รุ่งเช้า..หลังจากจัดการกับธุระส่วนตัวและอาหารเช้าที่มีหญิงรับใช้นำมาเสิร์ฟให้จนถึงห้องพักเรียบร้อย หญิงสาวในคราบของนักบวชหนุ่มจึงค่อยรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นบ้าง นางก้าวออกมานอกอาคารที่พัก จ้องเป๋งไปยังถนนด้านหน้าด้วยความประหลาดใจ เมื่อคืนตอนที่เพิ่งเดินทางมาถึง ถนนทุกสายในเมืองลัสเตอร์สโตนล้วนมืดมิดเงียบเชียบ แม้แต่บริเวณจัตุรัสกลางเมืองที่ตามปกติมักจะมีผู้คนพลุกพล่านตั้งแต่ก่อนเที่ยงไปจนดึกดื่นก็ยังเงียบสงัดราวกับเป็นเมืองร้าง ทว่าในเช้าวันนี้ทุกอย่างกลับตาลปัตรไปหมด ถนนทั้งสี่สายตลอดจนบริเวณลานกลางซึ่งมีน้ำพุรูปเทพแห่งท้องสมุทรตั้งตระหง่านอยู่ ถูกประดับประดาด้วยธงผืนยาวและช่อดอกไม้สดหลากสีสันส่งกลิ่นหอมรวยริน สองฟากถนนเต็มแน่นไปด้วยแผงขายสินค้าใหญ่น้อยละลานตา ผู้คนที่ไม่รู้ว่าหลั่งไหลมาจากไหนมากมายเดินเลือกชมสินค้าอยู่ขวักไขว่ จนดูราวกับว่าสิ่งที่นางเห็นเมื่อคืนก่อนเป็นเพียงภาพลวงตาหรือไม่ก็ความฝันเท่านั้น “ยืนเหม่ออะไรอยู่ท่านเมล ทำไมไม่ออกเดินสักที” เสียงห้าวทุ้มที่จู่ๆ ก็ดังขึ้นข้างหูทำเอาหญิงสาวเกือบสะดุ้ง นางหันไปตำหนิเจ้าของเสียงด้วยสายตา ก่อนจะก้าวลงไปบนถนนปูหินหน้าที่พัก ออกเดินปะปนไปกับชาวเมืองคนอื่น “คนเยอะชะมัด ข้านึกว่าลัสเตอร์สโตนจะเป็นเมืองที่สงบกว่านี้เสียอีก” เสียงบ่นเบาๆ ของนางทำให้คนที่เดินตามหลังมาติดๆ อดหัวเราะไม่ได้ “ปกติลัสเตอร์สโตนก็เป็นอย่างที่ท่านว่านั่นแหละ แต่ช่วงนี้เป็นช่วงเทศกาลขายสินค้า คนก็เลยมากหน่อย” เขาอธิบาย “เทศกาลขายสินค้า?” “ใช่ ในช่วงเวลานี้ของทุกปี ชาวบ้านที่ทำงานในเหมืองจะนำสินค้าที่พวกเขาหาได้มาวางขาย รวมทั้งพวกช่างทำเครื่องประดับมือสมัครเล่นด้วย ท่านสนใจจะเข้าไปดูสักหน่อยมั้ยล่ะ” “ไม่ละ เรามีงานต้องทำ ข้าไม่อยากเสียเวลา” “เถอะน่าท่านเมล ไหนๆ ก็มาถึงเมืองแห่งอัญมณีในช่วงเทศกาลทั้งที แวะดูหน่อยก็ไม่เห็นจะเสียหายนี่” เอลไม่พูดเปล่า เขาก้าวพรวดสองทีก็แซงหน้าคนที่เดินนำอยู่ก่อนได้อย่างสบาย แถมยังหันกลับมาคว้าข้อมือเล็กบางของนักบวชหนุ่ม