Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
โรงเรียนกลางฤดูฝน ตอน 11-12 ติดต่อทีมงาน

ตอน 1-2 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10837764/W10837764.html
ตอน 3 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10843483/W10843483.html
ตอน 4 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10846285/W10846285.html
ตอน 5 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10846567/W10846567.html
ตอน 6-7 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10850334/W10850334.html
ตอน 8-9 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10855060/W10855060.html
ตอน 10 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10859853/W10859853.html

๑๑. ไม่ทันตั้งตัว

นาฬิกาข้อมือผมตกกระแทกพื้นดังโพล๊ะ ! กระจกร้าว เข็มทั้งสามไม่กระดิก
“งี่เง่าไม่เคยเปลี่ยน” ผมด่าตัวเอง

ปกติผมไม่ชอบสิ่งของที่รูปทรงเป็นเหลี่ยมๆ ยกเว้นก็แต่นาฬิกา การผลิตนาฬิกาเป็นศิลปะชั้นยอด ผมไม่ชอบนาฬิกาดิจิตอลไม่ว่ารูปร่างจะสวยสักแค่ไหนเพราะมันไร้ความรู้สึก ผมชอบมองเห็นฟันเฟืองนับร้อยนับพันชิ้นที่จัดวางอย่างปราณีตในตัวเรือน ทุกชิ้นส่วนล้วนมีความหมาย ถ้ามีชิ้นใดชิ้นหนึ่งเลื่อนจากตำแหน่งที่ควรจะเป็นไม่ถึงหนึ่งมิลลิเมตร กลไกทั้งระบบก็จะพังทลาย

“โอ้ !” ช่างใหญ่ร้านซ่อมนาฬิกาในพรีลูด อุทาน ทำหน้าเบ้ไปมา เขาหันนาฬิกาแบบสเกเลตั้น*ของผมกลับมาให้ดู แล้วอธิบายวิธีการซ่อมที่ฟังไม่รู้เรื่องไปเรื่อยๆ

“ลำบากครับอาการหนักขนาดนี้ กระจกเป็นทรงโค้ง ปรอทขอบหน้าปัดก็เสียหาย ถึงจะซ่อมได้ แต่คงกลับมาไม่เหมือนเดิมแล้วล่ะครับ” เขาอธิบาย

“แต่ซ่อมได้ใช่มั้ยครับ” ผมถาม

“ได้ครับ แต่ต้องรอกระจกมาเปลี่ยนประมาณสองอาทิตย์” ช่างใหญ่พูด พลางเขียนใบส่งซ่อมให้ผม กำหนดรับเครื่องเป็นกลางเดือนหน้า

ผมเดินวนดูนาฬิกาอื่นๆในร้านต่ออีกสักพัก สมัยนี้หานาฬิกาแบบสเกเลตั้นยากมากถ้าไม่ใช่นาฬิกาสวิตเซอร์แลนด์เรือนละหลายหมื่น ในขณะที่แบบเซมิสเกเลตั้น*ของญี่ปุ่นยังพอมีให้เห็นบ้าง แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่คิดเปลี่ยนรสนิยมบ้าๆนี้หรอก

หลังผมออกจากร้านนาฬิกาได้ครู่เดียวเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น และชื่อคนโทรมาก็ช่างน่าแปลกใจนัก

“พี่อุษา นะคะ ” สาวสวยปลายทางกล่าวทักทาย

“พี่สา มีอะไรเหรอครับ”

“ษา อยู่ที่ไหนเหรอคะ ”

“พรีลูดครับ”

“คือ …” เธอดูอึกอักนิดหน่อย “เย็นนี้ว่างมั้ยคะ จะชวนทานข้าวเย็นด้วยกัน พี่แก้วก็มาด้วยนะ”

คำว่า นะ ของเธอฟังดูแปลกๆ แต่ก็ทำให้ผมยิ้มออกเมื่อได้ยินชื่อ สาวแว่น

“ข้าวเย็นเหรอครับ” ผมทวนคำ และเผลอยกแขนซ้ายเปล่าๆขึ้นมาจะดูนาฬิกา “ที่ไหน กี่โมงครับ พี่สา”

