ผู้เขียนต้องขออภัยด้วยนะคะ ถ้าใครหลงมาอ่านแล้วไม่เข้าใจ
เรื่องนี้เป็นเรื่องสั้นของวันวานค่ะ สะท้อนความฝันบางแง่มุมในยุคที่ ยังไม่มี แอดมิชชั่น ไม่มีอินเตอร์เน็ต ไม่มีมือถือ ภาษาบางคำอาจจะเป็นคำศัพท์เฉพาะ หรือเป็นที่นิยมในสมัยนั้น วัฒนธรรมหรือขนบต่างๆ อาจแตกต่างไปบ้าง นึกเสียว่ากำลังอ่านจินตนิยายอีกเรื่องหนึ่งก็แล้วกันค่ะ
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10897767/W10897767.html
เธอและฉัน กับฝันวันวาน
คณะอะไรก็ได้ ให้มันติดเถอะไอ้น้อง!
เด็กสาวคิดสวนในใจ พร้อมกับแยกเขี้ยว ...ความจริงคือต้องดัดจริตตอบออกไปอย่างนิ่มนวลว่า
ก็น่าจะเป็นเภสัชนะ จะเลือกมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ ด้วย
คณะที่คะแนนพรีเอ็นฯ สายวิทย์ สามร้อยขึ้นคือเป้าหมาย ไม่ใช่ สองร้อยห้าสิบอย่างที่เป็นอยู่
คุยกันมากเข้าก็เริ่มติดลม อย่างน้อยก็เป็นการแลกเปลี่ยนทัศนะกันของคนที่อยู่คนละโลก ระหว่างเด็กเก่งกับเด็กบ๊วย เด็กเรียนกับเด็กเล่น ที่ไม่ใช่เล่นธรรมดานะ เล่นจนเกือบจะรีไทร์รอมร่อเลยต้องหนีมาเอ็นใหม่หนีคดีติดโปรเบชั่น เกรดรวมไม่ถึง 2 คำว่ารีไทร์ลอยติดอยู่ที่หน้าผาก
จนกระทั่งมีเสียงออด คนข้างนอกมาจากไหนไม่ทราบกรูเข้ามาอย่ากับมด คนเริ่มทยอยเข้ามานั่งแออัดขึ้น อย่างนี้แหละที่เรียกว่าแก่งแย่งกันจริงๆ
จู่ๆ ก็มีอีกคนมานั่งข้างๆ อีกด้าน วางหนังสือโครม! แล้วโบกไม้โบกมือให้เพื่อนที่เข้ามาก่อนแต่ไม่ได้จองที่ให้ เห็นรอยเหงื่อซึมมาจากด้านข้างๆ คงวิ่งมาตาเหลือก มาถึงที่ก็มาเขย่าปกเสื้อให้ลมช่วยพัดอย่างไม่เกรงใจ สาวสวย คนหนึ่งที่นั่งข้างๆ อย่างเช่นหล่อนเป็นต้น ณภพคงรู้สึกถึงได้แอบสบตาแล้วยิ้มแหยๆ เป็นกำลังใจส่งมาให้
คงเพราะสายตาเพชฌฆาตที่แอบส่งให้ คนมาใหม่เริ่มหันซ้ายหันขวาแล้วยิ้มเผล่
ขอโทษครับ นี่ผมนั่งได้ใช่ไหมเนี่ย?
กวนซะละ...พ่อคุณ พอเย็นสบายแล้วค่อยรู้สึกนะไอ้น้อง!
