๑๘. หลังเลิกเรียน
บ่ายนี้ผมฟุ้งซ่านเหลือเกิน ทำชอล์กหักใกล้ครบสิบแท่ง บางทีก็ลืมว่าสอนถึงไหนแล้ว ในใจพะวงเป็นห่วงแต่สาวแว่นจอมดื้อ ผมตกใจแทบแย่เมื่อเห็นเธอฝืนตัวเองขึ้นมาสอนเด็กๆทั้งที่ยังป่วยอยู่ ผมคอยแอบไปดูเธอเสมอถ้าคาบไหนเราบังเอิญได้สอนบนตึกชั้นเดียวกัน
ผมคงทำเรื่องประเภทสะกดรอยไม่เก่งนัก พี่แก้วเห็นผมตั้งแต่ครั้งแรกที่แอบดู หลังจากนั้นเธอจะหลุดขำหน้าห้องเรียนตลอดถ้าเห็นผมอีก
เราเจอกันอีกเมื่อถึงเวลาเปลี่ยนคาบเรียน สาวแว่นหัวเราะความเปิ่นของผมมาแต่ไกล แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าอายอะไรเลย กลับดีใจมากด้วยซ้ำที่เห็นสีหน้าเธอดูดีขึ้นมากกว่าเมื่อตอนพักเที่ยง
“ษา คะ” พี่แก้วเรียก “พอดี พี่คีตนันท์ ลาเวรส่งนักเรียนตอนเย็นน่ะ พี่อยากรบกวน ษา ช่วยเข้าเวรด้วยกันหน่อยได้มั้ยคะ”
“พี่แก้วไม่สบายอยู่ไม่ใช่เหรอครับ เดี๋ยวผมไปคนเดียวแทนให้ก็ได้” ผมเสนอ
“พี่ดีขึ้นมากแล้วล่ะค่ะ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะ … ” เธอเอียงหัวยิ้มและหยุดพูดกลางคัน
“อะไรเหรอครับ”
“ไม่มีอะไรค่ะ เอาเป็นว่าได้ใช่มั้ยคะ”
ผมพยักหน้ารับ และเดินลงบันไดกลับห้องพักครูพร้อมกับพี่แก้ว คราวนี้ผมจะไม่ยอมให้เราเป็นใบ้ต่อกันอีกแล้ว เธอยังดูมีอาการป่วยอยู่แม้พยายามฝืนเอาไว้ ผมจำเป็นต้องข่มใจลืมเรื่องที่ตัวเองกลัวความสูงไปสักพักเพื่อปล่อยให้เธอเดินจับราวบันได ส่วนผมก็คอยชวนคุยและคอยอยู่ใกล้ๆเผื่อว่าเธออาจจะหน้ามืดเป็นลมระหว่างทาง
พอหลังเลิกเรียนผมเผลอลืมที่นัดไว้จนมาเข้าเวรช้าเกือบสิบนาที รถที่มารับเด็กนักเรียนกลับบ้านน้อยลงมากอย่างเห็นได้ชัด ผมอยากเขกหัวตัวเองจริงๆที่ปล่อยให้คนป่วยรับหน้าที่อยู่คนเดียวมาพักใหญ่แล้ว
“มาช้านะคะ เดี๋ยวก็โดนหักเงินเดือนหรอก” สาวแว่นพูดน้ำเสียงเคืองโกรธ
“ขอโทษทีครับ พี่แก้ว พอดีสอนติดพันไปหน่อย” ผมรีบโกหกแก้ตัว
เธอหัวเราะ “ล้อเล่นค่ะ พี่เป็นแค่ครูสอนภาษาอังกฤษจะไปหักเงินใครได้กัน”
ผมคิดง่ายไปว่าเธอคงดีขึ้นมากจนเป็นปกติ เพราะเราสองคนยังยืนเงียบกันเป็นเป่าสากไม่ต่างอะไรกับเมื่อตอนเที่ยงเลย ทั้งที่ปกติเราไม่เคยมีบรรยากาศน่าอึดอัดขนาดนี้ระหว่างกัน
“ชื่อ ปักษาสวรรค์ แปลว่าอะไรเหรอคะ” พี่แก้วชวนคุยในที่สุด
“นก น่ะครับ“
“นก เหรอคะ” เธอถามย้ำ
“ใช่ครับ นกพันธุ์ ปักษาสวรรค์”
“อ๋อ ! เหมือนพี่จะเคยได้ยินนกพันธุ์นี้อยู่นะ” สาวแว่นพูด พลางใช้นิ้วจิ้มที่แก้ม ผมดีใจเล็กๆที่เห็นท่าขบคิดประจำตัวเธอ ซึ่งไม่ได้เห็นมานานแล้ว
“จริงๆแล้ว จะแปลว่า ดอกไม้ปักษาสวรรค์ ก็ได้เหมือนกัน แต่แม่ผมบอกว่า ตั้งใจให้หมายถึง นกปักษาสวรรค์”
“แล้ว ษา อยากให้เป็น นก หรือ ดอกไม้ ล่ะคะ”
“ผมน่ะเหรอครับ … อืม … อยากเป็น ...”
