Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
หวานรัก ณ ปลายดง - 25 ติดต่อทีมงาน

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10884895/W10884895.html

บทที่ 25

เย็นของอีกวัน ภภีมค่อยย้อนกลับกระท่อมของนายขมิ้นทอง ร่างอิดโรยทรุดนั่งบนแคร่อย่างเหนื่อยๆ

สามแสนเกือบจะพรวดออกมาหน้าชานแล้วล่ะ ดีที่ยั้งเท้าไว้ได้ทัน เธอรีบถอยหลังไปชนกึกเข้ากับแผงอกใหญ่ของหัวหน้าดงโจร อีกฝ่ายพยักพเยิดเหมือนจะถามว่า 'ทำไมวะ' เธอก็รีบบุ้ยปากลงข้างล่าง

"อ้อ" นายขมิ้นทองร้องขำๆ "กลับมาแล้วหรือ นึกว่าไปชวนไอ้โจรดงโน้นทะเลาะด้วยเสียแล้ว ไอ้หมอนี่มันยิ่งบ้าๆ อยู่ด้วย"

"ลุงขมิ้น" สามแสนขึงเสียงติง "อย่ามาว่าพี่ชายของสามแสนแบบนี้นะ เขาบ้าที่ไหน แค่มุทะลุนิดหน่อยเอง"

"ใช่ นิดหน่อยเอง เหมือนแกไงแม่หนู มุทะลุพอกันเลย แล้วนี่จะทำยังไง มันกลับมาแล้วนะเว้ย ฉันไม่อยากเสียผู้ใหญ่ มันยิ่งไม่ค่อยนับถือฉันอยู่ ดีไม่ดีจะโดนมันถอนหงอกเอา"

สามแสนหัวเราะคิก เธอกราบงามๆ บนอกใหญ่ของนายขมิ้นทอง ซาบซึ้งว่าเขาเห็นใจในความจำเป็น ยอมให้เธอซ่อนตัวอยู่ที่นี่ ร่วมมือกันปกปิดความจริง

แถมยังให้ลูกน้องไปช่วยสร้างสถานการณ์ ทำให้พี่ชายเข้าใจผิด นึกว่าเกิดเรื่องร้ายกับเธอ มันทำให้เขาเผยความเป็นห่วงมากมายที่ซ่อนอยู่ข้างในออกมา แล้วสามแสนก็วาบหวามระคนซาบซึ้งอย่างบอกไม่ถูกเลย

"แกไม่ต้องมาประจบเลย" หัวหน้าดงโจรทำเป็นกระชากเสียง แม้ใจจริงจะเอ็นดูว่าแม่สาวชาวกรุงนอบน้อมน่ารัก

"ประจบตรงไหน สามแสนขอบคุณลุงขมิ้นไงคะ ถ้าไม่ได้ลุงขมิ้นช่วยละก็ สามแสนก็มืดแปดด้านเลย พี่ชายน่ะ ดื้อออก สามแสนหว่านล้อมยังไงก็ไม่ยอมฟัง"

"เฮ้อ" นายขมิ้นทองร้องเบาๆ แล้วค่อยถอนใจ "ไอ้เรื่องนี้ก็เหมือนกันนา ฉันไม่เข้าใจว่าแม่หนูจะดึงดันพานายดุกลับบ้านทำไม มันอยู่ที่นี่ของมันมาตั้งนานแล้ว ยี่สิบปีมันไม่ใช่เวลาน้อยๆ นะเว้ย"

"จะนานมากนานน้อย ที่นี่ก็ไม่ใช่บ้านของพี่ชายนะคะ เขาเป็นคนเมือง พ่อแม่ก็ยังอยู่ คู่หมั้นก็ยังอยู่ เพื่อนก็ยังอยู่ สามแสนก็อยู่"

"มันไม่สำคัญว่าใครยังอยู่หรอกแม่หนู มันสำคัญว่าคนที่ยังอยู่น่ะ ไอ้นายดุมันต้องการเจอหน้าหรือเปล่า อยากอยู่ด้วยไหม แล้วมันเคยคิดถึงหรือ"

"เรื่องนั้น.. "

"บอกตรงๆ นะเว้ย ตั้งแต่รู้จักมันมาห้าปี ไม่เคยได้ยินมันพูดถึงใครในเมือง แม้แต่แกเองก็เถอะ ถ้าไม่เกิดเรื่องว่าแกตามมันมา รับรองว่าฉันก็ไม่มีวันรู้ว่า แกเคยหลงป่าให้มันช่วยชีวิตเอาไว้เมื่อห้าปีก่อนโน้นน่ะ"

"ถ้าสามแสนพาพี่ชายกลับบ้านไม่ได้ สามแสนก็จะอยู่กับเขาที่นี่ ที่ไหนมีพี่ชาย สามแสนก็อยู่ได้ทั้งนั้น"

