Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เพลงดวงดาว Sci-Fi ตอนที่ 3 ติดต่อทีมงาน

รถของคีย์เข้าจอด ณ จุดจอดย่อยของโรงเรียนอพอลโล ซึ่งเป็นทางเข้าออกเก่าที่อยู่ใกล้กับบริเวณหอพักของนักเรียนมากที่สุด และเปิดให้ใช้เฉพาะนักเรียนปัจจุบัน และคณะครูเท่านั้น มันจึงไม่ได้ถูกใช้งานบ่อยนัก

เขาก้าวลงมาแล้วหันกลับไปมองดูผิวโลหะเป็นมันวาวของตัวรถอีกครั้ง หลังจากที่เดินผ่านประตูชั้นในเข้าสู่อพอลโลแล้ว มันก็จะไม่ใช่ของเขาอีกต่อไป รถทุกคันล้วนเป็นของสภา และเมื่อเสร็จสิ้นการเดินทางในแต่ละครั้ง มันก็จะกลายเป็นรถของผู้ที่ต้องการใช้รายต่อไป

ถึงแม้จะมีพวกมันที่ใช้งานได้เหลืออยู่ไม่มากนัก แต่ด้วยความรวดเร็วในการเดินทาง และการจัดการตารางงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงทำให้เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าจะมีใครบ่นในเรื่องนี้ หรือบางทีอาจเป็นเพราะในปัจจุบัน ผู้คนส่วนใหญ่ไม่มีความจำเป็นต้องออกเดินทางไปไหน หรือถ้าจะพูดให้ถูกต้องก็คือ ไม่มีที่จะให้เราไปเหลืออยู่มากนักนั่นเอง

ประตูชั้นในเปิดออกพร้อมกับพ่นลมแรงออกมา ซึ่งจะช่วยลดปริมาณฝุ่นกัมมันตรังสีที่อาจตกค้างอยู่ในบริเวณนี้ก่อนที่จะเข้าสู่ด้านใน เครื่องตรวจวัดรังสีที่ติดตั้งเอาไว้ตรงประตูมีไฟสีเขียวแสดงให้รู้ว่ามันยังคงทำงานอยู่ แต่เขาก็ยังไม่เคยเห็นมันเปลี่ยนเป็นสีแดงเลยสักครั้ง

ลิฟท์ความเร็วสูงนำเขาผ่านลงไปยังส่วนพักอาศัยที่อยู่ลึกลงไปอย่างรวดเร็ว การใช้มันนับเป็นประสบการณ์ที่ย่ำแย่ที่สุดสำหรับเขาในการเดินทางทั้งหมด มันแย่เสียยิ่งกว่าการนั่งรถที่มีความเร็วมากกว่าเสียอีก ไม่ว่าจะเป็นการขึ้น หรือลงก็ตาม

ทันทีที่ก้าวเข้าสู่อาณาเขตของโรงเรียน 'ไอพี' ซึ่งเป็นระบบเครือข่ายส่วนบุคคลก็กลับมาทำงานอีกครั้ง มันส่งเสียงดังเบาๆ เตือนว่า ในระหว่างที่เขาไม่อยู่มีผู้พยายามติดต่อกับเขา เนื่องจากงานถูกจัดขึ้นในพื้นที่ของทางศาสนจักร ซึ่งไม่มีการติดต่อโดยตรงกับโลกภายนอก และโลกเบื้องบนก็ไม่อยู่ภายในขอบเขตของระบบเช่นเดียวกัน

เขายกแขนซ้ายขึ้นมาดู ส่วนหนึ่งของแขนเสื้อรัดรูปที่เป็นเครื่องแบบนักเรียนสีเหลืองอ่อนของเขา มีหน้าจอแสดงผลที่ยืดหยุ่นได้ติดตั้งอยู่ ซึ่งจะเชื่อมต่อเข้ากับเครือข่ายของทางโรงเรียน แต่ละเมืองจะมีเครือข่ายเป็นของตัวเอง และแน่นอนว่าทั้งหมดนั้นจะต้องเชื่อมต่อเข้ากับเครือข่ายหลักที่อยู่ในความควบคุมของทางสภา

