ภูธนานอนพลิกตัวไปมาบนที่นอน ขมตาหลับไม่ลงภาพของสาวน้อยที่เขาพร่ำพรรณาว่าเกลียดนักเกลียดหนากำลังนั่งร้องไห้อยู่ข้างเตียง ดึกดื่นป่านนี้เจ้าหล่อนกำลังทำอะไรอยู่ จะนอนแล้วหรือยังคิดมากแต่หัวดื้อแบบนั้นคงจะข่มตาหลับไม่ลงซักทีชายหนุ่มลุกจากที่นอนกระโจนไปหยิบกุญแจรถแต่ทว่าคิดแล้วคิดอีกหากเขาออกไปดึกๆ ครอบครัวก็ต้องสงสัยว่ารีบร้อนที่ไหน พลางกรอกตาคิดถ้าหากไปโดยรถจักรยานก็เงียบพอให้เถลไถลไปได้เนียนบ้าง ภูธนาตัดสินใจแอบไปเอารถจักรยานที่โรงคนงานปั่นตรงมาจนถึงหน้าบ้านอิงแก้วราวกับใจตรงกันที่เขาพบเจ้าหล่อนนั่งอยู่ที่ชิงช้าหน้าบ้านเหม่อมองไปบนฟ้าคนเดียวคงจะนอนไม่หลับเพราะวันนี้มีเรื่องมากมายให้หล่อนได้คิดตั้งแต่เรื่องหนูรินรวมถึงเรื่องของกิตติ แต่จะเข้าไปหาหล่อนทันทีทันใดอาจตกใจกันเปล่าๆ เดี๋ยวหาว่าเขามาทำมิดีมิร้ายเป็นเรื่องราวใหญ่โตกันพอดี เขาจึงได้แต่แอบซุ่มมองเจ้าหล่อนอยู่ริมรั้วในระหว่างที่กำลังด้อมๆ มองๆ อยู่นั้นสุนัขข้างบ้านตาดีวิ่งตามมาเห่ากันเป็นเรื่องเป็นราว อิงแก้วสะดุ้งมองไปด้านนอกเห็นเงาตะคุ่มจึงไม่ไว้ใจรีบไปหยิบไม้กวาดทางมะพร้าวมาเป็นอาวุธหากเป็นผู้ร้ายจริงคงได้ตีกันหัวแบะ ภูธนาโบกมือไล่สุนัขทั้งหลายที่ทำเสียแผนขณะที่อิงแก้วย่องเข้ามาด้านหลังชะเง้อหน้ามองผู้ต้องสงสัยพร้อมง้างด้ามไม้กวาดขึ้น
“นั่นใครน่ะ”เจ้าหล่อนร้องขึ้น ภูธนาเหลียวมองแตกตื่นกับท่าทางที่เจ้าหล่อนกำลังจะหวดเขาจึงรีบถอยหลังมาตั้งตัวก่อนจะร้องขึ้นยกใหญ่
“พี่เองๆ ” เขาร้องบอกบอกเร็วจี๋ เจ้าหล่อนชะงักจ้องมองเขาผ่านแสงจันทร์
“พี่ภูเหรอ”
“อือๆ ”เขายกแขนขึ้นป้อง อิงแก้วลดไม้กวาดลงมองเขาดีๆ อีกครั้ง
“แล้วนี่มาทำอะไรลับๆ ล่อๆ ตรงนี้เนี่ย”เจ้าหล่อนถามขึ้น ชายหนุ่มอ้ำอึ้งก่อนจะแก้ตัว
“ก็...เห็นเธออาการไม่ดีนึกว่าจะฆ่าตัวตายก็เลยมาดูหน่อย”ภูธนาอ้างด้วยเหตุผลที่คิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ ไม่สร้างสรรค์เท่าไรนัก
“นี่ ฉันคงไม้คิดสั้นอะไรขนาดนั้นหรอกนะ”
“ใครจะไปรู้เห็นเป็นคนไม่ค่อยคิด”เขาอ้างทั้งที่ใจจริงรู้นิสัยเจ้าหล่อนดีว่าฉลาดและไม่คิดทำอะไรโง่ๆ แบบนั้นแน่แต่เพราะฟอร์มจัดเลยต้องสรรค์หาคำพูดไร้สาระแก้ต่างกันไป
“เอ๊ะ! ”หล่อนขมวดคิ้วทำหน้ายุ่ง แต่ทว่าชายหนุ่มกลับเปลี่ยนเรื่องไปอย่างรวดเร็ว
“ไม่คิดจะชวนพี่ไปนั่งข้างในเหรอ”
“ฉันไม่ได้ชวนพี่มาเลยนะ”
“อ้าว มารยาทนะครับ”
