Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ลมหนาวปลายปี...แม่อุ๊ย...และกาดเช้าประตูเชียงใหม่ [เรื่องสั้น] ติดต่อทีมงาน

   เสียงนกร้องส่งเสียงโต้ตอบกันไปมา ปลุกฉันตื่นจากนิทราอับแสนอบอุ่นใต้ผ้าห่มนวมสีฟ้าที่แม่ซื้อให้ ชั้นไม่ได้ตื่นขึ้นมาตอนเช้าเพราะเสียงนกนานแค่ไหนแล้วนะ หลังจากล้างหน้าที่เย็นจนทำฉันสะดุ้งเบาเบาแล้ว ฉันเดินแหวกม่านออกไปที่ระเบียง สายลมปลายปีเข้ามาโอบล้อมร่างฉันไว้ ฉันรู้สึกหนาวเล็กน้อยแล้วค่อย ๆ เอามือกอดประสานกันไว้เพื่อให้กายฉันอบอุ่น ฉันสูดหายใจเข้าแรง ๆ มันสดชื่นกว่าสิ่งอื่นใด วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่อากาศดี ฉันชอบลมหนาวเหลือเกิน

    อยู่ ๆ ความคิดเล็ก ๆ ก็ผุดขึ้นมาในหัวสมอง ว่าฉันต้องไปตลาด ฉันกลับมาดู Facebook ที่เปิดทิ้งไว้ ชักชวนคนที่ยังนั่งหน้าคอมที่อื่นให้ไปตลาดด้วยกัน มองดูเวลา ๐๕.๓๖ น. เช้าแบบนี้ขับรถไปคงเป็นอะไรที่มีความสุขมากแน่ ๆ

    ระหว่างที่ขับรถไปตลาดเช้าประตูเชียงใหม่นั้น มันมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก ผู้คนไม่มากก็เพิ่งไปตลาดกัน ฉันจอดรถที่ตลาดประตูเชียงใหม่ พลันก็มีแม่ค้าเดินมาถามขายของใส่บาตรที่เตรียมไว้เป็นชุดให้ ฉันบอกปฏิเสธด้วยคิดว่า วันนี้ฉันไม่ใส่บาตร เพราะฉันก็ไม่ชอบใส่บาตรเท่าไร แต่ชอบไปถวายที่วัดมากกว่า ...

    อย่าเพิ่งคิดว่าฉันเป็นพวกไม่เคารพพระ เคารพเจ้า หากแต่เคยมีประสบการณ์ทำให้ไม่อยากใส่บาตรอีก แต่อย่าไปสนใจพระดีดีมีมากมาย ไม่อยากให้ส่วนน้อยมากำหนดส่วนมาก ฉันเดินเข้าไปในตลาดหาของกินที่ถูกใจ แม่ค้าขายน้ำพริกกับแกงฮังเลเจ้าที่ซื้อประจำ ทักทายด้วยความเป็นกันเอง รอยยิ้มของแม่ค้าที่มีมนุษยสัมพันธ์อันดีต่อลูกค้า ฉันชอบนะ วันนี้ฉันเลยสั่งแกงฮังเลมากินดีกว่า เมื่อวานเพิ่งกินน้ำพริกอ่องไป ฝั่งตรงข้ามก็เป็นแม่ค้าขายผัดไทถาดใหญ่ หมี่กะทิ แคบหมู แกถามว่าวันนี้จะกินอะไรดีลูก ฉันนึกอยากกินหมี่กะทิเลยสั่งมาหนึ่งถุง (เจ้านี้อร่อยนะ แถมแน่ ๆ ถ้าคุยกันถูกคอ) ฉันเดินอ้อมไปอีกฝั่งหนึ่งสะดุดกับห่อนึ่งไก่ ห่อใหญ่แต่ราคา ๑๐ บาท แม่ค้าแกะห่อให้ดูด้วยรอยยิ้ม (อีกแล้ว) ฉันเลยแพ้ทางแม่ค้าได้ห่อนึ่งไก่มาอีกหนึ่งห่อและแล้วเรื่องมันก็เกิดขึ้น....

