Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
โรงเรียนกลางสายฝน ตอน 5 ติดต่อทีมงาน

ตอน 1-2 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10837764/W10837764.html

ตอน 3 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10843483/W10843483.html

ตอน 4 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10846285/W10846285.html

๕. สายสัมพันธ์
เมื่อเช้าพี่สมเกียรติบอกว่า โทษของเด็กที่เล่นงานสิทธาคือ พักการเรียน ซึ่งหมายถึงเมื่อหมดภาคการศึกษานี้ เด็กคนนั้นจะถูกเชิญออก ส่วนอีกสองคนถูกทำฑัณฑ์บนหากก่อเรื่องซ้ำก็จะถูกเชิญออกเช่นกัน

บทลงโทษโรงเรียนนี้รุนแรงจริงๆ

วันนี้ผมรู้สึกตะขิดตะขวงใจน้อยลงและสอนได้เป็นธรรมชาติมากขึ้น การสอนเด็กประถมจำเป็นต้องดึงความสนใจจากพวกเขาให้ได้ วัยนี้สมาธิสั้นซ้ำยังซุกซนเป็นเลิศอีก ผมกำลังคิดหาวิธีสอนให้เด็กๆสนใจวิชาน่าเบื่ออย่างคณิตศาสตร์ให้ได้ แต่มันก็ไม่ง่ายเลย

“เงียบซะทีได้มั้ย !” เสียงครูผู้ชายคนหนึ่งตวาด ดังลอยมาจากห้องถัดไป
ชอล์กในมือผมหักป๊อกร่วงลงบนพื้น พลางนึกสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับห้องเรียนข้างๆ

“เอาอีกแล้วเหรอวะ ไอ้ห้องทับสอง” เด็กแถวหน้าริมกำแพงหัวเราะกับเพื่อน “:-)โคตรน่ารำคาญเลยว่ะ”

ป.4/2 งั้นเหรอ ผมนึกในใจ ผมไม่ได้สอนเด็กๆห้องนั้นเสียด้วย อาจเป็นโชคดีล่ะมั้งที่ไม่ต้องปวดหัวกับบรรดาเด็กตัวแสบฝูงใหญ่

“ส่งการบ้านให้ครูก่อนเข้าแถวพรุ่งนี้เช้านะ” ผมประกาศหน้าห้อง หลังเสียงกริ่งเปลี่ยนคาบเรียนดังขึ้น

ครูรินทร์ หัวหน้าวิชาคณิตศาสตร์เดินหัวเสียออกจากห้อง ป.4/2 ตามหลังมาติดๆ ผมยิ้มให้เขา ซึ่งเขาก็ถอนใจตอบกลับมาแทน

“เด็กห้องนี้ ร้ายจริงๆ” ชายร่างเล็กใส่แว่นทรงสี่เหลี่ยมส่ายหัวพูด แต่ยิ้มออกแล้ว

“ตอนได้ยินเสียงพี่รินทร์แล้วนึกถึงสมัยเด็กๆเลยนะครับ ผมไม่ได้ยินเสียงครูด่ามานานมากแล้ว จะได้ยินก็แต่ พวกกรรมการบริษัทชอบโวยวายเท่านั้นเอง”

“ไม่รู้ว่า น้องสา คุมเด็กบ้าพวกนี้อยู่ได้ยังไงกันนะ” เขาบ่น

“อะไรนะครับ” ผมถามทวน

“อ้อ เปล่า ไม่มีอะไร” เขาส่ายหัวหงึกๆ

ในห้องพักครูตอนเที่ยงไม่มีใครอยู่เลย ผมแขยงอาหารกลางวันในโรงอาหารจนไม่อยากทานอีก ผมจำได้ว่าผู้อำนวยเรียกมันว่าโรงอาหารใหญ่ บางทีอาจจะมีโรงอาหารอื่นซึ่งมีมื้อเที่ยงรสชาติดีกว่าอยู่ที่ไหนสักแห่งในโรงเรียน

“เอาวะ” ผมบ่นกับตัวเอง พลางลุกขึ้นจากเก้าอี้ “โรงอาหาร ก็ โรงอาหาร”

เสียงรองเท้ากระทบพื้นดังขึ้น ครูแก้วโผล่ออกมาจากในครัว ถือแก้วน้ำในมือ “อ้าว ครูปักษา ไม่ไปทานข้าวเที่ยงเหรอคะ”

“ยังเลยครับ”

