Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ลำนำรักใต้แสงจันทร์ ตอนที่ 10 ติดต่อทีมงาน

ตอนที่ 9 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10839899/W10839899.html

=============================================

       เมลิอานาร์ถูกเคาะประตูปลุกตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง นางมีเวลาเก็บข้าวของเพียงแค่ไม่ถึงอึดใจ ก่อนจะถูกลากไปยังรถม้าซึ่งจอดซ่อนอยู่ในดงไม้ข้างวิหาร เจ้าชายกันนาร์ทรงยัดแส้หนังใส่มือนาง พร้อมกับตรัสกำชับฝากฝังเอลลี่เสียมากมาย ราวกับว่าหญิงสาวผู้นั้นกำลังจะเดินทางไปสู่สนามรบมากกว่าจะเดินทางไปตามหาตัวช่างทำอัญมณี เมลิอานาร์จ้องมองแส้หนังในมือสลับกับพระพักตร์เจ้าชายหนุ่มด้วยความประหลาดใจแกมฉุน ...นี่นางต้องทำหน้าที่เป็นทั้งสารถีและองครักษ์ไปพร้อมๆ กันเชียวหรือ

       หญิงสาวเดินหน้ามุ่ยไปนั่งประจำที่คนขับ ในขณะที่แม่สาวใช้ประจำวิหารค่อยๆ ก้าวขึ้นนั่งบนเบาะนุ่มด้านหลังด้วยท่วงท่าสบายอกสบายใจเป็นพิเศษ เมื่อทั้งคู่เข้าประจำที่เรียบร้อย เจ้าชายกันนาร์ก็โบกพระหัตถ์เป็นสัญญาณให้ออกเดินทางได้ รถสีน้ำตาลคันเล็กเทียมด้วยม้าเพียงตัวเดียวจึงถูกกระตุ้นให้แล่นเรียบไปตามถนนปูอิฐ ทว่ายังไม่ทันจะพ้นกำแพงปราสาท ปัญหาแรกก็มาเยือนเสียแล้ว

       ทหารยามหน้าตาขึงขังในเครื่องแบบสีเทาไม่ยอมให้รถม้าที่มีนักบวชแปลกหน้าเป็นคนขับแล่นผ่านซุ้มประตูโค้งไปง่ายๆ พวกเขายกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้หยุดรถ พร้อมกับใช้ปลายหอกแหวกม่านหน้าต่างข้างตัวรถเพื่อมองเข้าไปภายใน

       “จะไปไหนแต่เช้าขอรับท่านนักบวช” นายทหารซัก “แล้วในรถนั่นมีใครอยู่หรือเปล่า”

        เมลิอานาร์ตอบคำถามไปตามจริง หากดูเหมือนทหารยามจะยังไม่พอใจ เขาใช้ด้ามหอกกระทุ้งประตูรถเสียงดังพลางออกคำสั่ง

       “เฮ้ แม่หญิงที่นั่งอยู่ในรถน่ะ โผล่หน้าออกมาให้ข้าดูหน่อยสิ”

       สิ้นเสียงของทหารผู้นั้น ม่านข้างหน้าต่างรถก็ถูกแหวกออกเป็นช่องด้วยปลายหอก คนในรถตวัดฮู้ดขึ้นคลุมศีรษะปิดบังใบหน้าเอาไว้ครึ่งๆ พร้อมกับเบียดตัวเองให้แนบผนังข้างตัวรถมากยิ่งขึ้น

       “ไม่ได้ยินหรือไง ข้าบอกให้เจ้าโผล่หน้าออกมาหน่อย”

       ทหารยามส่งเสียงเรียก หากไม่ได้รับคำตอบ ทุกอย่างในรถยังคงเงียบกริบราวกับว่าไม่มีใครอยู่ หรือไม่คนที่อยู่ในรถก็ไม่ได้ยินประโยคที่เขากล่าว

        “แม่หญิง ได้ยินข้าหรือเปล่า กรุณาโผล่หน้าออกมาหน่อย”

       คราวนี้คนถามใช้ด้ามหอกเคาะประตูรถเสียงดัง นักบวชหนุ่มจึงต้องเป็นฝ่ายตอบเสียเอง

       “แม่หญิงในรถนางไม่ค่อยสบายน่ะท่าน ข้าคิดว่านางคงนอนหลับอยู่เลยไม่ได้ยินที่ท่านสั่ง ถ้าท่านอยากดูหน้านางจริงๆ ข้าจะลงไปเปิดประตูให้”

       นายทหารหนุ่มเงียบไปอึดใจหนึ่งอย่างลังเล ในที่สุดเขาก็ยอมถอยออกห่างจากตัวรถ โบกมือเป็นสัญญาณให้คนขับพารถม้าผ่านประตูไปได้

       คนในรถลอบระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกก่อนจะเอนร่างพิงพนักที่นั่งตามเดิม เขารู้สึกได้ถึงจังหวะกระตุกน้อยๆ ขณะที่รถม้าเริ่มเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอีกครั้ง เสียงล้อรถบดถนนศิลาหน้าปราสาทดังเป็นจังหวะสม่ำเสมออยู่ในความเงียบสงัดของยามเช้า

       เมื่อรถม้าแล่นห่างจากตัวปราสาทเป็นระยะทางไกลพอสมควร คนขับก็ส่งเสียงหงุดหงิดถามมาจากที่นั่งหน้ารถ

        “เป็นอะไรของเจ้าน่ะเอลลี่ ทำไมไม่ทำตามที่ทหารคนนั้นสั่ง”

       “ไม่เห็นจำเป็นนี่ ถึงไม่ทำตาม พวกนั้นก็ปล่อยให้เราผ่านประตูออกมาอยู่ดี”

       “แล้วมันเหตุผลอะไรกันที่เจ้าต้องขัดขืน หรือว่าที่ลินเด็นมีกฎบ้าๆ ห้ามหญิงรับใช้ออกนอกเขตปราสาทอีกข้อหนึ่ง เจ้าถึงให้ทหารเห็นตัวไม่ได้” น้ำเสียงของคนถามฟังดูก็รู้ว่าประชด

        เอลเบอเรธอมยิ้ม รู้สึกสนุกที่จะได้ยั่วเจ้าหนุ่มคนขับให้หัวเสีย เขารู้ตั้งแต่เห็นหน้าหงิกๆ ของหมอนั่นแล้วว่าเจ้าตัวไม่เต็มใจที่จะให้เขาร่วมทางมาด้วย โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าตัวเองจะต้องทำหน้าที่เป็นคนขับในขณะที่เขาได้นั่งสบายอยู่ในรถ ชายหนุ่มนึกอยากจะเห็นหน้าของเจ้าหนุ่มเมลในตอนนี้ยิ่งนัก ดวงตาสีน้ำเงินคู่สวยของหมอนั่นคงจะเป็นประกายกล้าราวกับมีไฟลุกอยู่ข้างในเลยทีเดียว

        “ข้าอาจจะตกใจละมั้งท่านนักบวช เพราะข้าไม่ได้ผ่านออกนอกเขตกำแพงปราสาทมาหลายปีแล้ว เหตุผลข้อนี้พอจะทำให้ท่านอภัยให้ข้าได้หรือไม่”

       นักบวชหนุ่มไม่ตอบ มีเพียงเสียงแส้หวดกระทบหลังม้าเบาๆ เอลเบอเรธฉีกยิ้มกว้างขึ้นไปอีกแม้จะไม่มีใครเห็น...แค่นึกถึงใบหน้าหงุดหงิดของหมอนั่นก็ทำให้อารมณ์ของเขาดีขึ้นมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ

        เป็นเวลากี่ปีแล้วหนอที่เขาไม่ได้ย่างเท้าออกนอกเขตกำแพงหนาที่ล้อมรอบปราสาทลินเด็นเอาไว้ ครั้งสุดท้ายที่เขาขี่ม้าออกจากปราสาทดูเหมือนจะเป็นเมื่อสี่ปีก่อน วันนั้นเป็นวันแรกของฤดูร้อน  เขาได้รับอนุญาตให้เดินทางไปยังป่าแทรี่พร้อมกับทหารองครักษ์จำนวนหนึ่ง เพื่อเข้าร่วมเทศกาลล่าสัตว์ซึ่งจะดำเนินไปตลอดสัปดาห์ แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น มันกะทันหันเสียจนไม่มีใครทันคิดเฉลียวใจว่าจะเป็นแผนการอันแยบยลที่มีผู้ใดผู้หนึ่งวางเอาไว้ล่วงหน้า ทันทีที่ชายหนุ่มไปถึงชายป่าแทรี่ ก็ได้รับแจ้งข่าวว่าผู้เป็นบิดาซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งประมุขของประเทศ ถูกลูกธนูล่าสัตว์ของสหายคนหนึ่งเข้าจนได้รับบาดเจ็บ บาดแผลที่ผู้เป็นบิดาของเขาได้รับไม่หนักหนาอะไรนักในทีแรก แพทย์หลวงเองก็รับรองแข็งขันว่าพระองค์จะหายดีและกลับมาแข็งแรงดังเดิมในเร็ววัน ทว่าหลังจากนั้นไม่นาน ในฤดูหนาวปลายปีนั่นเอง ผู้เป็นประมุขแห่งกรีนแลนด์ก็สิ้นพระชนม์ลง แพทย์หลวงลงความเห็นว่าพระองค์ทรงถูกวางยาพิษ และพิษนั้นเป็นพิษที่ร้ายแรงมาก กว่าจะแสดงอาการให้ปรากฏก็สายเกินที่จะเยียวยารักษาเสียแล้ว

