ปลายปี 1976 พวกเรา 4 คนเช่าอพาร์ทเม้นท์อยู่รวมกันที่บรู๊คลีนในนิวยอร์คและฝั่งตรงข้ามของอพาร์ทเม้นท์เรามีแม่น้ำฮัดสั้นคั่นอยู่คือไชน่าทาวน์ที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวมีชื่อเสียงมากของนิวยอร์คแห่งหนึ่ง ซีเนียร์หนุ่มโสดของห้องพักเราคือพี่สวงษ์ ที่พวกเราจะเรียกอย่างสั้นๆจนเคยปากว่าพี่หวง ส่วนตัวของพี่หวงเรารู้กันนิดเดียวแต่เพียงว่าพี่หวงรูปหล่อ ผมบางแต่คิ้วดกสมเป็นลูกหลานตระกูลนี้ที่คิ้วดกกันทุกคน จนพี่ชายของพี่หวงเกือบจะถูกนางงามจักรวาลสมัยโน้นคว้าไปกินซะแล้วเพราะด้วยที่ รูปหล่อ คิ้วดกบวกกับรวยด้านค้ายุทธปัจจัยอีกต่างหาก นอกเหนือจากนั้นเรารู้กันแต่เพียงพี่หวงมาทำ M หรือโทต่อที่อเมริกานั่นเอง กลางวันเรียนหนังสือกลางคืนพี่หวงแบกจ๊อบอยู่ในแมนแฮตตั้น ซีเนียร์คนถัดมาคือพี่ป๊อ ผู้มีสกุลลูกหลานขุนนางที่ชื่อของผู้สืบสกุลนี้ทุกคนต้องเริ่มต้นด้วยอักษร "ป" ปลาทุกคนไป พี่ป๊อมาแบกจ๊อบงานสต็อคเสื้อผ้า ด้วยขาข้างหนึ่งกะเผลกพี่ป๊อจึงเลือกงานขีดๆเขียนๆที่ไม่เป็นอุปสรรคต่อสังขารของตนเอง พี่ป๊อมาอเมริกาด้วย I-20 วีซ่านักเรียน (โค่ง) ที่พี่หวงจัดให้เนื่องจากเป็นเพื่อนซี๊กันมาแต่เมืองไทย พี่ป๊อเรียนภาษาอยู่ราว 2 อาทิตย์ก็โดดออกมาเป็นโรบินฮู๊ดอยู่ในเมืองนิวยอร์ค รัฐนิวยอร์คนั่นเอง วันธรรมดาพี่ป๊อขยันทำงาน 6 วัน หยุดวันอาทิตย์พี่ป๊อต้องสะพายกล้องแคนนอนเลนส์โต ลงรถใต้ดินไปโผล่ขึ้นตามสถานที่สวยงามสำคัญๆ ตระเวณถ่ายรูปซึ่งเป็นงานอดิเรกที่พี่ป๊อรักเป็นชีวิตจิตใจ พี่หวงชอบขู่เรื่อยว่าเดี๋ยวเถอะเอง ตะลอนๆดีนักเดี๋ยวก็ถูกไอ้เก(อิมมิเกรชั่น ตรวจคนเข้าเมือง) จับจนได้ พี่ป๊อยิ้มกระดิกหนวดรับคำแช่งโดยไม่เคยต่อปากต่อคำกับเพื่อนรัก ผมเป็นรูมเมทที่อายุรองเล๊กของในจำนวนพวกเรา 4 คน ผมอพยพขับรถคันเดียวกันกับพี่หวงขึ้นมาจากเมืองลองบีช รัฐแคลิฟอร์เนีย เอาเป็นว่าเพิ่งรับปริญญาตรีมากันหมาดๆ ส่วนเรื่องอื่นๆของตัวผมเองนั้น ผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่นัก เอาแค่ว่าผมตามพี่หวงผู้ที่เคยเป็นนิวยอร์คเก้อร์แต่เก่าก่อนขึ้นมาเท่านั้นคงพอ ผมไปได้งานทำที่ร้านญี่ปุ่นขายของที่ระลึกชื่อ AZUMA