Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ลำนำรักใต้แสงจันทร์ ตอนที่ 9 ติดต่อทีมงาน

ตอนที่ 8 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10785031/W10785031.html#8

===============================================


       ชายหนุ่มชุดดำยืนนิ่งอยู่เหนือบานหน้าต่างห้องพัก ทอดสายตาฝ่าความมืดไปยังทิศที่ตั้งของตำหนักหลวงแม้จะมองไม่เห็นอะไรนอกจากจุดของแสงไฟก็ตาม ภาพของประมุขแห่งกรีนแลนด์ที่เขาได้เห็นเมื่อตอนบ่ายผุดขึ้นในห้วงความทรงจำไม่ผิดอะไรกับตะกอนขุ่นที่ถูกกวนให้ฟุ้งตัวขึ้นจากส่วนลึกของท้องน้ำ ซึ่งเมื่อลอยขึ้นมาแล้วก็ยากนักที่จะทำให้มันกลับจมลงไปได้อีก

       อาการของเอลเบอเรธเหมือนกับคนที่ได้รับพิษร้ายเข้าสู่ร่างกายทุกประการ เพียงแต่... ถ้าเป็นพิษจากตลับทองคำใบนั้น ก็นับว่าเป็นเรื่องประหลาดอย่างยิ่งที่เขาไม่เป็นอะไรเลย เพราะตามปกติผู้ที่ได้รับพิษสิบสองอย่างจะตายภายในสามชั่วยาม ต่อให้มีนักบวชที่เก่งกาจพอจะปรุงยาบรรเทาอาการเจ็บปวดอันเกิดจากพิษร้าย ก็ไม่อาจยืดเวลาออกไปได้นานเกินสองวัน แล้วทำไมเอลเบอเรธถึงยังรอด?

       ...เรื่องนี้ต้องมีเบื้องหลังอย่างแน่นอน...

       เสียงเคาะประตูเบาๆ ดังขึ้นในความเงียบขัดจังหวะความคิดของเจ้าชายดิเร็กซ์ พระองค์เบือนพระพักตร์ไปมองอย่างไม่สบพระอารมณ์ ตรัสถามออกไปด้วยพระสุรเสียงห้วนสั้น

       “ใคร?”

       “กระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ...ฟีบัส”

       “เข้ามา"

       สิ้นเสียงอนุญาตประตูห้องก็ถูกดึงให้เปิดออก หัวหน้าองค์รักษ์ชาวทาเนียร์ก้าวเข้ามาหยุดยืนอยู่เบื้องพระพักตร์ผู้เป็นนายด้วยสีหน้าเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด

       “มีอะไรหรือฟีบัส”

       “เอ่อ...” ผู้สูงวัยกว่าลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจทูลออกไปตรงๆ

       “กระหม่อมมาขอประทานคำตอบสำหรับพระบิดาของพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”

       เจ้าชายดิเร็กซ์เหยียดริมพระโอษฐ์ออกคล้ายจะแย้มพระสรวล หากดวงเนตรสีนิลกลับกร้าวกระด้างจนดูน่ากลัว

       “คำตอบหรือ...ท่านจะดีใจมั้ยล่ะ ถ้าข้าจะบอกว่าเอลเบอเรธยังมีชีวิตอยู่”

       “ขอได้โปรดอย่าทรงล้อกระหม่อมเล่นเลยพ่ะย่ะค่ะ”

       “ใครบอกว่าข้าล้อเล่น”

       ท่านหัวหน้าองครักษ์จ้องมองดวงพักตร์เรียบเฉยราวสวมหน้ากากของนายหนุ่มด้วยสายตาเคลือบแคลง

       “ราชาแห่งกรีนแลนด์ไม่ทรงถูกพิษหรือพ่ะย่ะค่ะ”

       “ถ้าดูจากอาการที่ข้าเห็น เอลเบอเรธได้รับพิษแน่นอน”

       “แล้วทำไม...”

