๑. ดาว
วันนี้เป็นศุกร์สุดท้ายของเดือนเมษายน สถานีรถไฟฟ้าศาลาแดงในวันศุกร์มักพลุกพล่านเป็นพิเศษเสมอ ผมยืนพิงเสารอเหมือนทุกที รถขบวนหน้าจะพาผมออกจากย่านธุรกิจอันดับหนึ่งของประเทศและจะไม่กลับมาอีก
ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงจุดเปลี่ยนขบวนที่สยามสแควร์ ผมลงจากรถอย่างไม่รีบร้อน สมองปลอดโปร่ง ในใจไม่ได้นึกอาลัยถึงอดีตเพื่อนร่วมงานเลยสักคน ผมอยากลาออกมานานและดีใจมากที่วันนี้มาถึงเสียที
บนสกายวอร์คซึ่งมีผู้คนมากกว่าที่ศาลาแดงหลายเท่า โชคชะตากลับจงใจให้ผมมองเห็นคู่รักคู่หนึ่ง พวกเขาเดินนำหน้าผมอยู่สักเกือบสิบเมตร ทั้งสองเดินจับมือกันแหวนสีเงินบนนิ้วนางซ้ายสะท้อนแสงไฟระยิบระยับเหมือนดาวบนฟากฟ้า ฝ่ายชายสวมชุดทำงานเสื้อแขนยาวสีฟ้ารูปร่างท้วม ผมมองเขาเพียงแค่นั้น เพราะหญิงสาวตัวเล็กชุดสีดำนั้นดึงความสนใจไปจนหมด เธอทำผมสีชาดัดเป็นลอนยาวคลุมไหล่ ผมพอมองเห็นใบหน้าของเธอตอนที่หันไปคุยกับฝ่ายชายบ้าง แต่แค่นั้นก็มากพอที่จะรู้ว่าเธอคือ ดาว
เวลากำลังเดินถอยหลังพาผมย้อนไปเมื่อสี่ปีก่อนสมัยยังเรียนมหาวิทยาลัย ภาพในความทรงจำดุจรอยประทับความผูกพันธ์ชายหญิงอีกคู่หนึ่งปรากฎขึ้นอย่างชัดเจนและคงไม่มีวันลืมเลือน
พวกเขาอยู่ในร้านกาแฟยามเย็นย่านเกษตรช่วงปิดเรียนภาคฤดูร้อน หญิงสาวตัวเล็กหน้าตาน่ารักเหมือนตุ๊กตาชื่อ ดาว ส่วนผู้ชายหัวกระเซิงที่นั่งตรงกันข้ามชื่อ ษา ทั้งคู่รู้จักกันมาสามปี
“มันงี่เง่ามาก ผมไม่อยากสารภาพรักในร้านกาแฟเลย” เขาคิดในใจ พลางพยายามคิดคำพูดเริ่มต้นดีๆเพื่อไม่ให้ ดาว เตลิดหนีไปเสียก่อน
แก๊งๆ ! เสียงแก้วกระทบกับถาดรองดังติดๆกันจนดาวนึกสงสัย “ษา ทำไมมือสั่นล่ะ”
“เอ่อ … ปะ เปล่า มันลื่นน่ะ” เขาพูด พลางประสานมือเพื่อซุกซ่อนความขัดเขิน
“พอปิดเทอมทีไร เพื่อนๆก็หายไปหมดทุกทีเลย” ดาวพูดขึ้น”อยากให้ถึงวันเปิดเรียนซัมเมอร์เร็วๆจังเลยนะ”
“ชะ ใช่” เขาพูดตะกุกตะกัก “มันคงดีถ้าหากว่า … ”
“ว่าอะไรเหรอ” ดาวถาม
“ก็ … ถ้าเปิดเทอม ก็คงมีอะไรให้ทำบ้าง จะได้ไม่เบื่อไง” เขาพูด พลางนึกใจใจว่า ไอ้บ้าเอ๊ย ตอบอะไรออกไปวะ
“โกหก” เธอสวนทันควัน แต่ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม
เธอพูดถูกเผง เขาเบือนหน้าแล้วแอบชำเลืองมอง เธอยังจ้องเขาอยู่ ปกติสายตาคู่นั้นน่ารักเกินกว่าจะสู้ได้ เขาอยากมองเธอได้นานกว่านี้ อยากบอกความรู้สึกให้เธอรับรู้ โอกาสนั้นมาถึงแล้ว เขาตื่นเต้นขาสั่นรับมันเอาไว้
แม้คำบอกรักในคืนนั้นคงทำให้กวีทั้งโลกส่ายหัว แต่ก็ไม่เป็นไรเพราะ ดาว พยักหน้ารับความรู้สึกของเขาในที่สุด