    แม่อุ๊ยอายุไม่ต่ำกว่า ๗๐ ปี เดินเค้ามาด้วยอาการหลังค่อมเล็กน้อย เสื้อคอกระเช้าที่อดีตเคยเป็นสีเขียวสวย มีรอยปะชุนสองสามจุด ทับด้วยเสื้อแขนยาวไหมพรมบางสีออกน้ำตาล สีตกซีดเล็กน้อยเป็นวง ๆ เดินเข้ามาชะเง้อดูแกงในหม้อ ฉันยืนมองแม่อุ๊ยท่านนั้นด้วยความเสียมารยาท แม่อุ๊ยสั่งแกงแคหนึ่งถุง แกล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อตัวใน หยิบกระเป๋าเงินสีเขียวใบเล็ก ๆ มีลายพองาม แล้วเปิดซิปออกอย่างช้า ๆ

    ฉันเผลอมองเห็นในกระเป๋าของแม่อุ๊ย มันมีแต่เหรียญบาทและเหรียญห้า แม่อุ๊ยเลือกหยิบเหรียญบาทสิบเหรียญออกมาจ่ายค่าแกงแคที่สั่งไว้แล้วรับแกงถุงนั้นเดินไปหน้าตลาด ฉันเดาได้ว่าแม่อุ๊ยต้องไปใส่บาตรอย่างแน่นอนฉันเลยสั่งห่อนึ่งไก่อีกหนึ่งห่อก่อนรีบจ่ายเงินแล้วเดินไปหน้าตลาด คุณยายนิมนต์พระรูปหนึ่งซึ่งดูแก่พรรษาพอสมควร ฉันเลยเดินเข้าไปยืนข้างแม่อุ๊ย แกงแคของแม่อุ๊ยไปอยู่ในบาตรแล้วฉันจึงเอ่ยปากขอใส่บาตรกับแม่อุ๊ย แกตอบอนุญาตด้วยการผงกหัวและรอยยิ้มที่แทบมองไม่เห็นดวงตา ฉันใส่บาตรด้วยห่อนึ่งไก่แล้วล้วงห่อสังขยาในถุงหิ้วมาใส่อีกหนึ่งอย่าง นั่งลงรับพรด้วยความปิติใจที่ได้ใส่บาตรกับแม่อุ๊ย พระไปแล้ว แม่อุ๊ยลุกยืนอย่างไม่แข็งแรงสวมรองเท้าหูคีบสีน้ำเงินคู่เก่า แม่อุ๊ยหันมาทางฉัน แล้วถามด้วยรอยยิ้มอันละมุนใจ

    “ลูกอยู่ตี้ไหน”

    หลังจากนั้นการสนทนาระหว่างฉันและแม่อุ๊ยท่านนั้นก็ดำเนินไปประมาณห้าถึงหกคำถาม รอยยิ้มแบบนี้ฉันจำได้ว่าที่บ้านของฉันก็มี ฟ้าสว่างแล้ว แต่ที่สว่างกว่าฟ้าก็คือหัวใจฉัน แม่อุ๊ยท่านนั้นทำให้ฉันคิดถึงคุณยายที่บ้านเหลือเกิน ถึงเวลาที่ต้องกล่าวลาแม่อุ๊ยเสียแล้วสิ่ ฉันกล่าวคำร่ำลาพร้อมทั้งจับมือแม่อุ๊ยด้วยรอยยิ้มที่ฉันมอบให้อย่างเต็มใจและเปี่ยมสุข จู่ ๆ แม่อุ๊ยก็ขยับมืออีกข้างมาจับมือฉันแล้วพูดประโยคสั้น ๆ ว่า

    “แม่อุ๊ยใคร่มีหลานจะอี๊แท้เนอ”

    จู่ ๆ ดวงตาฉันก็มีน้ำใส ๆ เอ่อขึ้นมา ฉันอยากกอดแม่อุ๊ยท่านนี้จัง แต่มันคงไม่เหมาะที่คนไม่เคยรู้จักกันจะมากอดกันหน้าตลาด แม่อุ๊ยผละมืออกจากฉันแล้วเดินไป ฉันเดินเพื่อที่จะไปยังรถที่จอดไว้ หากแต่สายตาฉันยังคงมองตามแม่อุ๊ยไปไม่ละ