        ราชาหนุ่มถอนใจยาวพลางสะบัดศีรษะไล่ความคิดชวนหดหู่ออกไปจากสมอง เอื้อมมือไปแหวกม่านหน้าต่างให้เปิดออกแล้วทอดสายตามองออกไปภายนอก ทิวทัศน์ของกรีนแลนด์ยังคงงดงามเหมือนเช่นเดิม แนวสีครามสลับซับซ้อนของเทือกเขาอัลมาร์ยังคงดูน่าเกรงขามไม่เปลี่ยนแปลง แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือตัวเขาเอง

       นับตั้งแต่ราชาองค์ก่อนสิ้นพระชนม์ลง ภาระหน้าที่ต่างๆ ที่พระองค์เคยปฏิบัติก็โถมทับลงบนบ่าทั้งสองข้างจนเขาแทบจะแบกรับไม่ไหว เอลเบอเรธจำต้องละทิ้งอารมณ์สนุกคะนองแบบเด็กวัยรุ่นไปเสียสิ้นแล้วหันมาทุ่มเทสมองและพลังกายทั้งหมดเท่าที่มีให้กับการปกครองบ้านเมืองจนแทบจะไม่เหลือเวลานึกถึงตัวเอง ความอยู่รอดของประเทศและประชาชนชาวกรีนแลนด์นั่นต่างหากคือสิ่งที่เขาจะต้องคำนึงถึง

       เอลเบอเรธสูดอากาศบริสุทธิ์เจือกลิ่นหอมของดอกไม้ข้างทางเข้าปอดด้วยจิตใจที่ปลอดโปร่งอย่างไม่เคยรู้สึกมานานแล้ว ไม่น่าเชื่อเลยว่าภาระที่ต้องแบกรับไว้ตลอดระยะเวลาสี่ปีที่ผ่านมา จะทำให้เขาลืมความรู้สึกรื่นรมย์ในชีวิตไปเสียสนิท เขาเกือบจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำไปว่าทุ่งหญ้าในกรีนแลนด์ที่เคยวิ่งเล่นอย่างสนุกสนานในวัยเด็กนั้นกว้างใหญ่ขนาดไหน หรือดอกไวโอเลตที่เขาเคยโปรดปรานมีสีสันเช่นไร ต้องขอบคุณน้องสาวตัวยุ่งของกันนาร์ที่ช่วยให้เขาได้มีโอกาสกลับมามองดูสิ่งสวยงามเหล่านี้อีกครั้ง ถ้านางไม่คิดจะหาเรื่องตามเจ้าหนุ่มเมลไปถึงเมืองลัสเตอร์สโตนละก็ ป่านนี้เขาคงต้องทนแต่งตัวเป็นผู้หญิงแอบซ่อนอยู่ในวิหารเพื่อแลกกับการที่ไม่ต้องแสร้งทำเป็นนอนป่วยอยู่บนเตียงทั้งวัน

        บางทีเขาน่าจะหาซื้อของเล็กๆ น้อยๆ กลับไปฝากนางสักชิ้น...

       จวนค่ำแล้ว แสงแดดจ้าย่ามบ่ายเริ่มเลือนลับไป ทิวทัศน์สองข้างทางซึ่งเป็นหมู่บ้านและทุ่งนาแปรเปลี่ยนเป็นต้นไม้และป่าโปร่งจนดูราวกับว่าถนนทั้งสายถูกโอบล้อมด้วยอ้อมกอดเขียวครึ้มของธรรมชาติ เสียงสายลมไกวใบไม้ก่อให้เกิดท่วงทำนองเพลงแห่งพฤกษา ดังแว่วมาให้ได้ยินเป็นระยะ ท้องฟ้ากว้างเบื้องบนถูกอาบย้อมด้วยแสงสุดท้ายของวันจนกลายเป็นสีชมพูอมส้มไปทั้งผืน บรรยากาศโดยรอบงามสงบชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย

        “ใกล้เวลาพระอาทิตย์ตกแล้ว ข้าว่าเราควรหยุดพักสักที เจ้าว่ายังไงเอลลี่” เสียงคนขับตะโกนแหวกความเงียบถามมาจากด้านหน้ารถ