"เรื่องนี้ ก็ต้องถามมันสักคำว่ามันต้องการหรือเปล่า"

'สามแสนก็กำลังทำอยู่นี่ไง' เธอบอกกับนายขมิ้นทองในใจ สายตาผูกพันมองลงไปจับร่างบนแคร่ เขาหลับปุ๋ยแล้ว คงอ่อนเพลียมาก สงสารเขาเหมือนกัน ถ้าเขาทราบว่าเธอไม่ได้หายไปไหน ปลอดภัยดีอยู่ในความดูแลของนายขมิ้นทอง เขาจะโกรธมาก จนผลุงมาหักคอสามแสนไหมนะ

แต่ก็ช่วยไม่ได้ สามแสนต้องพิสูจน์ให้รู้ให้ได้ว่าเขาเกลียดจริงอย่างปากว่า คนเกลียดกันที่ไหน จะออกตามหากันอย่างเป็นห่วงเป็นใยไม่หลับไม่นอนทั้งคืนได้ขนาดนี้เล่า มันไม่จริงหรอก เขาโกหก เขาไม่เคยเกลียดหรอก พี่ชายต้องไม่เกลียดสามแสนแน่ ต้องไม่เกลียดแน่ๆ

"สงสารพี่ชายจังเลยลุงขมิ้น" เธอพึมพำเสียงอ่อยๆ

"สงสารก็ลงไปปลุกสิ" ลุงขมิ้นก็เลยประชดส่งเสียงครึกครื้น

"แหม ลุงขมิ้น พูดแบบนี้เหมือนไม่รักกันจริงเลย"

"วะ นังนี่นี่ ฉันจะรักแกทำไมวะ ลูกหลานก็ไม่ใช่ นี่ฉันไม่ปล้ำเอามันเอาสนุกก็ดีเท่าไหร่แล้ว"

สาวงามหัวเราะเบาๆ ดวงของเธอนี่เป็นยังไงสักที เจอแต่คนปากร้ายใจดี จริงอยู่ นายขมิ้นทองเคยเป็นโจรมาก่อน แต่เท่าที่ฟังจากลูกน้องและแม่ครัวที่นี่เล่ามา

นายขมิ้นทองปล้นทรัพย์เฉยๆ ไม่เคยทำร้ายผู้หญิง ย่ำยีให้หมดค่าก็ไม่เคยเลย กับลูกน้องทุกคน เขาก็กำชับทำนองว่า 'จะอยู่ด้วยกัน ก็ต้องยึดนโยบายให้เกียรติผู้หญิงเหมือนๆ กัน'

พี่ชายก็ช่างโชคดีที่ย้ายข้ามจากปลายดงฟากโน้น เข้ามาปักหลักในถิ่นดงโจรที่ปกครองโดยนายขมิ้นทอง หากไปไกลถึงดงโจรอีกฟาก บางที เขาอาจโดนฆ่าไปแล้ว เพราะปากคอก็เราะร้ายไม่เบาอยู่

'ตายแล้ว แดดส่องหน้าพี่ชายด้วย' เธอร้องกับใจตัวเอง ทำหน้ามุ่ยเพราะสงสารเขาจัง นายขมิ้นทองเห็นเข้าก็ปั้นหน้ารำคาญให้เห็น แถมยังแขวะด้วยว่า

"โว้ย รักบันลือโลกจริงเว้ย"

"ไม่ต้องบันลือโลกหรอกค่ะ แค่รักหวานๆ ก็พอแล้ว"

"หวานๆ " นายขมิ้นทองเบะปากหมั่นไส้ แต่แววตาก็เอ็นดูเต็มที่ล่ะ

"ค่ะ หวานๆ ถ้าพี่ชายไม่ยอมกลับบ้านพร้อมกับสามแสนจริงๆ ละก็ สามแสนก็จะอยู่กับเขาที่นี่ เราสองคนจะช่วยกันทำให้ ณ ปลายดงแห่งนี้ หอมอบอวลไปด้วยกลิ่นของความรัก บรรยากาศทั่วทั้งปลายดงนะ ก็จะหวานชื่น"

อดีตโจรวัยดึกส่ายหน้า ปวดประสาทกับเสียงเชื่อมตาฝันของแม่สาวชาวกรุงเหลือเกิน เขาเองก็เคยผ่านช่วงเวลาเป็นหนุ่มเป็นสาว ที่เห็นความรักยิ่งใหญ่และสำคัญเหนือสิ่งอื่นใดมาแล้ว แต่ก็ไม่เคยอาการหนักเหมือนแม่หนูคนนี้เลย

เขากำลังคิดว่าสามแสนไร้เดียงสาไปหน่อย โลกของเธอมันสวยเกินไป แต่ก็คร้านจะอธิบาย เพราะเชื่อว่า พอแม่ตัวดีแก่ตัวลง ก็จะค่อยเข้าใจโลกแท้ๆ ได้อย่างถ่องแท้ไปเอง

