Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
มิ่งแก้วจอมหทัย บทที่ ๑๕ : ยุทธนากลางสายฝน (ท่อนเริ่ม) ติดต่อทีมงาน

+++ มาช้าอีกตามเคย ไม่โทษใครค่ะ นอกจากโทษงาน (อ้าว!!!) งานช้างเข้าค่ะ ทุกอย่างรีบๆ ลนๆ ไปหมดเลย งานแรก ต้องส่งโครงเรื่องที่พร้อมทำบทโทรทัศน์ขั้นสุดท้ายไปให้ทางช่อง  งานสอง เก็บข้อมูลเขียนบทโทรทัศน์เฉลิมพระเกียรติพ่อขุนเม็งราย (งานนี้ต้องรอรัฐบาลใหม่ตั้งเสร็จก่อนนะคะ จะผ่าน ครม.หรือเปล่าก็ยังไม่รู้ งานระดับชาติค่ะ ถ้าผ่าน เฮ้อ) ข้อมูลเยอะมาก ต้องมากรองๆ งานสาม สนพ.เจ้าปัญหาของอินนั่นแหละ ติดต่อมาละว่า คุณอินช่วยอีดิทรีไรท์ไปเลยนะคะ ทางเราก็จะช่วยดูให้อีกแรง (แม่เจ้า 350 หน้าเอสี่ อยากกรี๊ดให้ลั่น เขียนไปได้ยังไงเนี่ยเรา)

แต่ขนาดว่ามีงานนะ อินยังแอบอุตส่าห์ไปลัลล้าแถวสโมสรราชนาวีอีก งานนี้หนูอินมีเขินกะเค้า เหตุเพราะวาจาคุณพี่แท้ๆเลย 555+ พาดพิงใครไม่รู้ แก้ตัวเองเน้อ อิอิ


ป.ล เพิ่งเห็นว่าตัวเองเบลอได้ขนาดไหน บทนี้เป็นท่อนจบนะคะ อย่างงค่ะ หัวข้อพันทิปแก้ไขไม่ได้จริงๆ T_T  +++


บทที่ ๑๕ : ยุทธนากลางสายฝน (ท่อนจบ)


จอมนางเหลียวไปรอบกายอีกคำรบ พลันสายพระเนตรก็สานสบเข้ากับสองแม่ทัพหน้าพอดี ขนงเรียวขมวดมุ่นด้วยทรงรู้ดีว่า ลงอุ่นเมืองกับแสนหลวงเห็นองค์เองตกอยู่ในที่ล้อมเยี่ยงนี้แล้วเห็นจักไม่ยอมอยู่เฉย มีแต่จักละทิ้งการรบที่ทัพหน้าเวียงสบสองกำลังเป็นฝ่ายได้เปรียบตีฝ่าเข้ามาหาเป็นแน่ แลถ้าเป็นเยี่ยงนั้น การทะลวงไปจนถึงแนวรับในแดนกลางของธาตวากรเช่นเพลานี้ก็จักสูญเปล่า พลิกตกเป็นรองทันที ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ทรงยอมไม่ได้เด็ดขาด แต่จักให้ทรงฝ่าวงล้อมออกไปก็ต้องใช้เพลาใช่น้อย บัดนี้สองแม่ทัพใหญ่เองก็ตั้งท่าจักชักม้าหวนกลับเข้ามาหาอยู่รอมร่อ เจ้าหลวงกาสะลองทอดพระเนตรหาราชองครักษ์คนสนิทอย่างรวดเร็ว ภูหลวงนั้นกลืนหายเข้าไปในการยุทธอยู่ทางหนึ่งมองไม่เห็นตัว มีแต่เพียงเศษซากอวัยวะใหญ่น้อยของมนุษย์ที่ขาดกระเด็นขึ้นมาเป็นระยะเท่านั้นที่จักเป็นเครื่องหมายว่า บัดนี้แม่ทัพใหญ่ภูหลวงอยู่ ณ ตำแหน่งใด โชคดีที่แจ้งหล้าอยู่ห่างไปไม่มากนัก ครั้นทรงเห็นอีกฝ่ายทำท่าจักถลันเข้ามาหาก็ทรงใช้สายพระเนตรห้ามเอาไว้ แลยกหัตถ์ขวาซึ่งดรรชนีสวมธำมรงค์เพชรรัตน์เม็ดใหญ่ขึ้นลูบพักตร์ ประหนึ่งคนที่ไม่รู้ว่าจักทำการสิ่งใดได้ถูก หากแท้จริงแล้วคือการขยับให้เหลี่ยมมุมอัญมณีสะท้อนต้องแสงแดดยามสายเป็นรหัสสัญญาณอันรู้กันเฉพาะองค์เองกับแม่ทัพใหญ่ทั้งห้า แจ้งหล้าเห็นแล้วก็ทำสีหน้าลำบากใจแต่ก็ค้อมศีรษะรับพระบัญชาแต่โดยดีก่อนกระตุ้นม้าตีแหวกขึ้นไปทางทัพหน้าอย่างรวดเร็ว      