WEST อยู่กลาง Greenwich Village ที่พอโผล่จากสถานีรถใต้ดิน West 4 ก็เดินเข้าร้านได้เลย รูมเมทของห้องเราคนสุดท้ายคือเจ้าเปี๊ยก-ธวัธชัย อ่อนกว่าผมปีเดียวคือเพิ่ง 23 เท่านั้น เดิมเปี๊ยกอยู่เมืองคอมตั้น ลอสแองเจลีส แคลิฟอร์เนีย ถูกพี่ป๊อคู่ซี๊ต่างวัยชวนกันตามขึ้นมาอยู่ฝั่งอีสโคสท์ ที่นิวยอร์คด้วยกัน เราเช่าอพาร์ทเม้นท์ยูนิตเดียวที่มี 2 ห้องนอน ห้องน้ำเดี่ยว ห้องละ 2 เตียงลงตัว เราแบ่งหน้าที่กันคือ พี่หวงและผมไปไชน่าทาวน์จ่ายของสด หมู เนื้อ ไก่ ปลาและผักไว้ใช้ทำกับข้าวให้พอทั้งอาทิตย์ พี่ป๊อเป็นจุมโผ่กุ๊กมือเยี่ยมด้วยที่ว่าชอบทำกับข้าวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงแปลงปรับเปลี่ยนเมนูหมุนเวียนได้ตลอดทุกวันแต่ละอาทิตย์ไม่มีกับข้าวซ้ำกัน เปี๊ยกน้องเล็กรับหน้าที่ตั้งหม้อข้าวกับกวาดถูบ้านห้องส่วนกลางกับห้องน้ำ ทุกอย่างลงตัวเรียบร้อยดี มีอยู่วันหนึ่งพี่หวงไปได้ต้นกัญชา (Marijuana-มารีฮัวน่า) มาจากไหนไม่อยากรู้ พี่หวงก็แยกปลูกใส่ในถังขนาดน้องๆกะละมัง แยกแต่ละต้นห่างกันเล็กน้อยยังกับดำนาข้าวไว้งั้นเลย ที่ๆปลอดคนเดินก็คือบรรไดหนีไฟด้านหลังผนังห้องพี่หวงพอดี วางเรียงขั้นบรรไดทำเป็นไม้ประดับสวยไปเลย ขอบใบแตกฝอยพริ้วริ้วลู่ตามลมสวยน่าดู แต่ยังไงก็คงต้องยกเข้าห้องก่อนคริตสมาสมาเยือนใน 2 เดือนข้างหน้านี้ พี่ป๊อจุมโผ่ของเราคอยไปเล็มตัดครึ่งต้นครั้งละกำมือ ซอยมีดหั่นฝอยบนเขียงละเอียดบางเฉียบ แบ่งเก็บไว้ใส่ตอนผัดเผ็ด แกงเผ็ด โอ้ยอร่อยเจริญอาหารอย่าบอกใครเชียว บ่ายสองของอาทิตย์หนึ่งกลางเดือนออคโทเบอร์ ปีนั้นละ 1976 ไอ้โป(Policeman-ตำรวจ) มาเคาะประตูห้องที่พวกเราอยู่กันพร้อมหน้าพอดี เพราะมันเป็นแฮบปี้เดย์ที่พวกเราจะทำอาหารทานพร้อมๆกัน เปี๊ยกเปิดประตู ก็จ๊ะเอ๋กับไอ้โปที่มากัน 2 คนพร้อมกับชูหมายค้นให้พวกเราดู แจ้งพวกเราว่ามีผู้แจ้งไปว่าเรามีต้นกัญชาอยู่ในครอบครอง ขอเข้ามาตรวจค้น จุมโผ่พี่ป๊อของเราขอไปหน้าซีดแอบในห้องน้ำก่อนเพื่อนเพราะนึกว่าถูกไอ้เกมาซิวส่งกลับบ้านแล้ว ไอ้โปชะโงกออกไปดูนอกหน้าต่างเอื้อมมือหยิบถังปลูกกัญชาเข้ามาหมดทั้วสองใบ หลายพุ่มเลย "Whose's these plants?" พี่หวงยิ้มกระเรี่ยกระราดตอบ "hae hae Its mine-แหะ แหะ ของผมเอง" แล้วพี่หวงก็พูดไทยบอกพวกเราว่า "อย่าพูดอะไร ให้เราพูดคนเดียว" ไอ้โปคนตัวสูงยิ้มอย่างเป็นมิตรแล้วถามด้วยสำเนียงแปร่งๆว่า "โอ้เป็นคนไทยรื้อคราบ โผมเคยยู๊เมืองทาย ตอนทีโผมเป็นจีอายปี๊ 1969คราบ แต่อันนี่เป็นกัญชาผีดกฏหมายมากน๊ะ" พี่หวงเผลออุทาน " ซวยละซี่กู" ไอ้โปคนพูดไทยได้หัวร่อกั้กๆ หันไปพุดอะไรเบาๆกับคู่หู แล้วถามว่ามีกัญชาไว้ทำอะไร พี่หวงบอกตามความจริงว่าใช้คุ๊กกิ้งเคอรี่ซุป ไอ้โปเลยต้องหันไปอธิบายให้คู่หูฟังว่าพวกเราใช้ทำแกงเผ็ด พี่หวงจึงชี้ให้ดูกัญชาสดที่ซอยแล้ววางค้างอยู่บนเขียง เจ้าโปตัวเตี้ยพยักหน้างึกๆ ตัวสูงจึงบอกพี่หวงว่าโทษมีกัญชาไว้ครอบครองเกินกี่ออนซ์ (ounce) ของในตอนนั้นซึ่งผมจำไม่ได้แล้ว โทษแรงติดคุกนาน แกเลยบอกว่าเมื่อมีคนแจ้งไปก็ต้องจับไปสถานีตำรวจก่อน แต่ไม่ต้องตกใจแกจะช่วยโดยเอากัญชาไปเป็นของกลางเพียงต้นเดียว มีโทษแค่ปรับเท่านั้น ให้พี่หวงเตรียมตัวไปสถานีกับแกเลย พวกเราเตรียมตัวเพื่อตามไปด้วย ตำรวจคนที่พูดไทยได้จึงตะโกนบอกให้พี่ป๊อได้ยินว่า "โผมไปกอนน้าคราบ คุณโรบินหูดออกมาได้แล่ว" กาละครั้งนั้นตำรวจจับพี่หวงส่งขึ้นฟ้องศาล(small claim court-ศาลเฉพาะคดีมโนสาเร่ ที่มูลฟ้องไม่เกิน 300 หรือ 500 เหรียญซึ่งผมจำไม่ได้แล้ว รับฟ้องปากเปล่าโดยโจทย์ที่เป็นตำรวจหรือคู่กรณีโดยตรงก็ได้ ศาลนี้เปิด 7 วันเลย จะปิดศาลเที่ยงคืน) ตำรวจบรรยายฟ้องปากเปล่าแป๊บเดียว ศาลถามข้อมูลพี่หวง 4-5 ประโยค แล้วถามว่าทำผิดตามที่ตำรวจฟ้องจริงไหม พี่หวงสารภาพว่าผิดจริง ศาลถามว่าถ้าจะปรับ 70เหรียญจะมีเงินจ่ายหรือไม่ พี่หวงล้วงทั้งสองกระเป๋ามีแค่ 62 เหรียญ ศาลเมตตามากจึงสั่งปรับเพียง 50 เหรียญ ศาลเป็นชายผิวสียิ้มอย่างอ่อนโยนพยักหน้าให้พี่หวงก่อนที่จะทุบฆ้อนลงขวามือของบัลลังก์ แล้วให้ตำรวจพาพี่หวงไปจ่ายที่เสมียนปรับ พวกเรารวมทั้งโรบินฮู๊ดขอบคุณตำรวจตัวสูงที่คุมพี่หวงมาศาล แล้วลาจากกันอย่างมีมิตรไมตรี ลาก่อน Marijuana แดนนี่บอย
แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 54 08:21:11
จากคุณ |
:
youngbear
|
เขียนเมื่อ |
:
4 ส.ค. 54 22:23:23
|
|
|
|