๑๒. แรกพบ
...
“เฮ้ย ! มรึงน่ะมานี่ดิ๊” “เก๋าเหรอวะ เมื่อกี้มองหน้ากรูนี่” “ผมเปล่านะครับ” “เฮ้ย ! ล่อมันเลยเว้ย”
…
“สิทธา ! เธอคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน ถึงมาเถียงฉันแบบนี้” “ผะ ผม แค่จะบอกว่า ที่ครูสอนมันผิด ...” “เงียบนะ ! กล้าดียังไงมาบอกว่าฉันสอนผิด … ถ้าเก่งนักก็ไม่ต้องมาเรียนเลยซิ !”
…
“ครูครับ ! สิทธา นอนสลบอยู่ตรงนี้ครับ” “ตายแล้ว ! เกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย สิทธา … สิทธา … ได้ยินเสียงครูรึเปล่า” “รีบเรียกครูผู้ชายมาช่วยเร็ว”
...
“ครูเรียกผมมา มีอะไรเหรอครับ” “ครูมีอะไรอยากจะบอก สิทธาน่ะ” “อะ … อะไร เหรอครับครู ผมทำอะไรไม่ดีอีกหรือเปล่า” “นี่ ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะ … เอ๋ นี่สิทธากลัวครูเหรอ ตัวสั่นเชียว … ” …
“ว๊าย !” “ครูอุษา เป็นอะไรรึเปล่าครับ !” “ไม่เป็นไรจ๊ะ” “ครูอุษาครับ แขนครูเลือดออกเต็มเลย ” “ไม่จ๊ะ ครูไม่เป็นไร ขอบคุณนะจ๊ะ”
*****
ผมสะดุ้งตื่นขึ้นกลางดึก หายใจถี่และเร็ว เสื้อผ้าเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ผมอยู่นิ่งๆรอเรติน่าค่อยๆปรับตัวเข้ากับความมืด เมื่อเข้าที่แล้วจึงเริ่มเห็นภาพที่ไม่ใช่ความฝันอย่างช้าๆ
เราฝันร้ายอีกแล้ว
ตั้งแต่ครูอุษาจากไป ผมก็ฝันถึงเรื่องแต่เดิมๆติดต่อกันหลายคืน มันเป็นอดีตที่น่าชิงชัง แค่นึกถึงก็น่าขยะแขยงราวกับต้องกลืนกินโสโครกที่สุดในโลกนี้ลงคอ เกินครึ่งของชีวิตผมมีแต่ความทรงจำที่เลวร้าย ผมเกลียดโรงเรียน เกลียดห้องเรียน เกลียดกระดานดำ เกลียดทุกอย่างที่เกี่ยวกับโรงเรียน โดยเฉพาะ เพื่อน และ ครู
แต่ไหนแต่ไรผมเป็นเด็กแหยๆและขี้แง ผมโดนกลั่นแกล้งเป็นประจำตั้งแต่เรียนอนุบาล ช่วงหนึ่งผมต้องกลับบ้านในสภาพเนื้อตัวมอมแมมทุกวัน ที่โรงเรียนมีแต่คนเกลียดผม ไม่สิ นอกจากครอบครัว ทุกคนก็เกลียดผมทั้งนั้น ผมเอาแต่เฝ้าถามพระเจ้าวันแล้ววันเล่าว่า ทำไมต้องให้ผมมีชีวิตที่น่าเวทนาแบบนี้ด้วย
ผมเรียนที่แรกในโรงเรียนเฮงซวยแห่งหนึ่งในกรุงเทพ คุณพ่อกับคุณแม่ดีใจมากที่ผมจับฉลากเข้าไปได้ แต่ผมกลับไม่เคยมีความสุขกับที่นั่นเลยแม้แต่วินาทีเดียว ผมพยายามจะลืมทุกเรื่องราวที่เกี่ยวกับโรงเรียนนั้นให้หมด เฝ้ารอคอยให้เวลาลบเลือนบาดแผลที่ฝังรากลึกลงในจิตใจ
