แอชลีนน์ตื่นขึ้นมาเพราะกลิ่นหอมบางอย่าง
หญิงสาวงัวเงียลุกจากเตียง รู้สึกปวดเมื่อยตามร่างกาย และปวดนัยน์ตาที่เพิ่งร้องไห้หนักมาเมื่อคืนอยู่บ้าง ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังมองเห็นชัดเจนดี และพบว่าแสงแดดสว่างส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ส่วนเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ข้างเตียงเธอนั้นว่างเปล่า
...อาเมียร์ไปแล้วสินะ...
เจ้าหญิงยกมือขวาของตนขึ้นมอง พร้อมกับอดนึกไม่ได้ถึงสัญญาของเขา
ว่าจะคอยอยู่ข้างๆ กุมมือเธอไว้จนกว่าจะหลับไป...เหมือนกับเสด็จพ่อ
...เขาก็รักษาสัญญาจริงๆ นี่นา...
แอชลีนน์ถอนใจ เธออยากตื่นขึ้นมาพบเขา แต่คงเรียกร้องมากเกินไปกระมัง เขาเองมีงานต้องทำ ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองก็ยังไม่อาจเปิดเผยในตอนนี้
แค่เขาอยู่เป็นเพื่อนจนกว่าเธอจะหลับไป ก็มากที่สุดเท่าที่จะเรียกร้องได้แล้ว
“ตื่นแล้วเหรอจ๊ะ”
หญิงสาวสะดุ้งกับเสียงไม่คาดฝัน และหันไปเห็นคนที่เธอไม่เคยคิดว่าจะมาอยู่ที่นี่ “...ท่าน...สิมา?”
หญิงผู้มากวัยกว่าพยักหน้า และลุกจากโต๊ะของหมอมานั่งลงที่เก้าอี้ข้างเตียงของเธอ “อาเมียร์บอกข้าแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ข้าเลยมาช่วยดูแลเจ้าก่อน”
“คะ?” เจ้าหญิงกะพริบตาปริบๆ “ร...รบกวนท่านสิมาแย่เลย ที่จริงข้า...”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ บางทีข้าก็มาช่วยทำอาหารที่ค่ายอยู่แล้ว แอชชอบข้าวต้มร้อนๆ ไหม”
“เอ่อ...ช...ชอบค่ะ” เมื่อเห็นรอยยิ้มอ่อนโยนของคนตรงหน้า หญิงสาวก็ได้แต่ตอบรับ
“ชอบก็ดีจ้ะ ข้ายกมาให้แล้ว กินข้าวเช้าเสร็จแล้วไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้สบายตัวนะ ข้าขอให้เขาต้มน้ำอุ่นไว้ให้ด้วย”
แอชลีนน์ลุกขึ้นยืน ก่อนจะก้มลงมองตนเองที่ยังสวมเสื้อกับกางเกงผู้ชายยับยู่ยี่ ผมปล่อยสยายยุ่งเหยิงจากการนอน แล้วก็ยิ้มเจื่อนๆ
เธออยากถามว่าเคียราเป็นอย่างไรบ้าง แต่ก็ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะรู้ ท่าทางของท่านสิมาบ่งบอกว่าอยากให้เธอพักผ่อนเต็มที่เสียก่อนมากกว่า
หญิงสาวผมดำจัดแจงเปิดฝาถ้วยดินเผาที่มีข้าวต้มผสมนม เนื้อสัตว์หั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าพอคำ ผัก และธัญพืชอื่นๆ ส่งควันร้อนหอมกรุ่น ขณะที่เจ้าหญิงนั่งลงบนเก้าอี้ตรงหน้าโต๊ะหมอ แล้วก็ประสานมือสวดภาวนาสั้นๆ เพื่อขอบคุณสำหรับอาหารมื้อนี้
ข้าวต้มร้อนๆ รสดีเสียจนแอชลีนน์กินไปจนหมดถ้วยในเวลาไม่นาน แม้จะยังไม่อาจลืมปัญหาที่รุมเร้า จากนั้นสิมาจึงได้พาเธอไปยังห้องอาบน้ำ ช่วยผสมน้ำอาบ สระผม ชโลมน้ำมันหอม และแต่งตัวให้ด้วยชุดผู้หญิงที่นำมา
เจ้าหญิงคิดว่าเธอคงจะได้กลับจวนหลังจากนี้ แต่เมื่อแต่งกายเรียบร้อย เช็ดผมให้แห้งและถักผมแล้ว จึงได้รู้ว่าอาเมียร์มาเชิญเธอไปพบท่านเบเรค ซึ่งเวลานี้เดินทางมาที่ค่ายฝึกด้วยตนเอง