ฉุดให้ตามไปหยุดอยู่หน้าแผงขายเครื่องประดับกระจุกกระจิกที่ตั้งอยู่ใกล้ที่สุดเสียอีกด้วย หญิงชราเจ้าของแผงเห็นลูกค้าพุ่งพรวดเข้ามายืนอยู่ตรงหน้าอย่างนั้นก็ยิ้มแก้มแทบปริ นางกุลีกุจอเลื่อนถาดใส่เครื่องประดับที่มีทั้งแหวน ต่างหู สร้อยคอ ตลอดจนเข็มกลัดเสื้อคลุมหลากหลายแบบไปตรงหน้าชายหนุ่มทั้งสองด้วยท่าทางเต็มอกเต็มใจ “เชิญเลือกชมดูได้ตามสบายเลยค่ะ นี่เป็นเครื่องประดับฝีมือลูกชายข้าเอง ราคาไม่แพงหรอกค่ะรับรอง นายท่านไม่คิดจะซื้อไปฝากคนรักสักชิ้นหรือคะ” “นั่นสินะ...” ชายหนุ่มคนที่ตัวใหญ่กว่าก้มลงหยิบเครื่องประดับกระจุ๋มกระจิ๋มจากในถาดขึ้นมาพลิกดู แล้วหันไปถามนักบวชร่างบางที่ยืนหน้าหงิกอยู่ข้างๆ “ท่านล่ะ ไม่ซื้อเครื่องประดับไปฝากสาวคนรักสักชิ้นหรือ” “ข้าไม่มีคนรัก แล้วก็ไม่สนใจจะซื้อของพวกนี้ด้วย ถ้าเจ้าอยากจะซื้อเครื่องประดับไปฝากเจ้าชายกันนาร์ก็ซื้อไปเถอะ ไม่ต้องมายุ่งกับข้า” “อ๊ะ แปลก... หนุ่มรูปหล่ออย่างท่านยังไม่มีคนรัก เป็นไปได้ยังไง...” เอลพูดกลั้วหัวเราะ หากแล้วเสียงหัวเราะก็กลืนหายไป ตามมาด้วยอาการย่นหัวคิ้ว ดวงตาสีน้ำเงินอมเขียวมองหน้าคนที่กล่าวประโยคเมื่อสักครู่อย่างฉงนแกมหาเรื่อง “เดี๋ยวนะ แล้วทำไมข้าจะต้องซื้อเครื่องประดับให้กันน์ด้วย” “อ้าว เจ้าไม่อยากจะซื้อของไปฝากคนรักบ้างหรอกหรือ” “คนรัก?” ชายหนุ่มพยายามทำความเข้าใจกับคำพูดของอีกฝ่าย พอรู้ความนัยที่แฝงเร้นอยู่ในประโยคนั้น ผิวละเอียดค่อนข้างขาวก็แดงซ่านจากใบหน้าตลอดถึงลำคอ “ข้ากับกันน์ไม่ได้...อะไรทำให้ท่านคิดบ้าๆ แบบนั้นท่านเมล...” “ก็ข้าเคยเห็นเจ้าชายลอบเข้าไปในวิหารตอนค่ำเพื่อพบกับเจ้า อย่างนี้ไม่ใช่คนรักแล้วจะเรียกว่าอะไร” คำตอบที่ได้ยินชัดเจนทำเอาคนเป็นราชาแทบสำลัก ...หมอนี่เห็นเขาตอนแต่งเป็นผู้หญิงยังไม่พอ ดันแอบไปเห็นตอนอยู่กับกันนาร์ที่วิหารเสียอีก ...