       “ตรงไปข้างหน้าอีกหน่อยมีกระท่อมล่าสัตว์ตั้งอยู่ เราจะพักกันที่นั่นคืนนี้” ชายหนุ่มตอบกลับไป

       อีกไม่นานท้องฟ้าก็จะมืดจนมองอะไรไม่เห็น เมลิอานาร์จึงหวดแส้ลงบนหลังม้าเต็มแรง เร่งให้รถเคลื่อนที่ไปข้างหน้าเร็วขึ้นเพื่อให้ถึงกระท่อมที่ว่าในขณะที่ยังพอมีแสงสว่างจากดวงอาทิตย์หลงเหลืออยู่

       ไม่นานนักรถม้าก็แล่นมาหยุดสนิทอยู่บริเวณลานเรียบริมแม่น้ำควินส์ติดกับชายป่าแทรี่ อันเป็นเสมือนเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างแคว้นดาโกที่ตั้งของเมืองหลวงกับแคว้นอังมาร์ ที่นี่มีกระท่อมล่าสัตว์สร้างด้วยปีกไม้ตั้งกระจายอยู่หลายหลัง แต่ละหลังมีสภาพเหมือนถูกทิ้งร้างมานานด้วยฤดูล่าสัตว์ประจำปีของกรีนแลนด์ได้ผ่านพ้นไปแล้ว

        เอลเบอเรธเปิดประตูก้าวลงจากรถ โดยไม่ลืมที่จะหยิบห่อเสบียงอาหารสำหรับสองคนซึ่งผู้เป็นสหายจัดเตรียมเอาไว้ให้ติดมือมาด้วย ส่วนเจ้าหนุ่มคนขับก็จัดการจุดไฟในตะเกียงหน้ารถ ก่อนจะปลดมันลงมาถือไว้ในมือ พลางเหลียวมองไปรอบกาย

       “กระท่อมพวกนี้เป็นของใครกัน”

        “กระท่อมล่าสัตว์ของพ่อข้าเอง”

        ชายหนุ่มตอบแล้วเดินนำไปยังกระท่อมหลังใหญ่ซึ่งอยู่ใกล้ที่สุด เขาผลักประตูด้านหน้าให้เปิดออกอย่างง่ายดายโดยไม่ต้องใช้กุญแจ ก่อนจะเบือนหน้ามาอธิบาย

       “กระท่อมพวกนี้ไม่เคยปิดล็อก”

       คนเดินตามหลังทำหน้าพิศวง “พวกเจ้าไม่กลัวของหายเลยหรือ”

       “ของของพ่อข้า ไม่มีใครกล้ายุ่งหรอก”

       สภาพภายในกระท่อมหลังนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อสี่ปีก่อนเลยสักนิด โต๊ะตัวยาวและเก้าอี้ในห้องโถงกว้างยังคงจัดวางอยู่ในตำแหน่งเดิม โคมไฟทองเหลืองเหนือโต๊ะก็มีเทียนไขแท่งใหม่ปักเรียงเป็นระเบียบ กองฟืนข้างเตาผิงที่ไม่เคยจุดยังคงกองอยู่สูงเท่าเดิม แม้ว่าจะถูกปิดทิ้งร้างเอาไว้นานแล้วแต่สภาพที่สะอาดสะอ้านเป็นระเบียบ แสดงให้เห็นว่าชายชราผู้มีหน้าที่ดูแลกระท่อมล่าสัตว์ขององค์ราชายังปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม

       เอลเบอเรธเดินไปยังตู้ไม้เล็กๆ มุมห้องค้นอะไรกุกกักอยู่ครู่หนึ่งก็ย้อนกลับมาที่โต๊ะพร้อมกับจานและแก้วดีบุก เขาวางห่อเสบียงและของทั้งหมดลงบนโต๊ะ พลางเอ่ยชวน

       “หิวหรือยังท่านนักบวช ข้าว่าเราลงมือกันเลยดีกว่า”

       “เลิกเรียกข้าว่านักบวชได้แล้ว เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ใช่”
คนในชุดนักบวชตอบเสียงห้วนขณะนั่งลงบนเก้าอี้ตัวตรงข้ามกับอีกฝ่าย เอื้อมมือไปรับส่วนแบ่งอาหารมื้อค่ำโดยไม่เกี่ยงงอน

       เอลเบอเรธชักจะรู้สึกเห็นใจเจ้าหนุ่มร่างผอมบางตรงหน้าขึ้นมานิดๆ เขาอาจจะแกล้งเจ้าหมอนี่หนักข้อไปหน่อย รูปร่างของเมลดูเล็กนิดเดียวเมื่อเทียบกับเขาแต่กลับต้องออกแรงบังคับรถม้าให้เขานั่งสบายมาทั้งวัน ดูแล้วก็ออกจะเป็นการเอาเปรียบกันเกินไปจริงๆ นั่นแหละ