แต่ก็เคืองไม่ลงอีกนั่นแหละ ที่สาธารณะ รวมไปถึงยิ้มกว้างขวางอารมณ์ดี แววจริงใจ
ผมชื่อเดี่ยวนะครับ สวัสดีครับ
เจ้าตัวแนะนำตัวเองเสร็จพร้อมกับโค้งทักทายคนรอบข้างทำความรู้จักไปหมดเลยไปถึงณภพที่นั่งเงียบๆ พันทิวาเห็นตัวหนังสือเป็นชื่อ อธิ คงเป็นชื่อของไอ้น้องคนนี้
ทักทายผูกมิตรกันได้เล็กน้อย อาจารย์ก็เข้ามาเริ่มยัดอะไรต่อมิอะไรใส่สมองอันน้อยนิดและแสนจะตีบตันในเวลาอันสั้น วิชาที่เรียนกันเล่มละ 3 เดือน ถูกขมวดให้เหลือ 2 วัน สั้นๆ สมชื่อโรงเรียน กวดวิชา จริงๆ กวดกันตับแลบ ลิ้นห้อย
โชคดีที่วิชาส่วนใหญ่เรียนมาแล้วในปีหนึ่งถือว่าเรียนซ้ำ เข้าใจลึกกว่าเดิม วิเคราะห์ปัญหาได้ดีกว่า แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ทันไอ้เด็กๆ รอบตัวนี้ ตอบกันฉะฉาน มันไปรู้มาจากไหน? หัวไวเป็นบ้า
วิชาแรกผ่านไป หลายคนเริ่มมีเวลาหันมายิ้มให้กัน เฮ้อ! ค่อยยังชั่วหน่อย นึกว่าเด็กกรุงเทพฯจะเย็นชาเห็นใครเป็นศัตรูไปหมดเสียแล้ว ไอ้พวก เก่งแต่ไม่เต็ม ดูท่าจะเยอะกว่าเพื่อนด้วยซ้ำ
ณภพเป็นเด็กที่ดี เรียบร้อย ท่าทางเขาชอบฟังหล่อนพูดแฮะ ตอนหลังถึงได้บอกว่าแปลกดีที่หล่อนผาดโผนมากกว่าคนที่เขารู้จักเป็นส่วนใหญ่ และณภพเองก็ยังไม่แน่ใจว่าตลอดชีวิตของเขาจะได้มีโอกาสหรือเปล่า
คนที่ตั้งใจฟังอีกคนก็เห็นจะได้แก่คนที่นั่งอีกข้าง
พ่อผมให้เรียนแพทย์ ใครไม่ถามพ่อเจ้าประคุณก็จะเล่า
ตลอดเวลาอธิจะอ้างถึงพ่อทุกครั้งที่ใครๆ ถามว่าจะเรียนคณะอะไร จนพันทิวาชักเริ่มสงสัย
แล้วจริงๆ อยากเรียนอะไรกันแน่?
คราวนี้คำถามคงลงล็อก เจ้าตัวรีบตอบทันควัน
ผมนะหรือ อยากเรียนวิศวะ อยากเป็นทหารปืนใหญ่ ก็น่าอยู่หรอก ท่าทางลุยขนาดนั้น ดูไม่ออกว่าเป็นเด็กเรียนเก่ง
แล้วไหงไม่เลือกเรียนล่ะ
พ่อไม่ให้เรียน พ่อของผมเป็นหมอ แม่เป็นหมอ พี่ผมก็เป็นหมอ
เฮ้ย! ยังไม่พออีกหรือ?
พันทิวาอดหลุดปากไม่ได้ แทนที่จะโกรธ เจ้าตัวกลับหัวเราะชอบใจเสียงดัง
น่านสิ!
ฟังแล้วทำให้นึกถึงเด็กประถมที่อยู่ในค่ายปิดเทอมของมหาวิทยาลัย เด็กพวกนี้เข้าร่วมกิจกรรมที่มหาวิทยาลัยจัดขึ้นเพราะบุคลากรในมหาวิทยาลัยต้องทำงาน ไม่มีเวลามาดูแลลูกๆในช่วงปิดเทอม โดยให้เด็กนักศึกษาอย่างพวกหล่อนรับจ้างเป็นพี่เลี้ยงหากิจกรรมให้เล่น ตกเย็นพ่อแม่ก็มารับ
มีเด็กคนหนึ่งร่ำลือว่าเรียนเก่งมาก พ่อเป็นหมอ แม่เป็นหมอ พอถามว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไรก็จะตอบเหมือนท่องว่าอยากเป็นหมอ แต่พอเผลอก็มักเปรยกับพี่เลี้ยงว่าจริงๆแล้วไม่อยากเป็นสักนิด และเด็กจะมีอะไรบางอย่างที่เหมือนกับเก็บกด
พันทิวารู้สึกดีใจที่ไม่ต้องทนกับความบีบคั้นที่ต้องรับเอาไว้ไม่รู้ตัวอย่างนั้น
ตอนกลางวัน แทนที่จะไปรวมกับเพื่อนๆ อธิกลับเดินตามหล่อนกับณภพออกมาพร้อมกับบอกหน้าตาเฉยว่า
ผมมีเพื่อนอีกคน เดี๋ยวรอก่อนนะ
หมอนี่...ไม่สนใจใครอีกแล้วว่าใครเค้าอยาก...ไปด้วยหรือเปล่า?
