ราชาหนุ่มแห่งกรีนแลนด์ประทับยืนอยู่ใกล้หน้าต่างบานแคบ สายพระเนตรจับจ้องไปยังเงาร่างของคนสองคนซึ่งกำลังเคลื่อนที่ช้าๆ ผ่านสวนสมุนไพรใกล้เข้ามา แสงสว่างจากตะเกียงสาดจับผิวสีน้ำตาลคล้ำแดดของคนตัวสูงกว่าให้ดูนวลตาอย่างประหลาด สันจมูกโด่งคมทอดเงาทาบลงบนผิวแก้มเนียนละเอียดรับกับเส้นขนตางอนช้อยราวอิสตรี ริมฝีปากได้รูปสวยที่ขยับยกขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อยๆ ยามเจ้าตัวก้มลงสนทนากับเด็กสาวข้างกาย เป็นสีชมพูระเรื่อราวกับกลีบดอกไม้
...ถ้าหากเป็นผู้หญิง เจ้าหมอนี่คงสวยขาดใจไปเลย...
ราชาเอลเบอเรธสะบัดพระเศียรไล่ความคิดแปลกๆ ที่แวบผ่านเข้ามาในสมองอย่างตกพระทัย ทรงนึกโกรธตัวเองที่เผลอคิดฟุ้งซ่านไปได้ถึงเพียงนั้น
“ทอดพระเนตรอะไรอยู่หรือพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” เจ้าชายกันนาร์ทูลถามขึ้นเมื่อเห็นอาการแปลกๆ ของราชาหนุ่ม
“เจ้ามาดูเองสิ”
เอลเบอเรธเบี่ยงร่างให้สหายขยับเข้ามายืนแทนที่ เมื่อฝ่ายนั้นมองออกไปนอกหน้าต่างเห็นคู่หนุ่มสาวที่เกือบจะเลี้ยวลับไปทางด้านข้างของตัววิหารก็ถึงกับตาค้าง
“หน็อย!! เจ้าหมอนั่น ..”
“ดูเหมือนน้องสาวของเจ้าจะสนิทกับนักบวชผู้นั้นมากนะ” ราชาแห่งกรีนแลนด์เปรยขึ้นลอยๆ
“ฝ่าบาทก็ทรงสังเกตเห็นเช่นกันหรือพ่ะย่ะค่ะ” เจ้าชายกันนาร์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ดีขึ้นเล็กน้อย แล้วบ่นต่อไปตามประสาพี่ชายที่หวงน้องสาวขนาดหนัก
“กระหม่อมไม่ชอบใจเลย ตั้งแต่หมอนั่นมาลินเด็น กายย์ก็ทำตัวไม่เหมาะสมหลายอย่าง เมื่อเช้านางอุตส่าห์ไปปลุกกระหม่อมตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางเพราะคิดว่าเจ้าหมอนั่นพักอยู่กับกระหม่อม แถมค่ำนี้ยังแอบไปพบกันแล้วพามาที่วิหารอีก ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องของนางสักนิด”
“ถึงขนาดนั้นเชียวหรือ” องค์ราชาขมวดพระขนงอย่างไม่ชอบพระทัย “สงสัยข้าคงต้องให้นอร์ม่าเรียกน้องสาวของเจ้ามาอบรมขนานใหญ่เสียแล้ว”
“แต่กระหม่อมว่า หาทางกำจัดเจ้านักบวชรูปหล่อรายนั้นไปให้พ้นจากกายย์เร็วที่สุด น่าจะดีกว่านะพ่ะย่ะค่ะ”
“ทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกกันน์ เรายังต้องอาศัยเขาอยู่ แต่เอาเถอะ ข้าจะลองคิดดู ตอนนี้เจ้าเตรียมรับหน้าสองคนนั่นก่อนดีกว่า คงใกล้จะมาถึงแล้วละ” แทบว่าพอขาดคำของราชาหนุ่ม เจ้าหญิงกาอิยาห์กับ ‘นักบวชรูปหล่อ’ ก็ก้าวผ่านประตูวิหารเข้ามาเกือบจะทันที เจ้าชายกันนาร์รีบสาวพระบาทตรงไปต้อนรับผู้มาใหม่ด้วยรอยแย้มสรวลที่ดูเหมือนเป็นการแยกเขี้ยวเสียมากกว่า “แหม ไม่นึกว่าท่านนักบวชจะใจร้อน รีบมาก่อนที่ข้าจะไปรับ...แถมมาพร้อมกับเจ้าซะด้วย กายย์” “ก็น้องอยากเห็นวิหารจันทราใกล้ๆ นี่นา น่า..อย่าโกรธเลยนะคะพี่กันนาร์ ทำหน้าบึ้งมากๆ เดี๋ยวแก่เร็วไม่รู้ด้วย” เจ้าหญิงกาอิยาห์แย้มสรวลประจบขณะเข้าไปเกาะแขนผู้เป็นพี่ “มาทางนี้เลยกายย์”
เจ้าชายกันนาร์ถือโอกาสลากร่างบางของน้องสาวให้ถอยห่างจากคนที่มาด้วยกันมากที่สุด พลางกระซิบดุ “เจ้านี่มันตัวยุ่งจริงๆ ข้าอนุญาตให้เจ้ามาที่วิหารตั้งแต่เมื่อไหร่”
“แน้.. วิหารจันทราไม่ใช่ของพี่กันนาร์สักหน่อย ทำไมน้องต้องรอให้พี่อนุญาตด้วย จริงๆ แล้วเหตุผลที่พี่กันนาร์ไม่อยากให้น้องมาที่วิหารเป็นเพราะเจ้าหญิงแคธรีนอยู่ที่นี่ใช่มั้ยล่ะคะ น้องเดาได้หรอกน่า แต่พี่กันนาร์ไม่ต้องห่วง รับรองว่าน้องจะไม่ปากโป้งบอกใครเด็ดขาด น้องแค่อยากจะดูวิธีคลายคำสาปของเมลเท่านั้น จะได้ศึกษาไปในตัวเผื่อจำเป็นต้องใช้คราวหน้าไงคะ”
เจ้าชายกันนาร์เลิกพระขนงขึ้นพร้อมกับตรัสถามเสียงสูง
“นี่เจ้ายังกล้าคิดจะมี ‘คราวหน้า’ อีกหรือ”
เมลิอานาร์มองสองพี่น้องเถียงกันแล้วต้องแกล้งเมินไปทางอื่นเพราะกลัวจะเผลอส่งเสียงหัวเราะออกมา สายตาของนางจึงปะทะเข้ากับดวงเนตรคมดุของคนที่ยืนหลบอยู่ในเงามืดโดยไม่ตั้งใจ
“ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้ง” เสียงทุ้มห้าวเอ่ยทักขึ้นลอยๆ
หญิงสาวรีบดึงสายตากลับมาแทบไม่ทัน...นางไม่เห็นจะรู้สึกยินดีเลยสักนิด
เจ้าหญิงกาอิยาห์ทอดพระเนตรอาการของเพื่อนสาวด้วยความสงสัย ก่อนจะเบือนพระพักตร์ไปยังเงาตะคุ่มของใครบางคนที่ยืนหลบอยู่ริมหน้าต่าง ร่างสูงใหญ่ที่พระองค์เห็นดูคุ้นตาเหลือเกิน แถมเสียงที่ทรงได้ยินเมื่อสักครู่ก็ฟังคุ้นหูอย่างประหลาด หากชุดกระโปรงยาวแค่ข้อเท้านั่นต่างหากที่ทำให้ไม่แน่พระทัย
“ใครน่ะพี่กันนาร์ ใช่องค์ราชาหรือเปล่า” เจ้าหญิงกระซิบถาม
“ไม่ใช่” พี่ชายปฏิเสธทันควัน ดวงเนตรสีม่วงเหลือบมองหน้าคนที่มากับน้องสาวแวบหนึ่งก่อนจะกล่าวแนะนำ
“เอ่อ ท่านนักบวช นี่เอลลี่..เป็นหญิงรับใช้”
“กระหม่อมเคยพบกับนางแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เจ้าชายเบิกพระเนตรกว้าง
“อะไรนะ ท่านเคยพบกับนางที่ไหน เมื่อไหร่?”