อุ่นเมืองกับแสนหลวงรบติดพันอยู่ทางหนึ่ง เพียงเสี้ยวเพลาที่สองแม่ทัพเหลียวกลับมามองทางนายสาวพร้อมกันโดยมิได้นัดหมายนั้น สองบุรุษก็รู้สึกราวกับโลหิตในกายจักจับตัวกันเป็นก้อนแข็ง เย็นวาบไปตลอดทั้งสันหลัง ภาพจอมนารีที่ตกอยู่ในวงล้อมของข้าศึกนั้นยังให้ทั้งสองเร่งกระตุ้นเตือนม้าของตนให้มุ่งกลับไปทางทิศนั้นทันที แต่ข้าศึกที่หนุนเนื่องกันเข้ามาอยู่เรื่อยๆ นั้น ทำให้ไม่อาจจักเตือนม้าให้ไปได้เร็วดังปรารถนา อย่าว่าแต่จักร้องสั่งความเอากับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเลย เพียงจักคิดเมื่อยล้าหยุดพักสักน้อยยังไม่มี แสนหลวงขบกรามแน่น ดาบในมือหวดซ้ายป่ายขวาอย่างรวดเร็ว คมดาบนั้นไม่ว่าจักสะบัดไปทางทิศใด ทิศนั้นเป็นต้องแตกพ่ายออกไป แต่ก็เพียงชั่วครู่เท่านั้น ทหารธาตวากรก็กลับมารวมกันติดดังเดิม

ข้างอุ่นเมืองเองก็มีสภาพไม่ต่างกับแม่ทัพคู่ศึกนัก ดวงตาวาวโรจน์จับนิ่งอยู่ที่การเคลื่อนไหวของศัตรูพลางใช้ดาบคู่กับหอกสั้นประหารอริอย่างคนเมากลิ่นโลหิต มือขวาตวัดดาบมุ่งตำแหน่งลำคอ ส่วนมือซ้ายถือหอกแทงสวนเข้าตำแหน่งหัวใจ ไม่นำพาต่อเลือดที่กระเซ็นมาต้องใบหน้าและร่างกายสักนิด เพลานี้เขาขอเพียงเข้าใกล้องค์จอมทัพใหญ่ให้ได้มากที่สุดเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าจักไม่ขยับออกจากตำแหน่งเดิมแม้สักครึ่งก้าว

ทันใดนั้นเอง สองแม่ทัพใหญ่ก็พลันแว่วรหัสสัญญาณร้องสั่งมาจากกลางทัพ เมื่อแรกก็เข้าใจว่าตนนั้นหูแว่วไป หากเมื่อเสียงนั้นดังขึ้นอีกคำรบเป็นสัญญาณแห่งการแปรทัพ จึงแน่ใจว่าเป็นรหัสที่ส่งมาจากแม่ทัพสองพี่น้องคนใดคนหนึ่งนั้นเอง ทั้งสองก็ค่อยใจชื้นขึ้น เมื่อรู้ว่าองค์จอมทัพใหญ่เห็นจักไม่เป็นอันตรายแน่แล้ว หาไม่คงไม่มีสัญญาณให้แปรทัพแลเข้ารุกต่อเนื่องไปเยี่ยงนี้ อุ่นเมืองกับแสนหลวงหันมามองกันแวบหนึ่ง ก่อนที่รหัสคำสั่งแปรทัพจักดังขึ้นจากฝ่ายทัพหน้า ทหารเวียงสบสองได้ยินเข้าก็ขยับเคลื่อนเข้ามารวมกันจากเสนพยุหะ สู่กระบวนทัพอันมีสัณฐานดุจกงจักร แลเปิดทางเข้าออกลวงให้ศัตรูจู่ลู่เข้ามาด้านใน ซึ่งตั้งรับเป็นค่ายกลอยู่ภายในถึงแปดกล นาม 'จักรพยุหะ' อย่างรวดเร็ว


