การปะทะระหว่างกองกำลังกบฏและทหารของฝ่ายรัฐบาลเริ่มขึ้นอีกครั้ง ณ ใจกลางเมืองหลวงอันเป็นฐานที่มั่นสุดท้ายของคณะรัฐมนตรีที่กุมอำนาจทางการเมืองเอาไว้นานถึงสิบกว่าปี ประชาชนต่างอพยพออกไปนอกเขตปริมณฑลเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง แต่ก็มีบางส่วนที่ไม่สามารถหลบหนีออกไปได้ทันก่อนที่ฝ่ายกบฏจะนำรถถังทียึดมาได้จากค่ายทหารทำการเคลื่อนพลเข้าไปปักธงแห่งชัยชนะตามจุดต่าง ๆ
ภาพที่ปรากฏออกไปยังสื่อต่างประเทศไม่ต่างอะไรกับความโหดร้ายของสงครามเวียดนาม ป่าคอนกรีตเต็มไปด้วยเศษเนื้อของมนุษย์ที่ถูกแรงระเบิดฉีกร่างกระจายออกเป็นชิ้น ๆ คราบเลือดที่กระเซ็นไปทั่วกำแพงเหมือนกับภาพวาดราคาสิบล้านของศิลปินชื่อดัง ความสยดสยองที่ลูกกระสุนปืนขนาด 7.62 ม.ม. ซึ่งถูกยิงออกมาจากปลายกระบอกปืนอาก้าพุ่งเข้าไปทะลุทะลวงกระโหลกศีรษะของเป้าหมายและปั่นเนื้อสมองให้แหลกเหลวออกมากองอยู่ข้างนอก ทำให้ประชาชนทั่วประเทศต่างหวาดผวาไม่กล้าออกจากบ้านไปไหนแม้ในยามกลางวัน
ต่างฝ่ายต่างก็ใช้สื่อแขนงต่าง ๆ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ถูกต้องให้กับตัวเอง หรือเพื่อเพิ่มกำลังใจให้กับกองทัพซึ่งเหนื่อยล้าจากการสู้รบที่กินเวลานานมากกว่า 3 เดือน และชื่อเสียงที่โด่งดังมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้นการประชาสัมพันธ์พลซุ่มยิงฝีมือดีของฝ่ายกบฏที่สังหารกองกำลังของรัฐบาลเสียชีวิตไปมากกว่า 300 ราย ทำให้การเคลื่อนกำลังพลของรัฐบาลไม่สามารถทำได้อย่างรวดเร็วมากนัก เพราะทหารทุกคนต่างก็กลัวที่จะถูกลูกกระสุนปืน 7.62 นาโต้ระเบิดสมองออกเป็นเสี่ยง ๆ เสียก่อน
มือสไนเปอร์ของฝ่ายกบฏนี้เป็นที่รู้จักกันในนามว่า อสูรกายแห่งความเงียบ เพราะความโหดร้ายที่มันมักจะเล่นกับเหยื่อก่อนที่จะลงมือสังหารนั้นทำให้เป็นเหตุผลหนึ่งที่หลายคนกลัวมันมาก และจะไม่มีใครสามารถได้ยินเสียงกัมปนาทที่ออกมาจากปากกระบอกปืนของมันเลย ทำให้การหาตำแหน่งของมันยากที่สุด เจ้าอสูรกายตัวนี้เคยสังหารทหารรัฐบาลทั้งหน่วยภายในเวลาแค่ 5 นาที เคยสังหารนายพลระดับสูงไปแล้วกว่า 10 คน และตอนนี้มันกำลังเล็งเป้าไปที่ทหารผู้โชคร้ายรายหนึ่ง
“แรงลมคงที่ เผื่อระยะกระสุนตกไว้สักหน่อย แล้วก็ระเบิดขามันเป็นอันดับแรก”