“ถ้ายังไง ทานด้วยกันมั้ยคะ มีข้าวพอสำหรับสองคนพอดี”

ผมรีบลอยตามสาวแว่นเข้าห้องครัว อันที่จริงมันก็คงไม่ใช่ห้องครัวหรอก เป็นแค่ห้องว่างเล็กๆในห้องพักครูซึ่งมีตู้เย็น อ่างล้างจาน แล้วก็ โต๊ะ เก้าอี้ ให้นั่ง

“น่ากินมากเลยครับ” ผมพูดพลางกลืนน้ำลายต่อหน้าข้าวผัดกับข้าวผัดกระเพราที่ยังมีไอร้อนพวยพุ่งทั้งสองจาน “แต่ว่า ทำไมถึงมีจานของผมด้วยล่ะ”

สาวแว่นนั่งลง “จริงๆเป็นของยัยสาน่ะ แต่ว่าติดธุระไม่มาแล้ว จะทิ้งก็เสียดาย โชคดีที่ครูปักษาอยู่พอดี เลือกตามสบายเลยนะคะว่าจะทานอะไร”

“เหมือนผมได้กินของเหลือเลยนะครับ” ผมพูดพลางดึงจานข้าวผัดเข้าหาตัว

“แหม อย่าคิดมากซิ เพิ่งซื้อมาจะเป็นของเหลือได้ยังไงกัน” เธอหยิบช้อนกับส้อมขึ้นส่งมาให้ผม

“งั้นกินล่ะนะครับ”

อันที่จริงตอนเที่ยงเมื่อวานผมน่าจะไหวตัวทันว่าทำไมถึงแทบมองไม่เห็นครูอยู่ในโรงอาหารใหญ่เลย กว่าจะรู้ตัวก็เมื่อข้าวคำแรกเข้าปากไปเสียแล้ว

ถ้าวันนี้ไม่ได้มื้อเที่ยงของครูแก้ว ผมก็คงแย่เหมือนกัน ลองจินตนาการว่าเราเป็นคนป่วยในโรงพยาบาล ทางแผนกห้องครัวบรรจงทำอาหารให้คุณตามหลักโภชนาการเป๊ะๆ แน่นอนว่ามันดีต่อสุขภาพแต่มันหาความอร่อยไม่ได้และพลอยทำให้คนไข้จิตใจหดหู่ ที่แย่กว่านั้นก็คือมื้อเที่ยงในโรงอาหารใหญ่รสชาติแย่กว่านั้นเสียอีก

“ครูปักษา ชื่อเล่นชื่ออะไรเหรอคะ” สาวแว่นเอ่ยชวนคุย

“ษา ครับ”

เธอทำหน้างง

“ชื่อ ษา ครับ ชื่อเดียวกับพี่ อุษา นั่นแหละครับ” ผมย้ำ “ตอนเด็กๆผมไม่กล้าบอกชื่อเล่นตัวเองให้ใครรู้เลยนะ กลัวโดนล้อว่าชื่อเหมือนผู้หญิง แต่พอโตมากลับคิดว่าชื่อผมเก๋ไม่เลวเลยล่ะ”

“แล้วคิดกับชื่อจริงอย่างนั้นเหมือนกันรึเปล่าคะ” สาวแว่นพูดแล้วยิ้ม

“เพื่อนผู้หญิงคนนึงชอบบอกว่า ชื่อจริงผมฟังดู ลิเก๊ ลิเก มาก” ผมเน้นเสียงสูงและลากยาว “ส่วนรุ่นน้องสมัยเรียนมหาวิทยาลัยก็ชอบหัวเราะเวลาได้ยินชื่อผม ไม่รู้ซินะครับ คนอื่นอาจจะรู้สึกว่ามันฟังดูเชยๆตลกๆ แต่ผมว่าชื่อจริงผมเพราะออก”

“นั่นซิคะ ชื่อ ลิเก ม๊าก มาก” ครูแก้วทำเสียงล้อเลียน ผมเพิ่งเห็นว่าเธอมีฟันเขี้ยวด้วย สาวแว่นคนนี้ช่างมีความเก๋ไก๋บนใบหน้าดีเหลือเกิน

“ครูแก้ว อายุเท่าไหร่แล้วเหรอครับ “ ผมเปลี่ยนเรื่องคุย

เธอหัวเราะ “ตรงไปมั้ย”