“ตอนนี้แหละค่ะ ที่ร้านบ้านตุ๊กตาตรงหอนาฬิกา”

“บ้านตุ๊กตาเหรอครับ” ผมถามพลางหัวเราะ เพราะในหัวว่างเปล่าไม่เคยได้ยินชื่อร้านนี้เลย “เอ่อ … คือ ผมไม่รู้จักทางน่ะครับ”

“อ้าวเหรอ งั้นเดี๋ยวแป็บนึงนะ” เธอเงียบไปอีกครู่หนึ่ง แล้วเหมือนกำลังพูดอยู่กับอีกคน “ษา คะ ถ้างั้น เดี๋ยวพี่กับพี่แก้วไปรับดีมั้ยคะ”

“แหม ผมเกรงใจจังเลย แต่ ตกลงครับ พี่สา”

เธอหัวเราะเบาๆ “จ้า … แล้วเจอกันนะคะ ถ้าไปถึงแล้วเดี๋ยวพี่จะโทรหาอีกที”

น่าแปลกที่ผมวางสายด้วยความรู้สึกเฉยๆ ถ้าเป็นตอนเปิดเทอมใหม่ๆผมคงดีใจมากที่เธอโทรมาหา แถมยังชวนไปทานข้าวเย็นด้วยกันอีก

ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะใครรึเปล่าที่ทำให้ผมรู้สึกแบบนี้

ระหว่างเดินลงบันไดเลื่อนไปชั้นล่าง ผมก็บังเอิญเห็น ครูอุษา กำลังเดินอยู่แถวๆร้านแว่นอีกฝั่งหนึ่ง “บ้าน่า … พวกเธอมาถึงแล้วเหรอ ผมเพิ่งวางสายไปเมื่อไม่กี่นาทีเองนี่นา”

ผมมองสาวสวยมาดนิ่งฝั่งตรงข้ามจนแน่ใจว่าใช่ครูอุษาจึงค่อยเดินไปหาเธอ แต่พอคลาดสายตากันแค่ครู่เดียวเธอก็หายไปแล้ว ผมยังเดินตามหาเธออยู่สักพักแล้วจึงเลิกล้มความตั้งใจ

“เอาเถอะ อีกเดี๋ยวก็ได้เจอกันอยู่ดีล่ะน่า” ผมคิดในใจ
โทรศัพท์ผมดังอีกครั้ง คราวนี้เป็นพี่แก้วโทรมาหา เธอบอกว่าจะรอที่ลานจอดรถข้างนอก ผมออกมาจากห้างเดินมองหารถสีขาวคันเล็ก ซึ่งสักพักก็ได้ยินเสียงของแข็งหนักๆกระทบกันดัง ปัง !

ผมแอบยืนขำเจ้าของรถเก๋งสีขาวอยู่หลังเสา ผมไม่ได้อยากจะซ้ำเติมเธอแต่ก็อดขำไม่ได้จริง เธอรีบเปิดประตูรถลงมาดูร่องรอย ซึ่งผิดคาดที่เธอไม่มีท่าทีตื่นเต้นอะไร

“พี่แก้ว” ผมโผล่หน้าเรียก

“อ้าว ษา มาแล้วเหรอ”

“ทำอะไรอยู่เหรอครับ” ผมแสร้งถาม
เธอก้มลงใช้มือปัดบริเวณๆป้ายทะเบียนหน้ารถไปมา ก่อนจะลุกขึ้นตอบ “ไม่มีอะไรค่ะ …  ไปกันเลยมั้ย”

“ไม่รอพี่ สา ก่อนเหรอครับ”
พี่แก้วทำหน้างง “รออะไรกันคะ ยัยสาอยู่ในรถค่ะ นั่นไง”

ผมชะโงกหน้าผ่านร่างเล็กๆแต่หน้าอกใหญ่ของสาวแว่นชมพู เห็นครูอุษาส่งยิ้มทักทายมาจากในรถ ผมจึงยิ้มตอบแล้วโบกมือทักกลับ

