Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ดุจจันทร์ลวงใจ>>> บทที่ ๑ ติดต่อทีมงาน

เสียงโห่ร้องและกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังระงมไปทั่ว ยามที่ห่าธนูเพลิงถูกยิงเข้ามาในนครที่กำลังถูกเปลวคลื่นร้อนแรงแห่งอัคคีราชกลืนกินอย่างไม่ปราณี เสียงกลองศึกด้านนอกดังกึกก้องเร่งเร้า ในที่สุดประตูเมืองที่เคยปิดสนิทก็ไม่สามารถต้านท่อนซุงขนาดใหญ่ที่กระแทกครั้งแล้วครั้งเล่าก็ถึงกาลพินาศ เปิดช่องให้หมู่อริราชศัตรูในชุดสีดำทะลวงเข้ามาด้านใน ดาบในมือที่กวัดไกว่ใส่ผู้ที่ต่อต้านเป็นประกายวับสะท้อนกับแสงเพลิง กำแพงเมืองสีขาวสะอาดและถนนที่เคยเป็นดินอัดแข็งสีเหลืองกลับถูกย้อมกลายเป็นสีแดงสดด้วยโลหิตของทหารหาญแห่งฉิมพลีนคร...ราชธานีที่เคยร่มเย็นแห่งแคว้นลึกกลางหุบเขา

“หากไม่อยากตายจงวางอาวุธเสีย” ทหารเดินเท้ากลุ่มหนึ่งตะโกนบอก ขณะที่อีกหมู่หนึ่งทำหน้าที่กวาดต้อนสตรี เด็ก และคนชราที่นั่งกอดกันกลมร้องไห้ต่อชะตากรรมของตนไปอีกด้านหนึ่ง

“สมเด็จพระเจ้าธรรมราชไม่มีพระประสงค์ต้องการชีวิตของผู้ใด จงวางอาวุธเสีย”

คำประกาศนั้นทำให้คนจำนวนหนึ่งโห่ร้องด้วยความโกรธแค้น แต่ด้วยจำนวนผู้คนที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิด และกำลังจะเหือดแห้งหมดลงจากการทำสงครามติดต่อกันมาเกือบครึ่งเดือน ทำให้ไม่นานผู้ต่อต้านส่วนมากก็ถูกสังหารหรือไม่ก็ถูกปลดอาวุธและจับมัดไว้อย่างแน่นหนา

กว่าทุกอย่างจะถูกควบคุมไว้ในความสงบ ฝนเม็ดสุดท้ายก็ทิ้งละอองสุดท้ายลงมา พร้อมกับเปลวเพลิงทั่วราชธานีก็ดับมอดลง เหลือเพียงความร้อนอบอ้าวและเศษตอไม้ดำทะมึนอยู่ตามที่ต่างๆ ประตูเมืองทั้งสี่ทิศถูกเปิดออกกว้าง ต้อนรับขบวนม้าสีดำทะมึนที่ควบขี่ผ่านเข้ามา มุ่งตรงเข้าสู่เขตหอหลวงที่ยังคงตั้งเด่นเป็นสง่า ยอดโดมทองคำทอประกายระยับยามต้องแสงอรุณรุ่งแห่งวันใหม่ ตลอดเส้นทางสู่หอหลวงแทบไม่พบร่องรอยแห่งสงคราม คราบเลือดถูกพายุฝนฟ้าคะนองเมื่อคืนกวาดล้างจนหมดสิ้น ซากศพถูกเก็บกวาดออกไป เพื่อต้อนรับผู้ครอบครองคนใหม่ ต้นไม้สองข้างทางยังคงงดงามดั่งเช่นวันก่อน ไอหมอกจางๆ ระเรี่ยแตะผิวดิน