เด็กหนุ่มชวนพันทิวากับณภพไปเสนอหน้าที่ห้องเรียนอีกห้องหนึ่ง คนที่เดินออกมาเป็นเด็กสาวรูปร่างดี หน้าตาน่ารัก คงเป็นแฟนกัน
นี่อ้อยครับ นี่พี่พัน นี่น้องณพ อ้อยเค้าจะสอบเข้าอักษรครับ คณะสุดฮิตขอสายศิลป์ มิน่าถึงต้องเรียนแยกกัน
เด็กสาวทักทาย แต่ไม่วายสงสัย
เป็นพี่หรือคะ แล้วทำไมเป็นพี่ล่ะคะ แล้วณพทำไมเป็นน้อง เอาอีกคนล่ะ รวมๆ แล้วนี่หล่อนแก่ที่สุดสินะ
ก็เพราะว่าพี่เป็นนักศึกษา ส่วนภพนี่สอบเทียบมา
มาจากคนละทิศคนละทางเลยนะ
อือม์...แปลกดี อธิหัวเราะอย่างคนอารมณ์ดี
จากนั้นก็ไปรับประทานอาหารกัน 4 คน แลกเปลี่ยนความคิดเห็นคุยกันแล้วได้ประสบการณ์ที่ดี พันทิวาทราบอยู่อย่างหนึ่งว่า ช่วงของคนวัยนี้กำลังก้าวเข้าสู่ชีวิตอีกรูปแบบหนึ่ง แสวงหาสิ่งใหม่ เพื่อนใหม่ ทุกคนย่อมอยากผูกมิตรกันเอาไว้ เป็นช่วงเวลาที่สั้น แต่มีขั้นตอนที่ต้องเปลี่ยนแปลงมากมาย
คงเหมือนตัวหนอนที่ต้องกลายไปเป็นดักแด้ก่อน แล้วจึงจะค่อยเปลี่ยนไปเป็นผีเสื้อแสนสวยหลากสี ตอนนี้พวกเขากำลังรอเวลาที่จะโบยบินไปสู่โลกกว้าง
นายเดี่ยวจะเป็นคนที่วางตัวสบายที่สุด ไม่มีเคอะเขิน ส่วนณภพเองยังขัดเขินอยู่บ้าง คงเป็นเพราะอยู่แต่โรงเรียนชายล้วนมาตลอดแต่เขาเองพยายามเลียนตามคนรอบตัว อีกไม่นานคงดูแลสาวๆ เป็น สาวน้อยอัชวดีหรือน้องอ้อยนั้นดูจะเป็นผู้ใหญ่เกินตัว ขี้เล่นในบางครั้ง พันทิวาทำความรู้จักกับน้องๆ เหล่านี้ด้วยความทึ่ง นึกไม่ถึงหรอกว่าเด็กพวกนี้จะเก่งระดับหัวกะทิของโรงเรียนทีเดียว
วันรุ่งขึ้นมานักเรียนใหม่เข้ามาในห้องเพิ่มขึ้นอีก 2 คน คงมาสาย คนหนึ่งขณะนั่งเรียนก็จะมัวแต่เล่นไม่ค่อยสนใจนัก อีกคนหนึ่งดูแก่เกินที่จะเป็นเด็กจบใหม่จากม. 6
เอกสารที่ทางโรงเรียนแจกเริ่มตั้งเป็นกองสูงแข่งกับหนังสือที่เตรียมมาอ่านด้วย บทเรียนแต่ละวิชาก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ซึ่งพันทิวามีความจำเป็นอย่างมากที่ต้องกวดตามจนขาขวิด
ณภพยังคงตั้งใจเรียนเช่นเดิมหนำซ้ำยังอุตส่าห์พยายามลากพันทิวาให้ตามเพื่อนให้ทันได้ โจทย์ข้อแรกยังงมโข่งอยู่ อาจารย์สอนไปถึงโจทย์ข้อที่สี่แล้ว
ถ้าไม่ได้ณภพ หล่อนคง งมมหาสมบัติ สามเหลี่ยมทองคำ sin cos tan อยู่แค่ข้อหนึ่งอยู่อย่างนั้นจนไปถึงวิชาต่อไปแน่