เจ้าบ้ากันนาร์ ไหนรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าไม่มีใครเห็นแน่นอนไงล่ะ กลับไปถึงลินเด็นเมื่อไหร่เขาจะต้องไล่เตะเจ้าเพื่อนสนิทคนนี้ให้สมแค้นสักที “กันนาร์เป็นสหายของข้า” ชายหนุ่มกัดฟันตอบ “ได้ยินมั้ยท่านเมล เราเป็นเพื่อนกัน เพราะฉะนั้นเลิกคิดอกุศลได้แล้ว” คนในชุดนักบวชยิ้มกริ่มพยักหน้าเสมือนรับรู้ หากสิ่งที่ปรากฏออกมาทางดวงตาสีน้ำเงินสดใส บ่งบอกว่าเจ้าตัวไม่เชื่อคำแก้ตัวที่ได้ยินแม้แต่คำเดียว “เพื่อนก็เพื่อนสิ ข้าไปว่าอะไรเจ้าล่ะ ไม่เห็นต้องทำท่าโกรธขนาดนั้นนี่นา เอ๊ะ หรือว่าเจ้าจะเขินกันแน่” “หยุดพูดได้แล้ว ก่อนที่ข้าจะโมโหท่านขึ้นมาจริงๆ” เมลิอานาร์ยักไหล่ยียวน นางรู้แล้วว่าจุดอ่อนของแม่สาวร่างยักษ์ผู้นี้คืออะไร “ตกลง ข้าไม่พูดก็ได้ เจ้าจะซื้ออะไรฝากใครก็ตามใจเถอะ แต่อย่านานนักล่ะ เรายังมีเรื่องต้องทำต่อ” “ข้าไม่ซื้อแล้ว” ชายหนุ่มกระแทกต่างหูทับทิมสีแดงจัดรูปหยดน้ำที่ตั้งใจจะซื้อไปฝากเจ้าหญิงกาอิยาห์คืนลงในถาดเครื่องประดับแล้วทำท่าจะผละจากไป หากหญิงชราเจ้าของแผงพยายามยื่นแหวนทองคำขนาดเล็กประดับพลอยสีน้ำเงินอมเขียวทอประกายระยับมาตรงหน้าลูกค้าของนาง พร้อมกับจ้องมองพวกเขาด้วยสายตาวิงวอน “อย่าเพิ่งไปสิคะนายท่าน ท่านไม่ซื้อต่างหูก็ไม่เป็นไรแต่แหวนพลอยน้ำทะเลสีเข้มหายากวงนี้ท่านไม่ควรมองข้ามมัน ได้โปรดชมดูสักนิดเถอะค่ะ สีของพลอยเข้ากับสีดวงตาของนายผู้ชายท่านนี้เหลือเกิน ไม่ลองชมดูก่อนหรือคะ” เอลเบือนหน้าไปทางอื่นอย่างไม่สนใจ หากคนในชุดนักบวชเหลือบมองแหวนทองคำวงน้อยประดับพลอยสีเขียวเข้มอมน้ำเงินสดใสราวกับสีของท้องทะเลยามคลื่นลมสงบในมือเหี่ยวย่นของหญิงชราอย่างใช้ความคิด ที่จริงก็ไม่เลวนักหรอกถ้าจะต้องซื้อแหวนสักวง หากมันจะทำให้นางทุ่นเวลาในการตามหาตัวช่างทำเครื่องประดับชื่อดังคนนั้นได้ หญิงสาวเลื่อนสายตาไปมองหน้าคนขายแล้วยื่นข้อเสนอของนาง “เอาอย่างนี้แล้วกันท่านป้า ถ้าท่านตอบคำถามที่ข้าต้องการรู้ได้ เราจะซื้อแหวนของท่าน” “คำถามอะไรคะ ถ้าตอบได้ข้าก็ยินดี” “ท่านรู้จักช่างทำเครื่องประดับที่ชื่อ ริช ไคลี่หรือเปล่า” “อ๋ออออ” หญิงชราลากเสียงยาว ดวงตาขุ่นมัวเปล่งประกายสดใส “รู้จักค่ะท่านนักบวช ท่านไคลี่เป็นช่างทำเครื่องประดับฝีมือดีที่สุดของหมู่บ้านเรา” “แล้วเขาอยู่ที่ไหน