       “ได้รับพิษ ฟีบัส แต่เป็นคนละชนิดกับพิษในตลับนั่น บางทีแผนของเราอาจจะพลาด”

       นายทหารหนุ่มใหญ่มีสีหน้าเครียดขึ้นทันที...นี่เป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาอยากจะได้ยิน

       ราชาคาลอสแห่งทาเนียร์ทรงต้องการให้บัลลังก์ของกรีนแลนด์ร้างผู้ครอง เพื่อให้เกิดช่องว่างแห่งดุลอำนาจ แม้กรีนแลนด์จะเป็นประเทศใหญ่ที่มีการปกครองในระบอบกษัตริย์ แต่ก็แบ่งออกเป็นแคว้นย่อยถึงสี่แคว้นคือ ดาโก คิริธ อังมาร์ และรัธ แต่ละแคว้นก็ล้วนมีผู้ครองที่ได้รับการแต่งตั้งให้คอยดูแลบริหารราชกิจต่างพระเนตรพระกรรณ การปกครองจึงเกือบกึ่งจะเป็นแบบกระจายอำนาจโดยสมบูรณ์ หากเมื่อใดที่ศูนย์กลางแห่งอำนาจการปกครองนั้นดับสูญลงโดยไร้ซึ่งรัชทายาทสืบบัลลังก์ มีหรือที่ผู้ครองแคว้นทั้งหลายจะไม่ลุกขึ้นต่อสู้กันเองเพื่อแย่งชิงตำแหน่งประมุขของประเทศ หรืออย่างน้อยๆ ก็ต้องมีการขัดแย้งกระทบกระทั่งเกิดขึ้นบ้างในระหว่างที่มีการเลือกเฟ้นหาผู้ที่เหมาะสมกับตำแหน่งราชาคนใหม่ และเมื่อถึงเวลานั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากหากทาเนียร์จะบุกเข้าตีกรีนแลนด์โดยอาศัยความร่วมมือจากราชาไมนาสพันธมิตรที่กรีนแลนด์ไม่มีวันนึกถึง

       แต่การณ์กลับกลายเป็นว่า ราชาแห่งกรีนแลนด์ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่ เมื่อเป็นเช่นนี้ทาเนียร์จะหาข้อได้เปรียบอันใดไปโน้มน้าวพระทัยราชาเฒ่าเจ้าเล่ห์แห่งวูดแลนด์ให้ทรงยอมร่วมมือได้อีกเล่า

       “โอ นี่กระหม่อมฟังผิดไปหรือเปล่าพ่ะย่ะค่ะ แผนการขององค์ราชาล้มเหลว...”

       “แค่พลาดเท่านั้นฟีบัส ยังไม่ถึงกับล้มเหลว”

       เจ้าชายดิเร็กซ์ทรงผละจากกรอบหน้าต่างไปที่โต๊ะกลางห้องซึ่งมีชุดน้ำชาทำด้วยเงินเงาวับจัดเตรียมไว้พร้อม พระองค์ลงมือปรุงน้ำชาอย่างพระทัยเย็น ตรัสต่อไปด้วยพระสุรเสียงเรียบเรื่อย

       “แบบนี้สิถึงจะสนุก ท่านอย่ากังวลไปนักเลยเรายังพอมีเวลา”

       เจ้าชายทรงส่งถ้วยชาในพระหัตถ์ให้กับหัวหน้าองครักษ์ซึ่งเอื้อมมือมารับไปถือเอาไว้โดยไม่ยอมดื่ม ผู้สูงวัยกว่าจ้องมองดวงพักตร์งามคมของบุรุษตรงหน้าเขม็งราวกับจะให้ทะลุถึงก้นบึ้งในพระทัย

       “พระองค์ทรงคิดจะทำอะไรพ่ะย่ะค่ะ”

       “แล้วท่านคิดว่าข้าจะทำอะไรล่ะ” ผู้พูดยกถ้วยชาในมือขึ้นละเลียดจิบ

       ฟีบัสพอจะเดาความคิดเจ้านายหนุ่มของตนได้ แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้ตรัสออกมาตรงๆ ก็ตาม

       “การลอบเข้าไปในตำหนักหลวงไม่ใช่เรื่องง่ายนะพ่ะย่ะค่ะ”

       “แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยาก...ท่านลืมแม่นกน้อยของข้าไปแล้วหรือ”

       ชายกลางคนส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย

       “ถ้าราชาเอลเบอเรธเกิดสิ้นพระชนม์ลงไปตอนนี้ พวกเขาจะต้องระแวงพระองค์และจับตามองทาเนียร์เป็นพิเศษ...เสี่ยงเกินไปพ่ะย่ะค่ะ”

       “แล้วยังไงล่ะฟีบัส ท่านกลัวอย่างนั้นหรือ หรือว่า...” เจ้าชายจ้องหน้านายทหารหนุ่มใหญ่ด้วยสายพระเนตรเย็นชา

       “ท่านมีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้”

       “เอ่อ..ก็..”