พอเรียนถึง ป.2 ครูประจำชั้น แนะนำคุณพ่อและคุณแม่ว่า ให้ผมย้ายโรงเรียนออกไปน่าจะดีกว่า ทั้งสามคนกลัวว่าถ้าผมยังเรียนอยู่ต่อไปคงต้องกลายเป็นเด็กมีปัญหาเข้าสักวัน ซึ่งว่าเวลานั้นคุณอา ชวรัตน์ ต้องย้ายงานมาประจำที่ศรีราชาพอดี ทุกคนจึงตัดสินใจส่งผมมาอยู่กับคุณอาเพื่อเข้าเรียนในโรงเรียนซึ่งขึ้นชื่อว่า ดีที่สุดในภาคตะวันออก และเมื่อย้ายมาเรียนที่โรงเรียนตรีชฎานุสรณ์ฝันร้ายก็ค่อยๆจางหายไปจากชีวิตผม
เมื่อสองปีก่อน …
“วันนี้ ครูจะแนะนำเพื่อนใหม่ให้พวกเรารู้จักนะ” ครูประจำชั้นประกาศเสียงดังหน้าห้อง
“สิทธา … เข้ามาซิ”
ผมค่อยๆก้าวเท้าผ่านประตู ขณะที่ในใจยังรู้สึกหวาดๆ แล้วจึงหยุดลงตรงหน้าห้อง ผมบอกชื่อให้ทุกคนได้ยิน แล้วรีบเดินไปที่โต๊ะเรียนทันที ห้องเรียนที่นี่กว้างมาก โต๊ะประจำตัวจึงดูเหมือนอยู่ไกลแสนไกล หน้าตานักเรียนทุกคนในห้องเหมือนผีร้าย คุณครูหน้าห้องเป็นพญามาร ถึงรู้ตัวดีว่าไม่มีความจำเป็นต้องกลัวอะไรอีก แต่ก็ยังอดหวั่นใจไม่ได้
ผมนั่งลงตั้งสติ พยายามพูดให้กำลังใจตัวเอง “ไม่ ... ตอนนี้ผมไม่กลัวปีศาจหรือผีร้ายตัวไหนทั้งนั้น ... ไม่มีสิทธาคนเดิมในโลกนี้อีกแล้ว”
“นี่ … สิทธิ์ ทำไมถึงย้ายมาเรียนตอนนี้ล่ะ” ปีศาจตัวเล็กหูกาง โต๊ะข้างๆเอ่ยถาม ผมหันขวับ “ทำไมล่ะ มันแปลกด้วยเหรอ”
“แปลกซิ ปกติเขามาเข้าเรียนกันตอนเปิดเทอม เพิ่งเคยเห็นนายนี่แหละ ที่มาเรียนกลางเทอม”
หมอนี่ชื่อ ดิว เป็นเพื่อนคนแรกของผมในโรงเรียนตรีชฎานุสรณ์ ดิว กลายเป็นมนุษย์ธรรมดา ทันทีเมื่อเราเริ่มคุยกัน ผมไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะมีเพื่อนเหมือนกับใครเขา แต่หลังจากผ่านไปแค่เดือนเดียว ผมก็มีเพื่อนที่ผมเต็มใจเรียกว่าเพื่อนเกือบสิบคน ผมได้วิ่งเล่นเป็นกลุ่มกับเพื่อนเป็นครั้งแรก เวลาพักกลางวันที่เคยเงียบเหงาและอ้างว้างจึงต่างไปจากเดิม
ครึ่งเทอมผ่านไป ชีวิตใหม่ของผมเป็นไปด้วยความราบรื่น คุณอา บอกว่าสีหน้าและแววตาของผมดูเหมือนเด็กประถมแล้ว ผมไม่เข้าใจหรอกว่าแววตาของเด็กประถมเป็นอย่างไร สิ่งเดียวที่ผมรู้ตอนนี้คือ ผมมีความสุขมากที่โรงเรียนตรีชฎานุสรณ์
หลังประกาศผลคะแนนสอบกลางภาคออกมา ชีวิตผมก็ยิ่งเปี่ยมสุขมากขึ้น ผมสอบได้ที่เก้าของห้อง และได้ลำดับที่ยี่สิบสองของชั้นประถมปีที่สอง เป็นครั้งแรกที่ผลการเรียนผมตกต่ำขนาดนี้ แต่ไม่ใช่เรื่องไม่ดี ผมรอคอยวันเวลาที่รื่นรมย์อย่างนี้มานานแสนนานและในที่สุดผมก็ไขว่ขว้ามาไว้ในมือจนได้