“ที่วิหารนี่แหละพ่ะย่ะค่ะ เมื่อคืนก่อน”
คำตอบของนักบวชหนุ่มทำให้เจ้าชายกันนาร์ถึงกับตรัสอะไรไม่ออกไปชั่วคราว พระองค์พอจะเข้าพระทัยแล้วว่าเหตุใดองค์ราชาจึงทรงเปลี่ยนแผนกะทันหัน ไม่บอกความจริงให้อีกฝ่ายรู้ว่าไม่ได้ทรงพระประชวรอย่างที่ใครต่อใครเข้าใจกันทั้งเมือง
“พี่กันนาร์” เจ้าหญิงกาอิยาห์เขย่าท่อนพระกรพี่ชาย สีพระพักตร์บอกว่างุนงงเต็มที่ “เรามีหญิงรับใช้ที่วิหารด้วยหรือคะ ก็ไหนพี่เคยบอกว่าวิหารจันทราไม่มีใครอยู่ไงล่ะ”
เจ้าชายกันนาร์นึกอยากจะเขกศีรษะคนเป็นน้องเสียเหลือเกิน...ทุกทีก็เห็นนางหัวไวดี บางทีก็ไวเกินไปจนพี่ชายแทบจะตามไม่ทันด้วยซ้ำ แล้วทีตอนสำคัญแบบนี้ทำไมนางถึงเกิดจะหัวทึบขึ้นมา
“เอล..ลี่ไงกายย์ เอล...ลี่น่ะ เจ้าจำไม่ได้หรือไง”
พี่ชายทั้งเน้นเสียง ทั้งขยิบพระเนตร แต่เจ้าหญิงกาอิยาห์ก็ยังไม่ยอมเข้าพระทัยอยู่ดี จนสุดท้ายผู้ที่จงใจหลบอยู่ในเงามืดก็ทนไม่ได้จำต้องก้าวออกมาสู่แสงสว่างให้เจ้าหญิงขี้สงสัยมองเห็นถนัดตา
“คราวนี้จำข้าได้หรือยัง กายย์”
เจ้าหญิงกาอิยาห์อ้าพระโอษฐ์ค้าง...มิน่าเล่า พระองค์ถึงได้รู้สึกว่าทั้งรูปร่าง ทั้งน้ำเสียงของ ‘เอลลี่’ คล้ายกับองค์ราชานัก เด็กสาวพยายามอย่างหนักที่จะไม่ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
คนในชุดสาวใช้ส่งเสียงกระแอมแก้เขิน ก่อนจะหันไปทางเจ้าชายกันนาร์
“ข้าว่า เราเสียเวลาไปมากแล้ว รีบพาท่านนักบวชไปที่ห้องลับเลยดีกว่า”
“พ่ะ..เอ่อ ได้สิ ตามข้ามาทางนี้เลยท่านนักบวช”
เมลิอานาร์มองหน้าคนออกคำสั่งสลับกับเจ้าชายกันนาร์อย่างแปลกใจ นึกไม่ถึงว่าชายหนุ่มสูงศักดิ์ท่าทางยโสอย่างพระองค์จะยอม ‘ลง’ ให้กับสาวใช้ผู้นี้ง่ายๆ ฉับพลันภาพชายหนุ่มกับหญิงสาวเมื่อคืนก่อนก็ย้อนกลับเข้ามาในห้วงความทรงจำ ฝ่ายชายที่นางเห็นคงจะเป็นเจ้าชายกันนาร์นี่เอง เขากับแม่สาวใช้ร่างยักษ์น่าจะเป็นคู่รักกัน ไม่น่าเชื่อเลยว่าพี่ชายของเจ้าหญิงกาอิยาห์จะมีรสนิยมแปลกพิศดารได้ถึงขนาดนี้
“เอ้า จะยืนอยู่ตรงนี้ทั้งคืนหรือไงท่านนักบวช”
เสียงห้วนห้าวของแม่คนที่เมลิอานาร์กำลังนึกนินทาอยู่ในใจทำเอานางเกือบสะดุ้ง หากยังคงรักษามาดนิ่งแบบนักบวชเอาไว้ได้ หญิงสาวตวัดสายตาผ่านหน้าคนพูดอย่างขวางๆ ทันได้เห็นมุมปากของฝ่ายนั้นกระตุกขึ้นนิดหนึ่งคล้ายจะยิ้ม แต่พอนางตั้งใจจะมองให้ถนัดอีกครั้งกลับพบเพียงสีหน้าเคร่งขรึมเฉยเมยเหมือนเช่นปกติ
