รินณดาไม่ได้ไปร่วมงานแต่งเฉกเช่นสามี แต่วันนี้หล่อนพาเพื่อนสาวคนสนิทออกมาช็อปปิ้งในศูนย์การค้า ด้วยหวังว่าจะทำให้ธารทิพย์หายเศร้าลงไปบ้าง หลังจากที่เผลอหลุดปากไปว่าภาสพัทธ์จะแต่งงานวันนี้ แม้หญิงสาวจะบอกว่าไม่เป็นอะไร แต่สีหน้าเศร้าๆ แววตาที่ไม่ตกกระทบสิ่งใดก็ทำให้คนห่วงเพื่อนยิ่งรู้สึกไม่ดี ก็อย่างที่ใครๆ รู้... คำว่าไม่เป็นอะไรนั้นพูดเพียงเพื่ออยากให้คนฟังสบายใจเท่านั้น
คน ท้องอ่อนๆ ล่ะนึกอยากลากแขนเพื่อนบุกไปกลางงานแต่งแล้วบอกความจริงถึงสาเหตุที่หญิงสาว ทิ้งภาสพัทธ์ไปให้เจ้าตัวเขาได้รับรู้ ต่อให้ไม่อาจหยุดงานแต่งในวันนี้ได้แต่หล่อนก็อยากเห็นผู้ชายคนนั้นกระอักใจ ตายในฐานะที่เป็นฝ่ายสลัดมือทิ้งผู้หญิงที่แสนดีและรักเขามากมายอย่างธาร ทิพย์ไปโดยไม่ยอมรับฟังเหตุผลที่แสนจะจริงใจของเธอ
แต่ นั่นก็แค่ความคิด... ผู้หญิงของภาสพัทธ์กำลังตั้งท้อง และตัวหล่อนเองก็กลัวเหลือเกินว่าการทำร้ายจิตใจปาจารีย์นั้นจะส่งผลกรรม สะท้อนมายังเด็กในท้องตนเช่นกัน มันไม่ง่ายเลยที่ทำได้แค่ยืนมองดูเพื่อนรักเสียใจ แต่เพราะชีวิตเล็กๆ ในท้องที่เฝ้ารอมากว่าห้าปีหลังการสมรสนั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าที่รินณดาจะกล้า ทำอะไร...
คิดแล้วก็ขัดใจที่ทำอะไรอย่างใจไม่ได้ ยิ่งมองเบื้องหลังของร่างบางตรงหน้าที่กำลังยืนเหม่อก็ยิ่งเจ็บใจแทนเหลือเกิน เพื่อนหล่อนไม่สมควรจะเจ็บอย่างนี้เลยสักนิด
มือเรียวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเลขหมายที่ได้มาใหม่เมื่อกลางอาทิตย์ก่อน ‘หมอปวัตร์’ ผู้ชายหน้าตาหล่อเหลาและไม่ได้เป็นเกย์ คนนี้ล่ะเหมาะสมกับเพื่อนสาวที่แสนดีของหล่อน โปรไฟล์ก็เลิศเป็นถึงหลานชายนายธนาคารใหญ่ไม่ได้เป็นรองภาสพัทธ์แม้แต่น้อย แถมยังโสดสนิทอีกด้วย!
ร่างสูงโปร่งท่วงท่าสมาร์ทเดินเข้ามาภายในสวนร้านอาหารที่รินณดาเป็นหุ้นส่วน หล่อนยกมือขึ้นนิดๆ เพื่อให้เขามองเห็น ธารทิพย์แปลกใจนิดหน่อยที่เห็นหมอปวัตร์ที่นี่ แต่พออีกฝ่ายเข้ามานั่งร่วมโต๊ะด้วยหญิงสาวก็เขม่นสายตาไปที่เพื่อนสนิทอย่างรู้ทัน
“คุยกันไปก่อนนะคะ วันนี้แขกเยอะ เดี๋ยวณดามา” รอยยิ้มหวานๆ ที่ควบคู่มากับประกายตาเจ้าเล่ห์ของเพื่อนสนิททำให้ธารทิพย์แอบบ่นในใจ ร้อยวันพันปีไม่เห็นสนใจเลยว่าจะมีลูกค้าหรือเปล่า
“ไปนานขนาดไหนล่ะ” คุณหมอสาวแกล้งแซวพาให้เจ้าของร้านค้อนขวับ ก่อนตอบเสียงหวานบาดจิต
“ก็คงนานพอที่จะทำให้น้ำแข็งละลายได้ล่ะมั้ง... ฝากเทคแคร์กันและกันด้วยนะคะ” รินณดาหันมาย้ำอย่างไม่เกรงว่าชายหนุ่มจะเห็นชัดในเจตนา เพราะหล่อนคิดว่าหากปวัตร์เดาไม่ออกก็ไม่สมควรจะสอบติดคณะแพทย์แล้ว!