นอกจากสีเหลืองอ่อนที่หมายถึงแสงจันทร์อันเป็นสีประจำโรงเรียนแล้ว ชุดเครื่องแบบของเขาก็มีลักษณะภายนอกทั่วไปที่แทบจะไม่แตกต่างจากชุดเครื่องแบบสีดำสนิทของทริกเลยแม้แต่น้อย

ชุดที่ใช้กันอยู่ในทุกวันนี้ทั้งหมดล้วนมีระบบพื้นฐานที่เกือบจะเหมือนกันทุกประการ จะแตกต่างกันก็แค่เรื่องสี หรือรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ตามแต่สถานะของผู้สวมใส่ เฉพาะในบุคคลพิเศษบางกลุ่มเท่านั้นที่มีความแตกต่างไปจากนี้ แน่นอนที่ทางศาสนจักรจะไม่ยอมรับเครื่องแบบพวกนี้ และมีรูปแบบเครื่องแต่งกายเป็นของตนเอง

เขาเลื่อนนิ้วไปมาบนหน้าจอโดยแทบจะไม่ต้องก้มมอง ซึ่งทุกคนต่างก็สามารถทำแบบนี้ได้เช่นเดียวกัน เพราะพวกเขาต้องใช้โปรแกรมของมันมาตั้งแต่จำความได้ นอกจากการปรับปรุงรายละเอียดบางอย่างที่อาจมีขึ้นนานๆ ครั้ง เพื่อให้การใช้งานสะดวกมากขึ้นแล้ว ระบบหลักๆ ของมันยังคงเหมือนเดิมทุกประการ

'ให้ตายสิ' หล่ง เพื่อนสนิทของเขาติดต่อมาครั้งหนึ่ง ซึ่งสมเหตุสมผลดี เพราะพอติดต่อไม่ได้ก็แค่รอให้เขาเป็นฝ่ายติดต่อกลับไป แต่ จูเลียต แฟนสาวที่เขาพึ่งลองคบหาอยู่กลับติดต่อมานับครั้งไม่ถ้วน เขาเริ่มเห็นด้วยกับหล่งที่เคยบอกว่าเธอดูไม่ค่อยจะปกตินัก เขารีบเปลี่ยนสถานะของตัวเองเป็น ไม่รับการติดต่อ ซึ่งเป็นสิ่งที่แทบจะไม่มีใครเคยทำ เพราะตอนนี้เขายังไม่อยากติดต่อกับเธอ

เขาลังเลอยู่ว่าจะกลับไปที่ห้องของตัวเองก่อน หรือตรงไปที่ห้องทดลองเลยดี จดหมายฉบับนั้นยังคงอยู่ในมือของเขา และความลึกลับของมันก็ช่างเย้ายวนใจเสียเหลือเกิน นอกจากวิชาพื้นฐานแล้ว นักเรียนแต่ละคนจะสามารถเลือกศึกษาในสิ่งที่พวกตนสนใจได้อย่างอิสระ และประวัติศาสตร์ก็เป็นเรื่องที่เขาให้ความสนใจมากเป็นพิเศษ เพราะมันมีปริศนาลี้ลับซุกซ่อนอยู่มากมายนั่นเอง

กระดาษคือเส้นใยเซลลูโลสที่ได้มาจากพืช สิ่งมีชีวิตที่มีใบสีเขียวซึ่งพบได้น้อยมากในทุกวันนี้ โดยเส้นใยเหล่านี้จะถูกทำให้เปียก ทับให้กลายเป็นแผ่น ปล่อยให้แห้ง ก่อนนำมาใช้งาน ส่วนหมึกคือ ของเหลวที่มีสารให้สีเป็นส่วนผสมซึ่งใช้ในการเขียน วาด สิ่งต่างๆ

