บทที่ ๑๕ : ยุทธนากลางสายฝน (ท่อนเริ่ม)
วรกายสูงก้าวยาวๆ เข้ามาในห้องบรรทม ทั้งพักตร์เข้มแลฉลองพระองค์ล้วนเปียกชุ่มด้วยน้ำฝนที่เทกระหน่ำอยู่เบื้องนอก สำแดงชัดว่าเจ้าตัวเร่งรุดมาที่พระตำหนักหิมวันต์แทบว่าจักทันทีที่สิ้นคำกราบทูลของมหาดเล็กที่คอยถวายการรับใช้อดีตเจ้าหลวงวายุกูล ทั้งยังดูเหมือนว่าการออกว่าราชการจักยังไม่ทันเสร็จสิ้นเสียด้วยซ้ำไป เมื่อทอดพระเนตรร่างที่กึ่งนั่งกึ่งนอนพิงเขนยอยู่บนพระแท่นที่บรรทม สีพระพักตร์ก็ราวจักเผือดซีดลง หยดน้ำฝนที่เกาะพราวทั่วดวงพักตร์นั้นยากนักที่จักล่วงรู้ได้ว่ามีหยดอัสสุชลเจืออยู่ด้วยหรือไม่
วิสูตรสีขาวสะอาดที่บัดนี้รวบรั้งด้วยเกลียวไหมสีทองไว้กับเสาบรรจถรณ์ทั้งสี่มุมพลิ้วไหวเป็นคลื่นด้วยแรงลม กับสีขาวล้วนของเครื่องบรรทมนั้นยิ่งทำให้วรกายที่ซีดอยู่แล้วแทบจักกลืนหายลงไปกับสิ่งรอบข้าง เจ้าหลวงศิขรินสืบพระบาทยาวๆเข้ามาโดยไม่พูดพร่ำ ข้าราชบริพารที่รับหน้าที่คอยถวายการดูแลอดีตเจ้าหลวงต่างพากันถอยให้เจ้าเหนือหัวของตนเสด็จเข้ามาได้โดยสะดวก แล้วไปนั่งหมอบเฝ้ารอคอยพระบัญชาอยู่ทางด้านหนึ่งอย่างเงียบๆ
เนตรสีน้ำตาลไหม้ทอดกวาดเข้ามาในหมู่ข้าราชบริพารที่หมอบเฝ้าอยู่ สายพระเนตรที่เข้มอยู่แล้วยิ่งเข้มจัดกว่าที่เคยเป็น อึดใจเดียวสุรเสียงห้าวห้วนก็ดังขึ้น
หมอหลวงอยู่ที่ใด
พระวาจาสั้นๆ แต่ทำให้พวกที่ถูกถามพากันสะดุ้งกันไปตามๆกัน ต่างคนต่างกลืนน้ำลายไม่ลงคอเพราะรู้ดีว่ากระแสสุรเสียงกับสายพระเนตรเยี่ยงนี้แหละหมายความว่า ไฟกองน้อยๆ เริ่มจุดติดแล้ว
ข้าบาทให้คนไปตามแล้วกระหม่อม ฝนอาจทำให้ล่าช้าไปบ้างแต่อีกสักครู่คงมาถึง กระหม่อม
ใครคนหนึ่งทำใจกล้าสู้เสือหรือเพราะถูกสหายเห็นว่าเป็นผู้เหมาะสมในการกราบทูลก็เหลือจักเดา รีบทูลตอบไปดั่งนั้น หากคำตอบนั้นไม่ทำให้ไฟกองน้อยในพระเนตรมอดลงแม้แต่น้อย
หมายความว่าอย่างใดที่บอกอีกสักครู่คงมาถึง หมอหลวงไม่ได้อยู่ที่นี่หรอกรึ
พระอาญามิพ้นเกล้า เดิมทีเพลากลางวันนั้นเรามีหมอหลวงสองคนคอยผลัดเวรกันถวายการรักษา หมอหลวงคนแรกเพิ่งออกเวรไปกระหม่อม แลคนใหม่ก็ยังมาไม่ถึงกระหม่อม
หมอหลวงแผ่นดินนี้มีเพียงสองเช่นนั้นรึ คนอื่นๆไม่มีอีกแล้วหรืออย่างไร แล้วมันด้วยเหตุผลกลใดการเข้าเวรจึงขาดช่วงกันเยี่ยงนี้ เวรก่อนออกไปโดยที่คนรับเวรใหม่ยังมาไม่ถึง แล้วคนที่รับเวรผลัดใหม่ก็ไม่มารอก่อนเพลากระนั้นรึ