       ผู้มีตำแหน่งเป็นถึงหัวหน้าองครักษ์ยกถ้วยชาเย็นชืดในมือขึ้นจรดริมฝีปาก ปล่อยให้น้ำสีเหลืองเข้มล่วงผ่านลงสู่ลำคอเพื่อที่จะได้ไม่ต้องตอบคำถามนั้น แม้จะไม่เห็นด้วยกับความคิดของเจ้าชายดิเร็กซ์ หากเขาก็ยังมองไม่เห็นทางออกใดที่เหมาะสมไปกว่านี้ ในที่สุดฟีบัสก็จำต้องยอมคล้อยตามความคิดของผู้อ่อนอาวุโสกว่า

       “แล้วเราจะลงมือด้วยวิธีไหนเล่าพ่ะย่ะค่ะ ใช้ยาพิษอีกหรือ”

       “ไม่ละ ข้ามีวิธีของข้า... คืนนี้พวกเจ้าเตรียมเก็บข้าวของเอาไว้ พรุ่งนี้เช้าเราจะออกเดินทางกลับทาร์เนีย”

       “กลับทาร์เนีย? ก็ไหนพระองค์ตรัสว่า...”

       “ไม่ต้องถาม ไปทำตามที่ข้าสั่งฟีบัส แล้วพรุ่งนี้เจ้าก็จะรู้คำตอบเอง”

       เรียวโอษฐ์งามได้รูปของเจ้าชายดิเร็กซ์คลี่ออกเป็นรอยแย้มสรวลเยือกเย็น ประกายมุ่งมั่นในดวงเนตรคมกริบสีนิลทำให้ท่านหัวหน้าองครักษ์จำต้องหุบปากนิ่ง ไม่กล้าเอ่ยคำพูดแสดงความสงสัยหรือคัดค้านใดๆ ออกมาอีกเลย




       ดวงอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขาลงนานแล้ว ลำแสงสุดท้ายที่แต้มระบายอยู่บนริ้วเมฆทางทิศตะวันตกแปรเปลี่ยนจากสีแดงอมส้มกลายเป็นสีชมพูกุหลาบอ่อนหวาน แล้วค่อยจางลงจนกลืนหายไปกับสีน้ำเงินเข้มของท้องฟ้ายามโพล้เพล้ แสงสว่างจากตะเกียงเริ่มผุดพรายขึ้นในความมืดทีละจุดราวกับแสงหิ่งห้อย ก่อนจะถึงเวลาที่ดวงโคมแห่งฟากฟ้าเผยโฉมงามกระจ่างตาอวดมนุษย์ทุกคนบนพื้นโลก

       หญิงสาวในชุดยาวรุ่มร่ามของนักบวชนั่งจิบชาหวานหลังอาหารอยู่ที่โต๊ะไม้กลางห้องพัก มองดูเด็กหนุ่มใช้ผ้านุ่มเช็ดทำความสะอาดดาบคู่มือของนางไปพลาง ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยทำลายความเงียบขึ้น

       “ซิส”

       “หือ?”

       “วันนี้ข้าเจอเจ้าชายดิเร็กซ์”

       เด็กหนุ่มชะงักเล็กน้อย ดวงตาจ้องเป๋งอยู่ที่ดาบในมือ กรามขบกันเป็นสันนูน หากเพียงครู่เดียวมาดกวนอารมณ์ที่หญิงสาวคุ้นตาก็กลับคืนมาดังเดิม เจ้าตัวยักไหล่เสมือนไม่แยแสกับข่าวที่ได้ยิน

       “แล้วไงล่ะ ข้าห้ามไม่ให้เจ้าชายพระองค์นั้นเสด็จมาที่นี่ได้ซะที่ไหน”

       “เออ” หญิงสาวกระแทกเสียง นึกหมั่นไส้เจ้าเด็กปากดีเต็มแก่ “ข้าก็แค่จะเตือนเอาไว้เท่านั้นแหละ ลืมไปว่าเจ้ามันเก่ง จะมีเรื่องซัดปากกันอีกซักหนสองหนก็คงไม่เป็นไร”

