Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เธอและฉันกับฝันวันวาน ติดต่อทีมงาน

ผู้เขียนต้องขออภัยด้วยนะคะ ถ้าใครหลงมาอ่านแล้วไม่เข้าใจ
เรื่องนี้เป็นเรื่องสั้นของวันวานค่ะ สะท้อนความฝันบางแง่มุมในยุคที่ ยังไม่มี แอดมิชชั่น ไม่มีอินเตอร์เน็ต ไม่มีมือถือ ภาษาบางคำอาจจะเป็นคำศัพท์เฉพาะ หรือเป็นที่นิยมในสมัยนั้น วัฒนธรรมหรือขนบต่างๆ อาจแตกต่างไปบ้าง นึกเสียว่ากำลังอ่านจินตนิยายอีกเรื่องหนึ่งก็แล้วกันค่ะ

เธอและฉัน กับฝันวันวาน 1

          “เก็บตะวันที่เคยส่องฟ้า เก็บเอามาเก็บไว้ในจายยยย...”

          เพลงเก็บตะวันของพี่อิทธิสุดเท่ห์ยังดังอยู่ในหูที่เสียบซาวด์เบาท์ (ipod รุ่นออริจินอล)แทรกตามมาด้วยเสียงรถไฟแล่นฉึกฉัก ฉึกฉักจากชุมทางรถไฟหาดใหญ่ มุ่งหน้าขึ้นเหนือสู่กรุงเทพมหานคร เจ้าของเป็นเด็กสาวเหยียดขายาวสบายอารมณ์ด้วยความหวังว่าการขึ้นกรุงเทพฯ คราวนี้จะเป็นการเก็บตะวันของตัวเองบ้าง

          “แน่ใจแล้วหรือว่าจะเอ็นฯใหม่”

          เพื่อนร่วมก๊วนมหาวิทยาลัยสองสามคนพากันซิ่งมอเตอร์ไซด์พาหนะยอดฮิตมาส่ง

          “ชัวร์! ได้ไม่ได้อีกเรื่องหนึ่งนะ”

          เด็กสาวทำหน้าทะเล้น คำตอบมีอยู่ในใจก็คือ ขอไปเรียนที่ใหม่เถอะ! ลากันที มหาวิทยาลัย ทั้งบ้านนอก ทั้งล้าสมัย เรียนก็ลำบาก อะไรอะไรก็ทุรกันดาร อุตส่าห์หนีบ้านนอกบ้านเกิด หวังสอบเข้ามหาวิทยาลัยกรุงเทพฯ ดันมาตกอยู่ที่เขตชายแดนอีก แต่ก็นั่นแหละ...อดใจหายไม่ได้วูบหนึ่งที่รู้สึกของความเงียบเหงาที่ต้องจากเพื่อนๆ ที่ลุยมาไหนไปไหนด้วยกัน มหาวิทยาลัยใหม่ ต้องหาเพื่อนใหม่ ต้องเรียนวิชาใหม่ หาเพื่อนใหม่ ซึ่งไม่ทราบว่าจะถูกใจเหมือนอยู่ที่นี่หรือเปล่า?

          คิดพลางควักหนังสือขึ้นมาอ่าน คงต้องเข้าเรียนกวดวิชาเสียแล้ว ใครๆ ก็พูดกันว่าเรียนปีหนึ่งคณะนี้เหมือนเป็นการกวดวิชาไปในตัว ก็เลยหอบติดมาด้วยเป็นลัง  ไม่นับรวมเลกเชอร์ล่วงหน้าไปบ้านของพี่สาวในกรุงเทพฯ เรียบร้อยแล้ว ...ของตัวเองไม่มีหรอก ที่รอดมาได้เพราะซีรอกซ์จากเพื่อนต่างหาก ถ้าเรียนจบจริงๆ ต้องไปไหว้เครื่องซีรอกซ์สักหน่อย 
           แต่ก็เหอะ...เวลาหนึ่งปี ได้อะไร๊ ก็ไม่ได้ตั้งใจเรียนสักหน่อย เอาแต่เที่ยวเล่น ทำกิจกรรมไปวันๆ โดดเสียเป็นส่วนมาก คะแนนที่ได้ออกมาเป็นที่ระลึกเลยค่อนข้างจะโหลโท่ยพอสมควร ก็มีแต่ผัดวันประกันพรุ่ง พรุ่งนี้อ่าน พรุ่งนี้อ่าน จนถึงตอนนี้ เก๊าะเลย...ยังไม่ได้อ่าน

          “เฮ้อ!...”