"ทำไมทำหน้าเหมือนไม่เชื่อสามแสนคะ"

"ก็เออสิ" เขากระแทกเสียงรำคาญ ก่อนจะขัดลำความฝันอย่างหมั่นไส้ว่า "ดงโจรของฉันนี่น่ะหรือ จะหอมอบอวลไปด้วยกลิ่นของความรัก บรรยากาศทั่วทั้งปลายดงนะ ก็จะหวานชื่น แกนี่มันช่างฝันพิลึก"

"อ้อ จริงด้วยค่ะ ลุงขมิ้นคะ เอาอย่างนี้ดีไหม" แทนที่จะสำนึกว่าโดนแดกดัน สามแสนกลับขอความเห็นอย่างกระตือรือร้นว่า "ไหนๆ หมู่บ้านนี้ ก็ไม่ใช่ดงโจรแล้วนี่ สามแสนเปลี่ยนชื่อให้ดีกว่า เราเปลี่ยนเป็นหมู่บ้านหวานรัก ณ ปลายดง ดีไหมคะ ดีกว่าให้เรียกดงโจรนั่น ดงโจรนี่"

"อะไรนะ หมู่บ้านหวานรัก ณ ปลายดง" หัวหน้าดงโจรทวนด้วยเสียงละเหี่ย

"ค่ะ เก๋ไหมคะ หวานด้วย เดี๋ยวสามแสนจะให้พี่ๆ ช่วยกันทำป้ายไปปักไว้หน้าเขตหมู่บ้านเลย"

"นี่แกเอาจริงหรือแม่หนู" หัวหน้าโจรกลับใจหัวเราะขำๆ

"จริงสิคะลุงขมิ้น ต่อไปชาวบ้านก็จะเลิกกลัวที่นี่ จะมีการติดต่อเชื่อมสัมพันธไมตรีกันมากขึ้น แล้วก็อาจจะรวมตัวกันเป็นหมู่บ้านที่มีขนาดใหญ่ขึ้น"

"เพ้อเจ้อ"

"ไม่เพ้อเจ้อนะคะ สามแสนพูดจริง สามแสนว่าดีออกนะ หมู่บ้านใหญ่ขึ้น ชุมชนคนดีเข้มแข็งขึ้น ก็จะได้ช่วยกันขับไล่โจรในดงอื่นออกไป แล้วต่อไปอีกไม่นาน เราก็จะไม่มีโจรอีก ดีไหมคะ"

"เออ ทุกอย่างเป็นจริงได้ด้วยชื่อหมู่บ้านหวานๆ ของแกนี่น่ะนะ"

คนฟังส่ายหน้า แล้วสำทับแดกดันให้สามแสนพยักหน้ากลั้วหัวเราะ คร้านจะแย้งว่า เขาพูดผิดแล้ว มันไม่ใช่หมู่บ้านหวานๆ หรอก เธอตั้งชื่อให้ว่า 'หมู่บ้านหวานรัก ณ ปลายดง' ต่างหาก

พี่ชายก็ต้องชอบชื่อนี้แน่ๆ เลย แต่ก่อนที่จะถึงวันนั้น ก็ขอพิสูจน์หัวใจพี่ชายกันสักตั้งก่อน เขาจะมาตำหนิเธอไม่ได้นะ ก็เขาลั่นปากเองว่า 'เกลียด' แล้วเธอก็ 'ไม่เชื่อ'



ภภีมตกใจมาก เมื่อพบว่าพระอาทิตย์ของวันนี้ จวนจะลับทิวเขา เขาสบถหยาบคาย ทุบแคร่ด้วยกำปั้นหนักๆ แค้นใจที่ตัวเองเผลอหลับไปตั้งครึ่งค่อนวัน

"ไปไหนอีก เพิ่งตื่นไม่ใช่หรือ" นายขมิ้นทองพยักพเยิดแม่สาวๆ ให้ยกสำรับไปตั้งที่แคร่ใกล้ลำธาร รีบดึงเสื้อกล้ามไอ้หนุ่มหน้าดุ ปรามเข้มว่า "จะไปก็ไม่ว่า กินข้าวก่อนเว้ย"

"กินอะไร ใครจะว่างกิน อยากกินก็กินไปคนเดียวเถอะ ปล่อยเว้ย บอกให้ปล่อย ไอ้นี่"

หัวหน้าดงโจรกลับใจเซนิดๆ ไอ้หนุ่มอกร้อนปัดมือผลักไม่เกรงใจ คว้าย่ามคล้องไหล่ได้ก็จ้ำอ้าวๆ ลูกน้องตัวยักษ์ได้รับคำสั่งทางสายตา ก็รีบปราดไปสกัดสามสี่คน ไอ้หนุ่มดุก็เลยเท้าสะเอว ตาลุกวาวจะอาละวาดล่ะ