“มันตอบยากขนาดนั้นเลยเหรอคะ” เธอหัวเราะ พลางแกว่งขาเตะยอดหญ้าที่ปลายเท้าไปมา
“คิดถึง ยัยสา จังเลย รู้ใช่มั้ยคะว่าจริงๆแล้ววันนี้ พี่ กับ ยัยสา จะต้องเข้าเวรด้วยกัน”
“ครับ”
“ตอนพี่ กับ ยัยสา รู้ว่ า ษา จะมาทำงานที่นี่ เราสองคนดีใจกันมากเลยนะ คือ … ถ้าเทียบอายุกันแล้ว พี่ ยัยสา แล้วก็ ษา พวกเราน่าจะเป็นเพื่อนในรุ่นราวคราวเดียวกันได้”
“ผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน มันเป็นเรื่องดีหากมีเพื่อนร่วมงานอายุไล่เลี่ยกัน” ผมกล่าวเสริม
“มันอาจฟังดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ผมคิดว่า ถึงครูทุกคนที่ไหมไทยจะเป็นกันเองและใจดี แต่ลึกๆแล้วก็มีช่องว่างระหว่างวัยอยู่ดี” พอผมพูดจบ เราสองคนก็ยืนเป็นใบ้กันอีกรอบ กรรมจริง สงสัยผมจะพูดเรื่องซีเรียสเกินไป
“อยากฟังเรื่องตลกของ ยัยสา เมื่อปีที่แล้วมั้ยคะ” พี่แก้วเอ่ยนำขึ้นใหม่ แล้วก็พูดต่อโดยไม่รอให้ผมตอบ “พอยัยสากลับมาสอนหลังงานศพแฟน พวกเราทุกคนเอากองเอกสารเอย กองหนังสือเอย ขึ้นมาบังไว้บนโต๊ะทำงาน หวังว่ายัยสาจะได้ไม่รู้สึกอึดอัด ถ้าอยากร้องไห้ ก็ร้องได้เลย แถมเวลาเด็กนักเรียนกำลังจะเข้ามาในห้องพักครู พี่สมเกียรติก็จะคอยให้สัญญาเพื่อยัยสาจะได้หลบสายตาพวกเด็กๆทันด้วยนะ ตลกดีมั้ยคะ”
ผมไม่เห็นว่ามันจะเป็นเรื่องตลกตรงไหน แถมตัวเธอก็ฝืนทำเป็นหัวเราะทั้ง น้ำตา
“จากนั้นไม่นานยัยสา ก็ขายบ้านทิ้งไป แล้วย้ายออกมาอยู่ที่อื่นแทน พี่ตกใจมากเลยล่ะที่สาตัดสินใจแบบนั้น มันน่าเศร้าใช่มั้ยล่ะคะ ที่ต้องออกจากบ้านที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเรือนหอของเรา” พี่แก้วพูดเสียงสั่น
“บางทีอาจจะดีก็ได้นะครับ ที่พี่สา ตัดสินใจแบบนั้น ถ้าเราต้องอยู่ในสิ่งแวดล้อมเดิมๆ แต่คนที่เคยเคียงข้างกลับหายไป มันยากที่จะทำใจยอมรับได้ แถมพี่สา ก็ตัวคนเดียวด้วย” ผมพูด
“แล้วหลังจากนั้น พี่แก้ว ก็เลยมาอยู่กับพี่สา ใช่มั้ยครับ” ผมถามสาวแว่น
เธอปฏิเสธ “เปล่านี่คะ ใครบอกเหรอว่า พี่อยู่กับยัยสา”
ผมเกาหัวดังแกร่กๆ “ผมเดาเอาน่ะครับ เห็นพี่สองอยู่ด้วยกันตลอด แล้วก็กลับด้วยกันบ่อยๆ”