       ความรู้สึกสำนึกผิดชั่ววูบบงการให้ชายหนุ่มใช้มีดเฉือนเนื้อหมูอบก้อนโตส่งให้คนตรงข้ามเพิ่มอีก

       “กินเยอะๆ ท่านนักบวช พรุ่งนี้จะได้มีแรง”

       ดวงตาสีน้ำเงินคู่สวยตวัดผ่านหน้าเขาไปราวกับจะค้อน เห็นแล้วทำให้เอลเบอเรธรู้สึกคันยิบๆ ในหัวใจชอบกล หมอนั่นกำลังไม่พอใจกับคำพูดของเขา

       “ต้องให้ย้ำอีกกี่ครั้งว่าข้าไม่ใช่นักบวช”

       ริมฝีปากสีสดของคนฟังคลี่ออกเป็นรอยยิ้มขบขัน

       “ถ้าจะให้ข้าเลิกเรียกท่านว่านักบวช ท่านก็ต้องเลิกเรียกข้าว่าเอลลี่ด้วย”

       “ทำไม”

       “อ้าว ก็เป็นข้อแลกเปลี่ยนไงล่ะ ตกลงมั้ยท่านนักบวช”

       “ไม่ให้เรียกชื่อ แล้วจะให้ข้าเรียกเจ้าว่าอะไร” คนในชุดนักบวชมองหน้าอีกฝ่ายอย่างฉงน

       “เอล...เรียกข้าว่าเอลเฉยๆ ก็พอแล้ว ส่วนข้าก็จะเรียกท่านว่าเมล ดีไหม”

       “ก็ได้”

       ทั้งสองลงมือรับประทานอาหารค่ำอันได้แก่ขนมปังขาวกับหมูอบและเนยแข็งกันเงียบๆ มีเหล้าผลไม้หมักขวดเล็กที่เจ้าชายกันนาร์ไม่ลืมติดมาให้ด้วยช่วยเพิ่มรสชาติของอาหาร หลังจากอาหารค่ำมื้อนั้นผ่านพ้นไป เอลก็ลุกขึ้นเดินตรงไปหยุดอยู่หน้าประตูไม้บานใหญ่อีกฟากหนึ่งของห้อง ปล่อยให้เมลทำหน้าที่เก็บโต๊ะตามลำพัง

       ชายหนุ่มผลักบานประตูให้เปิดออก หลังประตูบานนั้นคือห้องนอนกว้าง มีห้องแต่งตัวและห้องอาบน้ำกั้นแบ่งเอาไว้ด้วยฉากไม้ฉลุลายละเอียดงดงาม แม้เครื่องเรือนในห้องจะมีอยู่น้อยชิ้นและประกอบขึ้นจากไม้อย่างง่ายๆ แต่สีของไม้ที่เสมอกันทุกแผ่นและฝีมืออันประณีตของช่างที่นำแผ่นไม้เหล่านั้นมาประกอบทีละชิ้นจนกลายเป็นโต๊ะ ตู้ เตียงเข้าชุดกันอย่างที่เห็น ทำให้ห้องนอนในกระท่อมหลังนี้ดูไม่ธรรมดาเลยทีเดียว

        “สวยจริง พ่อของเจ้าคงเป็นคหบดีที่รวยมากสินะ ขนาดกระท่อมกลางป่ายังจัดเสียหรูขนาดนี้” คนในชุดนักบวชที่เพิ่งเดินตามเข้ามาสมทบเอ่ยปากชม

       “ท่านพ่อแค่ชอบความสวยงามมีระเบียบเท่านั้นแหละ” เอลตอบเสียงเรียบ

       เขาถอดเสื้อคลุมเดินทางออกสะบัดไล่ฝุ่นแล้วนำไปแขวนไว้ที่หมุดทองเหลืองบนฝาห้อง ก่อนจะเดินย้อนกลับมาทรุดตัวลงนั่งบนเตียงนอนนุ่ม ตั้งท่าจะถอดรองเท้าเพื่อเตรียมตัวเข้านอน แต่ก็ต้องชะงักไปเพราะเจ้าคนปัญหามากส่งเสียงถามขึ้นมาอีก

       “ห้องนี้มีแค่เตียงเดียว แล้วเจ้าจะให้ข้านอนที่ไหน”

       “ไม่เห็นยากนี่...เตียงออกจะกว้าง ข้าแบ่งให้ท่านนอนครึ่งหนึ่งก็ได้”

       เมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งงันไป ชายหนุ่มจึงเอ่ยสำทับต่อ

       “คิดมากอะไรอีกล่ะท่านเมล หรือว่าท่านอยากจะนอนพื้นในฐานะที่เป็นสุภาพบุรุษก็เอา”

       “เรื่องอะไร ข้าขับรถม้ามาทั้งวันเหนื่อยจะตาย ธุระอะไรจะยอมนอนพื้น”

       เอลอดหัวเราะกับประโยคที่สวนขึ้นมาแทบจะทันทีของคนตัวเล็กกว่าไม่ได้

       “ถ้าอย่างนั้นท่านจะมัวลังเลอะไรอีก ข้ารับรองว่าไม่ทำอะไรท่านแน่ๆ...ถ้าท่านกลัวข้อนั้นละก็นะ”

       “ขอบใจที่บอก” เมลกัดฟันตอบ แล้วหมุนตัวกลับตั้งท่าจะเดินย้อนออกประตูไป

       “อ้าว จะไปไหนล่ะ ข้าล้อเล่นแค่นี้ไม่เห็นจะต้องถึงกับหนีไปนอนข้างนอกนี่นา”

       “มันเรื่องของข้า”

       เมลกระแทกประตูปิดตามหลังโครมใหญ่




       ยิ่งตกดึกอากาศก็ยิ่งเย็นลงทั้งๆ ที่เพิ่งย่างเข้าสู่ต้นฤดูใบไม้ร่วงเท่านั้น สายลมที่พัดผ่านรอยแตกของไม้เข้ามาในกระท่อมทำให้เจ้าของร่างบางที่ขดตัวอยู่บนเก้าอี้สั่นสะท้าน จำต้องล้มเลิกความคิดบ้าๆ ที่จะนอนอยู่ในห้องโถงด้านนอกทั้งคืนไปเสียจากสมอง หญิงสาวขยับลุกจากเก้าอี้ ย่องเงียบกริบไปที่ประตูห้องนอน แล้วค่อยแง้มมันให้เปิดออกโดยไร้เสียง

       ในห้องค่อนข้างมืด เคราะห์ดีที่คืนนี้ดวงจันทร์ไม่ถูกเมฆบัง แสงนวลที่ทอลอดเข้ามาทางบานหน้าต่างจึงช่วยให้หญิงสาวพอจะคลำทางไปยังเตียงนอนซึ่งตั้งอยู่ชิดฝาห้องด้านในสุดได้ไม่ยาก นางหยุดยืนเพ่งสายตาฝ่าความมืดไปยังแม่สาวตัวใหญ่ที่ทอดร่างอยู่บนเตียง เอลลี่ ไม่ใช่สิ เอลเองก็เป็นผู้หญิงเช่นเดียวกับนาง แม้จะมีร่างกายที่สูงใหญ่จนดูคล้ายผู้ชายไปหน่อย แต่นั่นก็ยังเป็นร่างกายของผู้หญิง แล้วนางยังจะต้องคิดมากอะไรอีกเล่า ในเมื่อเตียงนอนก็กว้างพอสำหรับสองคนแถมยังมีผ้าห่มอุ่นอีกทั้งผืน เรื่องอะไรจะต้องไปทนนอนหนาวอยู่ข้างนอกทั้งคืนเพื่อรักษาเกียรติของสุภาพบุรุษ ในเมื่อนางเองก็ไม่ใช่บุรุษสักหน่อย

       เมลชะโงกหน้าไปจนเกือบจะชนกับใบหน้าคมเข้มของคนบนเตียง จริงดังคาด แม่สาวรางยักษ์หลับสนิทไปแล้ว เสียงลมหายใจของนางดังเป็นจังหวะสม่ำเสมออยู่ในความมืด หญิงสาวตัดสินใจสอดตัวเข้าไปใต้ผืนผ้าห่มบนเตียงนอนฝั่งที่ยังว่างอยู่ สัมผัสของที่นอนนุ่มช่วยให้ร่างกายอันเหนื่อยล้ารู้สึกผ่อนคลายลง นางผ่อนลมหายใจออกมาอย่างเป็นสุข ตั้งท่าจะหลับให้สบาย ทว่าจู่ๆ เสียงทุ้มต่ำของคนที่หลับไปแล้วก็ดังขึ้นข้างหู

       “ข้านึกว่าท่านจะนอนอยู่ข้างนอกทั้งคืนเสียอีก”

       เมลแทบจะหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง รีบกระเด้งตัวลุกขึ้นทันที หากคนข้างๆ เอื้อมมือมากดไหล่เอาไว้เสียก่อน

       “เอาเถอะ นอนด้วยกันบนนี้นั่นแหละ ข้าบอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร ข้าเองก็ง่วงเต็มทีแล้ว ราตรีสวัสดิ์”

       พูดจบแม่สาวร่างยักษ์ก็พลิกกายไปอีกทางแล้วหลับตาเงียบ ทิ้งให้อีกฝ่ายนอนตัวแข็ง ตาค้าง ไม่กล้ากระดุกกระดิกร่างกายอยู่อย่างนั้นอีกนาน จนกระทั่งเกือบค่อนรุ่งจึงได้ผล็อยหลับไป...