"ไม่ได้ห้ามเว้ย แค่อยากให้กินข้าวก่อน แกจะกินดีๆ หรือว่าจะให้จับมัด แล้วให้ไอ้พวกนี้มันจับยัดๆ อัดๆ ว่ามา"

"มันท้องมันปากของฉัน แกมายุ่งอะไร หลีกไปเว้ย"

"มันไม่หลีกหรอก ถ้าฉันไม่สั่ง แกจะเตะมันก็ได้ ต่อยมันก็ได้ ถ้าแกคิดว่าไอ้ที่ฉันอยากให้แกกินข้าว มันเป็นเรื่องห่วยแตกมาก"

ภภีมตวัดตาวาวไปจับใบหน้ายียวนของคนพูด แล้วถอนใจพรู สีหน้าก็บอกว่าอึดอัดระคนร้อนรนจัด เขาไม่อยากมีเรื่องกับลูกสมุนมีน้ำใจ ทุกคนดีต่อเขา ช่วยออกตามหาสามแสนทั้งคืนแล้ว เตะไปต่อยไปก็มีแต่จะเสียมิตรภาพ

"เอาน่า" นายขมิ้นทองเดินมาตบบ่าให้กำลังใจ ทั้งที่ไม่จำเป็น เพราะแม่สาวเจ้าปัญหาก็แอบมองอยู่บนกระท่อมโน้น "กินข้าวคำสองคำ มันไม่เสียเวลาเท่ากับที่แกนอนตั้งแต่ตะวันสายโด่ง ตื่นอีกทีมันก็จะลับขอบฟ้าแล้ว จริงไหม"

"ก็นั่นน่ะสิ แล้วทำไมไม่ปลุกฉันเล่า ฉันเหนื่อยก็เลยเผลอ.. "

"แกไม่ได้เผลอหรอก แกเหนื่อยมาก พอหัวถึงแคร่ไม่มีหมอน แกก็หลับเป็นตายเลย นางฟ้าลงมาจากสวรรค์จูบมือลูบแขนยังไง แกก็ไม่มีทางรู้สึกหรอก"

"เพ้อเจ้อ ฉันจะไปอาบน้ำก่อน"

อดีตโจรวัยดึกทำหน้าเหมือนอยากต่อยปาก เขาน่ะหรือเพ้อเจ้อ แม่หวานใจตัวดีบนกระท่อมต่างหาก ที่ควรให้ด่าอย่างนั้น

นี่ถ้าไม่นึกสักนิดว่าถูกชะตากับไอ้หนุ่มดุ หรือติดว่าเอ็นดูแม่หวานใจตัวดีละก็ เขาไม่ยอมร่วมมือพิสูจน์หัวใจไอ้หนุ่มขวางโลกคนนี้ด้วยหรอก มันเพ้อเจ้อ 'อ้าว' ตอนท้ายเขาก็หัวเราะขำๆ ด่าไปด่ามา สุดท้ายก็มาลงที่คำคำเดิมอีก



สามแสนอุทาน 'อุบะ' ในใจ สองขารีบถอยออกจากพงไผ่ เพราะไม่นึกว่าพี่ชายจะลุกพรวดขึ้นจากลำธารเร็วขนาดนั้น เธอแอบตามมาเงียบๆ เพิ่งจะนั่งเอง หันไปดูอีกที พี่ชายอาบน้ำเสร็จเสียแล้ว ลงไปจุ่มๆ เฉยๆ กระมัง

'เจ็บแขนมากเลยพี่ชาย' เธอบ่นแกมต่อว่าเขาในใจ ยกขึ้นดูก็เห็นแผลโดนหนามครูดเป็นทาง เนื้อถลอกเลือดซึม พิรี้พิไรนานก็ไม่ได้ เพราะพี่ชายพาร่างในผ้าขาวม้าเปียกๆ มาทางนี้แล้ว บ้าจัง พงไผ่อื่นก็มีตั้งเยอะ จะหาเรื่องให้เธอจนแต้มใช่ไหมนี่

ยามเร่งรีบ สามแสนก็ไม่คิดมาก เธอรีบย้ายไปซุกคุดคู้ในโพรงดินใกล้ๆ หลุดเสียง 'ว้าย' แผ่วๆ เพราะลื่น และนึกไม่ถึงว่าในนี้มันเป็นแอ่งโคลน

อยากร้องไห้เมื่อร่างคะมำคว่ำคลุก โคลนเปรอะเปียกกว่าครึ่งตัว กรรมเวรจริงๆ ทำไมพี่ชายเล่นตลกกับสามแสนแรงจัง สามแสนจะไม่โทษตัวเองหรอก ต้องโทษเขานั่นแหละ อาบน้ำเร็วเป็นบ้าเลย