    แม่อุ๊ยนั่งพับเพียบลงบนพื้นข้าง ๆ ป้าขายดอกไม้ที่นั่งอยู่ก่อนแล้วบนเก้าอี้ไม้สี่ขาเคียงข้างแม่อุ๊ยอีกท่านหนึ่ง ที่คาดว่าน่าจะนั่งด้วยกันทุกวัน ฉันดั่งโดนมนตร์สะกด ให้ยืนอยู่ข้างเสาไฟฟ้าที่ไม่ขวางทางเดินใคร แม่อุ๊ยพูดทักทายคนข้าง ๆ เล็กน้อย ก่อนล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้ออีกข้างที่ไม่ได้ใส่กระเป๋าเงินไว้ หยิบเอาลอตเตอรี่ ประมาณ ยี่สิบใบที่หนีบด้วยที่หนีบกระดาษสีดำ แต่นั่นยังไม่พอ ผู้ชายคนหนึ่งเดินผ่านมาพร้อมยื่นเงินเหรียญห้าใส่ฝ่ามือของแม่อุ๊ยที่ยื่นมารองรับไว้ ...

    น้ำตาที่เอ่อก่อนหน้านี้ มันเป็นสัญญาณว่า กลับเถอะ ฉันไม่สามารถยืนน้ำตาไหลหน้าตลาดได้ ฉันเดินกลับไปที่รถ แล้วขับออกไป ในใจฉันยังมีภาพของรอยยิ้มแม่อุ๊ยท่านนั้นลอยอยู่ในภวังค์ฉันบังคับใจไม่ให้คิดว่าเงินเหรียญของแกที่จ่ายค่าแกงเมื่อครู่นี้ คงไม่ใช่ได้มาอย่างภาพที่ฉันเห็น ลูกหลานท่านอยู่ที่ไหน ใยไม่มาดูแลท่าน ให้ท่านได้สุขสบายในบั้นปลายชีวิตแบบนี้
   
    ฉันกังวลคิดไปถึงคนเฒ่าที่บ้าน .......
   
    ป่านนี้คงตื่นมานึ่งข้าวแล้วสิ่นะ บ้านเราคงหนาวไม่น้อย ยายเป็นอย่างไรบ้าง สบายดีหรือเปล่า วันนี้ ฉันต้องโทรไปคุยกับยายให้ได้ ฉันคิดถึงแม่อุ๊ยท่านนั้นเหลือเกินฉันสัญญากับใจว่า ถ้ามีโอกาสอีก ฉันขอไปใส่บาตรกับแม่อุ๊ยนี่อีกเถอะ ฉันภาวนาว่า แม่อุ๊ย คงขอลูกขอหลานออกมาทำแบบนี้เอง ไม่ใช่ลูกหลานบังคับให้มาทำ ฉันคิดไปถึงคำพูดของคนคนหนึ่งที่เคยพูดกับฉันหลังจากฉันควักเงินเหรียญบาทสิบเหรียญมาคืนเขาว่า

    “ทำไมต้องเหรียญบาท ไม่มีเหรียญสิบเหรอ ?”

    ตั้งแต่นั้นมา ฉันตั้งคำถามกับตัวเองเสมอว่า ทำไมเหรียญบาทสิบเหรียญถึงถูกมองว่ามีค่าน้อยกว่าเหรียญสิบบาทหนึ่งเหรียญ ? ฉันกลับมาถึงห้องด้วยความเหงา ฉันหุงข้าวไว้ในหม้อพอกินสองมื้ออิ่ม ๆ กับข้าวก็มีแต่...แม่อุ๊ยล่ะ ?

...มัลฬวัฏษกะ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๓...

แก้ไขเมื่อ 28 ก.ค. 54 12:29:57

แก้ไขเมื่อ 28 ก.ค. 54 12:28:58

แก้ไขเมื่อ 28 ก.ค. 54 12:26:41

แก้ไขเมื่อ 28 ก.ค. 54 12:21:55

แก้ไขเมื่อ 28 ก.ค. 54 12:21:01

แก้ไขเมื่อ 28 ก.ค. 54 06:54:21

จากคุณ : มัลฬวัฏษกะ
เขียนเมื่อ : 28 ก.ค. 54 06:45:21




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com