          หล่อนปิดหนังสือเมื่ออ่านไปได้สองสามหน้า ในที่สุด ก็ยังไม่ได้เริ่มต้นเพราะอ่านหนังสือบนรถไฟทำให้ตาลาย อยากอ๊วก! ข้ออ้างอีก!

          “แล้วนี่ จะได้เริ่มอ่านเมื่อไหร่...วะ

          ในใจคิด ถ้ายังเริ่มต้นจริงจังไม่ได้สักทีคงแย่แน่

***************

          19 ชั่วโมงเต็มๆ ที่นั่งเมื่อยบนขบวนรถไฟ เด็กสาวหิ้วกระเป๋าเดินทางใบเขื่องพร้อมลังกระดาษใส่หนังสือซึ่งหนักว่ากระเป๋าเดินทางเสียอีก กระเตงขึ้นรถแท็กซี่จนมาถึงบ้านสาว

          “อ้าว! มาแล้วหรือ เค้าสมัครกวดวิชาวันนี้เป็นวันสุดท้ายนะ”

          พี่สาวทักทายอย่างคุ้นเคย ตั้งแต่บอกว่าจะเอ็นทรานซ์ใหม่ ไม่เห็นใครในบ้านจะคัดค้านอะไร พันทิวาถูกเลี้ยงมาอย่างอิสรเสรี ถึงจะโตและอยู่บ้านนอกมาตลอดเถอะ แต่นั่นมาพร้อมกับการที่ต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเองนะ ไม่มีใครมาประคบประหงมหรอก ยังดีไม่มีใครมาเซ้าซี้ขอดูใบเกรดที่แสนจะน่าละอายนั่นด้วย

          “ก็พันกำลังล่ำลาเพื่อนๆนะสิจ้ะพี่”

          “เหนื่อยหรือเปล่าล่ะเราน่ะ นั่งรถไฟมาตั้งเกือบยี่สิบชั่วโมง”
            
ใบสมัครพร้อมทั้งคู่มือการสมัครถูกนำมาวางไว้ตรงหน้า พี่สาวไปลงชื่อจองให้แล้ว รอจ่ายเงินอย่างเดียว เด็กสาวยกมือไหว้ปะหลก ยังดีที่อุตส่าห์ไปซื้อมาให้
         
“ม่ายเหนื่อยหร๊อก” 

            ถึงจะนอนลืมตาโพลงอยู่คนเดียวในตู้นอนจนแทบจะขย้อนเอาของเก่าออกก็เถอะ

          “เดี๋ยวพันไปจ่ายตังส์ แล้วดูโรงเรียนกวดวิชาก่อนนะ”

          “แล้วอ่านหนังสือมาบ้างหรือเปล่า? เราน่ะ สอบคราวนี้ถ้าอยากได้ที่ใหม่ที่ดีกว่าเดิมจริงๆ ก็ต้องขยัน ไม่ใช่คอยแต่เที่ยวเล่นแล้วหวังพึ่งแต่โรงเรียนกวดวิชานะ” พี่สาวพูดเหมือนตาเห็นแฮะ

           “รู้แล้วจ้า”

          “ค่าเรียนกวดวิชาไม่ใช่ถูกๆ นะ ขยันหน่อย” ปกติพี่สาวไม่ค่อยถามเซ้าซี้ มาตอนนี้คงได้คำสั่งจากพ่อมาล่ะสิ

          “ไอ้ลูกคนนี้มันติดเทอร์โบ”

          “เฮ้อ!...”