สุรเสียงเกรี้ยวตวาดลั่น เนตรวาวโรจน์อย่างพิโรธถึงขีดสุด ข้าราชบริพารต่างพากันก้มหน้าหลบสายพระเนตรกันวูบวาบด้วยรู้ดีว่า เมื่อใดก็ตามที่เจ้าหลวงศิขรินกริ้วโกรธจนถึงขีด เมื่อนั้นต้องมีชีวิตอย่างน้อยหนึ่งชีวิตต้องสังเวยเพลิงโทสะนั้น แลถ้าโชคดียังคงเป็นของคนเคราะห์ร้ายอยู่บ้าง ทัณฑ์ที่ได้รับจึงลดลงจากประหารเหลือเพียงการทวนหลัง ๑๒ ยก 'ทัณฑ์อย่างเบา' ที่คนต้องทัณฑ์แทบจักร้องขอความตายเสียเอง จนข้าราชบริพารต้องแอบกระซิบความกัน เมื่อแน่ใจว่าผู้เป็นนายไม่ได้สดับแน่ๆ แล้วว่า
'ประกาศิตให้ประหารเสียจักยังดีกว่า'
แต่ก็นั่นแหละ ใครคนหนึ่งก็ยังอุตส่าห์กระซิบแย้งขันๆ ว่า
'ประหารเสียหมด แล้วจักหาผู้ใดคอยถวายการรับใช้เบื้องยุคลบาทเล่า ขืนเป็นเยี่ยงนั้นธาตวากรคงเลื่องชื่อไปไกลเทียวว่ามีขุนนางฆ่าไม่ตาย ด้วยกลายเป็นผีเสียหมดแล้ว'
ครานี้เห็นทีจักเป็นคราวเคราะห์ของหมอหลวงเสียแล้วกระมัง เพียงแค่คิดทุกคนต่างก็พากันร้อนๆ หนาวๆ แทนหมอหลวงไปทั้งสิ้น
ศิขริน
สุรเสียงแหบพร่าขานพระนาม หัตถ์อ่อนล้าค่อยขยับขึ้นวางทาบทับบนหัตถ์อนุชาที่อยู่ใกล้ๆ เจ้าหลวงศิขรินทรงหันมาตามเสียงเรียกนั้น เนตรกร้าวค่อยอ่อนแสงลงจนเกือบจักเป็นปกติ คนที่หายใจไม่ทั่วท้องอยู่ค่อยใจชื้นขึ้น เพราะเป็นที่รู้กันในหมู่ข้าราชบริพารว่า คนเดียวที่จักช่วยดับไฟของเจ้าอัคคีองค์นี้ได้ก็มีแต่องค์อดีตเจ้าหลวง ซึ่งเพลานี้ทรงดำรงพระยศเป็นเพียงเจ้าชายวายุกูลเท่านั้น
เจ้าพี่
อย่าดุนักเลย ดูเอาเถิดคนเขากลัวเจ้ากันหมดแล้ว แลอย่าโทษหมอหลวง พี่เองเป็นคนบอกให้เขาออกเวรก่อนเพลา คนใหม่ที่จักมาก็คงไม่รู้ความด้วยนั่นล่ะ เขาจึงมาตามเพลาเดิมที่เคยมา
เจ้าพี่ก็ทรงมองแง่ดีเสมอล่ะ
แล้วจักมองแง่ร้ายไปไยหนักหนา พระเชษฐาตรัสกลั้วสรวลน้อยๆ
แต่...
ศิขริน ขึ้นชื่อว่าไฟนั้น ถ้ามีแต่พอควรเราก็จักยังประโยชน์จากมันได้ แต่เมื่อใดที่มีมากเกินไป ใช่จักเผาสิ่งที่อยู่รอบตัวเท่านั้น หากยังผลาญทำลายตัวเองด้วย
เจ้าหลวงศิขรินพักตร์มุ่ย รับสั่งเถียงไม่ออกด้วยเป็นความจริงดั่งที่พระเชษฐาตรัส ก่อนจักรำลึกได้ว่าที่เร่งรุดเสด็จมายังตำหนักหิมวันต์ด้วยเหตุใด
เจ้าพี่ทรงเป็นอย่างใดบ้าง คนที่ไปตามบอกน้องว่าเจ้าพี่หายพระทัยขัด
ค่อยทุเลาบ้างแล้ว แต่ก็คงชั่วครู่เท่านั้นล่ะ ตรัสพลางทอดพระเนตรประดาผู้ที่มาหมอบเฝ้าอยู่แวบหนึ่ง ก่อนหันมาสบเนตรอนุชานิ่งอยู่ชั่วอึดใจ สายพระเนตรนั้นซ่อนนัยที่รู้กันอยู่เพียงสองพี่น้องเท่านั้น เมื่อเจ้าชายวายุกูลทรงพยักพระพักตร์น้อยๆ เป็นเชิงขอร้อง เจ้าหลวงศิขรินแม้จักไม่ค่อยเต็มพระทัยสักเท่าใดนัก แต่ก็ทรงยอมทำตามความประสงค์ด้วยการหันไปรับสั่งบอกกับข้าราชบริพารเหล่านั้น