สาวแว่นรอจนเคี้ยวข้าวในปากหมดก่อนแล้วค่อยบอก

“27 ค่ะ แต่ห้ามว่าพี่แก่นะ ไม่งั้นล่ะก็โดนดีแน่” เธอพูด “รู้รึเปล่าว่า อายุเราสามคนรวม ยัยสา ด้วย เรียงลำดับกันพอดีเลย  ษา อายุ 25ใช่มั้ยคะ ยัยสา 26 ส่วนพี่ก็ 27 บังเอิญจังเลยนะว่ามั้ย“

“รู้อายุผมด้วยเหรอครับ” ผมแปลกใจ

“ทุกคนที่ไหมไทยก็รู้ค่ะ หนึ่งอาทิตย์ก่อนเปิดเรียนพี่สมเกียรติเอาประวัติ ษา มาให้พวกเราดู” สาวแว่นพูดพลางตักข้าวในจานผมไปกินเป็นรอบที่ห้า “ข้าวผัดของ ษา อร่อยจังเลยค่ะ รู้อย่างนี้พี่เลือกกินจานนี้ซะก็ดี อาหารแบบนี้พี่จะพยายามกินไม่ให้เกินสามครั้งต่อสัปดาห์ ตั้งใจไว้ว่าก่อนอายุ 30 จะต้องเป็นมังสวิรัติให้ได้”

“มังสวิรัติ เนี่ยนะครับ” ผมแปลกใจซ้ำสอง

“ใช่ค่ะ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำได้รึเปล่า” เธอตอบพลางเคี้ยวตุ้ยๆ

“เวลาเหลือน้อยแล้วนะครับ”

“วอนซะแล้วนะ คุณครูปักษาสวรรค์” สาวแว่นเอียงหัวพูด พลางปักส้อมลงบนจานข้าวดังแก๊ง

ผมเริ่มรู้สึกว่าจริงๆแล้วครูแก้วเองมีเสน่ห์ไม่แพ้ครูอุษาเลย เธอแต่งหน้าและเขียนคิ้วบางๆ ทาลิปสติกสีดอกกุหลาบ เวลายิ้มจะมองเห็นคู่ฟันเขี้ยวทรงเสน่ห์ รอยกระแดงระเรื่อหลังกรอบแว่นเหมือนเป็นเกล็ดอัญมณีประดับบนแก้ม เธอเป็นคนยิ้มเก่งแล้วก็พูดเก่งมาก แม้ไม่มีมนต์สะกดเหมือนครูอุษา แต่พออยู่ใกล้เธอแล้วกลับสบายใจบอกไม่ถูก

เมฆฝนกำลังก่อตัว ผมออกจากตึกไหมไทยแทบจะทันทีหลังเลิกเรียน เกรงว่าจะไปถึงหน้าโรงเรียนไม่ทันจึงเดินมาประตูทางออกด้านข้างที่มีลานกว้างหน้าตาน่าเกลียดที่ไม่เข้ากับทิวทัศน์ในโรงเรียนแทน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะบรรยากาศเป็นใจรึเปล่าจึงทำให้มันดูน่ากลัวพิกล ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ติดกำแพงแผ่กิ่งก้านดูน่าเกลียดราวกับว่าพอตกกลางคืนมันจะออกมาวิ่งเผ่นผ่านเหมือนต้นไม้ผีสิงในหนังเสียเหลือเกิน

โชคร้ายที่ประตูทางออกที่ผู้อำนวยเคยพาผมไปยังหมู่บ้านตรีชฎาวันนี้ปิดเอาไว้ มันดูเข้ากับลานกว้างและต้นไม้แถวนี้มากเหมือนเป็นประตูที่จะพาเราเข้าสู่แดนสนธยายังไงยังงั้นเลยทีเดียว ผมต้องเปลี่ยนไปขึ้นรถหน้าเรียนแทนและต้องเร่งฝีเท้าขึ้นเมื่อฝนเริ่มปรอยลงมา

เสียงเบรครถสีขาวทรงแฮชแบ็คดังขึ้นใกล้ๆกับผมซึ่งกำลังย่ำเท้าบนทางเดินผืนทรายที่ล้อมรอบด้วยหมู่ทิวสน

“กลับด้วยกันมั้ยคะ” ครูอุษาถาม ผมมองผ่านช่องกระจกรถเข้าไปข้างใน ครูแก้วกำลังจับพวงมาลัยและส่งยิ้มทักทาย