          คงแย่งคิวกันน่าดูแน่ๆ  แล้วยังจะตำแหน่งที่ตั้งอีก

          “ไกลเหมือนกันนะเนี่ย ต้องตื่นตั้งแต่กี่โมงไม่รู้”
            คิดถึงมหาวิทยาลัยที่เรียนอยู่ไม่ได้  หอพักก็อยู่ในนั้น ตื่นปุ๊บอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ววิ่งจู๊ดไปคณะได้สบาย วันไหนตื่นสายก็ไปเรียนก่อนค่อยกลับมาอาบน้ำทีหลังยังได้ ไม่ต้องเจอรถติดให้ปวดกบาล

 

          “กะเวลาเอาเองก็แล้วกัน เผื่อเวลารถติดด้วยนะ ดีเท่าไหร่แล้วที่ไม่ต้องนั่งรถเมล์สองสามต่อเหมือนคนอื่น” 
            พี่สาวแตะที่บ่าเป็นการปลอบใจ เหมือนจะรู้ล่วงหน้าว่าชะตากรรมของน้องสาวจะเป็นอย่างไร ไอ้รถเมล์สองสามต่อไม่เท่าไหร่ ถ้าขี้นสลับป้ายแดงป้ายน้ำเงินล่ะเป็นได้เรื่องหาทางกลับบ้านไม่ถูกแน่

          “อยู่เมืองกรุงก็อย่างนี้แหละ ก็ต้องแก่งแย่งกัน เป็นบทเรียนไง ถ้าอยากมาอยู่เมืองศิวิไลซ์ก็ต้องไปแย่งชิงกับเขา”

 

*************

          พันทิวาสูดจมูกยอมรับชะตากรรม คว้าเป้ที่มีใบจองเรียบร้อยไปโรงเรียนกวดวิชา รถติดหนักเหมือนทุกครั้งที่มา เด็กสาวต้องจับเวลาการนั่งรถแล้วเผื่อเวลาช่วงทำงาน พอไปถึงโรงเรียนค่อยรู้สึกสบายใจขึ้นหน่อยถึงจะอยู่ในขุมชนก็ยังพอมีอาณาเขตกว้างงขวางพอให้ได้หายใจ อีกอย่างท่าทางของกินดูจะอุดมสมบูรณ์ไม่อัตคัด เออ..มีโรงอาหารใหญ่โตค้าขายเป็นล่ำเป็นสัน  เรื่องกินนี่เป็นเรื่องส่วนตั๊ว ส่วนตัว อยู่ที่ไหนอดอยากนี่จะพาลพาเครียด

          หล่อนเดินไปต่อคิวยาวเข้าไปจ่ายเงิน เช็คเวลาเรียน ตลกชะมัด สอบเอ็นทรานซ์ปีก่อนไม่เห็นต้องมากวดวิชาอย่างนี้เลย ปิดประตูห้องนอน อ่านเอง ก็สอบผ่านเข้ามหาวิทยาลัยได้ มาปีนี้ต้องพึ่งโรงเรียนกวดวิชาเสียแล้ว

          พันทิวาถือโอกาสทำความคุ้นเคยกับสถานที่โดยการหาอะไรใส่ท้องเป็นการประเดิมที่โรงอาหารเสียเลย ถ้าเป็นปีก่อนมีสถานะเป็นนักเรียนหญิงคงเหนียมๆ อายๆ หลบตาชาวบ้าน แต่หลังจากไปผจญกรรมอยู่เมืองใต้ ใบหน้าที่แสนบอบบางก็ชักหนาขึ้นทุกวัน อยู่ที่มหาวิทยาลัยมีใครไม่รู้จักพันทิวา เรื่องชื่อเสียงความซ่าส์และบองส์นั้นดังข้ามคณะฯ ด้วยซ้ำ มีใครไม่รู้จักไอ้เด็กบ้าที่ถกกระโปรงให้เพื่อนนักศึกษาชายที่คอยนั่งแซวหญิงอยู่หน้าหอดู

          “อยากเห็นนัก ก็ให้ดูเสียเล้ย!”

           ผลก็คือพวกขาประจำสามแยกปากปีจอ ทั้งหลายกระเจิงกันไปคนละทิศ

           “ไอ้เด็กบร้าา...!”