มันมีหลักฐานย้อนกลับไปถึงประเทศในอดีตที่มีชื่อเรียกว่า จีน อินเดีย โรมัน และอื่นๆ รวมถึงบันทึกหลักฐานที่มีความเก่าแก่ยิ่งกว่านั้น ความแตกต่างขององค์ประกอบที่ใช้ในการผลิต จะบอกได้ถึงแหล่งที่มาของพวกมัน แต่ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงจินตนาการภายในหัวของเขาเท่านั้น

เขาคาดว่าจดหมายฉบับนี้คงเป็นเพียงกระดาษ และหมึกสังเคราะห์ที่ผลิตขึ้นใช้กันในปัจจุบัน แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ตัวเขาเองก็ยังไม่เคยได้เห็นของจริงเช่นนี้มาก่อน จึงนับเป็นโอกาสทางการศึกษาที่ดีเช่นกัน

ก่อนหน้าที่จะมีกระดาษ และหมึกเกิดขึ้น มนุษย์เราก็เริ่มทำการบันทึกสิ่งต่างๆ กันแล้ว ด้วยการใช้สีที่ได้จากธรรมชาติ เช่น ยางไม้ แร่ธาตุ พืช หรือการแกะสลักลงบนวัสดุชนิดต่างๆ เพื่อประกาศให้โลกได้รับรู้ว่าพวกเขามีตัวตนอยู่ และแตกต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่นใดที่ได้เกิดมาพร้อมกันบนโลกใบนี้

การสื่อสารคือความสามารถที่โดดเด่นที่สุดของมนุษย์ ซึ่งพัฒนาต่อมาจนกลายเป็นภาษา จากภาพที่ใช้บอกเล่าเรื่องราวพัฒนาจนกลายมาเป็นตัวอักษร

การบันทึกเรื่องราวต่างๆ เพื่อส่งต่อสืบทอดความคิด ความเข้าใจให้แก่กัน คือก้าวย่างที่สำคัญ ส่วนการพิมพ์ที่ทำให้ความคิดเหล่านั้นสามารถแพร่กระจายได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น คือการก้าวกระโดดครั้งใหญ่ และการมาถึงของการสื่อสารผ่านระบบเครือข่าย คือก้าวเล็กๆ ของมนุษย์ แต่เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ

ความคิด ความเห็นของใครคนใดคนหนึ่ง จะได้รับการตอบสนองในทันทีทันใด แม้แต่จากคนที่อาจไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลยก็ตาม ปริมาณข้อมูลที่ถูกส่งเข้าสู่ระบบเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และพุ่งขึ้นแบบก้าวกระโดดในช่วงระยะเวลาสั้นๆ อุปกรณ์สำรองข้อมูลต้องพยายามวิ่งหนีอย่างสุดกำลัง ในขณะที่ทุกคนต่างก็เร่งสร้างข้อมูลของตนเองไล่ตามมาอย่างกระชั้นชิด

โลกทุกสิ่งรอบตัวถูกทำให้กลายเป็นข้อมูล โดยเครือข่ายจะคอยทำหน้าที่เชื่อมโยงข้อมูลใหม่ๆ เข้าไปในข่ายใยข้อมูลขนาดยักษ์อันแสนสลับซับซ้อน ไม่มีข้อมูลใดๆ ที่เป็นเอกเทศ ทุกสิ่งต่างถูกเชื่อมโยงให้กลายเป็นหนึ่งเดียวกัน มันคือทุกสิ่งทุกอย่างของมนุษย์ในยุคสมัยหนึ่ง และพวกมันก็เกือบจะถูกทำลายจนหมดสิ้นไปในสงครามโลกครั้งที่สาม

ประวัติศาสตร์ในช่วงเวลาก่อนที่จะเกิดสงความโลกครั้งที่สามถูกเรียกว่าเป็น 'ยุคทอง' ซึ่งปะติดปะต่อขึ้นมาจากข้อมูลหลายแหล่ง ที่น่าเชื่อถือที่สุดคือบรรดาข้อมูลที่สามารถกู้คืนมาได้จากระบบเก็บข้อมูลเก่าแก่โบราณพวกนี้ ที่หลุดรอดจากการทำลายล้างมาได้ แต่น่าเสียดายที่พวกมันถูกค้นพบเพียงไม่มากนัก