“ตามมาทางนี้เร็วๆ เข้า” หญิงรับใช้ส่งเสียงเร่ง นักบวชกำมะลอจึงต้องรีบสาวเท้าตามนางเข้าไปในส่วนลึกสุดของวิหารอย่างไม่มีทางเลือก แม่สาวร่างยักษ์ตวัดผืนพรมบนผนังด้านซ้ายมือให้เปิดออก แล้วก้าวนำไปตามทางเดินแคบๆ ทอดตรงสู่แสงสลัวเบื้องหน้า สุดทางเดินคือห้องโถงทรงสี่เหลี่ยมค่อนไปทางยาวมากกว่ากว้าง รอบห้องมีรูปปั้นเทพธิดาหินอ่อนชูคบไฟประดับอยู่เป็นระยะ มุมหนึ่งของห้องตั้งโต๊ะตัวใหญ่ที่ดูจากลักษณะแล้วน่าจะเป็นโต๊ะเขียนหนังสือของใครสักคน เพราะมีอุปกรณ์เครื่องเขียนและม้วนเอกสารวางเกลื่อนอยู่บนนั้น เจ้าหญิงกาอิยาห์และพี่ชายทรงหยุดรออยู่หน้ารูปปั้นเทพธิดาองค์ที่สาม พอหญิงรับใช้และนักบวชหนุ่มตามเข้ามาสมทบ เจ้าชายกันนาร์ก็หันไปหมุนมงกุฎดอกไม้บนเศียรของเทพธิดา มีเสียงครืดคราดดังขึ้นแผ่วเบาก่อนที่ประตูศิลาบานเล็กที่ฝังซ่อนอยู่ในผนังจะเลื่อนเปิดออกเป็นช่องแคบๆ ขนาดพอดีตัวคน เจ้าชายทรงส่งสัญญาณให้น้องสาวก้าวเข้าไปเป็นคนแรก จากนั้นจึงเสด็จตามหลังนางไปติดๆ โดยมีนักบวชหนุ่มถือตะเกียงตามเข้าไปเป็นคนที่สามและสาวใช้ประจำวิหารร่างยักษ์เดินรั้งท้าย
ทางเดินลับในกำแพงทั้งคดเคี้ยวและลาดชัน ยิ่งเดินลึกเข้าไปช่องทางก็ยิ่งแคบลงเรื่อยๆ แม้จะมีแสงจากตะเกียงในมือของคนในชุดนักบวชช่วยส่องทาง แต่พื้นและผนังศิลาที่ปกคลุมด้วยคราบตะไคร่ก็ทำให้ทุกคนต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษในการเดิน เพื่อไม่ให้ลื่นหกล้มหัวทิ่มไปเสียก่อน
ในที่สุดคนทั้งสี่ก็มาหยุดอยู่หน้าประตูไม้บานไม่ใหญ่นัก สาวใช้ประจำวิหารปลดสร้อยทองคำเส้นเล็กบางราวกับเส้นด้ายห้อยกุญแจรูปร่างประหลาดที่คล้องอยู่รอบลำคอของนางออก สอดลูกกุญแจเข้าไปในรอยขีดสั้นๆ สีดำบนแผ่นโลหะกึ่งกลางบานประตูแล้วบิดเพื่อปลดล็อก
มีเสียง ‘คลิ้ก’ ดังขึ้นแผ่วเบาก่อนที่ประตูบานนั้นจะเปิดออก เจ้าชายกันนาร์เสด็จหายเข้าไปในห้องเป็นคนแรก เพียงครู่เดียวแสงสว่างนวลตาก็สาดกระจายไปทั่วเผยให้เห็นห้องค่อนข้างแคบ ผนังทุกด้านเป็นศิลาเรียบลื่นสีเทาหม่นปราศจากเครื่องตกแต่งใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากเชิงเทียนกิ่งพร้อมแท่งเทียนสีขาวเล่มใหญ่ซึ่งมีเปลวไฟลุกโชติช่วงอยู่
เหนือโต๊ะไม้ตัวยาวกลางห้อง หญิงสาวผู้หนึ่งทอดร่างอยู่อย่างสงบ ดวงตาพริ้มปิด สองมือวางราบอยู่ข้างลำตัว สีผิวเผือดซีดและร่างกายเย็นเฉียบแข็งกระด้างของนางดูไม่ต่างจากรูปปั้นหินอ่อนที่ตั้งประดับอยู่ทั่วไปในปราสาทลินเด็นเท่าใดนัก ...นี่หรือเจ้าหญิงแคธรีน?