  แสงแดดอุ่นยามเช้าสาดเข้ามาทางหน้าต่างกระจกที่ปราศจากผ้าม่านทั้งสองบาน ปลุกชายหนุ่มร่างสูงบนเตียงนอนให้ตื่นขึ้นก่อน เขาลุกลงจากเตียงหายเข้าไปหลังฉากกั้นเพื่อทำธุระส่วนตัว ก่อนจะกลับออกมาในรูปลักษณ์ที่แตกต่างไปจากเมื่อวันวานโดยสิ้นเชิง เอลเบอเรธค้นพบชุดเก่าของผู้เป็นบิดาในหีบหนังหุ้มทองเข้าหลายชุด จึงจัดการเปลี่ยนเครื่องแต่งกายจากกระโปรงยาวกรอมเท้าที่สวมตอนลอบออกจากปราสาท เป็นเสื้อเชิ้ตไหมเนื้อนิ่มและกางเกงขายาวทะมัดทะแมง ถึงแม้ตัวเสื้อจะคับไปสักนิดและขากางเกงจะสั้นไปสักหน่อย ก็ยังดีกว่าจะให้เขาแต่งชุดผู้หญิงไปอวดคนทั้งเมืองล่ะน่า

       ชายหนุ่มเดินย้อนกลับมาหยุดอยู่ข้างเตียงอีกครั้ง ตั้งใจจะปลุกคนที่ยังหลับอยู่ให้ตื่นขึ้น เตรียมตัวออกเดินทางต่อ ทว่าพอรู้สึกตัวเขากลับพบว่าตนเองมัวแต่จ้องมองใบหน้าหล่อจัดจนเรียกได้ว่าสวยของฝ่ายนั้นเพลินอยู่ ใบหน้าในห้วงนิทรารมณ์ของเมลช่างดูเหมือนผู้หญิงจนน่าพิศวง เส้นผมยาวสลวยสีน้ำตาลทองซึ่งปกติจะถูกมัดรวบไว้เบื้องหลังแผ่กระจายอยู่เต็มหมอนขับเน้นวงหน้ารูปไข่เกลี้ยงเกลาของหมอนั่นให้ดูงามเด่นขึ้นมาอย่างประหลาด คิ้วโค้งได้รูปวางอยู่อย่างเหมาะเจาะเหนือดวงตาที่พริ้มปิด แลเห็นแพขนตางอนหยับทอดทาบไปบนนวลแก้มใส รับกับจมูกโด่งคมได้สัดส่วนและริมฝีปากอิ่มเต็มสีชมพูระเรื่อที่เผยอขึ้นน้อยๆ ราวกับจะเชิญชวน

       มันทำให้เขาอดนึกไปถึงนิทานปรัมปราเรื่องที่เจ้าชายพระองค์หนึ่งปลุกเจ้าหญิงให้ตื่นขึ้นจากคำสาปชั่วร้ายของแม่มดด้วยจุมพิตไม่ได้

       เอลคงจะเผลอลืมตัวโน้มกายลงเพื่อทำในสิ่งเดียวกันกับเจ้าชายพระองค์นั้นไปแล้ว ถ้าสำนึกในใจของเขาจะไม่ร้องเตือนขึ้นเสียก่อน มันน่าโมโหตัวเองพิลึกที่ดันไปคิดเปรียบเทียบผู้ชายคนหนึ่งกับเจ้าหญิงในนิทานได้เป็นวรรคเป็นเวรขนาดนี้ ชายหนุ่มเบือนหน้าหนีไปทางอื่นด้วยความรู้สึกเก้อกระดาก ก่อนส่งเสียงกระแอมหนักๆ เพื่อปลุกเจ้าคนนอนขี้เซาให้ตื่นขึ้นเตรียมตัวออกเดินทางต่อสักที