ถูกแล้ว นั่นเป็นเรื่องของผมกับหญิงสาวที่กำลังเดินจับมือกับสามีอยู่ข้างหน้าไม่กี่เมตร สี่ปีผ่านไป เธอคงเป็นสาวและสวยขึ้นอีกมาก เธอยังสวมรองเท้าส้นเตี้ยเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนทั้งที่ชอบบ่นเสมอว่าอยากสูงกว่านี้ ผมอยากเอ่ยปากเรียกเธอแต่ก็พูดไม่ออกได้แต่เดินตามหลังอยู่อย่างนั้น อีกไม่นานเธอจะหายไปท่ามกลางฝูงชน ส่วนผมก็จะไม่ได้อยู่ที่มหานครแห่งนี้อีก
เราบังเอิญลงบันไดฝั่งเดียวกัน เมื่อเท้าแตะพื้นผมจำต้องแยกกับดาวตรงนี้ ส่วนทั้งคู่เดินต่อไปทางเซ็นทรัลเวิร์ล ผมนึกเสียดายว่าอย่างน้อยเราน่าจะได้ทักทายกันบ้าง ซึ่งทันใดนั้นเองผมก็ได้ยินเสียงเธอ
“ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย !”
ผมหันหลังเจอชายเสื้อน้ำเงินวิ่งชนจนล้มลง
“หลีกไปโว้ย !”
ผมรีบมองหาหญิงสาวเจ้าของเสียงร้องเมื่อครู่ สามีของดาวกำลังประคองให้ลุกขึ้น สายตาไทยมุงกลุ่มใหญ่มองไปข้างหลังผมซึ่งผู้ชายสวมเสื้อสีน้ำเงินเมื่อครู่กำลังวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตและมีกระเป๋าถือผู้หญิงอยู่ในมือ
“ช่วยกันจับ ไอ้คนนั้นที มันกระชากกระเป๋าแฟนผม !” สามีดาวตะโกนพลางชี้นิ้ว
ผมรีบไล่กวดหัวขโมยทันที ในกระเป๋าถือนั้นมีสิ่งที่สำคัญที่สุดของดาวอยู่เป็นรูปถ่ายของเธอกับแม่ที่เสียไปตั้งแต่ยังเด็ก ดาวจะพกรูปแม่ติดตัวเสมอ ตอนเรียนมหาวิทยาลัยผมเคยสแกนรูปนี้เก็บให้เธอหลายโหลก็จริง แต่คุณค่าของรูปถ่ายด้วยฟิล์มแบบเก่าเมื่อสิบกว่าปีก่อนมันประเมินค่าไม่ได้สำหรับเธอ
“จับผู้ชายคนนั้นให้ทีครับ มันเป็นขโมย !” ผมตะโกนให้คนช่วยบ้าง พอเอาเข้าจริงการไล่กวดคนร้ายมันไม่น่าสนุกเหมือนในหนังเลยสักนิด ผมพยายามเร่งฝีเท้าแต่ก็เหมือนนักกรีฑาวิ่งแข่งกับเด็กมัธยม หมอนั่นทิ้งระยะห่างมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งมีสองแม่ลูกคู่หนึ่งขวางทางของมันเข้า
“หลีกไปโว้ย !” โจรชั่วแผดเสียงพลางหวดท่อนแขนล่ำๆใส่คุณแม่ที่น่าสงสาร ผมไม่รู้ว่าเธอโดนกระแทกหรือเปล่า แต่ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นอะไร
“อย่า สิทธา !” ผมคิดว่าเป็นเสียงร้องของเธอ
ผมฉวยโอกาสนั้นคว้าตัวโจรชุดน้ำเงินได้สำเร็จ ทว่าหมอนั่นสะบัดแขนจนหลุดแล้วชักมีดขึ้นมา
“เฮ้ย ! มีอาวุธด้วยเหรอวะ” ผมคิดในใจ พลางมองซ้ายมองขวาเผื่อจะหาไม้ได้สักท่อน
ไอ้หมอนั่นปรี่เข้ามาปาดมีดแหวกอากาศผ่านจมูกผมไปอย่างฉิวเฉียด จากนั้นก็ตามมาบีบคอแล้วผลักผมล้มลงกับพื้น มีดถูกยกสูงขึ้นปะทะกับแสงไฟยามราตรีดั่งรูปรอยยิ้มมัจจุราช ทว่าแสงนั้นยิ่งลอยสูงขึ้นแล้วหายลับตาไปพร้อมกับเสียงดัง กร๊อบ !