ธารทิพย์หันไปยิ้มเหนื่อยใจในตัวเพื่อนสาวให้กับผู้มาใหม่
“ขอโทษนะคะ ณดาเขาก็เป็นแบบนี้” หมอปวัตร์ยิ้มรับไม่ต่อเรื่องนั้นว่าอย่างไร
“เห็นคุณณดาบอกว่าทิพย์กำลังมีเรื่องไม่สบายใจเหรอ อยากได้เพื่อนคุยไหม” คำถามนั้นทำเอาหญิงสาวขมวดคิ้ว นี่หล่อนถูกเพื่อนรักหักเหลี่ยมอะไรไปบ้างล่ะนี่...
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ทิพย์รับมือกับมันไหว หนักกว่านี้เป็นร้อยเท่าก็เจอมาแล้ว” รอยยิ้มหนักใจของคนพูด ทำให้คนฟังได้แต่ยิ้มบาง
“ความหนักเบาของปัญหามันวัดกันที่มุมมองและความเด็ดขาดในการตัดสินใจครับ ต่อให้ทางออกมีรอบตัวแต่ถ้าเราไม่เลือกเดินสักทางมันก็ไม่มีประโยชน์อะไร ปัญหาบางอย่างทางออกมันริบหรี่แต่ถ้าเราตัดสินใจที่จะเดินไป โอกาสหลุดจากปัญหามันก็มี... แต่ถ้ายังตัดสินใจไม่ได้ ยังยืนอยู่กับที่... บางทีการระบายก็ช่วยให้เราผ่อนคลายมากขึ้น...” ธารทิพย์ฟังแล้วก็ถอนหายใจ ยกมือขึ้นเท้าคางแล้วหันข้างไปมองหน้าเขาอย่างยิ้มๆ
“เป็นจิตแพทย์ตั้งแต่เมื่อไหร่คะ ถึงได้มีเวลามานั่งฟังเรื่องรบกวนจิตใจของใคร”
“เป็นมาตั้งนานแล้วครับ ก่อนได้ใบรับรองด้านสมองและประสาทอีก” เขายิ้มตอบกลับมาเช่นกัน ก่อนจะยืนยันเมื่อหญิงสาวเลิกคิ้วว่าเล่นมุกรึเปล่า “จริงๆ ครับ จะดูใบรับรองไหม” คำท้านั้นพาเอาหล่อนยิ้มขัน
อัน ที่จริงในฐานะเพื่อนร่วมงานก็มีความสนิทกันระดับหนึ่ง หากแต่นี่เป็นครั้งแรกที่นั่งคุยกันเรื่องอื่นซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับโรคภัย ไข้เจ็บของใครอีกทั้งยังเป็นนอกเวลางาน ยิ่งคุยๆ ไป หล่อนก็เชื่อแล้วว่าเขามีใบรับรองด้านจิตเวชจริงๆ เพราะสิ่งที่เขาถาม เกือบทำให้หล่อนคล้อยตามจนแทบจะบอกเล่าทุกอย่างออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ...