“ถ้าอย่างนั้น … รบกวนหน่อยนะครับ” ผมบอกเธอสองคนพลางรีบปิดประตูรถ

ภาพถนนที่ทอดยาวดูสั้นลงโขเมื่อสาวแว่นออกรถ ผมพยายามยืดตัวบิดขี้เกียจแต่หัวเข่าติดที่นั่งของครูอุษา รถคันนี้ดูเล็กไปถนัดตาถ้าเทียบกับรถยักษ์ของผู้อำนวยการ สองสาวนั่งเงียบสนิทผิดสังเกต มีเพียงเสียงดีเจคลื่นวิทยุเท่านั้นที่ดังอยู่

ครูแก้วเลี้ยวรถออกขวาไปทางตึกอำนวยการเมื่อมาถึงวงเวียนหน้าโรงเรียน รถแล่นต่อไปอีกไม่กี่เมตรเธอก็หยุดรถ

“สา จะรีบมานะคะ” คุณครูคนสวยกล่าวก่อนลงจากรถ และเดินเข้าไปทางแผนกธุรการที่ผมเคยมาติดต่อเมื่อวันก่อน

เวลาผ่านไปราวๆห้านาทีเธอก็ยังไม่กลับมา

“เราไปรอกันข้างนอกก่อนก็ได้นะครับ ดูเหมือนฝนจะหยุดแล้ว” ผมบอกครูแก้ว

สาวแว่นพาผมมานั่งรอที่ม้าหินอ่อนซึ่งมันเล็กมากจนผมไม่กล้านั่งด้วย แม้ว่าเธอจะดูไม่ค่อยพูดค่อยจาผิดจากเมื่อตอนกลางวัน แต่ยังรู้สึกถึงความใจของเธออยู่ จากที่พยายามขยับเว้นที่ว่างให้ผมนั่งจนเธอแทบจะหล่นตกเก้าอี้

“ทำไมช้าจังเลยก็ไม่รู้นะ” สาวแว่นบ่นพลางดูนาฬิกาข้อมือ “ปกติไม่ช้าขนาดนี้นี่นา”

“ครูอุษา มาธุระตอนเย็นที่นี่บ่อยๆเหรอครับ” ผมสงสัย

“ก็ไม่ใช่ธุระอะไรหรอก ผู้อำนวยการมีโรคประจำตัว ยัยสาจะคอยไปซื้อยาให้จากที่โรงพยาบาล แล้วก็เอามาส่งให้หลังเลิกเรียนเป็นประจำค่ะ”

'โรคประจำตัว คอยซื้อยามาให้ ?'  ผมครุ่นคิดในใจ 'แหวนนิ้วนางซ้าย … เฮ้ย … อย่าบอกนะว่า ครูอุษากับตาลุงนั่น … '

“ผู้อำนวยการเป็นโรคอะไรเหรอครับ ”

“เดี๋ยวสักครู่นะคะ สงสัย ยัยสาคงจะโทรมา” สาวแว่นพูด พลางควานหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าสะพาย “เอ๋ ! … ให้ไปที่โรงพยาบาลเหรอ …  จ๊ะๆ แล้วเจอกัน”

“เอ่อ … ” ผมลังเลถาม “เกิดอะไรขึ้นรึเปล่าครับ”

“ผู้อำนวยการโรคหัวใจกำเริบค่ะ” เธอทำหน้าเศร้า “เรารีบไปช่วยยัยสากันก่อนเถอะ”

“ยัยสา เรียกรถพยาบาลมาแล้ว ปักษาจะไปเยี่ยมด้วยกันมั้ยคะ”

รถสีขาวคันเล็กแล่นตามหลังรถฉุกเฉินของโรงพยาบาลศิรินทรามาติดๆ สาวแว่นขับรถเก่งเหลือเชื่อโดยไม่โดนรถพยาบาลทิ้งระยะห่างเลยแม้แต่น้อย ผู้อำนวยการดูหนุ่มกว่าที่คิดจนไม่น่าเชื่อว่าเป็นโรคหัวใจ สีหน้าสองสาวดูกังวลมาก บางทีครั้งนี้อาจเป็นครั้งที่อาการหนักที่สุดก็เป็นได้

ผู้อำนวยถูกส่งตัวเข้าห้องฉุกเฉินทันที ส่วนเราสามคนนั่งรออยู่ด้านนอก

“ไม่รู้คุณลุงจะเป็นยังไงบ้าง” ครูอุษาเอ่ยเสียงเศร้าและร้องไห้ในที่สุด “ถ้าหนูไม่มัวแต่ชักช้าอยู่คุณลุงก็คงไม่เป็นแบบนี้ … ”