ท่านป้าพอจะทราบมั้ย” “บ้านของเขาอยู่ใกล้ๆ หอระฆังค่ะ พวกท่านเดินไปตามถนนสายนี้จนสุดแล้วเลี้ยวซ้ายเดินต่อไปอีกหน่อยก็ถึง” “ขอบคุณท่านป้ามาก แหวนของท่านราคาเท่าไหร่” “สี่พันห้าร้อยเกรนค่ะ” หญิงชรารีบห่อแหวนวงน้อยด้วยกระดาษเยื่ออย่างดีแล้วยื่นส่งให้นักบวชหนุ่มซึ่งเอื้อมมือมารับไว้ ก่อนจะหันไปยัดห่อกระดาษนั้นใส่มือคนข้างกายอีกต่อหนึ่ง “แหวนเป็นของเจ้าแล้ว จ่ายเงินให้นางด้วย” “อะไรกัน ท่านเป็นคนตกลงกับนาง ท่านก็จ่ายเองสิ...” คนที่หลวมตัวยืนฟังนักบวชหนุ่มสนทนาโต้ตอบกับแม่ค้าชราอยู่เป็นนานโวยลั่นที่จู่ๆ จะต้องมาจ่ายค่าแหวนราคาแพง หากเจ้าคนต้นคิดไม่ได้อยู่รอฟังเสียงโวยเสียแล้ว หมอนั่นเผ่นแผล็วหายเข้าไปในฝูงชนตั้งแต่ชายหนุ่มยังไม่ทันได้อ้าปากด้วยซ้ำ เอลจึงจำต้องควักถุงเงินออกมาอย่างเสียไม่ได้ เขาหยิบเหรียญทองในถุงส่งให้หญิงชราโดยแทบจะไม่ได้นับ แล้วรีบสาวเท้าตามเพื่อนร่วมทางตัวแสบไปทันที ชายหนุ่มพยายามสอดส่ายสายตาฝ่าฝูงชนที่กีดขวางอยู่ข้างหน้ามองหาเจ้าของร่างผอมบางในชุดยาวรุ่มร่ามสีเทาเงิน ...เจ้าบ้านั่นหายหัวไปไหนไวชะมัด... เขายังคิดไม่ทันจบก็พอดีมองเห็นเมลยืนยิ้มกอดอกพิงต้นไม้ใหญ่ข้างทางเหมือนกำลังรออยู่ ท่าทางสบายอกสบายใจไม่ทุกข์ร้อนของหมอนั่นดูแล้วขัดตาชายหนุ่มยิ่งนัก “ท่านนี่แสบจริงๆ” เมลิอานาร์ยิ้มรับคำพูดของอีกฝ่ายอย่างไม่สะทกสะท้าน นางขยับออกเดินไปตามทิศทางที่หญิงชราคนขายแหวนชี้บอก ปากก็พูดไปเรื่อยๆ “ใจเย็นๆ น่าเอล เจ้าจะโมโหไปทำไม เราได้ทั้งแหวนได้ทั้งที่อยู่ของริช ไคลี่ ไม่ดีหรือไงหา” “แล้วใครว่าข้าอยากได้แหวนไม่ทราบ” “ถ้าไม่อยากได้ เจ้าโยนทิ้งไปก็สิ้นเรื่อง” เอลหยิบแหวนออกมาจากห่อกระดาษแล้วตั้งท่าจะขว้างมันทิ้งตามคำแนะนำจริงๆ หากคนแนะนำหันมาเห็นเข้าเสียก่อนจึงรีบร้องห้ามเสียงหลง “เฮ้ยยย เจ้าจะบ้าเหรอเอล แหวนราคาตั้งสี่พันห้าร้อยเกรน คิดเป็นค่าเช่าห้องพักได้ตั้งหลายคืน เจ้าจะทิ้งจริงๆ น่ะ” “ก็ข้าบอกแล้วว่าไม่อยากได้” เมลถอนใจเฮือก แล้วเสนอทางออกใหม่ “เจ้าก็เก็บไว้ให้คนอื่นๆ อย่างเจ้าช...