พวกเจ้าออกไปก่อนเถิด ข้าขออยู่กับเจ้าพี่สักครู่ หมอหลวงมาถึงเมื่อใด พวกเจ้าค่อยเข้ามา
ฝนหยาดสุดท้ายเพิ่งขาดเม็ด เหลือเพียงละอองไอน้ำเล็กๆ ที่ยังลอยอยู่ในอากาศ สุริยาทิตย์ที่จำต้องซ่อนองค์อยู่หลังพยับเมฆเสียนานจึงได้เคลื่อนองค์ออกมาปรากฏอีกครา ละอองน้ำเหล่านั้นเมื่อต้องแสงแห่งสนธยาเข้าก็ปรากฏเป็นสะพานสายรุ้งทอดตัวอยู่โดยมีเมฆฝนสีเทาอ่อนเรื่อยไปถึงสีเข้มเกือบดำที่กระจายตัวอยู่เป็นฉากหลัง ในขณะที่ปลายฟ้าเบื้องทักษิณนั้นเป็นสีดำสนิทด้วยเมฆฝนที่ตั้งเค้า สำแดงว่าราตรีนี้ฝนอาจกระหน่ำซ้ำลงมาอีกคำรบ วรกายบางในเครื่องทรงแห่งองค์จอมทัพใหญ่ประทับองค์ตรงอยู่บนหลังอาชา ทอดพระเนตรทัศนียภาพตรงหน้าอันเป็นที่ราบลุ่มเชิงเขาอย่างพอพระทัยกับความงดงามของธรรมชาตินั้น หากเป็นการเสด็จประพาสดั่งเคย เห็นจักทรงปล่อยพระทัยให้ดื่มด่ำกับความงามนั้นเสียสักครู่ แต่เพลานี้หาเป็นเช่นนั้นไม่ ด้วยผู้ที่ติดตามมาเบื้องปฤษฎางค์นั้นคือกองทัพเวียงสบสองที่ยาตรามาหมายมุ่งเอาชัยในสงคราม เจ้าหลวงกาสะลองลอบระบายปัสสาสะยาวหักพระทัยละสายพระเนตรจากสายรุ้งเบื้องหน้า หันกลับมาให้สัญญาณพักพลตั้งค่ายแทน ก่อนจักทรงกระตุ้นเตือนอาชาคู่พระทัยให้เดินลงไปจากเนินแทน ทหารทั้งปวงค่อยแยกย้ายกันไปตั้งค่าย จัดหาฟืน แลหุงหาเสบียงอาหารตามหน้าที่ของตน โดยไม่จำเป็นที่ผู้เป็นนายจักต้องสั่งความแต่อย่างใด ด้วยตลอดเพลาสิบห้าทิวาราตรีนี้มากพอที่จักทำให้ทหารทั้งหมดรู้ว่าควรทำสิ่งใดบ้าง ไม่เหมือนทิวาแรกๆ ที่ยังวุ่นวายอยู่บ้าง เนื่องจากบางคนเป็นทหารใหม่ที่เพิ่งเข้าประจำการได้เพียงไม่นาน ยังไม่คุ้นชินกับการเดินทัพสักเท่าใด ต่อเมื่อเข้าที่เข้าทางดีแล้ว ความวุ่นวายดั่งว่าก็ค่อยหายไปในที่สุด
อัสดรเจนศึกสีน้ำตาลเข้มถูกผู้เป็นเจ้าของปล่อยให้และเล็มหญ้าอ่อนบนตลิ่งตามสบาย ในขณะที่องค์จอมทัพใหญ่กลับดำเนินลงจากตลิ่งไปดำเนินเล่นอยู่ที่ริมฝั่งน้ำแทน แสงแห่งวันลำสุดท้ายตกกระทบเกราะทองคำแลผืนน้ำที่เป็นระลอกคลื่นน้อยๆตามแรงลมไล้เป็นประกายระยิบ เมื่อหาที่เหมาะใจได้ วรกายโปร่งระหงจึงทรุดองค์ลงประทับบนผืนทรายละเอียด ชันชานุทั้งสองขึ้นกอดเอาไว้ในขณะที่เนตรสีนิลทอดเหม่อมองสายนทีสีทองตรงหน้า พลางปล่อยพระทัยให้ไหลเรื่อยตามสายชล ขอสักน้อยเถิด ขอให้กาสะลองคนนี้ได้เป็นตัวของตัวเองบ้าง ขอได้วางภาระที่แบกอยู่เพียงชั่วครู่ชั่วยามก็ยังดี
*** มีต่อค่ะ
จากคุณ |
:
กรวิกาภา - อริญชย์ (อินทรายุธ)
|
เขียนเมื่อ |
:
25 ก.ค. 54 16:54:10
|
|
|
|