นอกจากนั้นก็เป็นหลักฐานทางวัตถุที่ขุดค้นได้จากเศษซากของโลกเบื้องบน เหล่าเทคโนโลยีทั้งหลายที่ไม่ได้ถูกทำลายและสามารถกู้กลับคืนมาได้ด้วยฝีมือของสำนักวิทยาศาสตร์ และส่วนสุดท้ายก็คือ เรื่องเล่า ตำนาน และนิทานต่างๆ ที่มีความน่าเชื่อถือน้อยที่สุด

แม้จะมีข้อถกเถียงกันมากมาย เกี่ยวกับข้อมูลของยุคทอง และยุคที่เก่าแก่โบราณมากกว่านั้น แต่นักประวัติศาสตร์ทุกคนต่างยอมรับตรงกันในเรื่องหนึ่ง นั่นคือช่วงยุคทองมีความเจริญก้าวหน้ามากกว่ายุคปัจจุบันนี้อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่มีใช้อยู่ในทุกวันนี้ ล้วนได้มาจากเศษเสี้ยวของเทคโนโลยีที่ใช้กันในยุคสมัยนั้น

หลังจากการผ่านพ้นไปของยุคมืดที่สุด และเข้าสู่ยุคฟื้นฟูโลก มนุษย์ไม่ได้ค้นพบอะไรเพิ่มขึ้นเลยแม้แต่อย่างเดียว ทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่เคยมีอยู่ในยุคก่อนแล้วทั้งสิ้น และยังคงมีสิ่งเร้นลับจากยุคทองอีกมากมายที่พวกเรายังคงไม่สามารถทำความเข้าใจได้จนถึงทุกวันนี้

คีย์ตัดสินใจตรงไปยังห้องทดลองก่อนเป็นอันดับแรก เขาจะตรวจดูจดหมายฉบับนี้อย่างรวดเร็ว ก่อนกลับไปพักผ่อน บางทีอาจติดต่อกลับไปหาหล่งว่ามีเรื่องอะไร แต่สำหรับจูเลียตนั้นคงต้องขอคิดดูก่อน

เขาก้าวเดินไปตามเส้นทางวกวนที่เชื่อมต่อหมู่อาคารใต้ดินทั้งหมดเข้าด้วยกัน แสงสว่างบนเพดานถูกหรี่ให้ลดลงเพราะอยู่ในช่วงเวลากลางคืน และมันจะสว่างมากขึ้นเมื่อยามเช้ามาถึง เพื่อทำให้ผู้คนสามารถแยกแยะความแตกต่างของช่วงเวลาได้แม้อยู่ใต้ดินเช่นนี้

ตำแหน่งที่ตั้งของสถานที่ต่างๆ ภายในโรงเรียนจะถูกระบุด้วยระบบของชั้น และพิกัด ซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกันกับเมืองอยู่อาศัยแห่งอื่นๆ ทั้งหมด แต่ส่วนใหญ่แล้วหากเป็นพื้นที่ที่ตัวเองคุ้นเคยดี ก็แทบไม่จำเป็นต้องใส่ใจกับพวกมันให้เสียเวลาเลย

เขามาถึงทางเดินเล็กๆ ที่นำเข้าสู่ห้องทดลองสำคัญแห่งหนึ่ง สองฟากทางเดินถูกทาไว้ด้วยสีดำเพื่อให้เข้ากับรูปภาพที่แขวนประดับเอาไว้ตลอดทาง มันคือสิ่งมหัศจรรย์ที่ถูกค้นพบจากยุคโบราณ แต่ละภาพบอกเล่าเรื่องราวจากอดีตแสนไกล อันเป็นที่มาของชื่อโรงเรียนอพอลโลแห่งนี้