“เปล่าหรอกค่ะ” พี่แก้วส่ายหัวปฏิเสธ “ยัยสา ย้ายมาอยู่บ้านเช่าข้างโรงเรียนกับเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย แรกๆพี่ก็เป็นห่วงนะ ไปเยี่ยมบ่อยมากเลย ครูที่ไหมไทยก็เป็นห่วง เชื่อมั้ยล่ะว่า พี่แคทกับพี่สมเกียรติไปขอให้ทางผู้บริหาร จัดรถสายตรวจคอยไปดูแลบ้านยัยสาโดยเฉพาะเลยล่ะ แล้วก็ได้ตามที่ขอด้วยนะ”
“ขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
“ใช่ค่ะ คงเพราะว่า ยัยสา เป็นคนพิเศษของพวกเรา ทุกคนถึงเต็มใจทำเพื่อเธอกันมากมายขนาดนี้ พี่เฝ้ารอว่าวันหนึ่ง น้องสาวคนเล็กที่น่ารักของพี่ จะกลับมาเป็นคนเดิมอีกครั้ง” พี่แก้วเริ่มสะอื้น และหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นเช็ดน้ำตา “ในที่สุด สา ก็กลับมา แต่ว่า … ทำไม ถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้”
“พี่แก้วครับ พอแล้วล่ะ ...” ผมยกมือห้าม
เธอหยุดพูด ก้มหน้าลงพร้อมยกข้อมือดูนาฬิกา น้ำตาของเธอหยดลงบนพื้นดินหยดแล้วหยดเล่า “หมดเวลาเข้าเวร แล้วล่ะค่ะ พี่ ขอตัวกลับก่อนนะ“
ผมยืนรอจนสาวแว่นทิ้งระยะห่างพอสมควรจึงค่อยตามหลังแม้ใจจริงจะอยากเดินเคียงข้างเธอมากก็ตาม ผมอยากช่วยให้เธอผ่านเวลาอันแสนเศร้านี้ได้เร็วๆเหลือเกิน ความสูญเสียขนาดนี้คงทำใจกันไม่ได้ง่ายๆ คงต้องใช้เวลาอีกสักพักและเวลาก็จะเป็นยารักษาความเจ็บปวดในใจของเธอได้เป็นอย่างดี
ขณะเดินตามหลังสาวแว่นที่กำลังจะถึงประตูห้องพักครู ผมเห็นเด็กนักเรียนคนหนึ่งยังนั่งรอรถมารับอยู่ที่ม้านั่งหินอ่อน ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเวลาแทนเจ้านาฬิกาเรือนโปรดที่ยังส่งไปซ่อมอยู่ พลางกวาดสายตาไปรอบตึกไหมไทยทำให้เห็นว่ามีเพียงเด็กคนนี้คนเดียวเท่านั้นที่ยังไม่ได้กลับบ้าน
“นี่ … ยังไม่กลับอีกเหรอ” ผมถามเสียงดัง พลางเดินเข้าไปหา
เด็กน้อยที่กำลังนั่งก้มหน้า ค่อยๆเงยศีรษะขึ้นช้าๆ ที่แท้เจ้าตัวเล็กก็คือ สิทธา นี่เอง
“ยังเลยครับครู วันนี้ คุณอา ผม คงมารับช้าหน่อย”
“นี่ก็เย็นมากแล้วนะ เธอจะเข้าไปรอในห้องพักครูก่อนมั้ย” ผมพูด
“ไม่เป็นไรครับ อีกเดี๋ยวก็คงจะมาแล้ว“