“ไปกันเถอะค่ะ” พี่แก้วย้ำ

“พี่สา มาขึ้นรถเร็วจังเลยนะครับ ผมเดินหาอยู่ตั้งนาน” ผมพูดขณะปิดประตูรถ
สองสาวหันมองหน้ากัน

“พี่อยู่กับพี่แก้วตลอดนี่จ๊ะ ษา” ครูอุษาพูด

“นั่นซิ ษา เธอพูดอะไรอยู่ได้น่ะ พี่เริ่มงงแล้วนะ” สาวแว่นพูดบ้าง
งงเหรอ นั่นมันคำพูดของผมต่างหากล่ะ ผมงงไปหมดแล้ว เมื่อครู่ครูพี่สายังเดินวนเวียนๆอยู่หน้าร้านแว่นอยู่เลย แล้วทำไมอยู่ดีๆ ถึงมาอยู่ในนี้ได้ล่ะ

“ไม่มีอะไรครับ ผมคงเหนื่อยมากไป” ผมบอกพี่แก้ว

“แปลกคนจริง” สองสาวพึมพัม

บอกตามตรงว่าผมเกลียดตุ๊กตารูปเด็กฝรั่งมากๆ ชื่อร้านนี้ทำให้ผมเสียวสันหลังไปหลายวินาทีหลังได้ยิน แต่ก็ต้องโล่งใจเมื่อตุ๊กตาส่วนใหญ่ไม่ใช่ตุ๊กตาเด็กฝรั่งผมสีทองเหมือนตุ๊กตาผีน่าเกลียดน่ากลัวในหนัง แต่เป็นตุ๊กตารูปสัตว์สีหวานๆวางเรียงรายเต็มร้าน

เจ้าของร้านสร้างหิ้งติดข้างกำแพงเอาไว้แล้ววางตุ๊กตาตั้งโชว์ ตุ๊กตาจะอยู่สูงเกินกว่าจะเอื้อมมือถึง ถ้าหากไม่ลุกขึ้นยืน เป็นไอเดียดี ที่ทำให้ตุ๊กตาไม่เปื้อนง่าย
โต๊ะของเรามีตุ๊กตา หมี หมา แล้วก็ฮิปโป

“ต๊าย ดูซิ เหมือนเราสามคนเลย” สาวแว่นเอ่ยเสียงใส

“นั่นซิครับ พี่แก้วเหมือน … ”

“ษา เหมือน หมาเลยว่ามั้ย ฮิๆ” เธอรีบชิงพูด เอียงหัวไปซบไหล่ครูอุษา แล้วหัวเราะคิกคัก สาวสวยคนน้องพยายามทำเป็นห้าม แต่ปากก็ยังยิ้มไม่หุบเหมือนกัน

แหม ! คุณแม่หมี กับ แม่ฮิปโป ได้ทีล่ะเอาใหญ่เชียว แต่ถ้าให้พูดตามตรงผมก็ยินดีเป็นหมาของพี่ทั้งสองนะ

อาหารเย็นของเรารสชาติธรรมดามาก ร้านแบบนี้มีเต็มพรึ่บไปหมดในเมืองหลวง แม้ว่าบรรยากาศในร้านจะสวยแปลกตา ผมเพิ่งเคยเห็นคนตกแต่งร้านลักษณะนี้ อันที่จริงผมไม่ได้ใส่ใจรสชาติอาหารสักเท่าไหร่ เพราะมัวเอาแต่นั่งมองหน้าสวยๆของสาวงามทั้งสองคน

“ไม่เลวเลย” ผมคิดในใจ ผมโชคดีใช่ย่อย ใครบ้างจะไม่อยากทานข้าวเย็นในร้านสวยๆ และที่สำคัญคือนั่งทานกับสาวสวย ไม่ใช่แค่หนึ่งคน แต่ตั้งสองคนเชียวนะ

“ขอตัวแป็บนะคะ” สาวแว่นลุกขึ้นออกไปข้างนอกเมื่อเสียงโทรศัพท์ของเธอดังขึ้น

ผมกังวลขึ้นมาทันทีกับท่าทางต้องการความเป็นส่วนตัวของเธอ คำถามมากมายผุดขึ้นในหัว ทำไมแค่คุยโทรศัพท์เธอต้องไปคุยที่อื่นด้วย แล้วใครกันนะที่โทรมา นานมากแล้วที่ผมไม่เคยรู้สึกแบบนี้