'อุบะ' เสียงผิดปกติคุ้นหูที่ดังขึ้นข้างหลัง ดึงร่างสูงหมุนขวับทันที ดวงตาดุขรึมวาวขึ้นอย่างหวาดระแวง สามแสนหยิกปากตัวเองอย่างโมโห ก็มันตกใจที่เห็นผ้าขาวม้าผืนนั้นร่วง พี่ชายคว้าไว้แล้วล่ะ แต่มันก็ทำให้เธอทันได้เห็นบางส่วนที่ไม่ควรจะเห็น

'ตายแล้วสามแสนเอ๊ย งานนี้ตายกับตายเท่านั้น พี่ชายเดินมาแล้ว' สาวหวาดเสียวโอดครวญกับหัวใจตะลึงตึงๆ ปั้นหน้าเหี่ยว ปากจู๋คอย่น สองมือพนมถูไปถูมา พอพ้นพงไผ่ตรงนั้น พี่ชายก็จะเห็นโพรงดินตรงนี้ กับร่างคุดคู้เปรอะเปื้อนของสามแสนแล้วล่ะ

"จะเข้าไปทำอะไรตรงนั้นวะ เดี๋ยวนี้แกพัฒนาล่าไก่ป่าด้วยมือเปล่าแล้วหรือไอ้ดุ"

นายขมิ้นทองเห็นแล้วล่ะ แม่หนูเจ้าปัญหายกมือท่วมหัว ขอแรงสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาช่วยหันเหฝีเท้าไอ้หนุ่มหน้าดุ แต่ขอโทษที นาทีนี้มีแต่เขาเท่านั้น ที่จะสกัดฝีเท้าคู่นั้นได้

"ได้ยินเหมือน.. "

"เหมือนอะไรก็ช่างเถอะ ฟ้าจะมืดแล้ว ฉันรอกินข้าวกับแก ท้องร้องไส้บิดแล้วเว้ย เร็วเข้า"

ภภีมอิดออดเหมือนตัดความคลางแคลงไม่ขาด เขาอยากเข้าไปดูในโพรงดิน รู้สึกว่าเสียงผิดปกติดังมาจากทางนี้ชัดๆ แต่ก็ช่างเถอะ มันคงไม่มีอะไร เพราะถ้ามี นายขมิ้นทองก็คงไม่เดินมือไพล่หลังปลอดโปร่งเสียขนาดนั้น

สามแสนเป่าลมพรู เธอยิ้มแต้โล่งอก ตอนชะโงกหน้าออกมาดู ก็เห็นว่าพี่ชายไปไกลแล้ว จึงค่อยออกจากที่ซ่อน สภาพเปรอะเปื้อนทั้งตัว มันน่าขำเสียจนอดหัวเราะไม่ได้ แหม อยากให้ฝนตกจังเลย จะได้ไม่ต้องลงไปล้างตัวในลำธาร

ความทรงจำที่ดีที่สุด และทำให้สามแสนมีความสุขที่สุด ก็มีเพียงเหตุการณ์ที่เธอกับพี่ชายเล่นน้ำฝนด้วยกัน วิ่งไล่จับกันอย่างสนุกสนานกลางท้องทุ่งโล่งๆ นี่ล่ะ

"สามแสนจะทำให้วันสวยงามแบบนั้น เกิดขึ้นกับเราสองคนทุกๆ วัน พี่ชายคอยดูนะคะ"

เธอบอกความตั้งมั่นออกมาดังๆ พร้อมกับยิ้มกว้างอย่างเด็ดเดี่ยว แต่ก่อนอื่น คงต้องรีบไปล้างเนื้อล้างตัว ก่อนที่แสงตะวันจะลับขอบฟ้า ขืนพาร่างมอมแมมกลับกระท่อม แม่ครัวคงตกใจนึกว่าผีมาหลอก



ร่างมอมแมมปรี่ลงลำธาร ไม่ทันสังเกตว่านายขิงโผล่มาจากราวป่าด้านข้าง หนุ่มหล่อเป็นห่วงเพื่อนสาว จึงออกตามหาอีกแรง

แต่เขามีผู้กองพันยศใบพลูต้องคอยดูแลด้วย จึงออกตามหาแบบข้ามวันข้ามคืนไม่ได้ วันนี้ จึงลองเลียบมาตามลำธาร เพราะคิดว่าอาจจะเจอเบาะแสเล็กๆ น้อยๆ มันดีกว่ารอฟังข่าวจากนายดุอยู่ที่กระท่อมเฉยๆ

"สามแสน" เขาตะโกนเสียงดัง ตาเบิกกว้างอย่างลิงโลด

"นายเรก"