“มันไม่เกี่ยวกับ สา เลยนะ” ครูแก้วรีบโอบศีรษะน้องสาวของเธอมาแนบอก “ถึงมือหมอแล้ว ผู้อำนวยการต้องปลอดภัยแน่นอน”

“นั่นซิครับ เดี๋ยวพอผู้อำนวยการฟื้นคงอยากเห็นพี่อุษายิ้มมากกว่า” ผมพูด พลางคิดว่าตัวเองพูดบ้าอะไรออกไป ฟื้นเหรอ … ผู้อำนวยการไม่ได้หมดสติซะหน่อย ไปแช่งเขาทำไมกัน

“ใช่จ๊ะ ... โอ๋ๆ … ไม่ร้องนะคนดี” สาวแว่นกอดครูอุษาแน่นขึ้น

พวกเรานั่งรออยู่พักใหญ่จนในที่สุด พยาบาลสาวคาดผ้าผิดจมูกก็เดินผ่านประตูห้องฉุกเฉินออกมา

“ญาติ คุณชฎาณัทร ค่ะ”

“ค่ะ” ครูอุษารีบลุกขึ้น “คุณลุงเป็นยังไงบ้างค่ะ”

พยาบาลสาวหลับตาพริ้มแทนการส่งยิ้มหวานให้คุณครูคนสวย “คุณลุงปลอดภัยจ๊ะ … อุษา เชิญข้างในได้เลย”

เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นท่าทางแบบเด็กๆของแม่นกน้อยผู้เยือกเย็น เธอรีบพรวดเข้าไปจนดูน่ากลัวว่าจะล้มลงหัวฟาดพื้นแล้วต้องนอนโรงพยาบาลเป็นเพื่อนผู้อำนวยการเหลือเกิน

“ดีจังเลย” สาวแว่นยิ้ม พลางยกมือขึ้นปาดหยดน้ำตา “คนดีๆอย่างทั้งสองคน พระต้องคุ้มครองแน่นอน”

“เอ่อ … เราเข้าไปข้างในกันดีมั้ยครับ” ผมถามเธอ

“ไม่ต้องหรอก เอาไว้ใกล้กลับแล้วค่อยเข้าไปลาก็ได้” ครูแก้วแย้ง “นี่ … ษา ปล่อยให้อาหลานอยู่ด้วยกันตามลำพังดีกว่า ลงไปหาซื้ออะไรทานรอสองคนนั้นกันเถอะ พี่หิวแล้ว”

ผมกับครูแก้วลงมานั่งพักที่ล็อบบี้โรงพยาบาลชั้นล่าง สีหน้าเธอดูคลายความกังวลลงผิดกับเมื่อตอนอยู่ที่โรงเรียน เมื่อตอนเย็นเธอคงเงียบลงเพราะเรื่องนี้

“ยัยสา เสียพ่อกับแม่ตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ เลยต้องมาอยู่กับครอบครัวอา ซึ่งก็คือผู้อำนวยการนี่แหละค่ะ” สาวแว่นอธิบาย

ถึงว่าซิ พฤติกรรมของผู้อำนวยการจึงดูแปลกๆเมื่อวันที่ผมมาสัมภาษณ์งาน สายตาที่อ่านท่าทีของผมในวันนั้นไม่ใช่สายตาเจ้าเล่ห์ของสุนัขจิ้งจอก ทว่าเป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใยในตัวหลานสาวนี่เอง

“อื้อ ...” สาวแว่นครางพลางยืดตัวบิดขี้เกียจ “ดีจังเลย ที่ไม่มีอะไรร้ายแรง”

“ผมนึกว่าจะไม่ได้เห็นพี่แก้วยิ้มซะแล้ว” ผมหัวเราะ

“อะไรกัน หาว่าพี่ยิ้มทั้งวันเป็นคนบ้าเหรอ”

“ไม่ใช่นะครับ” ผมรีบแก้ตัว “จู่ๆคนที่ดูร่าเริงกลับเงียบขรึมเอาดื้อๆ ผมเลยรู้สึกแปลกๆ”

สาวแว่นก้มหน้ายิ้มมุมปาก “พี่รู้สึกใจไม่ดีเมื่อตอนเย็น ปกติยัยสา ต้องเอายามาให้ผู้อำนวยทุกเดือนอยู่แล้ว แต่ไม่รู้ซิ พี่อธิบายไม่ถูกมันไม่สบายใจขึ้นมาเฉยๆ”
“แต่ไม่ต้องคิดมากแล้วนี่ครับ สัมผัสที่หกของพี่แก้วผิดถนัด ไม่มีอะไรไม่ดีเกิดขึ้น ซ้ำร้ายอากับหลานจะยิ่งรักกันมากขึ้นเสียอีก”

