเรื่องแกล้งอิงแก้ว “แน่จริงก็เข้ามาซิ๊”หล่อนท้าทายพร้อมชูกำหมัดแน่น ภูธนาขำขันกับท่าทางกะโหลกกะลาของอิงแก้ว
“พี่ภูคะรินว่าอย่ามีเรื่องเลยนะคะ คืนนี้บรรยากาศดีมากรินไม่อยากให้เสียบรรยากาศ”หนูรินหมดความอดทนพูดแทรกขึ้นทันพลัน ภูธนาชะงักเหลียวกลับมามองแฟนสาวที่ยกมือขึ้นคล้องแขนท่าทางดูหงุดหงิด
“เลิกทะเลาะกับอิงแก้วได้แล้วรินต้องการเวลาอยู่กับพี่ภูโดยที่ไม่มีคนอื่น”คุณหนูสาวเหลือบมองอิงแก้วแวบกระชับแขนให้แนบชิดกับแฟน
“พี่ขอโทษนะคะหนูริน งั้นเราไปที่อื่นกันจะได้ไม่มีใครมารบกวนเวลาของเรา”ภูธนาบอกเสียงหวานถึงแม้จะเหล่ตามองอิงแก้วที่คอยแสยะปากหมั่นไส้ ภูธนาตัดสินใจพาหนูรินออกไปให้ห่างจากอิงแก้วให้มากที่สุดก่อนที่ทั้งสองจะเดินจากไปจนลับตาเพื่อใช้เวลาส่วนตัวมากที่สุด
แก้ไขเมื่อ 18 ก.ค. 54 22:32:38
แก้ไขเมื่อ 18 ก.ค. 54 22:28:43
จากคุณ |
:
คุณหนูแจ่มใส
|
เขียนเมื่อ |
:
17 ก.ค. 54 09:44:56
|
|
|
|