พิธีส่งตัวในห้องนอนของภาสพัทธ์ ณ บ้านเทพธารากำลังจะสิ้นสุด หลังจากบิดามารดาฝ่ายชายออกไปแล้ว คุณปรียาก็เอ่ยถามลูกสาวเป็นการส่วนตัวหากแต่อย่างไรเสียภาสพัทธ์ที่นั่งอยู่ในห้องก็ยังคงไม่วายได้ยิน
“มันอาจจะฟังดูแปลกไปสักหน่อย ที่แม่เพิ่งจะถาม” คำเปรยของมารดาทำให้เจ้าสาวหมาดๆ ต้องเลิกคิ้ว “ปุ่นรักคุณพัทธ์ตรงไหนเหรอลูก” คำถามนั้นทำเอาทั้งเจ้าบ่าวเจ้าสาวสะดุดลมหายใจ
“เอ่อ... ไม่รู้สิคะ แม่มาถามอะไรปุ่นตอนนี้” หล่อนหัวเราะเก้อขณะบ่ายเบี่ยงก่อนจะกระซิบมารดา “คุณพัทธ์เขาก็อยู่ตรงนี้ปุ่นตอบไม่ได้หรอกค่ะแม่ ปุ่นอาย”
“อายทำไม เด็กจะคลอดอยู่เดือนนี้เดือนหน้าแล้ว” คนเป็นแม่ยิ้มขัน ภาสพัทธ์เองก็ไม่ขัด เขาก็อยากรู้เหมือนกันว่าปาจารีย์จะตอบว่ายังไง
“เอ้อ... พ่อก็อยากรู้เหมือนกัน” ผู้เป็นบิดาอย่างสิทธาที่เพิ่งได้รับรู้ไม่นานก็ยังออกอาการงงๆ ยิ่งได้ฟังเรื่องตระกูลเทพธาราจากภรรยาแล้วก็ยิ่งแปลกใจหนัก แต่เมื่อลูกเขยคนนี้ผ่านความเห็นชอบจากสองสาว เขาก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร เพราะตนเองตัดสินใจอะไรก็ไม่ดีสักอย่าง นอกจากการมีภรรยาอย่างปรียาและบุตรสาวอย่างปาจารีย์
คนถูกถามเอ้ออ่าอยู่พักใหญ่ แม้เหลือบสายตาไปส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือจากภาสพัทธ์แต่ก็ไม่ได้ผลเอาเสียเลย สุดท้ายเลยต้องพยายามหาคำตอบด้วยตัวเอง
“คุณพัทธ์เขา... อ่อนโยน ถึงภายนอกจะดูหยาบกระด้างไปบ้าง แต่ก็...ไม่ใช่อย่างนั้น” วิธีการตอบอีกทั้งน้ำเสียงตะกุกตะกักของหล่อนพาให้คนฟังขมวดคิ้วกันถ้วนหน้า โดยเฉพาะคนถูกพูดถึง “แต่ว่า... คุณพัทธ์เขาก็คอยดูแลทุกคน ถึงจะ... ไม่ถนัดบอกผ่านคำพูด แต่... การกระทำของเขาก็ชัดเจน อีกอย่าง... เขาเป็นคนที่รักครอบครัวมากๆ อืม... ก็คงแนวๆ นี้ล่ะค่ะ” เท่านั้นล่ะมั้งข้อดีของเขาเท่าที่หล่อนพอจะนึกออก
คุณปรียาไม่ค่อยเอะใจในทีท่า ‘รักแปลกๆ’ ของลูกสาวที่มีต่ออีกฝ่าย เนื่องจากตนก็เคยพยายามคิดภาพปาจารีย์มีความรัก ทว่านึกเท่าไหร่ก็ไม่เห็นภาพ แต่ไหนแต่ไรมาเด็กสาวก็หมกมุ่นอยู่แต่เรื่องเรียน ทำงานและหาเงินเท่านั้น เจ้าของมืออุ่นจึงโอบไหล่ดึงตัวลูกสาวเข้ามาในอ้อมกอด
“แม่ขอให้ปุ่นมีความสุขมากๆ ในทุกๆ เรื่อง”
“แม่ก็เหมือนกันนะคะ มีความสุขมากๆ ยิ่งแม่มีความสุขเท่าไหร่ ปุ่นก็จะมีความสุขมากเท่านั้น” คุณปรียาฟังแล้วก็คลายกอดออกมาบีบจมูกลูกสาวเบาๆ
“นั่นมันประโยคของแม่ต่างหาก” แล้วครอบครัวทางบ้านเจ้าสาวก็หัวเราะขำขันก่อนจะค่อยๆ ออกไป จนเหลือเพียงสองคนในห้องนี้
“ขอโทษนะคะคุณพัทธ์ ปุ่นนึกข้อดีที่จะรักคุณได้แค่นี้จริงๆ” หล่อนบอกเขาเพราะรู้สึกว่าตัวเองตอบได้ดีไม่เท่าที่ควร หากแต่ภาสพัทธ์ส่ายหน้ายิ้มๆ ขณะปลดเนกไท
“ไม่เป็นไร แค่นั้นก็มากเกินพอแล้วที่จะทำให้เธอหลงรักฉัน” รอยยิ้มเป็นต่อของเขาทำเอาเจ้าสาวหมาดๆ ร้อนแก้มวาบจนต้องหันหลังให้ และสำหรับภาสพัทธ์เอง... ไม่ว่าปาจารีย์จะรู้ตัวหรือไม่ วิธีบอกรักของหล่อนมันสะท้อนกังวานไปมาในหัวใจของเขา จนได้ยินเสียงปริร้าวของกำแพงที่สร้างมานานกว่าห้าปีเลยทีเดียว!
จากคุณ |
:
อัยย์เนญ่า (Nyah)
|
เขียนเมื่อ |
:
7 ส.ค. 54 17:59:39
|
|
|
|