ร่างสูงใหญ่ในชุดเกราะสีเงินที่ควบนำขบวนเข้ามาดึงบังเหียนให้หยุดลงตรงกลางลานกว้างหน้าเรือนไม้ ซึ่งเคยเป็นหอวินิจฉัยสำหรับว่าราชการของผู้ครองแคว้น ดวงตาสีดำสนิทประดุจรัตติกาลก้มลงมองกลุ่มคนในชุดเสื้อแขนยาวสีครามที่ปักลายด้วยดิ้นเงิน ที่บ่าขวาพาดผ้าทอมือสอดด้ายเงินด้ายทองเต็มตามพิธีการ กลุ่มคนทั้งหมดขยับตัวทันทีที่เห็นม้าขบวนนี้เคลื่อนผ่านประตูชั้นในเข้ามา ขณะที่ทหารในชุดสีดำที่ยืนเรียงรายทั้งสองฟากฝั่งขยับตัวยืนตรง มือขวาที่กุมดาบยกขึ้นแตะหน้าอก ก้มศีรษะลงต่ำสายตาทอดมองเพียงแค่พื้นดินตรงหน้า

ไม่มีผู้ใดกล้าเงยหน้าขึ้นมองร่างสูงกำยำที่ตวัดตัวลงมาจากหลังม้า แล้วก้าวยาวๆ มาหยุดอยู่ตรงหน้ากลุ่มขุนนางแห่งฉิมพลีนคร แม้บุรุษผู้นั้นแต่งกายไม่แตกต่างจากขุนทหารที่ยืนรายล้อมอยู่รอบตัว แต่รัศมีแห่งอำนาจกลับฉายชัดจนแม้แต่กับคนที่ไม่เคยพบหน้าโดยตรงยังรู้ทันทีว่า ใครคือมหาราชแห่งราชอาณาจักรธรรมราช

บุรุษชราในชุดทหารที่ยืนอยู่หน้าสุดให้สัญญาณคนที่ยืนอยู่เบื้องหลัง ทั้งหมดทรุดกายลงหมอบต่ำอย่างที่ทำกับเจ้าเหนือชีวิต คนที่อยู่หน้าสุดยกพระขรรค์ด้ามยาวที่ประดับด้วยอัญมณีล้ำค่าขึ้นสูง... พระขรรค์ที่เป็นตัวแทนแห่งอำนาจของผู้ครองแคว้น ถูกส่งมอบให้แด่องค์ราชาผู้พิชิต

“ ทุกอย่างแห่งแคว้นฉิมพลีนครตกอยู่ภายใต้พระราชอำนาจแห่งพระองค์แล้วพระเจ้าค่ะ”

ความเงียบดำเนินต่อไป ในลานกว้างมีเพียงเสียงลมพัดใบไม้ไหวเท่านั้น ความเงียบนั้นชวนให้อึดอัดจนทำให้กลุ่มคนที่หมอบราบอยู่บนพื้นขยับตัวอย่างกระสับกระส่าย ขุนทหารที่ทรยศซึ่งเป็นผู้นำมอบพระขรรค์ทำใจกล้าเงยหน้าขึ้นมอง แล้วก็รีบก้มหน้าลงต่ำเมื่อสบกับเนตรที่หรี่ลงมองตนเช่นเดียวกัน แต่แทนที่ในเนตรนั้นจะมีแววชื่นชม มันกลับเต็มไปด้วยความรังเกียจชิงชัง ผ้าโพกเกล้าสีดำที่ตวัดคลุมพักตร์จนเกือบมิดยกเว้นดวงเนตรเข้ม ทำให้เขาไม่สามารถเห็นสิ่งใดได้อีก

“เอ่อ...” หัวหน้าคนทรยศขยับตัว

“องค์เหนือหัว...” องค์รักษ์แห่งธรรมราชที่ยืนอยู่ใกล้สุดเอ่ยเรียกเจ้านายเสียงเบา ทำให้คนถูกเตือนยอมขยับวรกายยกหัตถ์รับพระขรรค์เล่มนั้นมา แล้วโยนต่อไปยังคนที่ยืนอยู่ด้านข้างที่รีบขยับตัวรับด้วยความว่องไว

“ท่านกล่าวผิดแล้ว ยังมีบางสิ่งของแคว้นฉิมพลีนครที่ข้ายังไม่ได้มาไว้ในกำมือ” สุรเสียงทุ้มต่ำนั้นเอื้อนเอ่ยออกมาราบเรียบคล้ายไร้อารมณ์ แต่กับคนใกล้ชิดแล้วกลับรู้ว่านี้คือยอดน้ำแข็งที่ฉาบคลุมบนยอดภูเขาไฟที่จวนเจียนจะระเบิดต่างหาก “บอกมา ตอนนี้องค์ยุพราชของพวกเจ้าอยู่ที่ไหน”