สามแสนก็ตาโต เหลียวซ้ายแลขวา เกรงว่าเสียงตะโกนของเพื่อนหนุ่ม จะลอยเข้าหูพี่ชาย แผนการที่วางไว้แตกโพละ ยังไม่เท่ากับกบาลจะแยก เพราะพี่ชายอาจทุบเปรี้ยงเข้าให้กับหน้าไม้คู่ใจนั่นล่ะ

"สามแสน มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง"

"นายเรก เบาๆ "

สาวถูกจับได้รีบปรามให้หรี่เสี่ยง พลางรีบว่ายน้ำกลับมาอวดร่างเปียก เธอกับนายขิงเป็นเพื่อนกัน จึงไม่มีอะไรให้ต้องเคอะเขิน กิจกรรมคลุกดินคลุกโคลน หรืออาบน้ำกลางห้วยกลางแอ่งด้วยกัน ก็เคยมาแล้ว

"นี่มันอะไรกัน"

หนุ่มบ้านป่าหน้าหล่อถามงงๆ ตาก็มองเพื่อนสาวบิดเสื้อบิดกางเกงขะมักเขม้น สักพักก็ย้ายไปบิดผมลวกๆ จากนั้น ก็ลากเขาเข้ามาคุยใกล้พงไผ่ ทำท่าทางพิลึก เลิ่กลั่กเหมือนกลัวจะมีใครมาเจอ

"กลัวพี่ชายมาเจอน่ะสิ" เธอตอบขำๆ เมื่อเขาถามอย่างอดไม่ได้

"แล้วไม่ดีหรือ อาดุออกตามหาตัวสามแสนทั้งคืน จนป่านนี้ ยังไม่กลับกระท่อมเลย ใบพลูบ่นหาจนเราหูชาแล้ว"

"สามแสนไม่ได้ไปไหนหรอกนายเรก"

เธอบอก จากนั้นก็เล่าแผนการพิสูจน์หัวใจพี่ชายให้เพื่อนรูปหล่อฟัง เขาตาโตได้ตลกมากเลย เบะปากนิดๆ เหมือนจะบอกกรายๆ ว่า เธออาการหนักเข้าขั้นโคม่า ถึงได้ผุดแผนเอาเถิดเจ้าล่อกับความเดือดดาลของพี่ชายออกมาได้

"นี่ถ้าอาดุรู้ละก็ สามแสนเอ๊ย คอหักได้เลยนะ"

"สามแสนก็กลัวอยู่ แต่สามแสนอยากรู้นี่ว่าพี่ชายเกลียดสามแสนจริงหรือเปล่า"

"โง่จริงๆ " นายขิงตำหนิ "เราไม่อยากเชื่อว่าสามแสนอ่านใจอาดุไม่ออก อาดุน่ะรักสามแสนออก เขาประกาศก้องจนกระท่อมสะเทือน ตอนจะออกไปตามหาแล้วโดนใบพลูสกัดเต็มที่"

"จริงหรือนายเรก" สามแสนเขย่าแขน ยิ้มกว้างอย่างลิงโลด

"จะโกหกให้ได้อะไรขึ้นมา" เขาขึ้นเสียงเหมือนตำหนิอีก "อย่าเล่นแบบนี้เลย ปกติเราก็ไม่ค่อยชอบอาดุหรอกนะ เพราะเห็นว่าเขาเป็นหวานใจของใบพลู"

"พี่ชายไม่ใช่หวานใจของใบพลูหรอกนายเรก"

"ใช่ เรารู้แล้ว ก็เพราะรู้นี่แหละ เราถึงได้สงสารเขาไง เขารักสามแสนมากเลยนะ คืนนั้นเขาวิ่งพล่าน แทบจะเผาป่าได้เลยเชียวล่ะ เราไม่เคยเห็นอาดุเสียมาดเข้มเหมือนคืนนั้นมาก่อนเลย จริงๆ "

สาวตัวเปียกน้ำตาซึมด้วยความตื้นตัน เธอก็นึกไว้อย่างนั้นอยู่แล้ว แต่ที่ไม่โพล่งตรงๆ ก็เพราะไม่อยากถูกตำหนิว่าคิดเองเออเอง หรือเข้าข้างตัวเองมากเกินไป

พี่ชายต้องรักสามแสนสิ คืนนั้นในโรงพยาบาล เขากอดสามแสนแน่นมาก ไออุ่นทั้งหมดมันยังฝังลึกอย่างตราตรึง เสียงกระซิบสั่นเครือของเขา สามแสนก็จำได้

"พี่รักสามแสน ได้ยินไหมคนดี พี่รักสามแสน แต่เรารักกันไม่ได้ พี่จึงต้องหันหลังให้กับความรักของเราอย่างเจ็บปวด แต่พี่ขอสัญญาว่า พี่จะรักสามแสนตลอดไป จะไม่ลืมสามแสนไปจนชั่วชีวิต คนดีของพี่ รักษาตัวดีๆ คุณพระคุ้มครองนะครับ ลาก่อนสามแสน พี่หันหลังละนะ"