“ฉันไม่ต้อนรับ”อิงแก้วทำหน้าเมิน ภูธนายิ้มมุมปาก
“งั้นก็ไม่เป็นไร ปีนไปเลยแค่รั้วเล็กๆ นี่ไม่เห็นต้องทำให้เรื่องมาก”ว่าแล้วตบเท้าข้ามผ่านรั้วสีขาวเล็กๆ ที่มีไม้พุ่มเป็นกระจุกริมทาง อิงแก้วร้องขึ้นโดยไม่ลังเลห้ามไม่ให้เขาถือวิสาสะปืนเข้ามา
“ว๊ายๆๆ ไม่ได้นะ”
“งั้นก็เปิดประตูดีๆ สิ”เขาพยักหน้าไปที่ประตูรั้วหน้าบ้านอิงแก้วบ่นอุบหน้ายุ่งรีบเดินไปเปิดประตูไม่เต็มใจมากนัก ภูธนาเดินตามนั่งที่ชิงช้าโยกสนามหญ้าหน้าบ้านโดยมีอิงแก้วนำเข้ามา
“มานั่งด้วยกันสิ”เขาตบที่ว่างด้านข้าง อิงแก้วกอดอกเบื่อหน่ายเดินมานั่งข้างๆ แต่โดยดี
“รบกวนกันแต่ดึกดื่น”
“อ้าว! เพราะเป็นห่วงนะถึงมา”
“ห่วงว่าฉันจะตายนี่นะน่าประทับใจจังเลยนะคะคุณภูธนา”อิงแก้วหันมามองหน้าเขาตรงๆ ชายหนุ่มแอบกลั้นหัวเราะอยู่ในใจที่ได้เห็นหล่อนจิกกัดเขาในยามดึก
“ก็วันนี้ดูเธอจะเป็นจะตายจะไม่อดคิดอย่างนั้นได้ยังไง”
“หึ! ฉันก็ไม่คิดสั้นขนาดนั้นหรอก”อิงแก้วเชิดหน้าใส่ ภูธนาเหล่ตามองกึ่งเล่นกึ่งจริง
“นี่ พิมพาน่ะเป็นแฟนกับกิตติเหรอ”เขาเปิดประเด็นที่ค้างคาทันที อิงแก้วเหลือบมองเขาแวบ
“ถามทำไมเสียใจเหรอที่พิมพาไม่ได้โสดแต่เสียใจไม่นานหรอกตอนนี้เธอเลิกกับพี่กิตติแล้ว”
“โห๊ะ! เธอมันช่างจับเรื่องจับราวมาใส่ไข่ใส่นมได้ดี”
“ฉันเปล่าใส่ใข่ใส่นมพี่กิตติเป็นคนดีฉันไม่อยากให้พี่ภูเป็นมือที่สามของพวกเขา”อิงแก้วตั้งหน้าตั้งตายัดเยียดความผิดให้เขาล้วนๆ
“ใครกันแน่ แอบชอบเขาอยู่ล่ะสิ”
“จะบ้าหรือไงฉันไม่เคยคิดอย่างนั้นเลยซักนิดพี่กิตติเป็นคนดีใครอยากทำให้ชีวิตรักเขาล่ม”อิงแก้วหลบตา แต่ภูธนาก็พอเดาอะไรๆ ได้บ้าง ถึงแม้หล่อนจะไม่ได้มีจุดประสงค์แย่งชิงแต่ก็แอบชอบกิตติอยู่เหมือนกัน
“ก็เลยมาแอบร้องไห้อยู่คนเดียว”
“นี่เลิกจับผิดกันได้ไหม”
“ก็ใครจะไปรู้ล่ะ”
“ว่าแต่คนอื่นเถอะมาหาฉันแบบนี้ถ้าหนูรินรู้คงมาแหวกอกฉันตาย”เจ้าหล่อนย้อนถามบ้าง ชายหนุ่มแอบใจหวิวๆ เมื่อได้ยินชื่อแฟนสาว
“ไม่หรอก บางทีความหลงกับความรักมันก็ไม่เหมือนกันแต่บางครั้งก็เหมือนจนทำให้เราหลงผิดคิดว่านั่นคือความรัก แต่พอมารู้ว่ารักเป็นยังไงมันก็เกือบจะสายไปแล้ว”สายตาของภูธนาที่สบกับอิงแก้วช่างอบอุ่นและสื่อความหมายอย่างลึกซึ้ง อิงแก้วสัมผัสได้ถึงความรู้สึกลึกๆ ที่แปลกประหลาดราวกับมีบ่อน้ำร้อนมาสุมเดือดอยู่กลางหัวใจ