แต่เพราะคนต่างแคว้นไม่เคยรู้จักกับพระนิสัยเช่นนั้น เมื่อได้ยินคำถามนั้น จึงคิดว่าผู้ครอบครองคนใหม่เพียงต้องการถามเพื่อให้แน่ใจว่า เสี้ยนหนามที่อาจจะกลับมาทิ่มตำตนนั้นถูกกำจัดออกไปหมดสิ้นแล้วหรือยัง ดังนั้นขุนทหารชราจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ขณะที่เอ่ยรายงานด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกผิดเล็กน้อย

“ขอพระราชทานอภัยด้วย เกิดเหตุผิดพลาดขึ้นระหว่างที่พวกข้าใช้กลลวงเพื่อจับองค์หญิง กลับถูกองครักษ์กลุ่มหนึ่งลอบให้ความช่วยเหลือ พระนางจึงหลบหนีออกไปได้”

เมื่อนายเหนือหัวไม่มีกระแสรับสั่งตรัสถามอะไร องค์รักษ์หน้าขาวที่อยู่ใกล้สุดจึงเป็นฝ่ายเอ่ยถามแทน “แล้วตอนนี้เล่า พระนางอยู่ที่ใด องค์เหนือหัวของเราต้องการจับพระนางเป็นเชลย เพื่อเป็นตัวประกันไม่ให้ผู้ใดในแคว้นเจ้ากระด้างกระเดื่องขึ้นมาอีก เพื่อที่พระองค์จะได้ทรงวางพระราชหฤทัยว่า การแต่งตั้งให้เจ้าเป็นผู้ปกครองแคว้นคนใหม่นั้นจะผ่านไปได้อย่างราบรื่น”

“เรื่องนั้นองค์ราชาไม่ต้องกังวลพระทัยไปหรอกพระเจ้าค่ะ เพราะเมื่อพายุฝนซ่าลง ข้าพระองค์ก็รีบส่งคนออกตามล่าทันที และเมื่อครู่หัวหน้าหน่วยเพิ่งส่งข่าวมาแจ้งว่า พบซากเรือและซากศพของทหารองค์รักษ์ที่เข้ามาช่วยเหลือแล้ว อีกไม่นานพวกเราคงจะพบพระศพขององค์หญิงปาวลิตราแน่นอนพระเจ้าค่ะ” คำกล่าวรายงานนั้นรื่นรมย์ โดยไม่สนใจถึงความเงียบรอบตัว และเสียงสูดหายใจอย่างตกใจขององครักษ์ที่เอ่ยถาม เพราะเขากำลังคิดถึงอนาคตแสนสวยหรูที่พรั่งพร้อมด้วยยศศักดิ์และอำนาจของตนเอง และพวกพ้องที่นั่งหมอบเรียงรายอยู่ด้านหลัง

“ท่านแน่ใจได้อย่างไรว่า องค์หญิงสิ้นพระชนม์แล้ว”

“แม่น้ำธาราวดีบริเวณทางเหนือหุบเขา เชี่ยวกาจ รุนแรง จนแม้แต่คนคุ้นเส้นทางยังแทบจะไม่สามารถแล่นเรือผ่านได้ ในเมื่อองค์รักษ์โง่เง่าพวกนั้นเลือกเส้นทางเสี่ยงอันตรายพาเจ้าฟ้าหญิงหลบหนีออกไปทางนั้น จนเรือไปแตกบริเวณนั้น ข้าพระองค์คิดว่า หากโชคร้ายคือเราพบพระศพต้องนำกลับมาปลงพระศพถวายพระเกียรติเป็นครั้งสุดท้าย แต่หากพวกเราโชคดีคือ พระศพถูกกระแสน้ำวนบริเวณนั้นดูดกลืนไม่โผล่ขึ้นมาให้เป็นที่เคืองพระทัยขององค์ราชาอีกแน่นอน”

“ข้าเคยได้ยินมาว่า องค์หญิงแห่งอิสระวงศ์องค์นี้ว่ายน้ำได้คล่องแคล่วดุจมัจฉา” สุรเสียงเยือกเย็นเอ่ยถามขึ้น