หนึ่งในภาพที่เขาชื่นชอบมากที่สุดคือมนุษย์ในชุดอวกาศโบราณสีขาวซึ่งมีที่ครอบศีรษะขนาดใหญ่ สะท้อนเงาของสิ่งที่อยู่ตรงหน้าจนไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของคนที่อยู่ภายใน โดยมีฉากหลังเป็นพื้นผิวที่ขรุขระของดวงจันทร์ นอกจากนั้นยังมีภาพของจรวดโบราณอยู่ท่ามกลางเปลวไฟลุกท่วมอย่างน่ากลัว

ภาพของยานอวกาศสีขาวที่ดูทันสมัยมากกว่าจรวดในภาพอื่นๆ มนุษย์ในชุดอวกาศอีกแบบหนึ่งที่ดูเล็ก และคล่องตัวมากกว่า  พร้อมกับภาพที่เข้าใจกันว่าน่าจะเป็นฐานดวงจันทร์ในยุคเริ่มต้น ทั้งหมดนี้มีรายละเอียดระบุเอาไว้ว่าเป็นภาพที่ได้มาจากโครงการอพอลโลของอดีตสหรัฐอเมริกา ซึ่งเข้าใจกันว่าน่าจะเป็นโครงการที่มีเป้าหมายเพื่อก่อสร้างฐานดวงจันทร์นั่นเอง

ทั้งหมดนี้คาดว่าน่าจะเกิดขึ้นเมื่อประมาณห้าร้อยปีก่อนยุคฟื้นฟูโลก แต่ก็มีนักประวัติศาสตร์หลายคนที่ให้ความเห็นว่ากลุ่มภาพดังกล่าวนี้อาจมาจากสองเหตุการณ์ ในสองช่วงเวลาที่แตกต่างกันก็เป็นได้ เพราะดูเหมือนเทคโลโลยีที่ปรากฏอยู่ในแต่ละภาพ จะมีความแตกต่างกันจนน่าสงสัย

เอสอป นักประวัติศาสตร์ชื่อดังให้ความเห็นไว้ว่า การใช้จรวดและชุดอวกาศที่ดูเทอะทะใหญ่โต กับยานอวกาศสีขาวและชุดอวกาศที่คล่องตัวมากกว่า น่าจะมีช่วงเวลาที่ห่างกันประมาณหนึ่งร้อยปี และฐานดวงจันทร์ก็คงริเริ่มสร้างขึ้นในช่วงเวลาของภาพถ่ายชุดที่สองนี้มากกว่า แต่ก็มีหลายคนที่คัดค้านว่ามันน่าจะเป็นโครงการที่ต่อเนื่องกัน

มีข้อมูลที่ค่อนข้างน่าเชื่อถือว่าปี ค.ศ. 1969 คือช่วงเวลาที่มนุษย์สามารถไปเหยียบดวงจันทร์ได้สำเร็จ ดังนั้นเอสอปคาดว่าการก่อสร้างฐานดวงจันทร์คงจะเกิดขึ้นในช่วงประมาณปี 2060 – 2080

เขายังให้ความเห็นเพิ่มเติมไว้อีกว่า ปัญหาเรื่องการขาดแคลนพลังงานบนโลกซึ่งน่าจะมีความรุนแรงสูงสุดในช่วงเวลาดังกล่าว คงเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้มนุษย์ต้องค้นหาออกไปไกลในอวกาศ จนเป็นที่มาของฐานดวงจันทร์ในที่สุด

คีย์เองมีความเชื่อเอนเองไปในทิศทางเดียวกับเอสอป มีอยู่หลายครั้งที่เขาลองคิดว่าตนเองจะมีความรู้สึกอย่างไร หากเป็นมนุษย์อวกาศที่ต้องขึ้นไปนั่งอยู่บนยอดของจรวดซึ่งบรรจุด้วยเชื้อเพลิงไวไฟปริมาณมหาศาล และกำลังมีเปลวไฟพวยพุ่งอยู่ทางด้านล่างห่างลงไปเพียงไม่ไกลแบบนั้น