หัตถ์บางที่เลื่อนตกลงข้างตัวแลเศียรอันตั้งตรงค่อยค้อมลงคล้ายคนสิ้นหวังแลยอมปราชัยนั้น เรียกเสียงหัวเราะเยาะเย้ยจากฝ่ายที่ตั้งวงโอบล้อมอยูได้ไม่น้อย หากพวกมันไม่อาจรู้ ดวงพักตร์ที่เสมือนก้มทอดพระเนตรเพียงแผงคอม้านั้น ซ่อนรอยแย้มพระโอษฐ์สมพระทัยมิดชิด จงหัวเราะเถิดก่อนที่พวกเจ้าจักไม่มีโอกาสได้กระทำอีก

ม้าตัวหนึ่งทางเบื้องขวากรายเข้ามาใกล้หมายจักคร่ากุมองค์ แต่แล้วโดยไม่มีผู้ใดคาดคิด พักตร์งามนั้นเงยขวับขึ้นทอดพระเนตรผู้บังอาจด้วยเนตรเป็นประกายกร้าวดุดัน พระแสงดาบที่สายตาทุกคู่เห็นว่าถูกสอดเก็บคืนฝักนั้น บัดนี้กลับถูกกระชากปราดออกมาตวัดคมเข้าที่คอของทหารนายนั้นทันที ยังให้ศีรษะของมันขาดกระเด็นลงไปกลิ้งอยู่บนพื้นดิน ธารโลหิตพุ่งออกจากบาดแผลกระเซ็นต้องทุกผู้ที่อยู่ใกล้รัศมีด้วยกันทั้งหมด ศัตรูที่เหลือต่างผงะถอยอย่างตกใจกับสิ่งที่ได้เห็น เจ้าหลวงกาสะลองสรวลก้อง ทรงบังคับอัสดรให้หันมาทางอริราชที่บัดนี้พากันขยายวงล้อมออกห่างอย่างมุ่งร้าย พักตร์นวลเปื้อนเปรอะโลหิตกอปรกับเนตรที่วาวโรจน์ผิดไปกว่าเคย แลเกราะทองที่อาบย้อมด้วยสีแดงเลือดยิ่งส่งให้จอมนางเพลานี้ดูราวกับเทพแห่งสงครามแลเทพีแห่งความพินาศแบ่งอณูลงมาหลอมรวมเป็นองค์เองกระนั้น  

ยังไม่ทันที่พวกมันจักทันตั้งตัวกับสถานการณ์ที่พลิกผัน อัสดรสีน้ำตาลเข้มก็ถูกผู้เป็นนายกระตุ้นให้เผ่นโผนเข้าหา เงาดาบคมวับตวัดผ่านหน้าทหารเคราะห์ร้ายผู้หนึ่ง ชั่ววิบตาเดียวหัวม้าศึกก็ขาดกระเด็นพร้อมกับท่อนบนของเจ้าคนเคราะห์ร้าย ม้าตัวนั้นยืนโงนเงนโดยปราศจากหัวเป็นภาพสยดสยองต่อสายตาเพียงไม่นานก็ล้มลงพร้อมกับท่อนล่างของนายที่ยังติดคาบนหลัง ทหารที่เหลือกลืนน้ำลายแทบไม่ลงคอ สินบนรางวัลอันใดที่ภูมินทร์แม่ทัพใหญ่ไส้ศึกได้ประกาศมาก่อนหน้านี้ว่า มาตรแม้นผู้ใดคุมตัวองค์จอมทัพใหญ่ได้จักมีบำเหน็จอย่างงามนั้น มาบัดนี้มิได้ติดอยู่ในสำนึกแม้เพียงส่วนเสี้ยว แต่จักให้ผละหนีก็เสียชื่อชายชาติทหารอยู่ใช่น้อย จึงสู้แข็งใจจับดาบรบอีกคำรบหนึ่ง