คนในชุดนักบวชขยับเข้าไปพิจารณาร่างของเจ้าหญิงผู้เคราะห์ร้ายจนชิดขอบโต๊ะ ก่อนจะหันไปเอ่ยถามสาวน้อยที่ตามมาหยุดยืนอยู่ข้างกาย
“ทำไมเจ้าหญิงพระองค์นี้ถึงได้รับพิษล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
“นางบังเอิญโชคร้าย ต้องรับเคราะห์แทนคนอื่นน่ะสิ” เสียงห้วนดุตอบแทรกขึ้น จากนั้นเจ้าของร่างสูงใหญ่ผิดผู้หญิงก็ก้าวพรวดเข้ามายืนขวางอยู่ตรงกลางระหว่างเจ้าหญิงกาอิยาห์และคนตั้งคำถามหน้าตาเฉย
“อยากรู้อะไรเกี่ยวกับเจ้าหญิงแคธรีน ท่านนักบวชถามข้าก็ได้ ตอนที่เจ้าหญิงถูกพิษข้าก็อยู่ด้วย”
นักบวชหนุ่มมองหน้าสาวใช้ร่างยักษ์อย่างไม่ค่อยจะเชื่อถือนัก “แล้วเจ้ารู้หรือว่าเจ้าหญิงถูกพิษอะไร”
“ไม่รู้”
มือที่วางอยู่เหนือร่างศิลาเพื่อเตรียมพร้อมร่ายคาถาชะงักค้าง
“ไม่รู้งั้นหรือ ...นี่เจ้าคิดจะช่วยเจ้าหญิงจริงหรือเปล่า”
เอลลี่ยักไหล่ “ก็ข้าไม่รู้จริงๆ นี่ ไม่รู้ก็บอกว่าไม่รู้ ผิดด้วยหรือไง”
“แล้วอาการของนางล่ะ เจ้าบอกว่าเห็นตอนนางถูกพิษนี่นา อย่างน้อยๆ ก็น่าจะรู้อาการของนางบ้าง”
“ยาพิษออกฤทธิ์เร็วมากเมล ข้าจำได้แค่ว่าเล็บของนางเปลี่ยนสี แล้วก็มีจ้ำสีม่วงน่าเกลียดปรากฏขึ้นตามตัวแค่นั้นเอง” เจ้าหญิงกาอิยาห์เป็นผู้ให้คำตอบแทนแม่สาวใช้
“ถ้าอย่างนั้นก็อาจจะเป็นพิษสิบสองอย่าง พิษชนิดนี้ออกฤทธิ์เร็วเห็นผลในหนึ่งถึงสามชั่วยาม แสดงว่าใครก็ตามที่คิดวางยาพิษคงต้องการความมั่นใจว่าเจ้าหญิงจะสิ้นพระชนม์แน่ๆ ถึงได้เลือกใช้ยาพิษต้องห้ามแบบนี้ ว่าแต่...”