        แหม...คิดถึงตอนนั้นแล้วสนุกน่าดู เรียกว่าห่างบ้านไปพันกว่ากิโลเมตรนี้เป็นตัวของตัวเอง บ้าได้สุดๆ ใคร๊? จะไปกล้าเปิดกระโปรงอย่างนั้นได้ถ้าไม่ใส่ขาสั้นไว้ข้างใน ไอ้พวกนี้ก็ดีแต่ปากล่ะว๊า!

 

          จานข้าวข้างหน้ามีมากกว่าหนึ่งอย่างตามประสาคนกินจุ แต่ก็เหอะ...แค่นี้ไม่ครนาท้องหรอก! พอใกล้อิ่มถึงมีเวลาโงหัวขึ้นมาจากจานข้าว เออ...เด็กผู้ชายคนที่นั่งตรงข้าม หน้าตาดีด้วยนะหมอนี่ คงจะเริ่มไว้ผมยาว เส้นสั้นๆ เลยตั้งเด่พิกล ถ้ามีพรรคพวกมาด้วยคงได้ขำกันกลิ้ง ทุกคนอยากหล่ออยากสวยทั้งนั้นแหละ

          เด็กสาวเหล่ตามอง ท่าทางเรียบร้อยเชียว เขาเข้ามาขอนั่งที่โต๊ะเดียวกันแล้วยิ้มให้อายๆ ข้างตัวมีหนังสือเป็นตั้ง ต่างคนต่างยิ้มให้กันแล้วก้มหน้าก้มตารับประทานอาหาร พออิ่มแล้วเด็กสาวก็เลยลุก รีบกลับบ้าน อีกสองวันจะต้องเริ่มเรียนแล้ว ต้องเตรียมตัวให้ดี

*************

          ในวันกวดวิชาวันแรกรู้สึกได้กลับมาเป็นเด็กอีกครั้งหนึ่ง ต้องแหกขี้ตาตื่นแต่เช้ามืด หิ้วกระเป๋าขึ้นรถเมล์แต่เช้า ที่ห้องเรียนมีคนจับกันเป็นกลุ่มคุยกันสนุกสนาน บางคนมีเพื่อนมาด้วยไม่ต้องห่วงว่าจะเป๋อ   เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยเข้าใจนักในสังคมวัยรุ่นที่ล้าสมัยไปเพียงแค่หนึ่งปี เพียงเวลาอันสั้นก็ตามรุ่นน้องๆ ไม่ค่อยทันเสียแล้ว พอสลัดชุดนักเรียนปุ๊บก็เปลี่ยนมาเป็นเสื้อผ้าทันสมัยเฉียบเพียงเพื่อมาเรียนกวดวิชาเท่านั้น แต่...อย่าได้ดูถูกน้องๆ เหล่านี้เด็ดขาด เพราะเรียนเก่งจากโรงเรียนอันดับต้นๆ ของประเทศเสียด้วยซ้ำ ส่วนหล่อนนะหรือ? เสื้อเชิ้ตกางเกงยีนส์ รองเท้าผ้าใบสะพายย่ามแบบที่คิดว่าเท่สุดสุดแล้ว ฮึ...แต่งตัวก็บ้านนอก เรียนบ้านนอก  สมฐานะล่ะ

          ตอนที่พันทิวาไปถึงใหม่ๆ มีคนมาเกือบครึ่งแต่ยังพอมีที่ว่างอีกมาก หล่อนไม่ได้มีปัญหาเรื่องทำอะไรคนเดียว เพราะรู้เรื่องแล้วว่าการทำอะไรที่ต้องเกาะคนนั้นทีคนนี้ทีนั้นไม่ค่อยสะดวกตัว ไม่ได้นีด(need)เพื่อนขนาดนั้น  ไม่มีพวกก็ซ่าส์ได้     เลยไปหาที่นั่งว่างๆ เป็นโต๊ะยาวแบบประถมแน่ะ เก้าอี้ที่นั่งก็เป็นแถวยาวเรียกว่าถ้าล้มทีก็พากันหงายหลังไปกันทั้งยวง ดีที่โรงเรียนนี้ไม่แออัดมาก แบ่งออกมาเป็นหลายห้องเหมือนกัน นักเรียนเลยกระจายกันไป