ท่านสิมาพาเธอไปส่งที่ห้องประชุม แล้วขอตัวไปช่วยดูแลงานในครัวต่อ
ในห้องประชุมของค่าย ท่านเบเรคนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะยาว มีท่านซิอ์บุลกับอาเมียร์นั่งเรียงกันอยู่ที่ฟากหนึ่ง
หญิงสาวตอบรับการคำนับของทั้งสามด้วยการผงกศีรษะน้อยๆ ก่อนจะเดินเข้ามานั่งลงบนเก้าอี้ฟากที่ยังว่างอยู่
หลังจากท่านเจ้ามณฑลทักทายและไต่ถามความเป็นอยู่ตามมารยาท แอชลีนน์จึงได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน จนจบลงที่เธอหนีมาถึงค่ายของท่านซิอ์บุล และเจรจากับดูลัสโดยไม่เป็นผล
“เมื่อทหารของกระหม่อมไปถึงบ้านพักตากอากาศ พวกเรเวนก็เปิดฉากต่อสู้ ถ่วงเวลาให้มันคนหนึ่งพาตัวคุณหญิงเคียราไป” ท่านเบเรคพูดถึงสถานการณ์ด้านตนบ้าง “สุดท้าย เราต้องสังหารเรเวนทั้งสองคน”
เจ้าหญิงรักษาท่าทีให้เรียบเฉยกับคำคำนั้น แม้จะรู้สึกสะท้อนอยู่ในอก “แล้ว...ฝ่ายของท่านได้รับบาดเจ็บมากไหมคะ”
ชายวัยกลางคนดูเหมือนจะนิ่งเงียบไปชั่วอึดใจ “ตายไปห้าพ่ะย่ะค่ะ บาดเจ็บอีกสามนาย แต่ไม่ถึงกับสาหัส ขอทรงอย่ากังวลเลย”
...เจ็ดคน... แอชลีนน์ทอดสายตาลงมองโต๊ะอย่างเลื่อนลอย ...เจ็ดคนที่ต้องมาตาย เพื่อความปลอดภัยของเธอกับเคียรา และความกระหายอำนาจของเจ้ามณฑลอุลทูร์กับบุตรชาย...
...กว่าทุกสิ่งจะจบลง...ตัวเลขของความตายจะเพิ่มขึ้นไปอีกสักเท่าใดกัน...
“แต่...กระหม่อมไม่คิดว่าฝ่ายนั้นจะโหดเหี้ยมกว่าที่คิด” ท่านเบเรคเอ่ยช้าๆ อย่างลังเล “หลังจากชนะพวกมันได้ พวกทหารตรวจค้นโดยรอบบ้านพักกับเรือนคนรับใช้ และพบว่า...”
เจ้ามณฑลถอนใจยาว ทิ้งเวลาออกไปอีกครู่จึงเอ่ยต่อได้
“...พวกมันฆ่าปาดคอทหารยามและคนรับใช้จนหมด ไม่เว้นผู้หญิงและเด็ก”
หญิงสาวผุดลุกจากเก้าอี้ในทันที “...เป็นไปไม่ได้!”
ดูลัสน่ะหรือจะทำอย่างนั้น...ฆ่าคนเป็นผักปลา ฆ่ากระทั่งคนที่ไม่เกี่ยวข้อง...
แอชลีนน์อยู่มานาน จนจำหน้าของทุกๆ คนที่บ้านหลังนั้นได้...ทั้งพวกทหารยามที่ทำหน้าแปลกๆ ในทีแรกเมื่อพบว่า ‘คุณหนู’ หัดขี่ม้าเหมือนผู้ชาย แต่ต่อมาก็พูดคุยให้กำลังใจและแนะนำ ลุงคนสวนผิวเกรียมแดดที่ยิ้มอวดฟันหลอ ตัดดอกไม้มาประดับแจกันให้เธอเสมอ แม่บ้านร่างเล็กที่ปัดกวาดทุกซอกมุมในบ้านอย่างพิถีพิถัน แม่ครัวร่างใหญ่ที่มักถามว่าเธอชอบกินอะไร และกินอะไรไม่ได้บ้าง...กับเด็กเลี้ยงม้าที่เป็นลูกของนาง อายุแค่สิบสี่ปี
เมื่อเย็นวาน เด็กหนุ่มยังเอ่ยแสดงความยินดีที่เธอนำม้าวิ่งควบได้แล้วแท้ๆ
“ท่านเบเรคแน่ใจเหรอคะ ว่า...เป็นฝีมือคนของดูลัส”
ชายวัยกลางคนพยักหน้าช้าๆ “หน่วยเรเวนคนหนึ่งเป็นคนทำ มันเป็นคนแรกที่ตรงเข้าโจมตีทหารของกระหม่อม ด้วยมีดสั้นและดาบซึ่งหายไปจากศพของยามคนหนึ่ง น่าจะเป็นเล่มเดียวกับที่มันใช้ฆ่าทหารยามชุดเดิม และคนรับใช้ทั้งหมด ส่วนดาบกับมีดสั้นของตัวมันเองหายไป”
เจ้าหญิงนึกขึ้นได้ “นั่นคงเป็นคนที่ข้าฟาดหัวสลบไป แล้วยึดดาบกับมีดเขามา แต่ทำไมเขาถึง...”