มีดของโจรชั่วหล่นลงกับพื้น ส่วนตัวมันกระเด็นไปอีกทาง ผมไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นแต่ก็รีบลุกขึ้นแล้วถอยห่างออกได้สำเร็จ
“ช่วยกันจับมันให้หน่อยครับ มันเป็นโจรกระชากกระเป๋า” ผมรีบตะโกน คราวนี้โชคดีที่ไทยมุงผู้ชายหลายคนเข้ามาช่วยกัน ผมรีบเข้าไปดึงกระเป๋าถือออกมา แล้วร้องขอให้ใครก็ได้ช่วยโทรเรียกตำรวจ
“โชคดีจริงๆ” ผมถอนหายใจพลางกอดกระเป๋าถือไว้แน่น “แค่นี้ ดาวก็ยังมีรูปแม่ไว้ให้ดูต่างหน้าเหมือนเดิมแล้ว”
“เป็นอะไรรึเปล่า สิทธา” แม่เด็กชายเอ่ยถามเจ้าตัวเล็ก ผมนึกแปลกใจคำพูดห้ามลูกชายของเธอเมื่อครู่ ทีแรกผมนึกว่านั่นเป็นชื่อของโจรซึ่งเธออาจรู้จักเสียอีก
“ขอโทษด้วยนะครับ” ผมบอกสองแม่ลูก “ไม่ทราบว่า เป็นอะไรกันรึเปล่า”
“ไม่ค่ะ ถ้ายังไง ดิฉันขอตัวก่อนนะคะ” เธอรีบปฏิเสธ แววตาดูกังวลผิดสังเกตแล้วจึงจูงมือลูกชายเดินเร็วๆแหวกฝูงชนหายไป
สักห้านาทีถัดมาตำรวจสองนายก็มาถึงที่เกิดเหตุ พร้อมกับคู่รักที่ผมยังไม่พร้อมจะเจอ ผมรีบหันหลังให้ทั้งสองคน ในหัวเริ่มตื้ออีกครั้งไม่รู้ว่าจะหันกลับไปบอกดาวว่าอะไรดี
“เอ่อ … ” เสียงอ่อนโยนของหญิงสาวดังขึ้น “ขอบคุณมากเลยนะคะ ที่ช่วยตามจับโจรให้”
ผมนิ่งสนิท
“ถ้าไม่ได้คุณล่ะก็ ฉันคงแย่แน่ๆเลยค่ะ” เธอพูดต่อ “เอ่อ แต่ว่า … ฉันขอกระเป๋าคืนมาก่อนได้มั้ยคะ”
เสียงของดาวมีมนต์สะกดเสมอ ผมควบคุมตัวเองไม่ได้ร่างกายของค่อยๆหันไปหาเธอช้าๆ ผมเลี่ยงสบตาโดยมองลงพื้นและยื่นกระเป๋าถือสีน้ำตาลให้เธอ “อะ … เอ่อ … นี่ครับ”
“ขอบคุณจริงๆเลยค่ะ”
ใจจริงแล้วผมอยากเห็นหน้าดาวมาก ผมคิดถึงลักยิ้มบนแก้มข้างซ้ายกับแววตาที่เปล่งประกายซุกซนเหมือนเด็กๆ ตอนนี้เธอคงจะสาวและสวยขึ้นมาก ผมนึกอยากเอื้อมมือปัดเส้นผมที่บดบังความงามและดึงเธอมากอดไว้เหลือเกิน และสุดท้ายผมก็บังคับตัวเองไม่ได้จริงๆ
เมื่อผมเงยหน้าขึ้นกระเป๋าถือก็ร่วงหล่นจากมือผมกระแทกพื้นโดยไม่ได้ตั้งใจ หญิงสาวร้องว๊าย แล้วรีบก้มลงเก็บราวกับมีสิ่งล้ำค่าอยู่ในนั้นจริงๆ
“ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ” ผมอุทาน พลางย่อตัวลงช่วยเธอ