       เมลิอานาร์ใช้เวลาไม่นานนักในการเตรียมตัว พอเสร็จเรียบร้อยนางก็เดินตรงไปยังรถม้าซึ่งจอดทิ้งไว้หน้ากระท่อม พบเอลยืนยิ้มแป้นรออยู่ก่อนแล้ว เสื้อเชิ้ตไหมและกางเกงขายาวที่แม่สาวร่างยักษ์สวมอยู่ทำให้ดูแตกต่างจากวันวานราวกับเป็นคนละคน พอแต่งกายแบบนี้เอลก็ยิ่งดูเหมือนผู้ชายเข้าไปใหญ่ บางทีอาจจะเหมือนยิ่งกว่าคนที่โดนเข้าใจผิดมาตลอดทางว่าเป็นผู้ชายอย่างนางเสียด้วยซ้ำ แต่ถึงเอลจะสลัดกระโปรงยาวรุ่มร่ามทิ้งไปแล้ว เจ้าตัวก็ยังคงรักษาสิทธิของการเป็นหญิงรับใช้ประจำวิหารเอาไว้อย่างเหนียวแน่น ดังนั้นคนที่ต้องทำหน้าที่สารถีจึงยังคงเป็นเมลิอานาร์ตามเดิม

       การเดินทางในวันนี้ค่อนข้างลำบากและหนักแรงกว่าวันวาน เพราะหญิงสาวต้องบังคับรถม้าให้แล่นตัดเข้าไปในป่าแทรี่ซึ่งมีเพียงทางดินแคบๆ ขรุขระขนาบด้วยต้นไม้ใหญ่ทั้งสองข้าง รถม้าจึงเคลื่อนที่ไปได้ไม่เร็วนักและต้องหยุดพักอยู่บ่อยครั้งเพื่อกำจัดกิ่งไม้ขนาดใหญ่ที่ร่วงหล่นลงมากีดขวางเส้นทาง กว่าคนทั้งคู่จะล่วงพ้นเขตป่าเข้าสู่พื้นที่ราบโล่งอันเป็นที่ตั้งของแคว้นอังมาร์ก็ปาเข้าไปค่อนวัน

       แคว้นอังมาร์เป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยแร่รัตนชาติและเหมืองทองคำหลายสิบแห่ง ครอบคลุมอาณาเขตด้านทิศเหนือของกรีนแลนด์ไปจนถึงทิศตะวันออกบางส่วน โดยมีเทือกทิวสูงเสียดฟ้าของภูเขาทวิสต์และภูเขาอัลเป็นปราการมั่นคงตามธรรมชาติ เลยพ้นทิวเขาทั้งสองออกไปคือผืนดินกว้างไพศาลของประเทศทาเนียร์

       ลัสเตอร์สโตนเป็นหนึ่งในเมืองทั้งห้าของแคว้นอังมาร์ ตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำสำคัญสองสายคือแม่น้ำลัสต์ และแม่น้ำควินส์น้อยซึ่งไหลผ่านป่าวิเวกบริเวณชายแดนเลยเรื่อยเข้าไปในเขตประเทศทาเนียร์  แม้จะเป็นเมืองที่มีขนาดเนื้อที่ไม่มากนัก แต่ลัสเตอร์สโตนก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเมืองใหญ่แห่งอื่นๆ ด้วยเป็นแหล่งการค้าอัญมณีที่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้กับประเทศกรีนแลนด์มาช้านาน

       เมื่อรถม้าสีน้ำตาลคันเล็กแล่นเข้าสู่เขตเมืองลัสเตอร์สโตน ดวงอาทิตย์ก็ลับเหลี่ยมเขาไปนานแล้ว โชคดีที่ในตัวเมืองมีที่พักสำหรับคนเดินทางให้เช่าอยู่หลายแห่ง เอลจึงตกลงใจเลือกที่พักขนาดใหญ่ซึ่งเป็นอาคารสองชั้นก่อด้วยอิฐฉาบปูนขาวดูหรูหรา ตั้งอยู่ใกล้กับลานน้ำพุบริเวณจัตุรัสกลางเมือง สนนราคาที่พักตกคืนละพันเกรนซึ่งเมลิอานาร์รู้สึกว่าแพงเหลือเกิน แต่ในเมื่อนางไม่ต้องเป็นคนจ่ายเงินหญิงสาวก็เลยไม่ได้ว่าอะไร พอได้เวลาที่ต่างฝ่ายต่างก็แยกย้ายกันเข้าสู่ห้องพักของตน เมลิอานาร์ก็ตรงรี่ไปที่เตียงนอนแล้วหลับเป็นตายไปทันทีที่ร่างกายอันเหนื่อยล้าสัมผัสกับที่นอนนุ่มหอมสะอาด

แก้ไขเมื่อ 29 ก.ค. 54 06:52:05

จากคุณ : akihiro
เขียนเมื่อ : วันภาษาไทยแห่งชาติ 54 06:49:08




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com