       ดวงตาคมสีน้ำตาลตวัดแวบผ่านไปทางคนพูดคล้ายจะค้อน เด็กหนุ่มขยับจะตอบแล้วกลับหุบปากนิ่งเป็นหอยกาบตามเดิม ยกดาบในมือขึ้นส่องกับแสงตะเกียง พลิกไปพลิกมาเพื่อดูความเรียบร้อยก่อนจะสอดเก็บเข้าฝักแล้ววางโครมลงบนโต๊ะ

       “เสร็จแล้วนะพี่ชาย”

       “ขอบใจ แล้วทางเจ้าเป็นยังไงบ้างล่ะวันนี้ ข้าได้ยินมาว่าเจ้าได้งานทำแล้ว”

       “ฮื่อ พวกเค้าให้ข้าดูแลม้าของเด็กผู้หญิงคนนั้น”

       “เด็กผู้หญิงคนนั้น?”

       “ก็คนที่มาหาท่านเมื่อเช้านี้ไงล่ะ” ซิสสะบัดเสียงอย่างหงุดหงิด

       “อ๋อ เจ้าหญิงกาอิยาห์...งั้นก็ดีน่ะสิ แล้วเจ้า..”

       “ดีตรงไหน...” หนุ่มน้อยสวนคำขึ้นทันควัน น้ำเสียงกระด้างเย็นชาจนเมลิอานาร์นึกแปลกใจ

       “ถ้าจะต้องดูแลม้าให้เด็กผู้หญิง สู้ส่งข้าลงไปช่วยนักบวชพวกนั้นถอนหญ้าในแปลงผักซะยังจะดีกว่า”

       “ไม่ใช่แปลงผัก” เมลิอานาร์กล่าวแก้อย่างใจเย็น “เขาเรียกว่าสวนสมุนไพรต่างหาก แล้วงานดูแลม้าให้เจ้าหญิงกาอิยาห์มันไม่ดีตรงไหน ตอนอยู่ที่บ้านพักคนเดินทางเจ้าก็เป็นคนดูแลม้าไม่ใช่หรือ”

        เสียงหินก้อนเล็กๆ ลอยผ่านบานหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้กว้างตกกระทบลงบนพื้นห้อง ทำให้คนพูดจำต้องละความสนใจจากเด็กหนุ่มชั่วคราว นางลุกขึ้นเดินไปดู แล้วต้องขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นว่าเด็กสาวที่กำลังเป็นหัวข้อสนทนายืนยิ้มหวานโบกมือหย็อยๆ อยู่กลางแสงตะเกียงด้านนอก

       “ซิส ข้าต้อง..”

       เมลิอานาร์หันกลับไปหาเด็กหนุ่มพร้อมด้วยคำพูดที่ยังคงค้างอยู่แทบริมฝีปาก ทว่าซิสกลับหายตัวไปเสียแล้ว หญิงสาวได้แต่โคลงศีรษะด้วยความระอา ก่อนตวัดกายข้ามกรอบหน้าต่างลงไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเด็กสาวผู้มาเยือน

       “เสด็จมาทำอะไรตรงนี้เพคะ มืดจะตาย ทรงมีธุระอะไรกับหม่อมฉันหรือเปล่า” นางเอ่ยถามด้วยความสงสัยระคนเป็นห่วง

       เจ้าหญิงกาอิยาห์ส่ายพระพักตร์พลางแย้มสรวลอย่างซุกซน

       “ไม่มีหรอก ข้าแค่แวะมาถามข่าวเท่านั้น เจ้าไปเฝ้าฝ่าบาทมาแล้วเป็นยังไงบ้าง”

       “ก็ไม่เป็นยังไงนี่เพคะ ทรงมีรับสั่งให้หม่อมฉันไปที่วิหารจันทราคืนนี้”

       พอได้ยินคำว่า ‘วิหารจันทรา’ ดวงเนตรสุกใสของเด็กสาวก็เปล่งประกายวาววับขึ้นทันที น้ำเสียงที่เอ่ยถามเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น

       “ทรงให้เจ้าไปที่วิหารจันทราอย่างนั้นหรือ”

       “เพคะ แต่หม่อมฉันต้อง...”

       “งั้นข้าไปด้วย”

       เจ้าหญิงกาอิยาห์ไม่ทรงเสียเวลารอฟังว่าเพื่อนสาวจะพูดอะไรต่อ หากแต่รีบคว้าข้อมืออีกฝ่ายลากให้ก้าวเดินไปสู่อาคารสีนวลที่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางดงไม้เขียวครึ้มพร้อมกันทันที

จากคุณ : akihiro
เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 54 23:37:01




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com