จะว่าไปสิทธาก็น่าเป็นห่วงไม่น้อยเหมือนกัน ว่าที่เจ้าสาวของแกเพิ่งจากไป หัวใจดวงเล็กๆในตอนนี้คงเสียใจไม่แพ้พี่แก้วเลย
“เธอกลับช้าแบบนี้เสมอเหรอ” ผมชวนคุย
“ไม่หรอกครับครู” สิทธาตอบ “แต่ถ้ามีเรื่องฉุกเฉิน คุณอาก็จะมาช้าแบบนี้แหละครับ”
“ฉุกเฉินเหรอ” ผมสงสัย
“หมายถึง คุณอา มีธุระด่วน น่ะครับ“
“อย่างนี้ นี่เอง … ถ้างั้นให้ครูโทรตามอาเธอให้เอามั้ย จะได้กะเวลาถูก”
หลังผมพูดจบมอเตอร์ไซด์ตำรวจคันหนึ่งก็แล่นเข้ามา นายตำรวจชูมือส่งสัญญาณมาที่เราสองคน สิทธาหยิบกระเป๋าแล้วยืนขึ้น “นั่นไงครับ คุณอา ผม”
“อา เธอ เป็นตำรวจงั้นเหรอ”
“ครับ เพราะอย่างนี้เลยมารับช้าบ่อยๆ”
เมื่อสิทธายืนขึ้น ผมถึงเห็นว่ารองเท้าทั้งสองข้างของแกเปื้อนคราบดินโคลน สถานที่เดียวในตึกไหมไทยที่มีดินโคลนคือสนามหญ้าหลังตึกซึ่งช่วงนี้แทบไม่มีนักเรียนคนไหนเข้าไปเดินเล่นเลย
“ครู ครับ” สิทธาเอ่ยเรียกระหว่างเดินกลับ
“มีอะไรเหรอ“
“ครูรู้จัก ครูอุษาใช่มั้ยครับ”
“รู้จักซิ ครูเป็นครูที่นี่นะ ถึงจะเพิ่งมาสอนก็เถอะ … มีอะไรงั้นเหรอ”
“ครูอุษาตายแล้วจริงๆเหรอครับ” สิทธาถาม
“ครูอุษา ไปสบายแล้วล่ะ” ผมจำใจตอบ พลางตบไหล่เจ้าตัวเล็กเบาๆ
“ผมเห็นครับ”
“เธอ เห็นอะไรเหรอ” ผมถาม พลางคิดในใจว่าจับอารมณ์ของเด็กคนนี้ไม่ถูกเลย
“เมื่อวานนี้ ... ที่แถวหมู่บ้านตรีชฎา ผมเห็น … ครูอุษา ครับ” สิทธาเหลียวกลับมาด้วยสีหน้าสงสัย แต่ไม่ได้ตื่นกลัว
ผมหยุดชะงักงงกับสิ่งที่ได้ยินว่าหมายความว่าอะไร
“สวัสดีครับครู“ นายตำรวจเอ่ยคำทักทาย
“เอ่อ ... สวัสดีครับ “ ผมทักกลับด้วยท่าทีลุกลนยังติดใจกับคำพูดเมื่อครู่ สิทธาเดินเลยไปถึงมอเตอร์ไซด์และกระโดดขึ้นซ้อนท้าย
“ผมมีงานด่วนที่โรงพักเลยมาช้าไปหน่อย ขอบคุณคุณครูที่ช่วยดูหลานให้นะครับ“ เมื่อกล่าวคำขอบคุณจบ นายตำรวจจึงสตาร์ทรถแล้วบิดเร่งเครื่องออกจากหน้าตึกไหมไทยทันที
สิทธาไม่ได้หันกลับมามองผมอีกเลยหลังขึ้นไปนั่งบนรถ สิ่งที่ได้ยินมันพิลึกพิลั่นจนสมองประมวลผลไม่ทัน ได้แต่ยืนงงมองรถมอเตอร์ไซด์คันใหญ่แล่นลับตาไป
จากคุณ |
:
FlowerSong
|
เขียนเมื่อ |
:
วันภาษาไทยแห่งชาติ 54 19:24:55
|
|
|
|