“แหม พูดตรงเผงเชียวนะ เหมือนโดนด่าว่าเพ้อเจ้ออยู่คนเดียวเลย” เธอยิ้มค้อน

อันที่จริงไม่ว่าจะเป็นสาวแว่นหรือครูอุษาก็จะสวยขึ้นมากหลายเท่ามากเลยหากพวกเธอยิ้ม รอยกระแดงๆหลังกรอบแว่นดูเป็นเสน่ห์ไม่หยอก เธอคนเป็นคนที่มีจุดเด่นบนใบหน้าหลายอย่าง เช่น ฟันเขี้ยวเวลาฉีกยิ้ม หรือแววตาที่ซุกซนเหมือนเด็กๆ ต่างกับครูอุษาที่ทุกอย่างดูกลมกลืนไปหมด ซึ่งก็น่ารักแบบแปลกๆดีเหมือนกัน

ผมกับครูแก้วนั่งคุยกันต่ออีกไม่กี่นาที ครูอุษาก็โทรมาหา

“เราไปซื้อของฝากผู้อำนวยการกันก่อนกลับดีกว่าค่ะ” สาวแว่นชวน “ข้างหน้าโรงพยาบาลมีร้านมินิมาร์ทอยู่พอดี”

“ฮัดชิ่ว !”  ผมจามเสียงดังพลางยกมือขึ้นปิดปาก

“ไม่สบายเหรอ” สาวแว่นเอียงหัวมามอง

ผมใช้หลังมือแตะหน้าผากตัวเอง “เอ่อ … ไม่รู้ซิครับ”

“ไหนๆ พี่ดูให้” เธอดึงตัวผมไว้ยกมือแตะหน้าผากผมครู่หนึ่ง แล้วก็นิ้วชี้จิ้มไปที่แก้มตัวเอง “อืม … น่าจะมีไข้นิดหน่อยนะ ลองไปหาหมอดูมั้ยคะ”

“ไม่ต้องหรอกครับ กินยาแล้วนอนก็หาย”

“ดื้ออีก” สาวแว่นทำเสียงดุ “หัวก็แตก แถมเป็นหวัด เดี๋ยวก็สอนเด็กๆไม่ไหวหรอก”

ประตูเลื่อนอัตโนมัติร้านมินิมาร์ทเปิดออกพร้อมกับเสียงทักทายยามเย็นจากพนักงาน ผมกับพี่แก้วหันมายิ้มให้กันเมื่อเห็นว่ากลางร้านมีกระเช้าที่จัดเตรียมไว้สำหรับเป็นของเยี่ยมไข้วางอยู่ราวกับรู้ว่าเรากำลังจะมาซื้อ สาวแว่นรีบปรี่เข้าไปตั้งใจเลือกอย่างพิถีพิถัน ผมเดินมาเลือกเครื่องดื่มเย็นๆระหว่างรอเธอ แต่ไม่ทันจะหยิบได้ซักขวดก็โดนสาวแว่นเดินมาหยิกแรงๆ

“นี่ ! เป็นไข้แล้วจะกินน้ำเย็นอีกเหรอ”

“เอ่อ … คือ ผมจะซื้อให้พี่แก้วต่างหากครับ” ผมรีบโกหกแก้ตัว พลางหลับหูหลับตาหยิบเครื่องดื่มอีกขวด “แล้วก็ … ให้พี่อุษาด้วย นี่ไงครับ”

“เธอจะให้พี่กับยัยสา กินกระทิงแดงเหรอ” สาวแว่นพูด เท้าสะเอว

“เฮ้ย ! …” ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อในมือทั้งสองข้างมีเครื่องดื่มชูกำลังอยู่ “ไม่ใช่นะครับ ผมจะหยิบ อ่า … เอ่อ คือ … ”

“จับได้คาหนังคาเขาขนาดนี้ไม่ต้องมาแก้ตัวเลย พ่อตัวดี”