“เฮ้อ! ออกมาทั้งทีทะเลาะกัน ไม่เบื่อบางหรือไง”เขาบอกพลางเงยหน้ามองท้องฟ้าดาวระยิบละลานสวยทั่วท้องฟ้าเพิ่งรู้วันนี้เองว่าการจะมองดาวให้สวยไม่ต้องไปที่ไหนหากแต่การที่เราได้มองดาวกับใครคนหนึ่งที่เรารักทุกสิ่งรอบตัวมันช่างสวยงามขึ้นมาทันตา
“บ้านเธอนี่มองดาวแล้วสวยดีนะ”
“บ้านพี่ไม่มีให้ดูหรือไง”
“มี แต่ไม่สวยเท่าที่นี่...” ภูธนาสบตาแน่นิ่งกับหญิงสาวผิดกับอิงแก้วที่กลับมาทำหน้าตาหงุดหงิดกลบเกลื่อนอาการขวยเขิน “เลิกทำหน้ายุ่งได้แล้วลองมาพูดกันดีๆ ซักครั้งแล้วเธอจะรู้ว่าบรรยากาศที่ปราศจากสงครามน่ะมันเป็นช่วงเวลาที่ดีแค่ไหน”เขาแนะวิงวอนด้วยสายตาซื่อๆ อิงแก้วสบตาคู่งามชายหนุ่มเต็มสองตาภาพของชายหนุ่มรูปงามที่มีพร้อมไปทุกๆ อย่างถึงกลับทำให้หน้าเนียนขาวๆ ของเจ้าหล่อนออกแดงระเรื่อแก้เขินด้วยการเหลียวมองท้องฟ้าอีกฟากเพื่อปกปิดบางอย่างไว้
“ท้องฟ้าวันนี้สวยดีเนาะ”
“ก็เห็นไหมล่ะแสงสว่างถึงแม้จะไม่ได้มาจากการปรุงแต่งเหมือนไฟประดับหรือแสงไฟนีออนแต่มันก็สวยอย่างเป็นธรรมชาติมองแล้วสบายตาแถมยังทำใจจิตใจที่ยุ่งเหยิงกลับมานิ่งสงบได้ ดาวเล็กๆ ถ้ามีเพียงดวงเดียวบนท้องฟ้าหากมีแสงสว่างที่เจิดจ้าก็ชนะแสงไฟบนพื้นหญ้าได้เหมือนกัน”เขาบอกเป็นนัยหยอดตามองเจ้าหล่อนยังเชิดหน้ามองท้องฟ้า อิงแก้วยิ้มรับก่อนจะยกมือขึ้นพนม
“ดวงดาวเจ้าขาหนูอิงขออธิฐานให้วันพรุ่งนี้ของหนูอิงเป็นวันที่สดใสและมีความสุข ให้เป็นวันที่มีแต่เรื่องดีๆ ด้วยเทอญ”เจ้าหล่อนท่องเป็นนกแก้วนกขุนทอง ภูธนามองแววตาสดใสประกายพราวของเจ้าหล่อนด้วยใจที่บริสุทธิ์อย่างน้อยเธอก็เป็นคนดีที่พร้อมทั้งกายและจิตใจที่ไม่เคยปองร้ายใครหากเขาเป็นกิตติที่หล่อนแอบหลงรักอยู่คงจะเลือกคนที่น่ารักและจิตใจดีมากกว่าผู้หญิงที่มีแต่ความโลภอย่างพิมพาแน่
“กลับก่อนล่ะ”ภูธนาลุกขึ้น อิงแก้วเงยหน้ามองตาม
“กลับดีๆ ล่ะมันดึกมากแล้ว”
“อืมฝันดีนะ”เขาส่งยิ้มให้เธอเมื่อได้เห็นว่าเธอยังอยู่ดีก็โล่งใจก่อนจะกระโดดออกจากรั้วกั้นเล็กๆ ออกไป อิงแก้วมองตามในขณะที่เขาปั่นรถจักรยานผ่านไปอย่างรวดเร็ว คำถามที่ยังคงค้างในใจของหญิงสาวคือความรู้สึกที่มีต่อกันมันเริ่มแปลกขึ้นทุกวัน ภูธนาก็เช่นกันทำตัวผิดเพี้ยนจากแต่ก่อนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาหรือนี่จะเป็นเพราะอากาศมันหนาวขึ้นที่ทำให้หัวใจของทั้งสองเริ่มจะไม่สบายจนต้องกินยาและพักรักษาตัว
จากคุณ |
:
คุณหนูแจ่มใส
|
เขียนเมื่อ |
:
4 ส.ค. 54 22:13:19
|
|
|
|