หัวกระสุนขนาด 7.62 นาโต้ถูกถีบด้วยแรงระเบิดออกจากปากกระบอกปืนสไนเปอร์ ไรเฟิล M110 พุ่งเข้าไปตัดขาของทหารดวงกุด เสียงร้องของมันแผดลั่นไปทั่วบริเวณ ทั้งหน่วยของมันต่างรีบหาที่กำบังกันยกใหญ่ ปล่อยให้เพื่อนผู้โชคร้ายร้องโอดครวญอยู่กลางแจ้งแค่คนเดียว และเจ้าอสูรกายก็ลั่นกระสุนออกมาอีกหนึ่งนัดพุ่งตรงไปที่แขนข้างขวาของมันจนเส้นเอ็นฉีกกระจายออกไปคนละทิศละทาง สายตาของมันเต็มไปด้วยความหวาดกลัวกับความตายที่พญามารกำลังมอบให้อยู่ขณะนี้
“ออกมาสิท่านนายพลฝั่งเหนือ ผมรอที่จะระเบิดสมองคุณไม่ไหวแล้ว”
ทันใดนั้นเองก็มีผู้กล้ารายหนึ่งรีบวิ่งเข้ามา ท่าทางของมันเหมือนกับเป้าหมายที่เพชรฆาตกำลังรอคอยอยู่ เขาไม่รอช้ารีบลั่นไกปืนเข้าไประเบิดขาของมันอย่างรวดเร็ว ท่านนายพลฝั่งเหนือล้มลงอย่างทันควัน เสียงแผดร้องของทั้งคู่ผสมผสานกันอย่างลงตัว กระสุนนัดต่อไปถูกบรรจงยิงเข้าไปที่พวงสวรรค์ของมัน ไม่มีเสียงร้องอะไรขึ้นมาอีกนอกจากมือที่ยกขึ้นชี้ตรงมาที่เขา ทหารของรัฐบาลทั้งหน่วยต่างรีบวิ่งเข้ามา ณ ตึกขนาด 20 ชั้น ซึ่งเป็นจุดซุ่มยิงที่เจ้าอสูรกายแห่งความเงียบอาศัยอยู่
“เวรล่ะ ไอ้บ้าเอ้ย!!! มันยอมเสียสละชีวิตตัวเองเพื่อชี้เป้าเราอย่างนั้นหรือ”
พญามารที่สังหารคนมามากกว่า 300 ศพ กลับกลายเป็นผู้ถูกล่าที่ติดอยู่ในตึกร้างเพียงคนเดียว อีกในไม่ช้าทหารทั้งหน่วยคงเข้ามาถึงตัวเขาภายในเวลา 5 นาที จริงอยู่ที่พลซุ่มยิงรายนี้มีทักษะการฆ่าคนชั้นสูงติดตัวมาตั้งแต่เข้ารับราชการทหาร แต่การที่จะรับมือทหารทั้งหน่วยคงเป็นเรื่องยากไม่ใช่น้อย ปืนไรเฟิล M4A1 ที่ปรับแต่งมาอย่างดีถูกงัดขึ้นออกมาใช้ในยามวิกฤติ เขาเร่งฝีเท้าเพื่อเข้าไปหาที่กำบังรอการปะทะจากทหารสิบกว่านาย หัวใจของเขาเริ่มเต้นแรงขึ้น บัดนี้ความตายที่เขามอบให้กับคนอื่นกำลังคลืบคลานเข้ามาใกล้เขาทุกขณะ
เมื่อเสียงของคมกระสุนนัดแรกแผดร้องขึ้น เขาใช้ความสามารถส่วนตัวหาจังหวะจัดการทหารฝ่ายตรงข้ามลงไปทีละคน กระสุนแต่ละนัดที่เขาลั่นออกมาจากปากกระบอกปืนตรงเข้าไปหาเป้าหมายอย่างแม่นยำ เลือดที่กระเด็นติดฝาผนังเมื่อหัวกระสุนปะทะกับผิวเนื้อของเหยื่อผู้ด้อยประสบการณ์กระจายเต็มไปทั่วทั้งตึก เมื่อเหยื่อกระสุนคนสุดท้ายได้ถูกสังหารลง เขาแทบจะล้มทั้งยืนกับรอยแผลที่อยู่รอบร่างกาย ถ้าไม่เป็นเพราะเสื้อเกราะกันกระสุนที่เขาสวมใส่อยู่ตลอดแล้วล่ะก็ สงสัยตัวเขาคงพรุนไปด้วยกระสุนของทหารฝ่ายรัฐบาลอย่างแน่นอน