หรือเพราะเธอทำร้ายเขา เรเวนคนนั้นจึงได้ระแวงว่าคนอื่นๆ ที่นี่ก็อาจเป็นศัตรู และทำเรื่องเลวร้ายนี้ลงไป
...หมายความว่านี่เป็นความผิดของเธอใช่ไหม...
“กระหม่อมก็อยากทราบเช่นกัน” ท่านเบเรครับ “หากไม่จำเป็น ดูลัสไม่น่าจะสั่งให้ลูกน้องฆ่าคนไม่เลือกหน้า ต่อให้เทียบกับเหตุลอบปลงพระชนม์ที่ต้องฆ่าปิดปากราชองครักษ์ทุกคนที่ร่วมทาง และเรเวนทุกคนที่ร่วมปฏิบัติการ...เรื่องนี้ยังนับว่าทำเกินเหตุไปมาก”
“เหตุเบื้องหลัง พวกกระหม่อมกำลังสืบอยู่พ่ะย่ะค่ะ” อาเมียร์เอ่ยขึ้นบ้าง “ทหารอีกชุดหนึ่งตามรอยพวกของดูลัสไปแล้ว พบว่าพวกนั้นรีบเดินทางไปยังพรมแดน เราได้ประสานงานไปทางด่านแล้ว แต่จนถึงตอนนี้ไม่มีรายงานการพบ เป็นไปได้ว่าพวกมันอาจจะลอบออกไปทางป่า”
“หมายความว่ายังช่วยเคียรากลับมาไม่ได้สินะ” แอชลีนน์ขมวดคิ้วอย่างกังวล “ข้าหวังว่าดูลัสคงจะไม่ทำร้ายนาง อย่างน้อยเขาคงพานางกลับไปหาท่านน้า...ท่านผู้สำเร็จราชการ แบบนั้นอาจจะดีแล้วก็ได้”
หากดูลัสไม่รู้ว่าเคียราหักหลังแผนการของเขา หญิงสาวก็คงจะปลอดภัยดี
...แต่เคียราก็ได้รู้เรื่องลอบปลงพระชนม์จากเธอไปแล้ว เกิดดูลัสรู้ความจริงข้อนี้...
ดูลัสจะฆ่าเคียราปิดปากด้วยไหม
การครุ่นคิดของเจ้าหญิงสะดุดลง เมื่อเธอเหลือบเห็นเจ้ามณฑลกับที่ปรึกษากำลังแลกสายตากันอย่างเคร่งเครียด
“มีอะไรหรือเปล่าคะ” หญิงสาวอดถามไม่ได้ “มีเรื่องอะไรที่ข้าควรรู้อีกหรือเปล่า”
ท่านเบเรคพยักหน้าน้อยๆ “พ่ะย่ะค่ะ ...แต่อาจจะไม่น่าฟังนัก”
“ว่ามาเถอะค่ะ ถ้าเป็นเรื่องจำเป็น” แอชลีนน์บังคับตนเองให้นั่งลงอีกครั้ง พร้อมกับอดคิดขื่นๆ ไม่ได้ว่าหมู่นี้เธอได้ยินเรื่องไม่น่าฟังมามาก จนไม่มีสิ่งใดเกินจะรับอีกแล้วกระมัง
ทว่าเจ้าหญิงยังไม่วายรู้สึกหลังจากได้ยินแล้วจริงๆ ...ว่าตนคิดผิดไปแท้ๆ
“ในครัวมีขวดยาเล็กๆ วางทิ้งอยู่ น่าจะเป็นยาที่ดูลัสตั้งใจถวายให้พระองค์” เจ้ามณฑลประสานมือทั้งสองเข้าด้วยกัน ท่าทางเหมือนลำบากใจ “กระหม่อมให้หมอตรวจสอบดูแล้ว ในนั้นมียาสองขนานผสมกัน เป็นยานอนหลับอย่างแรง และ...ยาที่ทำจากผลราคะกับแมนดราโกรา”
“ผลราคะกับแมนดราโกรา?”