เธอร้องไห้ให้กับการหันหลังอย่างเจ็บปวดของพี่ชายในคืนนั้น ลืมตาและนอนนิ่ง มองเขาเดินจากไปด้วยหัวใจร้าวราน อยากเรียกแต่ก็ไม่มีเสียง อยากยกมือกวักให้กลับมาก็ไม่มีเรี่ยวแรง ทุกความอยาก ทุกความปรารถนา มันสิ้นสูญไปพร้อมกับเงาที่หายลับไปหลังบานประตู

นับแต่วินาทีนั้น สามแสนก็ได้ตั้งปณิธานแน่วแน่ ลงจากเตียงคนไข้ได้เมื่อไหร่ เธอจะกลับไปหาพี่ชาย จะบอกว่า ได้ยินคำสารภาพจากใจเขาทุกคำ และไม่ยินดีให้เขาหันหลังให้อย่างเจ็บปวด มันไม่ใช่นิยามความรักที่ถูกต้องเลย

"นิยามความรักของสามแสนก็คือ พี่ชายเปรียบเสมือนอากาศที่ต้องมีไว้หายใจ สามแสนต้องตามหาเขาให้เจอ จะไม่กลัวความลำบาก ไม่กลัวอันตราย ความผิดหวังก็ไม่กลัว อะไรก็ไม่ทำให้สามแสนกลัวได้ทั้งนั้น เพราะสิ่งเดียวที่สามแสนกลัวที่สุด ก็คือพี่ชายหมดรักสามแสน"

ภวังค์ที่จดจำไม่เคยลืม ถูกถ่ายทอดด้วยน้ำเสียงซึ้งปนเศร้า พร้อมกับสรุปปิดท้ายด้วยประโยคจากหัวใจอันมั่นคง

นายขิงรับฟังด้วยใจพองโต นึกอิจฉานายดุอีกแล้ว ทำไมหนุ่มใหญ่ช่างโชคดีนัก มีแต่สาวๆ ปักใจรักหนักแน่นคนแล้วคนเล่า แต่จะว่าไปแล้ว บางที นี่ก็อาจจะเป็นรางวัลสำหรับคนรักเดียวใจเดียวก็ได้

สามแสนเล่าว่าเขาทิ้งเมืองเข้าป่า เพราะชุลียาสุดที่รักต้องจากไปพร้อมกับเลือดในอกก้อนแรก มันเป็นความปรารถนาดีของบุพการี ที่แสดงออกด้วยการกระทำที่ไม่ดี

แต่ฝ่ายโน้นสำนึกผิดแล้ว ท่านยังอ้อนวอนขอให้สามแสนช่วย ท่านสารภาพอีกด้วยว่า ยังเคยคิดจนถึงขั้นจะหยิบยืมสามแสนเป็นเครื่องมือหลอกล่อให้นายดุทิ้งป่าเข้าเมืองอีกครั้ง

ตอนฟังครั้งแรก เขาตำหนิผู้ใหญ่ว่าใจดำอำมหิต เจ้าเล่ห์เพทุบาย ฆ่าสาวใช้สะใภ้เถื่อน ฆ่าหลานตัวเอง แล้วยังคิดจะใช้สามแสนมาเป็นเหยื่ออีก คนประเภทนี้ไม่น่าคบหาสักนิด แล้วก็ไม่อยากเชื่อด้วยว่าจะเป็นบุพาการีของนายดุได้

มันเชื่อยากไม่ใช่หรือ ในขณะที่บิดามารดามีจิตคิดร้ายต่อคนอื่น แต่นายดุกลับโอบอ้อมอารี ใครเดือดร้อนโผล่หน้าไป เขาก็ยื่นมือช่วยเหลือ ไม่ถามไถ่แม้แต่ชื่อหรือบ้านช่อง สัตว์บาดเจ็บตะเกียกตะกายผ่านหน้า ถ้าเห็น เขาก็รีบช่วยชีวิตทันที

น่าจะบอกว่าฝ่ายบิดามารดาต่างหากที่โชคดี ให้กำเนิดบุตรชายใจดี มีเมตตาต่อเพื่อนร่วมโลกใบเดียวกัน

"แล้วจะทำยังไงต่อ" หลังจากเงียบกันไปสักอึดใจ นายขิงก็ถามเหมือนหารือ

"สามแสนจะทำให้พี่ชายสารภาพว่ารักสามแสนให้ได้ ไม่ใช่ว่าอยากได้ยิน แต่อยากให้เขายอมรับหัวใจตัวเองบ้าง"

"มันยากนา เขาเป็นคนปากแข็ง ตอนนั้นเขาคงร้อนใจมาก ที่โดนใบพลูยึดแขนยึดตัว จึงเผลอหลุดปากประกาศออกมา"

"สามแสนก็คิดอย่างนั้น"