“แม่พี่แก้วโทรมาน่ะ” ครูอุษา พูดขึ้น

ผมผงะเด้งตัวขึ้น แล้วพูดตะกุกตะกัก “อะ อะไร เหรอครับ พี่สา”

ครูอุษาส่งยิ้มมีเลศนัยมาให้ ผมไม่เคยเห็นเธอทำหน้าแบบนี้มาก่อนเลย และจากนั้นเธอก็ฉีกยิ้มกว้างมากขึ้นอีก

“มะ …  มีอะไรเหรอครับ” ผมร้อนตัว

“พี่แก้วตั้งเสียงเรียกเข้าของคุณแม่เป็นเพลงเมื่อกี้น่ะ ไม่ต้องห่วงนะ” แม่นกน้อยยิ้มอธิบาย

ผมอึ้งหน้าชา รู้สึกร้อนจากในกระเพาะดันขึ้นมาถึงคอ ผมเก็บอาการกระวนกระวายที่มีต่อพี่แก้วไม่อยู่เลยหรอกเหรอเนี่ย ถึงทำให้ครูอุษาดูออกได้ง่ายๆ

“ษา … ชอบพี่แก้ว ใช่มั้ยคะ” เธอถาม

คำถามนี้แทงใจผมต่อและดังสะท้อนอยู่ในหัวผมประมาณสามสี่รอบ น้ำเสียงเธอฟังดูเรียบๆเย็นๆ แต่แฝงความรู้สึกยินดีเล็กๆเอาไว้

ผมน่ะเหรอชอบ สาวแว่นชมพู !?

ผมนั่งอึ้งไม่รู้จะตอบว่าอะไร อาจจะใช่ก็ได้ แน่ล่ะ พี่แก้วเป็นคนน่ารัก แต่เสียงหัวใจผมไม่ชัดเจนพอจะตอบว่ารู้สึกยังไงกับเธอกันแน่

“ฮั่นแน่ ! ไม่ยอมตอบซะด้วย … แสดงว่าจริงอย่างที่พี่พูดล่ะซิ” พี่อุษาใช้สายตาสื่อราวกับจะบอกว่า ฉันรู้นะว่าเธอคิดอะไรอยู่ สายตาของเธอ ณ เวลานี้เหมือนตาลุงเจ้าของโรงเรียนเมื่อวันที่ผมมาสัมภาษณ์ไม่มีผิดเลย “นี่แน่ะ … พี่แก้วยังไม่มีใครนะจะบอกให้”

“เอ่อ … คือ … ” ผมอ้ำอึ้ง พลางคิดหาทางว่าควรจะพูดอะไรต่อ แต่บอกตามตรงว่าดีใจเหลือเกินที่ได้ยินแบบนี้

“นี่ ษา คะ” แม่นกน้อยกล่าวตัดบท โดยไม่สนใจคำตอบ เรื่องเมื่อครู่ “ษา ว่า จะเป็นไปได้มั้ยที่ … ”

เธอหยุดพูด ก้มหน้าและเอียงศีรษะเล็กน้อย แก้มเธอเป็นสีแดงระเรื่อ “จะเป็นไปได้รึเปล่า ที่คนสองคนจะรักกัน แต่ว่าอายุห่างกันตั้ง 20 ปี”

ดีที่ผมไม่ได้เคี้ยวอะไรอยู่ ไม่งั้นคงจะพ่นของที่อยู่ปากออกมา ผมไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดนี้จากเธอเลย ถ้าผู้ชายอายุมากกว่าฝ่ายหญิง 20 ปี ก็ไม่แปลกหรอก อย่าว่าแต่ 20 เลย ต่อให้ 30 หรือ  40 ก็ยังลงเอยกันมาแล้วทั้งนั้น แต่ผมรู้ดีว่า 20 ปีที่ห่างกันน่ะ หมายถึงฝ่ายชายของเธออายุน้อยกว่าเธอเกือบ 20 ปี ต่างหาก