ระหว่างที่โรมรันติดพันกันอยู่นั้น ทหารธาตวากรนายหนึ่งสบโอกาสเหมาะชักม้าเข้าหาทางเบื้องปฤษฎางค์หมายปลิดพระชนม์ชีพ เจ้าหลวงกาสะลองทรงรบอยู่กับทหารอีกนายหนึ่ง เมื่อทอดพระเนตรความเคลื่อนไหวไวๆ อยู่ทางปลายพระเนตรก็ขบริมพระโอษฐ์แน่นอย่างพิโรธกับยุทธวิธีลอบกัดเยี่ยงนี้ จึงแสร้งทำทีประหนึ่งทรงเสียหลักเปิดช่องว่างให้ศัตรูเป็นฝ่ายถลำเข้ามาหาเอง ก่อนที่คมอาวุธจักทันต้องพระวรกาย จอมนางกลับทรงกระตุ้นอัสดรหลบฉากออกไปทางหนึ่งอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้สหายร่วมรบทั้งสองต่างแลกคมฝังฝากไว้ในกายของกันแลกันแทน องค์จอมทัพใหญ่ไม่ทรงเสียเพลาชายเนตรมาทางซากอสุภที่ตกลงไปนอนให้ม้าเหยียบ กลับตรงเข้ารุกไล่ศัตรูที่เหลืออยู่อีกไม่ถึงห้าคนต่อไปอย่างสนุกมือ    


แดดสายเริ่มผ่อนฤทธิ์ร้อนลงพร้อมกับสายลมเย็นที่เริ่มพัดชาย พยับเมฆดำทะมึนเริ่มแผ่ขยายมาจากเบื้องบูรพาทิศอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานยุทธภูมิแห่งนั้นก็มืดลงราวกับเพลาพลบค่ำ ลมเริ่มทวีความแรงขึ้นเป็นลำดับจนกระทั่งผงคลีฟุ้งตลบไปทั่วบริเวณ เสียงไม้ไร่หักโผงผางตามแนวป่าได้ยินชัด เป็นสัญญาณแจ้งว่ามหาวาตะกำลังจักเริ่มขึ้น ณ กาลนี้แล้ว สายฟ้าแลบแปลบปลาบอยู่เหนือศีรษะก่อนส่งเสียงกัมปนาทกลบเสียงการต่อสู้ไปสิ้น รหัสเหตุธรรมชาติอันผิดไปจากที่เคยพบพานนั้น ยังให้ทหารทั้งสองฝ่ายพากันอึ้งตะลึงไปชั่วขณะจิต ด้วยมหาวาตะนี้ไม่เคยเลยที่จักเกิดขึ้นในเพลาสายเยี่ยงนี้ ครั้นสิ้นเสียงฟ้าคำรามอีกคำรบ ฝนห่าใหญ่ก็กระหน่ำซัดลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา
 
ม่านฝนที่ขาวโพลนไปทุกทิศแลแรงลมที่พัดกล้าจนแทบจักลืมตาไม่ขึ้นนั้นยังให้การยุทธนาดำเนินไปด้วยความลำบากมากขึ้น แต่นั่นก็มิได้ทำให้ทหารเวียงสบสองลดการจู่โจมลงเลย ยิ่งฝ่ายธาตวากรถอยร่นไปเท่าใด ฝ่ายเวียงสบสองก็ยิ่งรุกโถมโจมตีเป็นสามารถ แจ้งหล้าพยายามตีฝ่าวงล้อมของศัตรูเพื่อเข้ามาใกล้องค์จอมทัพใหญ่ให้มากที่สุด ถึงเขาจักเชื่อในพระปรีชาการรบของผู้เป็นนาย แต่การตกอยู่ในวงล้อมของศัตรูเพียงลำพังนั้นก็อาจทำให้ทรงพลาดพลั้งได้ อุปมาประหนึ่งสิงห์ที่ตกอยู่ท่ามกลางฝูงสุนัขกระนั้น ถึงเมื่อครู่ใหญ่เขาเพิ่งจักให้สัญญาณแห่งการแปรทัพตามที่รับพระบัญชามาก็เถิด แต่นั่นมิใช่หลักประกันเลยว่าเจ้าหลวงกาสะลองจักไม่ทรงตกอยู่ในอันตราย  