ไม่มีพญามารและลูกสมุนอีกแล้ว โรงเรียนนี้มีแต่คุณครูที่ใจและเพื่อนๆที่น่ารักทุกคน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นจนได้ เมื่องานสัปดาห์วิชาการใกล้เข้ามา ผมจำวันนั้นได้ไม่เคยลืม ขณะผมกำลังนั่งเล่นกับกลุ่มเพื่อนๆอยู่ใต้ตึก จู่ๆเพื่อนคนหนึ่งก็เรียกผมให้ไปอ่านประกาศบนบอร์ดหน้าห้องพักครู
รายชื่อนักเรียนที่เข้าคัดเลือกเป็นตัวแทนไปแข่งขันวิชาภาษาอังกฤษระดับประถมศึกษาปีที่ 2 3. เด็กชายสิทธา ธิติยานนท์ ชั้น ป. 2/3
บ้าชะมัด ! ไม่เห็นมีใครบอกก่อนสักคำว่าจะส่งผมเข้าแข่งขัน
ผมรีบไปขอถอนตัวทันที แต่ไม่เป็นผล บ่ายวันนั้นผมพยายามคิดหาทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองหลุดพ้นออกมาจากการแข่งขันครั้งนี้ให้ได้ แต่สุดท้ายก็ต้องจำใจไปตามคำสั่ง
ผมลากเท้าครูดไปกับพื้นดังแกร่กๆตั้งแต่เปิดประตูห้องเรียนออกมา ผมไม่อยากไปคัดเลือกเลย ผมกลัว … กลัวว่าฝันร้าย จะตามกลับมาหลอกหลอนอีกครั้ง
“นี่ !… นักเรียนคนนั้นน่ะ” ครูผู้หญิงคนหนึ่งพูดเสียงดัง คาดว่าคงเรียกใครสักคน ผมหยุดกึกครู่หนึ่ว แต่ไม่ได้หันไปมอง และเดินต่อไป
“นี่ ! เธอ นั่นแหละ” ครูคนเดิมย้ำ
ผมหันกลับไป และตกตะลึงกับความงามของหญิงสาวเบื้องหน้า คุณครูคนนี้หน้าตาสวยอย่างกับนางฟ้า สาบานได้เลยว่าผมไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนสวยขนาดนี้มาก่อนเลย
“เรียกผมเหรอครับ” ผมเอ่ยถาม
“นักเรียน อย่าเดินลากเท้าเสียงดังซิคะ มันรบกวน นักเรียนห้องอื่นนะ”
“ขอโทษครับ” ผมบอกเธอและพนมมือไหว้
“ไม่เป็นไรค่ะ”
ผมเดินยกขาสูงขึ้น เสียงแกร่กๆ เปลี่ยนเป็นเสียงส้นรองเท้าหนังกระแทกพื้นดัง ก๊อกๆ แทน พลางนึกกลัว จะถูกคุณครูคนสวยดุอีกครั้ง ผมจึงหยุดเดินครู่หนึ่งเพื่อรอให้เธอผ่านไปก่อน กลายเป็นว่า เธอหยุดเช่นกัน “นักเรียน มีอะไรรึเปล่า” เธอถามอีก
“คือ … ผมกลัว ครูจะว่าเรื่องเสียงเดินอีก ก็เลย … ”
เธอหัวเราะ “ตายจริง ครูน่ากลัว ขนาดนั้นเลยเหรอ”
“เอ่อ … ครับ” ผมยิ้มแห้งๆ
“แล้วนี่นักเรียนกำลังจะไปไหนเหรอ”
“ปะ ไป … เอ่อ … แข่งคัดเลือกวิชาภาษาอังกฤษครับ” ผมตอบตะกุกตะกัก
“เอ๋ ! คัดเลือกวิชาภาษาอังกฤษ เหรอ” เธอกล่าวทวน “พอดีเลย ครูก็กำลังจะไปเหมือนกัน นักเรียนชื่ออะไรเหรอคะ”
“สิทธา ครับ” ผมตอบ