ประตูห้องทดลองเลื่อนเปิดออก แล้วแสงไฟก็สว่างขึ้น เขาเดินเข้าไปพร้อมกับนำจดหมายวางลงบนโต๊ะ แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ลงมือทำอะไรกับมัน เรื่องแปลกประหลาดก็เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเขา

ซองจดหมายนั้นค่อยๆ กลายสภาพเป็นวัตถุโปร่งใส และหายไปต่อหน้าต่อตา เขายืนดู ยื่นมือออกไปที่ตำแหน่งนั้น จนนิ้วมือสัมผัสกับผิวโต๊ะที่ว่างเปล่า ไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้นทั้งสิ้น เขายืนดู และไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป

เสียงเตือนของไอพีดังขึ้น เรียกสติของเขาให้กลับคืนมา เขายกมือขึ้นดูอย่างงงงง เพราะเขายังคงสถานะเอาไว้เป็นไม่รับการติดต่อ แต่เมื่อเห็นชื่อของผู้ที่ติดต่อเข้ามาเขาก็เลิกแปลกใจ หล่งเพื่อนสนิทของเขาคนนี้ขึ้นชื่อในเรื่องการ 'จัดการ' กับระบบเครือข่าย ซึ่งทำให้ต้องโดนคาดโทษมาหลายครั้งแล้ว

เขาเลื่อนนิ้วไปมาบนหน้าจอ เด็กผมดำ ตาชั้นเดียว พร้อมใบหน้ากลมๆ ก็ปรากฏขึ้นบนจอ

“นายหายไปไหนมา”

เขาไม่ได้บอกเพื่อนเกี่ยวกับเรื่องของพ่อเลยแม้แต่คนเดียว

“...พอดีมีธุระนิดหน่อยน่ะ”

“เข้าเรื่องเลยดีกว่า ฉันทดลองทำโปรแกรมอะไรบางอย่างขึ้นมา อยากให้ลองช่วยใช้ดูหน่อย”

“คราวนี้อะไรอีกล่ะ คงไม่เหมือนครั้งที่แล้วอีกนะ”

เขายังจำได้ดีถึงสิ่งที่เพื่อนคนนี้เคยให้ลองใช้เมื่อคราวก่อน โปรแกรมที่จะทำให้ห้องพักตอบสนองความต้องการของเขาได้ฉลาดมากยิ่งขึ้น ซึ่งสุดท้ายแล้วเขาต้องย้ายออก และห้องเดิมของเขาต้องถูกปิดตายไปในที่สุด

“เอาน่า...ฉันส่งไปให้เรียบร้อยแล้ว ลองใช้ดูละกัน เออ ว่าแต่เจอกับยายจูหรือยัง เธอเที่ยวหานายไปทั่วเลยนะ”

หล่งชอบเรียกจูเลียตลับหลังว่ายายจูอยู่เสมอ

“...ยังเลย”

“ถ้างั้นก็โชคดีนะ ระวังตัวด้วยล่ะ”

“เออ เดี๋ยว...ฉันมีอะไรบางอย่างจะให้ช่วยหน่อย”

บางทีหล่งอาจจะสามารถค้นหาคำตอบเกี่ยวกับการหายไปอย่างแปลกประหลาดของจดหมายฉบับนั้นให้กับเขาได้ เพื่อนรับฟังคำขอของเขาก่อนตอบตกลงอย่างง่ายดาย

“จะค้นให้ ถ้าเจอเมื่อไรจะรีบติดต่อไปนะ”

เขาเอื้อมมือไปลูบๆ คลำๆ บนโต๊ะในตำแหน่งเดิมอีกครั้ง ก่อนลองหาไปรอบๆ มันหายไปแล้ว หายไปตลอดกาลราวกับไม่เคยมีตัวตนมาก่อน ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้เลย