ผมถือขวดน้ำเปล่าไม่ได้แช่เย็นเข้าห้องพักของผู้อำนวยการ วางกระเช้าเยี่ยมไข้ผูกโบว์สีชมพูน่ารักซึ่งไม่เข้ากับหน้าตาคนป่วยเลยแม้แต่น้อยลงบนโต๊ะ เครื่องปรับอากาศทำอุณหภูมิต่ำมากจนผมแปลกใจว่าอาจทำให้เราเป็นหวัดกันยกห้อง พี่แก้วแอบกระซิบว่าผู้อำนวยการเป็นคนขี้ร้อนและถ้ามานอนโรงพยาบาลทีไรก็มักจะแอบปรับอุณหภูมิต่ำอย่างนี้เสมอ

“ไม่คิดเลยนะครับว่า ครูที่เพิ่งเข้ามาทำงาน จะมาเยี่ยมผมจนดึกดื่นป่านนี้” ผู้อำนวยการชฎาณัทรเอ่ยขึ้น

“อย่าพูดอย่างนั้นเลยครับ ถ้าครูคนอื่นรู้เรื่อง ก็คงทำแบบผมเหมือนกัน” ผมพูด
ตั้งแต่เข้ามาในห้องผมเห็นครูอุษายังยืนอยู่ข้างเตียงผู้อำนวยการอยู่เสมอ แม้ศักดิ์ของผู้อำนวยการจะเป็นอา แต่ในใจเด็กกำพร้าอย่างเธอคงรู้สึกว่าชายวัยกลางคนผู้นี้คือ พ่อ อย่างไม่ต้องสงสัย

พยาบาลสาวแง้มประตูออกเบาๆ ส่งถาดยาให้พี่แก้วซึ่งนั่งอยู่ติดกับผมบนโซฟารับแขกริมห้อง ขณะสาวแว่นกำลังลุกขึ้นยืน ครูอุษาก็รีบวิ่งมาหาทันที

“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยว สา ให้เองค่ะพี่แก้ว” เธอพูด

“เหมือนเด็กแย่งเอาใจผู้ปกครองเลย” ผมคิด

ประกายแสงบนนิ้วนางซ้ายของเธอเจิดจ้าขึ้นชั่วครู่กระทบเข้าเต็มนัยน์ตาทั้งสองข้างของผม ขณะเธอยกแก้วน้ำขึ้นด้วยมือซ้ายส่งให้ผู้อำนวยการดื่ม ผมยังอยากรู้เหลือเกินว่าตกลงเจ้าสิ่งนั้นหมายถึงอะไร

“ครูแก้ว กับ ครูปักษาสวรรค์ นี่ก็ดึกมาแล้วล่ะ ผมว่าถ้ายังไงเชิญกลับได้ก่อนนะครับ” ผมอำนวยการพูดขึ้น “ผมกลัวว่าจะเกรงใจจนไม่กล้าขอตัว”

“แล้ว สา ล่ะ จะกลับด้วยกันกับพี่รึเปล่า”  สาวแว่นถาม

“เดี๋ยว ญา จะมาเยี่ยมคุณอาด้วย สา คงรอกลับพร้อม ญา เลยดีกว่าค่ะ” ครูอุษาตอบ

“ถ้าอย่างนั้น พวกเราขอตัวก่อนนะ” ครูแก้วกับผมเอ่ยลา

ผมกับสาวแว่นลงลิฟท์มาชั้นหนึ่งและตรงไปที่รถ ฝนยังตกอยู่ เธอหันมาถามว่าจะรออยู่ตรงที่รับส่งคนไข้หรือเปล่าจะได้มารับเพราะไม่อยากให้ผมป่วย ซึ่งผมเลือกเดินไปขึ้นรถกับเธอ

“พี่แก้ว พักอยู่กับพี่อุษา รึเปล่าครับ” ผมถามชวนคุย เมื่อเธอออกรถ

“เปล่าจ๊ะ ยัยสา อยู่กับเพื่อนที่หมู่บ้านตรีชฎา”

“หมู่บ้านตรีชฎา เหรอครับ” ผมทวนคำ พลางนึกถึงบ้านหลังใหญ่ที่ผู้อำนวย
การพาไปดูเมื่อวันสัมภาษณ์งาน

“จ๊ะ ยัยสา อยู่ที่นั่นตั้งแต่แต่งงานแล้วล่ะ” เธอบอก

“เอ๋ !” ผมร้องขึ้น หัวใจเหมือนหยุดเต้นไปหลายวินาที “ละ … แล้วทำไมถึงบอกว่าอยู่กับเพื่อนล่ะครับ”