          เด็กสาวนั่งพลิกหนังสือไปมาฆ่าเวลา เมื่อคืนก็ดูทีวีจนดึก แล้วหลับ ไม่ได้แตะหนังสืออีกแล้ว แล้วนี่...จะทันชาวบ้านไหมหนอ?  มารู้สึกตัวอีกทีเมื่อมีคนเอาหนังสือมาวางข้างๆ ไม่ใช่อะไรหรอก เพราะที่อื่นเริ่มเต็มแล้วมีที่แถวของหล่อนนี่แหละที่พอจะว่าง ทุกคนต่างหาเพื่อนเข้ากลุ่ม ไม่มีใครอยากมานั่งกับคนท่าทางเก๋าๆ กวน t...e...e...n หรอก

 

**************

          เขายิ้มอายๆ อีกแล้ว แต่คราวนี้เป็นการยิ้มอย่างผูกมิตร และนี่ถือว่ารู้จักกันมาก่อนแล้ว

        “ขอผมนั่งด้วยคนนะครับ”

          พูดเหมือนเมื่อวันก่อนที่โรงอาหาร เหมือนเลย... ตอนขึ้นปีหนึ่งใหม่ๆ ก็ได้ยินอย่างอย่างเนี้ยบ่อยๆ ประโยคมาตรฐาน

          “สวัสดีค่ะ มาจากโรงเรียนอะไรหรือคะ”

          เจอครั้งแรกต้องวางท่าดีเอาไว้ก่อน จะให้:-)มาพาโวยแต่แรกคงไม่ได้ ‘ของอย่างนี้มันต้องสร้างความประทับ...ใจ’

          “ผมมาจาก...” โรงเรียนชายมีชื่อเสียง เหงื่อเริ่มตก ไอ้เด็กนี่เก่งแฮะ ไม่ใช่ขี้ๆ

          “แล้วคุณ...เอ้อ...มาจากโรงเรียนอะไรหรือครับ

          “ต้องเรียกพี่นะ มาจากมหาวิทยาลัยทางภาคใต้”

          หล่อนวางฟอร์มเอาไว้แต่แรก แต่ก็พูดไม่เต็มเสียง รู้สึกอายๆ สมองคนละระดับ

          อีกฝ่ายอึ้งไปสักครู่เหมือนจะไม่ค่อยเชื่อ  แน่ล่ะเจอรุ่นพี่หน้าเอ๊าะเข้าล่ะสิ!

          “พี่...เอ็นฯ ใหม่หรือครับ”

          “ใช่ อยากเปลี่ยนคณะน่ะ น้องชื่ออะไร  พี่ชื่อพัน...พันทิวา”

          “ผมชื่อณภพครับ เรียกภพก็ได้”

          พอเริ่มคุยกันสองสามประโยคก็เริ่มผ่อนคลายมากขึ้น

          “แล้ว...ไม่มี...เพื่อนมาหรือ

          “เพื่อนของผมอยู่อีกห้องหนึ่งครับ เพื่อนน้อยด้วย เพราะผมสอบเทียบมา”

          “อ๋อ...”

         พันทิวาแอบกลืนน้ำลายอีกเอื๊อกใหญ่  โดนเกทับอีกดอกโดยไม่เจตนา ฮึ่ม! ดูหน้าอ่อนต่อโลกแล้วถือว่า...อภัยให้

          “จะ...เลือกคณะแพทย์ด้วยใช่ม๊า

          “ครับ...แล้วพี่ล่ะจะเลือกคณะอะไร

          คณะอะไรก็ได้ ให้มันติดเถอะไอ้น้อง! 

 

 

แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 54 01:15:50

แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 54 01:07:37

แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 54 01:01:26

แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 54 00:59:42

จากคุณ : รุ้งปลายฟ้า
เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 54 00:52:58




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com