“แม้แต่นักว่ายน้ำที่เก่งกาจที่สุดอย่างองค์รักษ์ซ้ายยังจบสิ้นชีวิตอย่างน่าอนาจเช่นนั้น แล้วสตรีที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงขนาดนั้นจะสามารถรอดพระชนม์ได้อย่างไร ยินดีด้วยพระเจ้าค่ะ ในที่สุดบังลังค์ฉิมพลีนครก็ตกเป็นของพระองค์โดยสิ้นเชิงแล้ว เพราะองค์เจ้าหลวงก็เพิ่งสิ้นพระชนม์ไปเมื่อเดือนก่อน องค์ยุพราชก็มาจบพระชนม์ชีพเช่นนี้อีก ข้าพระองค์ขอถวายพระพรล่วงหน้า ...”

ยังไม่ทันที่ขุนนางคนนั้นจะกล่าวจบ ศีรษะที่กำลังจะกล่าวต่อไปก็กระเด็นหลุดจากบ่าทันที ร่างที่ไร้ศีรษะกระตุกอยู่หลายอึดใจกว่าจะนิ่งสงบ เลือดสีแดงสดที่พุ่งแรงจากคอที่ถูกตัดขาดค่อยๆ กลายเป็นไหลรินช้าๆ เลือดสีแดงที่กำลังเปลี่ยนเป็นสีคล้ำไหลไปตามทางจนเกือบถึงพระบาทแห่งองค์ศวรรษนันท์ ขุนนางทรยศเงยหน้าขึ้นมองดาบเปื้อนเลือดในหัตถ์ของมัจจุราชสีดำ ปากอ้าค้างด้วยความตื่นตะลึง ไม่สามารถกล่าวอะไรได้อีก เมื่อหัวหน้าตนถูกบั่นคอด้วยความรวดเร็วถึงเพียงนั้น

ดวงเนตรดำสนิทดุจถ่านไฟที่มีประกายไฟลุกไหม้ร้อนแรงกวาดมองลงมา ทำให้ผู้คนเบื้องหน้าตัวสั่นสะท้านด้วยความหวาดหวั่น เมื่อที่คอมีดาบยาวของทหารในชุดดำของธรรมราชที่ขยับกายรวดเร็วโดยที่เจ้านายไม่ต้องสั่งการ

สายลมพัดผ้าโพกเศียรสีดำปลิว จนชายผ้าที่ตวัดพันไว้เปิดออก เผยให้เห็นพักตร์บึกบึนสมชายชาตรี ริมโอษฐ์ค่อนข้างหนาเม้มเข้าหากันแน่น หัตถ์ที่จับด้ามดาบนั้นเกร็งแน่น

“องค์เหนือหัว...” องค์รักษ์คนเดิมยังคงเป็นคนเสี่ยงภัยกล่าว พร้อมกับจับหัตถ์นั้นไว้แน่น แม้จะถูกจับจ้องด้วยเนตรที่ทำให้องค์รักษ์คนอื่นๆ รีบขยับถอยห่างด้วยความหวาดหวั่น

“เมื่อยังไม่พบพระศพก็ย่อมหมายความว่ายังมีพระชนม์ชีพอยู่ สักวันหนึ่งต้องได้พบกันอีกแน่นอน” นอกจากเสียงพูดที่นุ่มนวลแล้ว ริมฝีปากยังคล้ายจะคลี่ยิ้มบางเบา “เจ้าฟ้าหญิงปาวลิตราย่อมไม่ปล่อยให้เรื่องนี้ถูกพัดผ่านไปดั่งสายลม ดังนั้นเมื่อใดที่พระนางสามารถกลับมาเข้มแข็งเหมือนเดิม ย่อมต้องกลับมาแก้แค้นพระองค์แน่นอน ทำพระทัยเย็นรอให้ถึงวันนั้นไม่ดีกว่าหรือพระเจ้าค่ะ”