“ได้ซิครับ” ผมตอบเสียงหนักแน่น จริงๆแล้วมันก็แค่ 16 ปีนะพี่สา

ผมไม่คิดว่าเธอจะหวั่นไหวกับเด็กประถมสี่ แต่ยังไงก็ตามถ้างานแต่งงานสุดแสนจะมหัศจรรย์ของคู่นี้เกิดขึ้นในอีกสิบกว่าปีข้างหน้า ผมนี่แหละที่ยินดีจะเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวให้สิทธาเอง

“ษา คิดอย่างนั้นเหรอ” เธอถาม

“ใครเหรอครับ ผู้ชายโชคดีคนนั้น” ผมแกล้งถาม
เธอไม่ตอบใบหน้ายังเปื้อนยิ้มที่เจ้าเล่ห์อยู่ และผมก็ไม่คิดจะซักไซร้อะไรเพิ่ม

“ถ้าเป็นไปได้ ก็คงจะดีนะ แต่ก็ไม่รู้ว่า ถ้าถึงวันนั้นจริงๆ เขาจะยังรักพี่อยู่เหมือนเดิมรึเปล่า” เธอพูดเบาๆราวกับไม่ได้ตั้งใจจะให้ใครได้ยิน “มีด้วยเหรอ ผู้ชายที่มั่นคงในความรักขนาดนั้น”

“มี และ ผมอยาก พี่สา ให้มีครับ ” ผมพูด

เธอยิ้มและตกใจเล็กน้อย “ขอบคุณค่ะ”

จากนั้นเราสองคนนั่งเงียบจนกระทั่งสาวแว่นกลับมานั่งทานอาหารตามเดิม

“เป็นอะไรกัน ทะเลาะกันเหรอจ๊ะ ทั้งสองคน” พี่แก้วพูด

“เปล่าซะหน่อย” สาวสวยคนน้องปฏิเสธ

“ฟ้ามืดเร็วจังเลยนะครับ” ผมกล่าวเปลี่ยนเรื่อง พลางลืมตัวยกแขนที่ไม่มีนาฬิกาสวมอยู่ขึ้นมาดูอีกครั้ง “นี่เพิ่งจะ ...”

ทันใดนั้นก็มีฟ้าผ่าลงมาโครมใหญ่ เสียงกรีดร้องของลูกค้าสุภาพสตรีดังระงมไปทั่วร้าน

“ตกใจหมดเลย !” สาวแว่นครวญ ยกมืออุดหูสองข้าง เสียงจานและแก้วน้ำสั่นไหวจากคลื่นเสียงยังดังต่อเนื่องอยู่ ข้างนอกลมพัดแรง ดูน่ากลัวต้นไม้จะหักโค่นทับรถที่จอดอยู่ข้างทางเหลือเกิน ไม่ช้าไม่นานไฟฟ้าก็ดับลง เสียงครางฮือฮาจึงดังขึ้นอีกครั้ง เจ้าของร้านต้องรีบส่งเสียงบอกลูกค้าไม่ต้องตกใจ แต่แล้วฟ้าก็ผ่าลงมาอีกครั้งหนึ่ง พี่แก้วรีบยกมืออุดหูแล้วก้มหน้า

ครูอุษาหลับตาลงด้วยความกลัว และแสงฟ้าผ่า ก็ปรากฎขึ้นอีกครั้ง หยดน้ำฝนบนกระจกสะท้อนแสงไฟเป็นเงาดำทอดลงบนใบหน้าของเธอ
ราวกับเลือดกำลังไหลรินอยู่บนใบหน้าของครูอุษา

พรึ่บ ! เสียงหลอดไฟดังกลับมาทำงาน “ไฟมาแล้วค่ะ ทุกคน”  เจ้าของร้านรีบปรบมือให้สัญญาณกับพวกเรา

“ฟู่” พี่แก้วเป่าปาก “น่ากลัวจัง นึกว่าฟ้าจะถล่มแล้วนะเนี่ย”

“นั่นซิคะ สา ไม่ชอบเสียงฟ้าร้องเลย”