แต่ทันใดนั้นเองเสียงฝีเท้าของกำลังเสริมที่ถูกเรียกมารวมพลรอบ ๆ ตึกก็ดังเข้ามาใกล้เขาทุกขณะ ตอนนี้เขาไม่สามารถหนีไปไหนได้อีกแล้ว กระสุนในรังเพลิงก็เหลือเพียงแค่หนึ่งนัด ทางเลือกของเขาคือการระเบิดสมองของตัวเองทิ้งเสียตอนนี้ หรือยอมให้พวกทหารของฝ่ายรัฐบาลจับตัวไปประหารต่อหน้าฝูงชนเพื่อให้เป็นข่าวโด่งดังตัดทอนกำลังใจของฝ่ายกบฏที่เชิดชูเขาเป็นเหมือนวีรบุรุษสงคราม ไม่ว่าทางไหนเขาก็มีแต่ความตายรออยู่ทั้งสิ้น เสียงของกองกำลังประมาณ 100 นาย มาหยุดอยู่ตรงหน้าพร้อมกับผู้ชายที่คุ้นตาเขาเป็นอย่างดี
“ท่านนายพล!!! ผมยิงท่านไปแล้วไม่ใช่หรือ” “ไอ้หนู แกน่ะจับตัวโคตรยากเลยรู้ไหม ฉันก็เลยต้องหานกต่อที่แต่งตัวเหมือนฉัน เอาไปฝึกให้มันทำท่าทางแบบเดียวกับฉัน เพื่อล่อแกออกมายังไงล่ะ”
ณ ตอนนี้อสูรกายแห่งความเงียบได้ถูกลิขิตชีวิตในอนาคตข้างหน้าเอาไว้แล้ว สายตานับร้อยที่จ้องมองมาที่เขาต่างเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ความกลัว และความยินดี มันก็ไม่น่าแปลกใจหรอกสำหรับชื่อเสียงของเขาที่ทางฝ่ายกบฏสร้างขึ้นมา
“ความตายของแกจะมาถึงในไม่ช้านี้แน่นอนเจ้าอสูรกายแห่งความเงียบ แต่ฉันมีขอเสนอให้แก...”
เสียงกัมปนาทของปืนสไนเปอร์ ไรเฟิล PSG90 ส่งหัวกระสุนขนาด .300 วินเชสเตอร์ แม็กนั่ม เข้าไประเบิดสมองของนายพลลำดับที่ 2 ของฝ่ายกบฏ ทำให้ทหารของกองกำลังฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลแตกกระเจิงไปทุกทิศทาง เสียงคมกระสุนที่ถูกยิงออกไปนัดแล้วนัดเล่าทำให้ถูกขนานนามว่า เสียงร้องของพญายม บัดนี้ปากกระบอกปืนของอสูรกายแห่งความเงียบที่ฝั่งกบฏแสนจะภูมิใจกลับหันมาหาตัวเอง เขาไล่สังหารผู้นำระดับสูงของฝ่ายกบฏลงไปทีละคนเหมือนกับที่เคยฝากกระสุนไว้ที่หัวสมองของทหารรัฐบาล
“แกต้องมาเป็นมือซุ่มยิงให้กับฉัน” ท่านนายพลฝั่งเหนือกล่าว “แล้วถ้าผมบอกว่าไม่ล่ะ” “งั้นแกก็เป็นได้แค่เศษเนื้อที่ฉันจะโยนให้หมาพันธุ์พิทบูลที่บ้านกิน แต่ถ้าแกยอมรับข้อตกลงของฉัน เราจะเสวยสุขด้วยกันในรัฐบาลใหม่ แกจะได้รับตำแหน่งระดับสูง มีชีวิตที่เต็มไปด้วยความหรูหรา ไม่เหมือนที่แกต้องมานั่งกินอาหารกระป๋องเน่า ๆ อย่างที่แกกินอยู่ทุกวัน”
ง่าย ๆ แค่นี้เอง...
----------------------------------------------------------------------------------
ผลงานชิ้นที่สามของผม เชิญวิจารณ์กันได้เต็มที่เลยครับ
จากคุณ |
:
MazzCazz
|
เขียนเมื่อ |
:
31 ก.ค. 54 19:08:55
|
|
|
|