“ไม่เป็นไรค่ะ แค่นี้คุณก็ทำเพื่อเรามากแล้ว ไม่รู้จะขอบคุณยังไงถึงจะพอเลยล่ะค่ะ ในนี้มีเงินสดก้อนใหญ่อยู่ที่เราสองคนช่วยกันทำงานมาทั้งปี ถ้าคุณไม่ได้วิ่งตามโจรมา พวกเราคงเสียใจมาก” หญิงสาวแปลกหน้ากล่าวพลางก้มหัวปะหลกๆหลายครั้ง
“ไม่ใช่ ดาว ทำไมถึงไม่ใช่ดาวล่ะ” ผมพูดซ้ำๆกับตัวเอง เวทมนต์ที่สาปให้ผมเป็นตุ๊กตาชักใยคลายออก ในใจผิดหวังที่หญิงสาวเบื้องหน้าคือใครก็ไม่รู้ “ให้ตายเถอะ ผมจำผิดคนหรอกเหรอ”
อาจพูดได้ว่าเธอมีเค้าโครงของดาวอยู่บ้าง เช่น ตัวเล็กเหมือนกันเสียงคล้ายกันชื่อเหมือนกัน แต่เมื่อเห็นหน้าชัดๆแล้วต้องบอกว่าไม่เหมือนเลย ทั้งที่เวลาหันข้างเธอกลับดูเหมือนดาวอย่างน่าประหลาด
“คุณแทงเขาเหรอ” นายตำรวจเดินมาสะกิดถาม
“เอ๋ !” ผมสะดุ้งสงสัย “แทง … อะไรนะครับ”
“ที่แขนเขาไง มีดินสอปักอยู่” เขาพูด “แถมหักด้วย”
ผมมองไปที่ไอ้โจร มีเลือดไหลออกมาจากแขนเพียบ
“คุณใช้ดินสอนี่ แทงใช่มั้ย” เขาถามซ้ำ พลางชูดินสอไม้ที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดขึ้นมา “”
“เปล่าครับ” ผมตอบเรียบๆ “ผมเกือบโดนมันฆ่าด้วยซ้ำ คนแถวนี้เป็นพยานได้ จะตรวจรอยนิ้วมือบนดินสอก็ได้”
“ผู้ชายคนนี้ช่วยเราไว้นะคะคุณตำรวจ ชั้นเห็นเขาวิ่งตาม แล้วก็เกือบโดนโจรแทง”
“อาจเป็นช่วงที่คนมาช่วยกันจับมันก็ได้นะครับ แขนคงจะหักตอนนั้น” สามีของหญิงแปลกหน้าช่วยพูดให้อีกแรง
“งั้นเหรอ” เขากล่าวรับ แล้วโยนดินสอทิ้งลงพื้น “เอาล่ะๆ ไปเคลียร์กันที่โรงพัก”
“ผมต้องไปด้วยรึเปล่า” ผมถาม
“โอ๊ย ! ไม่ต้องหรอก คาหนังคาเขาขนาดนี้ มันไม่รอดแน่” นายตำรวจท่าทีกร่างทำเสียงแหลมไม่สบอารมณ์
คู่รักแปลกหน้ากล่าวขอบคุณผมอีกยกใหญ่ก่อนตามนายตำรวจไปโรงพัก พวกเขาคงคิดว่าผมเป็นคนดีมากจนผมนึกขำตัวเองที่อุตส่าห์เสี่ยงตายช่วยคนที่ไม่เคยรู้จักได้ถึงขนาดนั้น
ผมถอนใจยาวๆพลางมองไปที่ดินสอไม้เปื้อนคราบเลือด ผมนึกขึ้นได้ว่าเสียงกระดูกหักดังขึ้นตอนที่โจรยังนั่งคร่อมตัวผมอยู่ “ต้องมีใครสักคนช่วยชีวิตผมเอาไว้แน่ๆ”
แก้ไขเมื่อ 18 ส.ค. 54 23:41:31
แก้ไขเมื่อ 18 ส.ค. 54 23:41:19
แก้ไขเมื่อ 18 ส.ค. 54 23:39:32
แก้ไขเมื่อ 18 ส.ค. 54 23:39:20
แก้ไขเมื่อ 21 ก.ค. 54 22:13:12
แก้ไขเมื่อ 21 ก.ค. 54 19:34:10