“ผลราคะเป็นยา...ปลุกกำหนัดพ่ะย่ะค่ะ ส่วนแมนดราโกราทำให้มึนเมา เห็นภาพหลอนว่าใครก็ตามที่อยู่เบื้องหน้า...คือคนที่ตนปรารถนา”
แอชลีนน์รู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งหน้า ไม่ใช่ด้วยความเขินอาย...แต่เป็นโทสะ เธอขบฟันและกำมือแน่น
หมายความว่า...ดูลัสตั้งใจล่วงละเมิดเธอจริงๆ ...เพื่อบีบบังคับให้ยินยอมเสกสมรสหรือ
เจ้าหญิงรู้ว่าเธอมีสิทธิ์ที่จะโกรธ แต่เวลานี้ตัวเธอเองไม่เป็นไร ...ที่น่าเป็นห่วงคือคนที่ดื่มยานั้นเข้าไปแทนมากกว่า จึงได้ตั้งคำถาม “แล้วเคียราจะเป็นอะไรหรือเปล่า”
“ยาจำพวกนี้ไม่มีอันตรายถึงชีวิต ทิ้งเอาไว้ก็จะหมดฤทธิ์ไปเอง หรือมิเช่นนั้นก็มีวิธีเร่งให้ถอนฤทธิ์ยาเร็วขึ้น กระหม่อมเพียงแต่ต้องการกราบทูล เพื่อให้ทรงระวังจุดประสงค์ของเขาพ่ะย่ะค่ะ”
หญิงสาวทอดสายตาลงมองโต๊ะไม้ ไม่อาจคลายความกังวลกับคำบอกนั้น
เคียราอาจไม่มีอันตรายถึงตายก็จริง แต่ก็ไม่อาจเรียกได้ว่า ‘ไม่มีอันตราย’ โดยสมบูรณ์ไม่ใช่หรือ หากอดีตราชองครักษ์ของเธอใช้นางกำนัลสาวเป็นตัวแทน หรือเกิดเหตุผิดพลาดอันใด...
“มาถึงขั้นนี้ กระหม่อมคิดว่าเราคงไม่อาจเจรจากับทางนั้นได้อีก” ท่านเบเรคพูดต่อไป “กระหม่อมจะส่งสารลับไปยังท่านผู้สำเร็จราชการ เปิดเผยเหตุเบื้องหลังการลอบปลงพระชนม์ แล้วรอดูว่าท่านจะให้คำตอบอย่างไร ในระหว่างนี้ขอเชิญเสด็จกลับไปประทับที่จวนก่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
“ค่ะ” แอชลีนน์พยักหน้าโดยไม่คัดค้าน กระนั้นยังนึกถึงอีกเรื่อง “...แล้ว...เรื่องคนตายล่ะคะ ข้าจะช่วยอะไรได้บ้างไหม”
“ขอบพระทัยที่ทรงห่วงใยพ่ะย่ะค่ะ แต่ทรงวางพระทัยเถิด กระหม่อมเปิดเผยความจริงต่อญาติพี่น้องของพวกเขาไม่ได้ คงต้องบอกไปว่าเป็นฝีมือของกองโจรหรือมือสังหาร แต่กระหม่อมก็จะชดเชยให้กับครอบครัวของพวกเขาอย่างเต็มที่ ส่วนศพของนักรบเรเวนทั้งสอง เราจะส่งกลับไปยังอุลทูร์ เขาก็คงอยากได้คนของตนคืนเหมือนกัน”
“ค่ะ” เจ้าหญิงได้แต่รับเรียบๆ เช่นเดียวกับที่รับคำพูดต่อมาของท่านเจ้ามณฑล ว่าจะจัดรถม้าให้เธอรีบกลับไปพักผ่อนที่จวน
เหตุการณ์ทุกอย่างพลันทวีความรุนแรงขึ้น จนเธอรู้สึกเหมือนตนเองทำอะไรไม่ได้เลย
...นอกจากปล่อยให้คนอื่นๆ จัดการตามที่ควรทำ และรอคอย
* * * * *
จากคุณ |
:
Anithin
|
เขียนเมื่อ |
:
23 ก.ค. 54 01:41:15
|
|
|
|