"แต่เราว่านะ พอเขาเจอหน้าสามแสน เขาต้องทำเป็นปึงปังขึงขัง ไม่เปิดโอกาสให้สามแสนอธิบาย ก็จะพาออกจากป่าเลย"

"ใช่ สามแสนจึงต้องขอให้ลุงขมิ้นช่วย แผนการของสามแสนมันดูหลวมๆ ไปหน่อย แต่ตอนนี้ก็คิดได้เท่านี้แหละ"

สามแสนหน้ามุ่ย อากาศเริ่มเย็น เธอจึงห่อไหล่ ทางข้างหน้าก็เริ่มมืดลง เห็นทีต้องรีบกลับกระท่อมแล้ว ไม่อย่างนั้น นายขมิ้นทองอาจจะเป็นห่วง นึกว่าเกิดเรื่องร้ายๆ กับเธอเข้าจริงๆ แล้ว

"ถ้าสามแสนไม่ปรากฏตัว คืนนี้อาดุก็จะออกตามหาสามแสนอีกนะ อย่าทำอย่างนี้เลย ไม่สงสารเขาหรือ"

"สามแสนขอร้องลุงขมิ้นแล้ว ให้แกช่วยตะล่อมถามว่าพี่ชายคิดยังไงกับสามแสนบ้าง ขอให้สามแสนได้รู้คำตอบจากลุงขมิ้นก่อนเถอะนะ"

"จ้างให้เขาก็ไม่ปริปากหรอก อาดุน่ะ เข้าข่ายปากแข็ง ใจก็แข็งด้วยนะ พ่อแม่เขายังยอมยกธงขาว แล้วสามแสนเป็นใคร ลุงขมิ้นเป็นใคร นึกว่าเขายอมให้ง้างปากได้ง่ายๆ หรือ"

"นั่นสิ" สาวหน้ามุ่ยเห็นพ้องด้วยเสียงอ่อยๆ "พี่ชายนะพี่ชาย ไม่รู้จะปากแข็งกับสามแสนทำไม รู้ทั้งรู้ว่าสามแสนตามมาด้วยความรักแท้ๆ "

"เขารู้ แต่ที่เขาไม่รับ ก็เพราะเขาหวังดีกับสามแสนนา เขาคงไม่อยากให้สามแสนอายใครๆ นั่นแหละ สามแสนน่ะเพียบพร้อมแค่ไหน เรื่องอะไรจะต้องมาหลงรักคนป่าคนดงอย่างเขา จริงไหม"

"ไม่จริง" สามแสนสวนทันควัน "สามแสนรักพี่ชาย ใครถาม สามแสนก็บอกอย่างนี้ ไม่อายสักนิด กับพ่อกับแม่กับพี่หมอ สามแสนก็ยืนยันหนักแน่นว่าสามแสนรักพี่ชายคนเดียว แล้วดูสิ ทำไมพี่ชายต้องตั้งแง่กับสามแสนด้วย เฮ้อ"

"ไว้ค่อยว่ากันอีกทีเถอะ ตอนนี้ เราว่ารีบกลับกระท่อมก่อนดีกว่า มันเริ่มจะมืดแล้วล่ะ" นายขิงช่วยถอนใจก่อน แล้วค่อยตัดบทตามหลัง เขาจับต้นแขนเล็กพาเดินข้ามแอ่งตื้นๆ

"พี่ชายนะพี่ชาย" สามแสนไม่วายบ่น "ต้องรอให้สามแสนตายก่อนหรือยังไง ถึงจะยอมคายความรักในหัวใจให้สามแสนรับรู้ มันจะมีประโยชน์หรือ รู้ตอนตายนี่น่ะ เนื้อก็ไม่ได้กิน หนังก็ไม่ได้รองนั่ง กระดูกก็ไม่ได้แขวนคอ"

สาวน้อยใจบ่นพึมพำไปเรื่อยเปื่อย ไม่ทันสังเกตว่าสีหน้าของนายขิงเปลี่ยนไป ประกายตาในความมืดก็วับวาวผิดปกติ เขาเหลียวไปเพ่งลำธาร ฝีเท้าเริ่มเฉื่อยลง กระทั่งหยุดกึก

สักอึดใจกระมัง หนุ่มชาวดงรูปหล่อก็พลันกระตุกแขนสามแสน รั้งร่างโปร่งมาชิดสีข้าง โอบไหล่มั่นคง แล้วก้มกระซิบข้างหู สามแสนอุทาน 'อุบะ' อย่างตกตะลึง ก่อนจะเหลียวขวับไปมองลำธารในแสงสลัว เบิกตากว้าง ปากก็อ้ากว้างและค้างนิ่ง จนน่าจะเรียกว่า 'หวอ' อีกแล้ว

จากคุณ : รัชนีกานต์
เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 54 17:02:55




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com