เมื่อหมดชั่วโมงต่างคนต่างทยอยกันไปรับประทานอาหาร ทุกคนเริ่มหันมายิ้มให้กันทักทายกันข้ามกลุ่มบ้าง บางครั้งชวนกันต่อๆ กันไปเป็นกลุ่มใหญ่ สนุกสนาน สุดท้ายตอนนี้กลุ่มของพันทิวามีคนมาเพิ่มอีกสองคน คือบัณฑิตย์ และพี่สุเจษฐ์ที่หลวมตัวพาซื่อเห็นพวกหล่อนกวักมือเรียกกันก็เลยเดินตามมาเฉย ทั้งกลุ่มมีอัชวดีคนเดียวที่เรียนสายศิลป์
เมื่อวานอ้อยกลับกับภพ บ้านทางเดียวกัน กิจกรรมนอกเวลาเรียนเริ่มเอามาเล่าสู่กันฟัง
บ้านใครอยู่ทางไปสามเสนบ้างครับ ผมมีรถ ไปส่งได้
หนุ่มน้อยที่พ่อยกรถให้ขับเสนอตัว แต่เสียดายที่ไม่มีใครรับคำเชิญ บัณฑิตย์เป็นคนที่ไม่ค่อยยี่หระกับสิ่งที่อยู่รอบกายและชอบสนุกสนานเฮฮาไปวันๆ มากกว่า
ผมเพิ่งกลับจากเมืองนอก
เขาเล่าถึงสาเหตุที่มาสายเสียเบา เพราะรู้ว่ามีคนมาจาก บ้านนอก ปะปนอยู่ด้วยแสดงว่าไม่ใช่คนชอบโอ้อวด ส่วนคนพูดน้อยอีกคนคือพี่สุเจษฐ์ นานๆเขาจะพูดสักทีหนึ่งด้วยมาดที่เป็นผู้ใหญ่กว่า ออกแนวสั่งสอน และอีกหลายวันต่อมาถึงยอมเล่าประวัติว่าเพิ่งถูกรีไทร์จากวิศวะฯ ปีสองจากรั้วจามจุรี ที่มากวดวิชาคราวนี้เพื่อกลับไปยืนที่เดิมอีกครั้ง
พี่ไม่ดีเอง เอาแต่เที่ยว นี่ก็แก่เกินแกงที่จะอ่านหนังสือสอบเองแล้ว ต้องมาเข้าโรงเรียนกวดวิชา
ผมว่า เราพยายามกันหน่อยก็คงสำเร็จ
ถ้าวันไหนหยุดก็ไปอ่านหนังสือบ้านอ้อนะคะ
ทั้งหมดตกลงกันว่าจะใช้บ้านอัชวดีเป็นศูนย์กลางในการอ่านหนังสือ ซึ่งก็ดี เพราะพันทิวาเป็นประเภทอ่านหนังสือคนเดียวไม่ได้ เผลอๆ หนังสือนั่นแหละจะเป็นคนอ่านหล่อนเพราะสัปหงกทุกที แต่ก็อ่านหนังสือหลายคนไม่ได้อีกเพราะจะคุย ยังดีที่มาเรียนกววิชา ซึ่งถือว่าเป็นช่วงที่มีสมาธิที่สุด อธิชอบคุยกับพี่สุเจษฐ์ท่าทางอยากทราบเรื่องคณะวิศวะฯ มาก มักไต่ถามพี่สุเจษฐ์อยู่เสมอเกี่ยวกับเรื่องการเรียน
พันทิวายอมรับว่าตลอดเวลาของการมาเรียนกวดวิชานั้นมีความหมายมากกว่าวิชาการ มีมิตรภาพใหม่ของคนกลุ่มหนึ่ง เกิดขึ้น คนที่กดดันน้อยที่สุดและไม่มีจุดมุ่งหมายของการเรียนกวดวิชาในครั้งนี้ที่สุดน่าจะเป็นบัณฑิตย์
ผมขอแค่ภาษาดีก็พอแล้ว เพราะถ้าสอบไม่ได้ พ่อจะส่งไปอเมริกา