เอ่อ..ใครก็ได้นี่” “งั้นให้ท่านก็แล้วกัน ถือว่าเป็นค่าจ้างที่ท่านอุตสาห์เดินทางมาจากแลมพ์ตันเพื่อช่วยพวกเรา” ชายหนุ่มยื่นมือที่กำแหวนออกมาตรงหน้า ทว่าคนตัวเล็กกว่ากลับส่ายหน้าปฏิเสธ “ข้าไม่ต้องการค่าจ้างจากเจ้า ที่ข้ามานี่ก็เพราะเจ้าหญิงไม่ใช่เพราะเจ้าสักหน่อย” “ยื่นมือมาเดี๋ยวนี้ท่านเมล” คนในชุดนักบวชยังคงเฉย ดวงตาคู่สวยเหลือบมองคนออกคำสั่งนิดหนึ่งพลางถอนใจอีกเฮือก “จะต้องให้ข้าพูดตรงๆ หรือเอลลี่ แหวนพลอยสีเหมือนดวงตาของเจ้าอย่างนี้ ข้าเห็นแล้วมัน... เอ่อ... ขนลุกน่ะ เจ้าเก็บเอาไว้ให้คนอื่นดีกว่า” ราวกับราดน้ำมันลงบนกองเพลิงที่จวนหรี่ดับให้กลับโหมฮือขึ้นมาใหม่ สีหน้าของเอลเบอเรธกระด้างเย็นชาไม่ผิดอะไรกับหน้ากากเหล็ก ดวงตาสีน้ำเงินอมเขียววาวโรจน์ขึ้นอย่างน่ากลัว ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีใครกล้าพูดจาเช่นนี้กับเขามาก่อน แล้วเจ้าหนุ่มชาวแลมพ์ตันผู้นี้กล้าดียังไง ชายหนุ่มคว้าไหล่รั้งร่างของคนตัวเล็กกว่าให้หันกลับมาเผชิญหน้า พลางเอ่ยถามเสียงกร้าว “ท่านจะยื่นมือมารับแหวนไปดีๆ หรือต้องให้ข้าสวมให้” “ก็ได้ ก็ได้” คนในชุดนักบวชยกสองมือขึ้นเสมอไหล่ในท่ายอมแพ้ ...ที่จริงแหวนวงนั้นก็สวยดีอยู่หรอก พลอยน้ำทะเลสีเข้มจัดหายากอย่างนี้ หากท่านผู้หญิงมาร์กาเร็ตได้มาเห็นเข้าเป็นต้องกรี๊ดกร๊าดแน่นอน ดีเหมือนกันเวลาที่นางกลับบ้านจะได้มีของไปกำนัลผู้เป็นมารดา ...เผื่อท่านผู้หญิงจะบ่นน้อยลงอีกหน่อย หญิงสาวแบมือออกมาตรงหน้า “ส่งมาสิ” เอลรอจังหวะอยู่แล้ว พอเห็นเจ้านักบวชรูปหล่อไม่ทันระวังตัว เขาก็คว้าข้อมืออีกข้างของหมอนั่นขึ้นมาสวมแหวนให้ โดยไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำว่าตนสวมแหวนลงบนนิ้วไหนของเจ้าหมอนั่น แค่เห็นคนตรงหน้าชักมือกลับด้วยสีหน้าตกใจก็เพียงพอแล้ว ความรู้สึกขุ่นมัวในใจของเขาดูเหมือนจะมลายหายไปจนเกือบหมด ...หากไปเกาะติดอยู่กับคนในชุดนักบวชแทน “ทำอะไรของเจ้าน่ะเอล” เมลิอานาร์จ้องหน้าคมคายของคนตัวสูงกว่าด้วยสายตาขุ่นเขียว
“เจ้าไม่รู้หรือไงว่า...”