เมื่อตีฝ่าทหารธาตวากรออกมาได้กึ่งทาง ม้าหนึ่งก็เผ่นโผนเข้าสกัดหน้าจนแม่ทัพหนุ่มต้องรั้งสายหนังบังเหียนเอาไว้ เมื่อเห็นหน้าผู้ที่เข้ามาขวางชัดเจนก็ขบกรามแน่น ด้วยมันคือหนึ่งในจารบุรุษที่เขาเคยไว้วางใจที่สุดนั่นเอง

“จักไปที่ใด ท่านแม่ทัพ”

เสียงเย้ยหยันร้องถามแข่งกับเสียงลมฝนที่พัดอู้อยู่รอบตัว ชายหนุ่มกระชับดาบในมือแน่นพลางร้องตอบไป

“ข้าจักไปที่ใด หาใช่เรื่องของเจ้าไม่ แต่สิ่งที่ข้าจักบอกได้คือ ข้ามิได้ละทิ้งศักดิ์แห่งตนยอมเป็นทาสของศัตรูเยี่ยงเจ้า ใจแก้ว!”

“เป็นทาสศัตรูกับเป็นบุรุษที่ยอมอยู่ใต้ผ้านุ่งของสตรี มันแตกต่างกันอย่างใดรึ”

“หึ! เหตุผลเพียงเท่านี้รึที่เจ้ายอมไปเข้าด้วยธาตวากร ไม่ยอมอยู่ใต้ผ้านุ่งสตรี หากบุรุษใดเล่าหวาที่กำเนิดออกมาได้โดยไม่ผ่านผ้านุ่งสตรี”

แจ้งหล้าบอกเสียงหยัน ก่อนบังคับม้าให้เผ่นเข้าหาเจ้าไส้ศึกห่างเพียงหนึ่งช่วงม้าเผ่นเท่านั้น นัยน์ตาวาวจ้าด้วยฤทธิ์โทสะประสมหมิ่นหยามชัดเจน

“ฤๅเจ้าเป็นพวกถือกำเนิดได้เองโดยไม่มีมารดา”

“เจ้า!”

พร้อมเสียงตวาดด้วยแรงโทสะนั้น เจ้าคนคดก็กระตุ้นม้าเข้าประชิดแจ้งหล้าทันที แลเงื้อดาบขึ้นสูงหมายบั่นคอให้ขาดกระเด็น ทว่าแจ้งหล้าระวังตัวอยู่ก่อนแล้ว จึงยกดาบในมือขึ้นรับอย่างทันท่วงที แล้วดันใบดาบของอีกฝ่ายออกไปด้วยกำลังแรง จนมันแทบจักพลัดตกจากหลังม้า แม่ทัพหนุ่มไม่ปล่อยโอกาสงามให้หลุดลอยไป รีบเตือนม้าเข้าหาหวังเผด็จศึกเสียให้สิ้นไป ทว่าใจแก้วกลับตั้งหลักได้อย่างรวดเร็ว จึงเป็นทีของมันที่จักโต้ตอบแจ้งหล้ากลับไปในลักษณาการเดียวกันบ้าง ชายหนุ่มไม่ทันระวังตัวว่าจักถูกโต้คืนรวดเร็วเช่นนั้นกอปรกับแรงกระแทกจึงทำให้ร่างสูงพลัดตกจากหลังม้าทันที

เจ้าไส้ศึกยิ้มเหี้ยมอย่างสมคะเน เร่งกระตุ้นม้าเข้าหาหมายเหยียบจมผืนดิน ดีว่าแจ้งหล้าฝืนข่มความจุกพลิกหนีไปอีกทางอย่างฉิวเฉียด มันขบกรามแน่นแล้วเร่งม้าเข้ามาหาอีกครา พลางดึงหอกสั้นที่ติดอยู่กับแผงอาวุธท้ายม้าเงื้อขึ้นสุดแขน


*** มีต่อค่ะ

แก้ไขเมื่อ 04 ส.ค. 54 14:22:20

จากคุณ : อินทรายุธ
เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 14:20:51




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com