เมื่อไม่อาจทำอะไรได้อีก เขาก็ตัดสินใจจะกลับไปยังห้องของตน แต่ก่อนที่เขาจะออกก้าวเดิน ประตูห้องทดลองก็เลื่อนเปิดออกทันที

หญิงสาวผมสั้นในชุดดำคนหนึ่งก้าวเข้ามาหยุดยืนตรงหน้า เขาจำชุดเครื่องแบบที่เธอสวมใส่ได้ในทันที เจ้าหน้าที่พิเศษจากสำนักวิทยาศาสตร์ เขาเคยเห็นพวกมันในข้อมูลมาหลายครั้งแล้ว อาจจะมีเรื่องอะไรที่เกี่ยวข้องกับการตายของพ่ออีกก็เป็นได้

“ประพันธ์ หรือ คีย์ ใช่ไหม”

เสียงของเธอน่าฟังผิดคาด แว่นดำที่ปกปิดสายตาและใบหน้าบางส่วน ทำให้อ่านท่าทีได้ยากมากขึ้น

“...ครับ”

“พรุ่งนี้เธอมีนัดไปรับเพชรใช่ไหม”

คราวนี้เขาไม่ตอบ เธอยิ้มพร้อมกับยกมือขวาหันหน้าจอบนแขนให้เขาดู มันแสดงบัตรประจำตัวของเจ้าหน้าที่พิเศษที่กำลังอยู่ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่

“ฉัน เจ้าหน้าที่ทริก โปรดตอบคำถามของฉันด้วย”

เขายังลังเลไม่ยอมตอบ และประตูก็เปิดออกอีกครั้ง คราวนี้เป็นผู้หญิงในชุดเครื่องแบบสีเหลืองอ่อนแบบเดียวกัน และเขาก็รู้จักเธอด้วย คิ้วของเธอขมวดเข้าหากัน รอยยิ้มที่เหมือนกำลังแยกเขี้ยวคล้ายกับสิ่งมีชีวิตที่กำลังตั้งท่าจะเข้าจู่โจมเหยื่อ เธอคือจูเลียตที่พึ่งถูกพูดถึงนั่นเอง

ผมบรอนด์ยาวสลวยนั้นคือจุดเด่นที่สุดของเธอ จูเลียตมีรูปร่างเตี้ยและเล็กกว่าทริกในทุกสัดส่วน แต่ดูเหมือนเธอจะไม่รับรู้ในเรื่องนั้นเลย เธอก้าวเข้ามาพร้อมท่าทีคุกคามอย่างเปิดเผย แต่ทริกกลับมองเธออย่างขบขันมากกว่าจะหวาดกลัว

“ที่แท้ก็แอบมาจู๋จี๋อยู่กับยาย ป้า ในนี้เอง ปล่อยให้ตามหาตั้งนาน”

รอยยิ้มบนใบหน้าของทริกกระตุกเล็กน้อย

“เธอกำลังเข้าใจผิดแล้วจูเลียต ฉันพึ่งไปธุระกลับมา แล้วพี่คนนี้ก็เป็นเจ้าหน้าที่พิเศษของสำนักวิทย์”

เธอยิ้มแยกเขี้ยว สายตายังคงไม่ละไปจากใบหน้าของทริก

“ฉันไม่สนหรอกว่า ป้า คนนี้จะเป็นใครมาจากไหน ถ้าไปธุระมาจริง กลับมาแล้วทำไมไม่รีบติดต่อฉัน รู้ไหมว่าฉันพยายามติดต่อเธอตลอดทั้งวันเลย”

“...ขอโทษที พอดี ฉัน ฉันเหนื่อยมากน่ะ ก็เลย...”

“เลยมาอยู่กับ ป้า สองคนในห้องทดลองตอนกลางคืนแบบนี้”

คราวนี้ทริกเป็นฝ่ายก้าวเข้ามาเผชิญหน้า ดูเหมือนว่าเธอจะไม่พะวงกับท่าทีที่คุกคามของเด็กสาวเลยแม้แต่น้อย

“เธอกำลังเข้าใจผิดอยู่นะ พี่...”