หญิงสาวชะงักคำพูดไว้แค่ปลายลิ้น ก้มลงมองดูมือข้างซ้ายด้วยความเจ็บใจที่พลาดท่าเสียทีให้คนตรงหน้าจนได้ พลอยสีน้ำทะเลบนนิ้วทอประกายระยิบระยับราวกับกำลังหัวเราะเยาะนางอยู่ หญิงสาวสะบัดมือไปตรงหน้าแม่สาวร่างยักษ์ด้วยท่าทางโกรธจัด “ถอดมันออกเดี๋ยวนี้ แล้วข้าจะอภัยให้กับความไม่รู้ของเจ้า” คนได้รับคำสั่งยืนยิ้มเฉยอยู่ในหน้า ทำไมเขาจะไม่รู้ธรรมเนียมประหลาดของชาวแลมพ์ตัน ในเมื่อบิดาของเขาเองเป็นผู้สวมแหวนแห่งพันธะไว้ที่พระดัชนีข้างซ้ายของราชาซาเรียเมื่อครั้งที่ทั้งสองพระองค์ทรงทำข้อตกลงทางทหารร่วมกัน เขารู้ดีเชียวละ แล้วยังรู้อีกด้วยว่าแหวนที่สวมลงบนนิ้วมือข้างซ้ายของชาวแลมพ์ตันเปรียบเสมือนสัจจะสัญญาที่ต้องรักษา ผู้ถูกสวมแหวนจะไม่มีสิทธิ์ถอดแหวนออกเองโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ที่สวมแหวนให้ นอกจากกว่าสัจจะสัญญานั้นจะถูกกระทำให้สำเร็จลุล่วงหรือถูกยกเลิกเป็นโมฆะ “ข้าจะไม่ถอดแหวนให้ท่าน จนกว่างานจะสำเร็จ” ชายหนุ่มตอบ “เจ้ารู้...” หญิงสาวเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจจนเกือบจะลืมความโกรธไปชั่วขณะ “เจ้ารู้เรื่องแหวนแห่งพันธะ” เอลพยักหน้ารับ “ใช่ ข้ารู้ มันก็ไม่ใช่ความลับอะไรนี่ ทำไมข้าจะรู้ไม่ได้” “งี่เง่า ถ้าอย่างนั้นเจ้าต้องสวมแหวนไว้ที่นิ้วชี้ของข้า ไม่ใช่นิ้วนาง” “สำหรับข้าจะนิ้วไหนก็เหมือนกันนั่นแหละ ท่านอย่าใช้ลูกไม้ตื้นๆ มาหลอกให้ข้าถอดแหวนเสียให้ยาก ข้าไม่มีทางหลงกล” เอลพูดแล้วก็ผายมือไปที่ถนน เป็นการบอกให้อีกฝ่ายออกเดินทางต่อสักที เมลิอานาร์ได้แต่ยืนกัดฟันกรอดจ้องหน้าแม่สาวใช้ร่างยักษ์อย่างแสนแค้น เคราะห์ดีที่เอลลี่ไม่ใช่ผู้ชาย ไม่อย่างนั้นคงจะได้เห็นเลือดของชาวกรีนแลนด์กันมั่งหรอก หญิงสาวทิ้งสายตาอาฆาตไว้ที่ร่างสูงใหญ่ผิดผู้หญิงของคนตรงหน้า หันหลังขวับ ก้าวเดินดุ่มๆ ไปตามถนนโดยไม่พูดอะไรอีกเลย เอลมองตามร่างบางที่เดินนำลิ่วห่างออกไปด้วยสีหน้ายิ้มกริ่ม รู้สึกอารมณ์ดีเป็นพิเศษจนต้องผิวปากออกมาเป็นเพลง ไม่ใส่ใจกับสายตาอยากรู้อยากเห็นของชาวเมืองทั้งหลายที่เดินผ่านไปผ่านมา ชายหนุ่มขยับออกเดินตามหลังคนในชุดนักบวชไปช้าๆ ไม่รีบร้อน ขืนเร่งสปีดด้วยอัตราเดียวกับเจ้าหมอนั่น กว่าจะถึงบ้านของช่างทำอัญมณีชื่อดังเป็นได้หมดแรงก่อนพอดี เอลนึกภาพอาการสะบัดหน้าพรืดแล้วเดินจ้ำอ้าวหนีไปของหนุ่มหล่อรายนั้นแล้วก็ต้องส่ายศีรษะอย่างไม่เข้าใจ เรื่องแค่นี้เอง เจ้าหมอนั่นทำงอนตุ๊บป่องเป็นผู้หญิงไปได้
...แปลกแท้ๆ เชียว
แก้ไขเมื่อ 29 ก.ค. 54 06:58:43
จากคุณ |
:
akihiro
|
เขียนเมื่อ |
:
วันภาษาไทยแห่งชาติ 54 06:58:16
|
|
|
|