สาวแว่นชะงัก และดูหน้าเศร้าไปถนัดตา “คือ … แฟนสาเสียไปเมื่อปีที่แล้วค่ะ”
“ … ” เสียงของผมขาดหายไป

“เรื่องมันก็ผ่านมาปีนึงแล้วล่ะ ปีแห่งความทรมานของยัยสา” สาวแว่นพูดกัดริมฝีปาก “สำหรับผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่ง มันโหดร้ายมากเลยนะ”

“นะ นั่น ซิ ครับ” เสียงพูดผมเริ่มกลับมาแล้ว

สาวแว่นหันมามอง “นี่ ! ทำไม ทำหน้าตกใจแบบนั้นล่ะ”

ผมไม่ได้ตอบเธอ

“หรือว่า … ” สาวแว่นพูด แล้วรอยยิ้มก็เข้ามาแทนที่ความเศร้าบนใบหน้าของเธอเมื่อครู่ “ษา แอบชอบ ยัยสา ใช่มั้ย ถึงได้อึ้งขนาดนี้ ก็ไม่แปลกหรอกนะ ยัยสา สวยขนาดนั้น ใครบ้างล่ะจะไม่ชอบ”

เธอพูดถูกเผง ซึ่งยิ่งทำให้ผมพูดอะไรไม่ออกหนักกว่าเดิมได้แต่ อ้าปากพะงาบๆส่งเสียง เอ้อ อ้า ไปเท่านั้น สาวแว่นยกนิ้วชี้ซ้ายจิ้มที่แก้มแล้วทำท่าพินิจพิเคราะห์

“อืม …  ถ้าเทียบกับแฟนเก่ายัยสาแล้ว หน้าตา ษา ไม่ได้ครึ่งของเขาเลย” สาวแว่นหัวเราะ “ส่วนเสน่ห์กับรูปร่างก็ … สู้ไม่ได้อยู่ดี”

“นี่ ! น้อยๆหน่อยนะเจ๊” ผมนึกในใจ “ผมรู้น่าว่าตัวเองไม่หล่อ แต่ไม่เห็นต้องพูดต่อหน้าแบบนี้เลย”

“แต่ว่านะ นิสัยน่าจะผ่าน” เธอส่งยิ้มเจ้าเล่ห์มาให้ผม “ยัยสาเองก็ยังสาว ถ้าได้เริ่มต้นชีวิตใหม่กับใครสักคนก็คงดี”

ผมหัวเราะแก้เขิน “เอ่อ … คิดไปไกลเกินรึเปล่าครับพี่แก้ว”

“ฮั่นแน่ ๆ ! แสดงว่า ษา ก็คิด แต่ยังไปไม่ถึงขั้นนั้นใช่มั้ยล่ะ ” สาวแว่นร้องเสียงเริงร่า ความทะเล้นของเธอเริ่มพรั่งพรูออกมามากขึ้นเรื่อยๆ “พี่ขอสมัครเป็นกองเชียร์เบอร์หนึ่งเลยนะ”

บอกตามตรงว่าผมไม่กล้าคิดฝันถึงเพียงนั้นหรอก ไม่ว่าใครก็ต้องคิดว่าพี่อุษากับผมนั้นไม่คู่ควรกันเลยสักนิด แถมฝีมือการจีบผู้หญิงของผมก็ห่วยมาก สถิติจนถึงทุกวันนี้ก็คือแห้วร้อยเปอร์เซ็นต์ ส่วนกรณีของดาวนั้นเป็นคนล่ะอย่างกันเพราะผมกับเธอเริ่มต้นด้วยการเพื่อนและค่อยๆพัฒนาความสัมพันธ์อย่างเชื่องช้า

“อ้อ !  พี่ลืมไปว่า ษา มีคู่แข่งตัวฉกาจอยู่คนหนึ่ง” พี่แก้วร้องขึ้น

ผมเอียงศีรษะสงสัย “ใครเหรอครับ”

“แหม  พ่อคนปากแข็ง ขี้เก๊กทำทีเป็นไม่สนใจที่แท้คิดมากกว่าใครเลยนี่นา” สาวแว่นหัวเราะคิกๆ “พี่ล้อเล่นนะ ษา ไม่มีคู่แข่งหรอกค่ะ พยายามเข้านะพี่เอาใจช่วยเต็มที่”

แก้ไขเมื่อ 23 ก.ค. 54 20:10:24

จากคุณ : FlowerSong
เขียนเมื่อ : 23 ก.ค. 54 20:09:22




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com