เนตรดำสนิทดุจรัตติกาลคู่นั้นหรี่ลง จ้องเขม็งมองคนพูด

“กระหม่อมแน่ใจว่า เจ้าฟ้าหญิงปาวลิตรามีดวงพระชนม์ชีพยืนยาว ต้องไม่สิ้นพระชนม์เพราะเรื่องเพียงแค่นี้แน่นอน” เจ้าตัวยังคงกล่าวสนับสนุนคำพูดตัวเองต่อไป “ข้าจำได้ว่าเคยมีคนบอกข้าว่า ชีวิตทุกชีวิตมีค่าเสมอเหมือนกัน ดังนั้นชีวิตของผู้คนเหล่านี้ทรงละเว้นไว้อีกสักพักไม่ดีกว่าหรือพระเจ้าค่ะ”

“ลมหายใจของคนบางคนทำให้แผ่นดินเปรอะเปื้อน...”

“เรื่องนี้ละเว้นไว้ให้คนที่สอนข้าพระองค์กลับมาเป็นคนตัดสินเองเถอะพระเจ้าค่ะ วันนี้กลิ่นคาวเลือดมันมากเกินไปแล้ว” คนพูดล้วงมือดึงบางสิ่งออกมาจากอกเสื้อ แล้วยื่นให้อีกฝ่าย “ข้าพระองค์เก็บไว้ได้กลางสนามรบเมื่อวาน เห็นควรส่งมอบมันกลับคืนสู่เจ้าของมันเสียที”

ราชาศวรรษนันต์ก้มพักตร์ลงมองปิ่นทองในอุ้มมือที่แบอยู่ตรงหน้าของลูกน้องคนสนิท ประกายเพชรน้ำงามที่ประดับเรียงรายอยู่บนยอดปิ่นที่ถูกขึ้นรูปเป็นเค้าโครงคล้ายพระจันทร์เสี้ยวสะท้อนเข้าตา แม้ปิ่นทองนี้จะเปรอเปื้อนด้วยคราบของดินโคลน แต่มันบางช่วงยังสามารถเห็นลายเถาดอกราตรีที่ช่างแกะสลักไว้เป็นลวดลายเกี่ยวกวัดกันสู่ปลายยอดที่เป็นดวงจันทร์

หัตถ์ที่สั่นเทาปล่อยดาบ รับปิ่นทองอันนั้นประคองไว้ในอุ้มหัตถ์  ยกมันขึ้นแนบกับหทัย ดวงเนตรหลับลง เพียงชั่วครู่ก็ลืมขึ้นอีกครั้ง แววเนตรกลับมาราบเรียบอ่านยากเหมือนเช่นปกติ

เพียงเห็นปิ่นทองอันนั้น องครักษ์ที่ยืนอยู่โดยรอบก็มองสบตากัน เหมือนเพิ่งเข้าใจในบางสิ่ง

รอยแย้มสรวลเศร้าปรากฏขึ้นอย่างบางเบา หัตถ์ยังคงกำปิ่นทองอันนั้นแน่น “ตายต้องพบศพ เป็นย่อมเจอตัว” ราชาศวรรษนันท์นิ่งไปครู่ แล้วตรัสต่อ

“ป่าวประกาศออกไป หาใครสามารถจับตัวเจ้าฟ้าหญิงปาวลิตรา องค์ยุพราชแห่งฉิมพลีนครมาให้ข้าได้ ข้าจะมอบเงินสามแสนเหรียญทองให้ทันที แต่หากเจอพระศพ ข้าจะให้เงินหนึ่งแสนเหรียญเงิน แต่หากยังมีพระชนม์ชีพอยู่ ใครไม่ถวายพระเกียรติให้พระนางอย่างสูงสุด ข้าจะใช้กฎของธรรมราชลงทัณฑ์พวกมันและครอบครัว” กล่าวพระราชโองการจบ วรองค์สูงใหญ่ก็สาวพระบาทตรงไปยังเขตฝ่ายใน โดยไม่แม้แต่จะชายเนตรมองเข้าไปภายในหอวินิจฉัย ซึ่งมีบังลังค์นกยูงทองคำตั้งอยู่

............................ (จบบทค่ะ) .............

ฝากนิยายเรื่องใหม่ด้วยนะคะ

จากคุณ : w_panda
เขียนเมื่อ : 31 ก.ค. 54 10:47:52




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com