“ไหนๆ ดูซิ๊ เอ … ” เธอหยิบกระดาษขึ้นมาใบหนึ่ง “สิทธา ธิติยานนท์ ห้องสองทับสาม … เด็ก ปอสอง งั้นเหรอ สิทธา งั้นเราไปห้องแลปภาษาอังกฤษกันเถอะ การคัดเลือกใกล้จะเริ่มแล้วล่ะ”
ฝ่ายวิชาภาษาอังกฤษจะประกาศผลการคัดเลือกภายในสัปดาห์นี้ และไม่มีทางที่ผลการคัดเลือกจะมีชื่อ สิทธา ธิติยานนท์ อีกเป็นครั้งสอง ผมทำข้อสอบผิดหมดทุกข้อ แม้แต่คำถามที่ง่ายที่สุดก็ยังทำผิด … ถูกแล้ว … ผมควรทำแบบนั้น ไม่อย่างนั้นสิ่งดีๆที่มีอยู่ทั้งหมดตอนนี้อาจจะพังทลายลงภายในชั่วพริบตา ก่อนเลิกเรียนประมาณยี่สิบนาที หัวหน้าฝ่ายวิชาการประกาศออกเครื่องขยายเสียง ให้ผมไปหาที่ห้องพักครู เมื่อสิ้นเสียงนั้น มือไม้ผมสั่นไปหมดด้วยความกลัว ระยะทางจากห้อง สองทับสาม นั้นไกลพอควรจากห้องพักครู แต่กลับรู้สึกว่าเดินแค่ไม่กี่ก้าวก็ถึงเสียแล้ว ผมเดินวนไปวนมาหน้าประตูอยู่พักใหญ่ แล้วค่อยเอื้อมมื้อคว้าลูกบิดที่เย็นเฉียบ เสียงเปิดประตูฝืดๆดัง เอี๊ยดอ๊าด เหมือนในหนังผี บรรยากาศช่างชวนให้คิดว่าคงจะต้องเผชิญหน้ากับ ปีศาจร้ายอีกแน่ๆ
“สิทธา” คุณครูคนสวยเมื่อตอนบ่าย เรียก “มาหาครูใน ห้องประชุมหน่อยซิ” ผมเดินตามครูไปช้าๆ หูเริ่มอื้อไม่ได้ยินเสียงรอบตัว … นี่ผมทำอะไรผิดอีกแล้วใช่มั้ย …
“นั่งลงซิ” เธอพูด แล้วหยิบกระดาษขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ ผมนั่งเงียบกริบ ไม่กล้าเอ่ยปากอะไรสักคำ
“ทำไมถึงทำข้อสอบแบบนี้ล่ะ” เธอถาม
“ยังไงกันครับ”
“ครูเพิ่งตรวจข้อสอบคัดตัวเสร็จ” เธอใช้นิ้วชี้เคาะบนกระดาษดังป๊อกๆ “นี่เป็น กระดาษคำตอบของสิทธาใช่มั้ยคะ”
“ผม … ผมทำอะไรผิดเหรอครับ”
ครูทำหน้าแปลกใจ “เปล่านี่ … ”
“ผมทำข้อสอบไม่ได้ ก็เป็นความผิดด้วยเหรอครับ”
“จะผิดได้ยังไงกัน ครูแค่อยากจะถามอะไรหน่อยเท่านั้นเอง” คุณครูพูดแล้วนั่งลง “สิทธา ทำข้อสอบคัดเลือกได้ศูนย์คะแนน นี่เป็นคะแนนที่น่าตกใจมากเลยนะ สำหรับเด็กที่เข้าคัดเลือก”
ผมนั่งนิ่ง หัวใจเต้นแรงและเร็วมาก ความรู้สึกเหมือนกับกำลังนั่งอยู่ในห้องสอบสวนฝ่ายปกครองเมื่อปีก่อน
“ข้อสอบคัดเลือกมันยากนี่ครับ เนื้อหาก็ไม่เหมือนกับที่เรียน” ผมรีบหาข้ออ้าง “แล้วคะแนนวิชาภาษาอังกฤษผมก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ด้วยนะครับ ครู”
คราวนี้คุณครูเป็นฝ่ายเงียบบ้าง แล้วค่อยพยักหน้ารับ “งั้นเหรอ อืม … ก็จริงของสิทธานะ แต่ว่า มันก็แปลกอยู่ดี ใช่ว่าข้อสอบคัดตัวไปแข่งจะยากเย็นขนาดนั้น ปกติแล้ว นักเรียนที่มาคัดตัวก็จะได้คะแนนสอบกลางภาคค่อนข้างสูงอยู่แล้ว หรือว่า สิทธา มาสมัครเองเหรอ”