นักบวชหนุ่มถอยห่างจากโต๊ะกลางห้องหันไปสบตากับชาวกรีนแลนด์ทั้งสามทีละคน
“พวกท่านเตรียมยาถอนพิษเอาไว้หรือยัง”
“ยัง” เจ้าชายกันนาร์ตอบโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด “นั่นมันหน้าที่ของท่านต่างหาก” เอลลี่ช่วยขยายความอีกแรง
“หน้าที่ของข้า?” “ใช่ ก็ท่านเป็นนักบวชนี่ ถ้าไม่ใช่หน้าที่ของท่านแล้วจะเป็นหน้าที่ใคร”
ประโยคของหญิงรับใช้ประจำวิหารทำให้คนฟังโมโหจนพูดอะไรไม่ออก นางไม่คิดเลยว่าจะถูกแม่สาวร่างยักษ์โยนความรับผิดชอบมาให้ด้วยวิธีนี้
เมื่อเห็นนักบวชหนุ่มเงียบเสียงไป เอลลี่ก็ย้ำขึ้นอีก
“ว่ายังไงล่ะท่านนักบวช ท่านก็รู้แล้วนี่ว่าเป็นพิษชนิดไหนแค่ปรุงยาถอนพิษขึ้นมาเท่านั้น ท่านน่าจะทำได้ไม่ใช่หรือ”
“อ๋อออ... ทำได้แน่ ถ้าหากว่ารู้ส่วนผสมของยาพิษครบทั้งสิบสองชนิดน่ะนะ”
หญิงสาวกระแทกเสียงตอบ อันที่จริงนางอยากจะตอบโต้ด้วยถ้อยคำที่รุนแรงยิ่งกว่านี้ หากแววใคร่รู้อย่างบริสุทธิ์ใจในแก้วตาใสสีน้ำเงินอมเขียวที่มองมา ทำให้จำต้องยั้งปากเอาไว้
“ฟังนี่นะเอลลี่...ไม่เคยมีใครรู้ส่วนผสมที่แน่นอนของยาพิษสิบสองอย่าง นอกจากคนที่ปรุงมันขึ้นมา เพราะฉะนั้นพิษชนิดนี้จึงแทบจะเรียกได้ว่าไม่มียารักษา หากใครโชคร้ายถูกพิษเข้าก็ทำใจไว้ล่วงหน้าได้เลยว่าตายสถานเดียว”
“เจ้าพูดอย่างนี้ก็แปลว่าเจ้าหญิงแคธรีนไม่มีทางรอดน่ะสิ” เจ้าหญิงกาอิยาห์ตรัสถามเสียงอ่อย
“ทางรอดทางเดียวของเจ้าหญิงแคธรีนก็คือต้องหายาถอนพิษมาให้ได้พ่ะย่ะค่ะ ถ้าไม่มียาถอนพิษ ถึงกระหม่อมจะคลายคำสาปขององค์หญิงได้ก็เปล่าประโยชน์”
ดวงพักตร์นวลใสของเจ้าหญิงกาอิยาห์เผือดลงทันตาจนผู้พูดรู้สึกสงสาร
“เอาเถอะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคิดว่าทางออกน่าจะมีอยู่อีกทาง”
เจ้าชายกันนาร์เลิกพระขนง “ทางไหนล่ะ ก็ท่านเพิ่งบอกอยู่หยกๆ ว่าถ้าไม่มียาถอนพิษ เจ้าหญิงแคธรีนก็ตายลูกเดียว”
“โดยปกติคนปรุงยาพิษมักจะปรุงยาถอนพิษไว้คู่กันเสมอเพื่อกันการผิดพลาด หากเราหาทางเอายาถอนพิษมาจากผู้ปรุงได้ เจ้าหญิงแคธรีนก็น่าจะทรงมีทางรอด”
“แล้วท่านรู้หรือว่าใครเป็นผู้ปรุงยา”
“ตอนนี้ยัง แต่พิษสิบสองอย่างมักจะอยู่ในรูปผง หรือควัน ...เพราะฉะนั้นจะต้องมีภาชนะสำหรับใส่ยาพิษ”
เอลลี่ล้วงเอาตลับอันเล็กออกมาจากผ้าคาดเอวของนาง “ท่านหมายถึงสิ่งนี้หรือเปล่า”
คนในชุดนักบวชเอื้อมมือไปรับตลับเครื่องหอมจากแม่สาวร่างยักษ์มาพลิกดูอย่างสนใจ ตลับรูปไข่ใบนั้นทำจากทองคำแท้ฝังไข่มุกและอัญมณีน้ำงามเม็ดเล็กจิ๋วเป็นลวดลายละเอียดยิบ ฝีมือประณีตเกินกว่าจะเป็นของที่หาซื้อได้ตามท้องตลาดทั่วไป หญิงสาวพลิกดูภายใน ไม่มีคราบของยาพิษเหลือให้เห็นแม้แต่น้อย หากที่ก้นตลับมีอักษรย่อจารึกเอาไว้ด้วยเส้นเงินบางเฉียบ หญิงสาวเผยอยิ้มอย่างพอใจ...นี่แหละสิ่งที่นางต้องการ