“นั่นซิคะ ษา ก็ไม่ชอบเสียงฟ้าร้องเหมือนกัน” ผมบีบจมูกทำเสียงแหลมเลียนแบบแม่นกน้อย สาวแว่นชมพูหัวเราะจนสำลักน้ำ

พวกเรายังคุยกันต่อเป็นชั่วโมงหลังทานอาหารเย็นเสร็จ ไม่คิดว่าเมืองชายทะเลฝนตกแต่ล่ะทีจะหนักหน่วงขนาดนี้ แถมยังเข้าตำราที่ว่า ฝนตกไฟดับ อีกต่างหาก

เมื่อแน่ใจว่าฝนน่าจะหยุดดีแล้ว พวกเราจึงลุกขึ้นออกจากร้าน

“โอ้ย !” ผมร้องตกใจ

“เป็นอะไรเหรอ  ษา ร้องเสียงดังเชียว” พี่แก้วหันมาถาม

“มะ … ไม่มีอะไรครับ” ผมบอกเธอ และเริ่มรู้สึกชาที่ปลายนิ้ว ผมยกมือมองหาแผลบนนิ้วชี้มือขวาซึ่งกำลังมีเลือดสดๆไหลรินออกมา แผลค่อนข้างลึกมากทีเดียว ผมหย่อนตัวลงบนเก้าอี้อีกครั้ง พลางลูบไปบนแผ่นกระจกบนอย่างระมัดระวัง

“กระจกแตกงั้นเหรอ !?” ผมนึกในใจ พลางมองดูรอยแตกบนกระจกซึ่งถูกย้อมเป็นสีแดงชาดด้วยเลือดของผม

“ซวยชะมัด” ผมบ่นตัวเองและจึงเดินตามสองสาวออกไป …

                                              ***

เช้าวันรุ่งขึ้นผมร้องครวญครางเสียงดังลั่นห้อง เมื่อเผลอบีบยาสีฟันพลาดไปเลอะแผลที่นิ้ว ผมรีบเปิดก๊อกน้ำล้างอย่างรวดเร็ว ปากก็ยังร้องโอดโอยไม่หยุด  

ฟู่ๆ แสบชะมัดเลยให้ตายซิ  

เสียงโทรศัพท์ผมดังขึ้น นึกแปลกใจว่าใครกันโทรมาเช้าขนาดนี้ ผมรีบเช็ดมือให้แห้ง แล้วออกมาจากห้องน้ำ ชื่อคนโทรมายังน่าแปลกใจเหมือนเดิม แต่ก็ดีใจที่ชื่อ พี่แก้ว กำลังขึ้นเป็นตัววิ่งบนหน้าจอ

“ว่าไงครับพี่แก้ว” ผมรับสาย

ไม่มีเสียงพูดตอบรับจากปลายทาง เสียงที่ดังผ่านลำโพงออกมาฟังดูแปลกๆ ผมได้ยินเสียงลม เสียงคล้ายล้อรถเข็นเลื่อนไปมาอยู่บนพื้น และเสียงสะอื้นเหมือนคนกำลังร้องไห้ !?

“พี่แก้วครับ” ผมเรียกเธอซ้ำ

“ษะ … ” เสียงเธอเหมือนพยายามเรียกชื่อผม แต่ยังฟังไม่ค่อยชัด “ฮึกๆ ษะ … ษา … คะ”

“พี่แก้ว มีอะไรรึเปล่าครับ”

“ฮึกๆ หยะ … ยัยสา … ยัยสะ … สา ฮึกๆ”

“เกิดอะไรขึ้นน่ะครับพี่แก้ว พี่สา … พี่สา เป็นอะไรเหรอครับ”

“ฮึกๆ ฮือๆ สา … คือว่า สา … สาน่ะ” เสียงเธอยังสะอื้นตลอดเวลา

“พี่แก้ว … ”

“ษา คะ ฮึกๆ … ยัยสา … ”
                                         …


ผมได้ยินเสียงหอบเหนื่อยของตัวเอง หน้าอกข้างซ้ายเหมือนถูกบีบแรงๆ และหายใจไม่ค่อยออก ผมกำลังรีบวิ่งสุดชีวิตเพื่อไปถึงโรงพยาบาลศิรินทราให้เร็วที่สุด