ดังนั้นเขาจึงเป็นคนที่คอยรับส่งชาวบ้านเสมอ ถึงไม่ร้องขอก็จะเสนอตัว ในขณะที่บัณฑิตย์มักจะชอบชวนให้วงอ่านหนังสือครึกครื้น คู่หูของเขาก็ไม่ใช่ใคร...ตัวแสบอย่างพันทิวานี่แหละที่เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย แต่จะมีพวกณภพ อัชวดี และสุเจษณ์ กลับเป็นคนคอยดึงไว้
คนหลังเพราะมีประสบการณ์มากกว่าด้วย พันทิวาคิดว่าเพราะพี่สุเจษฐ์เป็นคนที่เคยเดินไปได้ไกลกว่าคนอื่นมาแล้ว จึงสามารถเห็นเส้นทางบางอย่างที่คนอย่างพวกหล่อนยังไม่เคยเดินผ่านและมองไม่เห็น เมื่อไหร่ที่เขาหันกลับมามองก็จะสามารถคอยเตือนทุกคนได้ว่าเส้นทางไหนจะมีปัญหา
ในวันเสาร์ พวกเขาจะไปรวมตัวกันที่บ้านของอัชวดีอีกหนึ่งวันเพื่อทบทวนเนื้อหาที่เรียนมาทั้งสัปดาห์
ณภพกับอธิมาก่อนแต่เช้า
เฮ้! มาแต่เช้าเลยทั้งสองคน พันทิวาทักทายอย่างแจ่มใส
ก็มาเช้าพร้อมกันทั้งภพทั้งเดี่ยว อัชวดีบอกพลางจัดหาของว่างมาให้
เมื่อคืนพี่เดี่ยวไปนอนบ้านผม
หล่อนชำเลืองเห็นหน้าบึ้งตึงอย่างกับกำลังคิดเรื่องอื่นๆ อยู่ ไม่แปลกหรอกถ้าจะมีการเปลี่ยนที่นอนบ้าง แต่เพราะเป็นอธิ ซึ่งทราบแต่แรกแล้วว่าที่บ้านนั้นมีกฎเกณฑ์เข้มงวดนัก
เดี่ยว เป็นอะไรไปหรือ?
พันทิวาวางกระเป๋าเข้าถามตัวต่อตัว
ผมทะเลาะกับพ่อ ก็เรื่องเดิม ผมไม่อยากเรียนแพทย์ มันไม่ใช่...
แล้วพ่อว่าอย่างไร?
โมโหใหญ่โต เขายักไหล่ ในใจคงหมกมุ่น ลังเล และสับสนน่าดู
ใจเย็นๆ สิ ค่อยๆ หาทางออก ไม่ใช่ไปชวนผู้ใหญ่ทะเลาะ ไม่ดีรู้ไหม? ถึงจะเกเรขนาดไหนแต่พันทิวาก็ไม่กล้าขึ้นเสียงหรือก้าวร้าวกับพ่อหรอก ไม่มีใครสอนให้ทำอย่างนั้น
พ่อนั่นแหละเริ่มก่อน ผมเริ่มพูดหน่อยเดียว โมโหปึงปัง
อธิระบาย ระบาย และระบาย จนจบ เสร็จเจ้าตัวก็หัวเราะ
ฮึ ตลกดี อ่านหนังสือต่อเถอะพี่ พี่คงรำคาญแล้ว
พี่ไม่รำคาญหรอก แต่ถ้าระบายออกหมดแล้ว รวบรวมสมาธิอ่านหนังสือได้แล้ว ก็ควรทำ
หลายครั้งที่เด็กหนุ่มอารมณ์เสียในตอนเช้าที่เจอหน้ากัน นี่เป็นสาเหตุที่ดูเหมือนจะเล็กน้อยในสายตาของคนบางคน แต่เป็นปัญหาใหญ่มากสำหรับเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ
ใช่!...ในความเป็นจริงยังไม่มีใครสักคนที่บรรลุนิติภาวะสักคน...ยกเว้นพี่สุเจษฐ์ที่พึ่งจะเลยเวลานั้นมาไม่นานเท่านั้น จึงไม่มีใครช่วยใครได้ อย่างมากแค่ไม่ให้เตลิดไปไกลเท่านั้นเอง