“...ป้าน่ะ เงียบไปเลย”

เขาไม่ทันเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เพียงชั่วพริบตา จูเลียตก็ลงไปนอนคว่ำอยู่บนพื้น แขนทั้งสองข้างถูกรวบไขว้รวมกันไว้ทางด้านหลัง โดยมีมือซ้ายของทริกรวบจับเอาไว้ พร้อมกับใช้เข่าข้างหนึ่งกดลงไปบนหลังของเธอ

“ยายเด็กปากเสีย ถ้าอยากแขนหักก็ลองเรียกฉันว่าป้าอีกครั้งสิ”

ทริกพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูธรรมดา แต่ทำเอาเขารู้สึกเสียววาบขึ้นมาในทัน แต่ถึงอย่างนั้นแววตาของจูเลียตก็ยังเต็มไปด้วยความแค้นมากกว่าความกลัว แต่เธอก็กัดริมฝีปากตัวเองเอาไว้ ไม่พูด และไม่ยอมส่งเสียงร้องใดๆ ออกมา

“ดี คราวนี้ฟังให้ดีๆ นะ ฉันมาปฏิบัติหน้าที่ และไม่ได้เป็นอะไรกับแฟนของเธอ พอเสร็จงานฉันก็จะไป เข้าใจหรือยัง”

จูเลียตยังคงปิดปากเงียบ ทริกเพิ่มแรงกดลงบนหัวเข่า และยกแขนทั้งสองข้างที่รวบเอาไว้ให้ยกสูงขึ้น ซึ่งเป็นการเคลื่อนที่ในทิศทางที่ขัดกับข้อต่อหัวไหล่ของมนุษย์

“...ฉัน...เข้าใจ”

เธอส่งเสียงตอบลอดไรฟันออกมาในที่สุด ทริกยิ้มกว้าง พร้อมกับปล่อยมือแล้วลุกขึ้นยืน

“ดีมาก ฉันชอบคนที่เข้าใจอะไรได้ง่ายๆ แบบนี้แหละ”

จูเลียตรีบลุกขึ้น พร้อมกับยกมือทั้งสองขึ้นบีบนวดที่หัวไหล่เพื่อคลายอาการเจ็บปวดให้ลดลง ก่อนจ้องมองทั้งสองคนราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ เธอค่อยๆ ก้าวถอยหลังกลับไปที่ประตู และเมื่อประตูเปิดออก เธอก็ตะโกนสุดเสียงก่อนวิ่งหนีไป

“ฝากไว้ก่อนเถอะยายป้า ฉันเลิกคบกับเธอแล้ว”

ครึ่งแรกนั้นสำหรับทริก ส่วนครึ่งหลังสำหรับคีย์ ทั้งสองมองตามเธอที่วิ่งหนีหายไป ก่อนหันกลับมามองหน้ากัน

“แฟนเธอน่ารักดีนะ”

“อดีตแฟนน่ะ”

แล้วเขาก็หัวเราะออกมา

“ถ้าผมยังไม่ยอมตอบคำถาม คุณจะทำแบบนั้นกับผมไหม”

“ถ้าทำ เธอจะยอมตอบหรือเปล่าล่ะ”

ใบหน้าของเธอนิ่ง จนเขาเกิดความรู้สึกว่าบางทีเธออาจจะไม่ได้แค่พูดล้อเล่น

“...ใช่ ผมมีนัดไปรับมันพรุ่งนี้”

“ดี ห้องเธออยู่ไหน”

“...ทำไมหรือครับ”

ทริกยิ้มอย่างหยาดเยิ้ม คำตอบของเธอทำเอาเขาอึ้งไปเลย

“ฉันจะขอไปนอนด้วยสักคืนได้ไหม”

จากคุณ : zoi
เขียนเมื่อ : 24 ก.ค. 54 17:01:50




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com