เมื่อครู่นี้ พี่แก้วโทรมาบอกผมว่าอะไรกัน ผมไม่แน่ใจเลย ผมฝันไปรึเปล่า ฝันอย่างนั้นเหรอ …  ใช่แล้ว ผมต้องฝัน มันต้องไม่ใช่ความจริง พี่สา …   พี่สา ต้องไม่เป็นอะไร

บรรยากาศยามเช้าในโรงพยาบาลเงียบสงบ พนักงานต้อนรับและพยาบาลหลายคนมีทีท่าแปลกใจกับอาการร้อนรนของผม

“ห้องดับจิตไปทางไหนครับ !” ผมถามใครก็ได้ที่จะกรุณาสนใจผม …
.
.
.

เจ้าหน้าที่เปิดประตูห้องดับจิตออกช้าๆแล้วโค้งให้ “เชิญครับ”

“ษา ” พี่แก้วซึ่งรออยู่ข้างใน ปล่อยโฮโผเข้ากอดผม เธอเนื้อตัวสั่นเทาด้วยความเสียใจ “ทำไม สา ถึงทำแบบนี้  ฮือๆ”

นี่มันเรื่องอะไรกัน ผมยังตั้งตัวไม่ทันเลย

“เกิดอะไรขึ้นน่ะครับ ทำไม … พี่สาถึง … ” ผมพูด
พี่แก้วค่อยๆเช็ดน้ำตา “สะ … สา กินยาฆ่าตัวตายค่ะ”

“บ้าน่า ! ” ผมอุทาน “ผมไม่เชื่อ เป็นไม่ได้ !”  

“พี่ก็ไม่เชื่อค่ะ พี่ไม่อยากจะเชื่อ เพื่อนยัยสารีบพามาล้างท้องตั้งแต่เมื่อคืน แต่ว่า ...” มือทั้งสองข้างของพี่แก้วบีบแขนผมไว้แน่น “แต่ว่า สา ก็ … ฮือๆ”

ผมเอื้อมมือไปยกผ้าปิดหน้าศพขึ้นมา แล้วปล่อยมันลงให้คลุมใบหน้าที่ยังงดงามของเธออยู่เช่นเดิม

“พี่สา จริงๆด้วย” ผมบอกตัวเอง “มันเกิดอะไรขึ้นน่ะครับ พี่สา เมื่อวานเรายังพึ่งเจอกันอยู่เลย พี่สา ยังร่าเริง ยังหัวเราะ ยังถามถึงว่าที่เจ้าบ่าวของพี่อยู่เลย แล้วทำไม มันเกิดอะไรขึ้นกันครับ”

พี่แก้วนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง เธอร้องไห้คร่ำครวญกับร่างไร้วิญญาณอยู่อย่างนั้น ผมแทบกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ นั่งลงเป็นเพื่อนคอยปลอบใจเธอ

หลายนาทีต่อมาประตูห้องดับจิตเปิดออกอีกครั้ง คณะครูของตึกไหมและผู้อำนวยการก็เดินทางมาถึง

“สา ไม่น่าทำแบบนี้เลย“ พี่แคทปล่อยโฮอย่างไม่อายใคร ครูผู้หญิงทุกคนน้ำตาไหลนองหน้า พี่แก้วเริ่มร้องไห้ดังขึ้น พวกเราต้องคอยปลอบเธอไม่ให้เสียใจมากเกินไป ยิ่งเห็นเธอเป็นแบบนี้ผมก็ยิ่งรู้สึกสงสารเธอสุดหัวใจ

ผู้อำนวยการเดินไปแตะร่างไร้วิญญาณของครูอุษา น้ำตาของชายวัยกลางคนที่เลี้ยงดูเธอมาแต่เล็กหยดลงบนผ้าคลุมหน้า เขายังไม่พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว แต่ทุกสัมผัสและสายตานั้นบ่งบอกความอาลัยต่อหลานสาวมากมายเหลือเกิน

แก้ไขเมื่อ 27 ก.ค. 54 21:27:46

จากคุณ : FlowerSong
เขียนเมื่อ : 27 ก.ค. 54 21:21:36




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com