“ยิ้มอะไรของท่าน ในนั้นมีชื่อคนปรุงยาพิษเขียนบอกเอาไว้หรือไง”
รอยยิ้มของนักบวชหนุ่มยิ่งขยายกว้างออกไปอีก ดวงตาสีน้ำเงินเข้มที่ตวัดมองเจ้าของคำถามเป็นประกายระยับราวกับไพลินน้ำงาม
“เจ้าเดาเกือบถูก ในนี้มีชื่อย่อของคนผู้หนึ่งจารึกไว้จริงๆ”
“ใคร?” สามเสียงถามขึ้นแทบจะพร้อมกัน
“ริช ไคลี่ ช่างทำเครื่องประดับชื่อดังแห่งเมืองลัสเตอร์สโตน”
เจ้าชายกันนาร์พ่นลมหายพระทัยออกมาทางพระนาสิกอย่างดูแคลน “ข้ายังมองไม่เห็นว่าชื่อของช่างทำเครื่องประดับจะช่วยให้ท่านหายาถอนพิษเจอได้อย่างไร” “ได้สิพ่ะย่ะค่ะ ถ้ากระหม่อมไปพบเขาที่เมืองลัสเตอร์สโตน”
เจ้าหญิงกาอิยาห์พระเนตรลุกขึ้นมาทันทีด้วยความตื่นเต้น “เจ้าจะไปลัสเตอร์สโตนจริงหรือเมล?”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ดี งั้นข้าไปด้วย”
“ไม่ได้” คนเป็นพี่ขัดขึ้นทันควัน
“ทำไมล่ะคะ เมืองลัสเตอร์สโตนก็อยู่ในแคว้นอังมาร์แค่นี้เอง ทำไมน้องจะไปด้วยไม่ได้” ดวงพักตร์ของเจ้าหญิงสาวน้อยเริ่มงอง้ำ
“มันอันตรายนะกายย์”
“พี่กันนาร์ก็รู้ว่าอันตรายแล้วยังคิดจะปล่อยให้เมลเดินทางไปคนเดียวอีก ใจร้ายเกินไปแล้วค่ะ เกิดเมลเป็นอะไรไป เจ้าหญิงแคธรีนก็ไม่ต้องหายกันพอดีสิคะ”
“นั่นเขาเป็นผู้ชาย แต่เจ้าเป็นผู้หญิง ข้าจะปล่อยให้ไปทำเรื่องเสี่ยงอันตรายแบบนั้นได้ยังไง” เจ้าชายกันนาร์โต้กลับ ไม่ยอมแพ้
“ไม่รู้ล่ะก็น้องอยากไปนี่ น้องไม่ปล่อยให้เมลไปเสี่ยงอันตรายคนเดียวแน่นอน”
“เอาล่ะรู้แล้ว ถ้างั้นข้าไปเองเจ้าไม่ต้องไป” พี่ชายสรุป
“ไม่เอา น้องไม่ให้พี่กันนาร์ไป”
“เอ๊ะ ถ้าไม่ให้ข้าไป แล้วจะให้ใครไป”
“ข้าเอง” เสียงทุ้มกังวานเต็มไปด้วยอำนาจช่วยตัดสินให้
นักบวชรูปงามยิ้มแหย...ชักจะไม่สนุกเสียแล้วสิ
“เอ่อ กระหม่อมขอเดินทางคนเดียวดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ อย่าให้ต้องลำบากคนอื่นเลย”
“ก็ไม่ได้ลำบากอะไรนี่” หญิงรับใช้ประจำวิหารปรายตามองนักบวชหนุ่มเหมือนจะจับผิด “หรือว่าท่านเต็มใจจะเดินทางไปกับเจ้าหญิงกาอิยาห์เท่านั้น”
“ไม่ใช่” คนในชุดนักบวชกระชากเสียง “ข้าแค่..ไม่อยากเดินทางร่วมกับ..”
“ข้า..” เอลลี่ต่อประโยคนั้นจนจบพร้อมกับคลี่ยิ้มดุดัน ดวงตาคมกริบของนางวาววับด้วยแรงอารมณ์ “ดีมากท่านนักบวช ถ้าเช่นนั้นพรุ่งนี้เราจะออกเดินทางไปลัสเตอร์สโตนด้วยกันแต่เช้า!!”
แก้ไขเมื่อ 23 ก.ค. 54 09:43:42
แก้ไขเมื่อ 21 ก.ค. 54 23:49:43
จากคุณ |
:
akihiro
|
เขียนเมื่อ |
:
21 ก.ค. 54 23:49:21
|
|
|
|