“ขะ … ครับ พอดีผมชอบวิชาภาษาอังกฤษ เลยอยากมาสมัครเอง แต่ไม่คิดว่า ข้อสอบจะยากขนาดนี้”
ครูเลิกคิ้วขึ้น ทำสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย ทว่าเปื้อนรอยยิ้ม เสียงพูดที่อ่อนหวาน ทำให้ความกลัวของผมเริ่มลดน้อยถอยลง
“สิทธา ชอบ วิชาภาษาอังกฤษ แต่ว่าไม่เก่ง งั้นเหรอ” คุณครูคนสวยถาม
ผมผงกศีรษะหงึกๆพลางส่งยิ้มเฝื่อนๆ
“งั้นเอาอย่างนี้มั้ย ถ้าสิทธา มีปัญหาหรือไม่เข้าใจอะไรวิชานี้ มาหาครูได้ทุกเมื่อเลยนะ”
“มาถามครูงั้นเหรอครับ”
“ใช่จ๊ะ ครูก็สอนภาษาอังกฤษ ป.2 เหมือนกัน เพียงแต่ว่าไม่ได้สอนห้องสิทธา ครูภาษาอังกฤษน่ะใจดีทุกคนนะ ไม่ต้องกลัวขนาดนี้หรอก” เธอหัวเราะพลางเก็บกระดาษลงกระเป๋า
“เดี๋ยวครูจะฝากบอก ครูวิชุดา ให้นะ ว่าดูแลสิทธาดีๆหน่อย ทำไมปล่อยให้เด็กนักเรียน ทำข้อสอบผิดขนาดนี้ได้ก็ไม่รู้”
ผมหัวเราะแหะๆ
ครูลุกขึ้นเดินมาหา และลูบศีรษะเบาๆ “กลับกันเถอะ ได้เวลากลับบ้านแล้ว” ผมใจชื้น เหมือนยกภูเขาออกจากออก นึกว่าต้องเจอเรื่องแย่ๆเสียอีก ผมรีบกระโดดลงจากเก้าอี้ด้วยความดีใจ พลางแอบมองเห็นคุณครูยิ้มมุมปากขณะเธอเดินมาอยู่ข้างหลัง
ทันใดนั้นจู่ๆประตูห้องก็เปิดพรวดเข้ามาอย่างรวดเร็ว ซึ่งความแรงมากพอจะทำให้ดั้งจมูกหักเลือดกำเดาไหลนองพื้น
เอาไงดีสิทธา … จะหลบเอาตัวรอดให้ครูคนสวยรับกรรมไป หรือจะถีบประตูกลับไปดี สำหรับคนปกติคงไม่มีใครสามารถหลบทัน แต่กับผมแล้วมันไม่ต่างอะไรกับภาพสโลโมชั่น
ผมไม่ทันได้เลือกทำอะไรสักอย่าง เพราะคุณครูเสียงหวานรีบยกมือซ้ายกันประตูเอาไว้ได้ก่อน
เหลือเชื่อ ! นอกจากผมแล้วยังมีคนที่สามารถมองเห็นสิ่งของที่เคลื่อนตัวด้วยความเร็วเกิน 100 กิโลเมตรต่อวินาที ทันด้วยเหรอ
“ขอโทษครับ ! ขอโทษที ลูกบิดมันลื่นหลุดมือน่ะ พี่ขอโทษนะ” ครูวิเชียร รีบแก้ตัวใหญ่
“ไม่เป็นไรค่ะ” ครูสาวผู้ใจดีเอ่ย แววตาไม่เคืองโกรธเลยแม้แต่น้อย
คุณครูเดินกลับไปที่โต๊ะทำงานวางแฟ้มเอกสารลง เลื่อนเก้าอี้ที่สอดอยู่ออกช้าๆ ผมเหลียวหันกลับมองใบหน้าสวยๆนั้น ด้วยความรู้สึกแปลกๆที่ไม่เคยมีมาก่อน
“ครูครับ !” ผมเรียก
เธอแหงนหน้าขึ้น “มีอะไรเหรอ”
“ครูชื่ออะไรเหรอครับ”
เธอยิ้มและตอบว่า “ครูชื่อ อุษา จ๊ะ”
แก้ไขเมื่อ 27 ก.ค. 54 22:22:47
จากคุณ |
:
FlowerSong
|
เขียนเมื่อ |
:
27 ก.ค. 54 21:27:00
|
|
|
|