๒๓. เรื่องเล่าเขย่าขวัญ
พายุเข้าอ่าวไทยแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยช่วงกลางสัปดาห์ เมื่อคืนฝนตกหนักมากจนถึงเช้า ผมกับคุณอาเกือบจะออกจากอพาร์ทเม้นท์เชอร์รี่ไม่ได้ น้ำท่วมสูงจนเลยระดับฟุตบาทเข้ามาถึงห้องรับรองในอพาร์ทเม้นท์ ป้ายโฆษณาตามท้องถนนหัก มอเตอร์ไซด์ที่จอดค้างคืนไว้ตามตึกแถวล้มระเนระนาด และรถติดวินาศสันตะโรเป็นประวัติการณ์
สภาพทางเดินบนตึกไหมไทยวันนี้ดูน่าขำสิ้นดี นักเรียนทุกห้องนั่งเรียนกันโดยถอดถุงเท้ากับรองเท้าผึ่งไว้หน้าระเบียง ซึ่งผึ่งไปก็เท่านั้น แดดไม่มี แถม ความชื้นสัมพัทธ์ก็น่าจะมากเกินกว่าน้ำจะระเหยได้หมดภายในวันเดียว
มีข่าวลือแปลกๆปล่อยออกมาซึ่งพวกเรากำลังตื่นเต้นและตระหนกกับเรื่องนั้น เรื่องผีๆกับนักเรียนเป็นของคู่กัน คนปล่อยข่าวฉลาดน่าดูเลยล่ะที่เลือกเรื่องแบบนี้มาเล่นงานพวกเรา ผมเพิ่งรู้เรื่องนี้ตอนบ่ายของเมื่อวันอังคาร และเดาว่าจากนั้นไม่เกินครึ่งชั่วโมงทุกคนในโรงเรียนก็คงรู้กันครบ
ต้นตอความน่ากลัวทั้งหมดอยู่ที่ เรือนไม้ ใกล้ๆกับโรงพละเก่า ซึ่งปกติแล้วแถวนั้นไม่ค่อยมีนักเรียนไปเดินเล่นนักหรอก โรงพละเก่าเอาไว้ใช้เป็นสถานที่สอบสำหรับเด็กมัธยมกับจัดนิทรรศการในวันสำคัญๆ ส่วนเรือนไม้แต่เดิมเป็นเรือนพยาบาล มันเป็นเรื่องตลกที่ เรือนพยาบาลของโรงเรียนอยู่ไกลมากๆ ลองคิดดูซิ ถ้ามีเด็กสักคนป่วยแล้วต้องเดินไปจนถึงหน้าโรงเรียนเพื่อไปนอนที่นั่นมันจะทุลักทุเลขนาดไหน
เรือนพยาบาลตรีชฎา เป็นชื่อที่ทุกคนเรียกจนติดปาก เพราะเข้าใจว่าเรือนพยาบาลนี้เป็นอาคารแห่งเดียวในโรงเรียนที่ไม่มีใครตั้งชื่อลิเกๆให้อย่างเป็นทางการ แต่ความจริงไม่ใช่เช่นนั้น เรือนไม้หน้าตาน่าเกลียดนั่นมีชื่อเก่าว่า เรือนน้ำทิพย์
หลังข่าวลือแพร่ออกมาแค่ไม่กี่วัน บรรดานักเรียนก็พร้อมใจกันเรียกเรือนไม้เก่าแก่นั้นว่า เรือนน้ำทิพย์แทนกันหมด และท่ามกลางข่าวลือที่ถูกบิดเบือนจนแทบจะกลายเป็นนิยายแฟนตาซีเข้าไปทุกวันๆ ผมคิดว่ามีอยู่กระแสเดียวเท่านั้นที่ฟังดูน่าเชื่อถือที่สุด
เรือนพยาบาลแห่งนี้สร้างตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง เพื่อรองรับผู้บาดเจ็บ พูดง่ายๆก็คือเมื่อหกสิบกว่าปีก่อนมีคนตายที่นั่นนับร้อย ว่ากันว่ายามในโรงเรียนคนหนึ่งที่ดูแลพื้นที่แถบนั้นตอนกลางคืนเห็นคนแต่งชุดขาวคล้ายบุคคลทางการแพทย์เดินผ่านไปมาอยู่หน้าประตูเรือนพยาบาล เขารีบส่องไฟเข้าไปในตัวตึกและตะโกนให้สัญญาณ แต่ก็ไม่มีใครตอบรับกลับมา เขาจึงถีบจักรยานเข้าไปใกล้มากขึ้นพร้อมกับวิทยุถามยามคนอื่นๆว่ามี หน่วยพยาบาลเข้ามาในโรงเรียนบ้างรึเปล่า และคำตอบที่ได้รับ … คือ ไม่มี
โรงเรียนเรามักมีอะไรที่ไม่คาดคิดได้เสมอ งานวันเด็กในปีแรกที่ผมเพิ่งมาเข้าเรียน ผู้อำนวยการเนรมิตรลานสนามฟุตบอลหน้าตึกนักเรียนมัธยมต้นเป็นสวนสนุกย่อมๆ ใครจะจินตนาการได้บ้างล่ะว่าอยู่ดีๆก็มีชิงช้าสวรรค์ตั้งอยู่ในโรงเรียนเอาดื้อๆ บางทีก็มีคณะโชว์แปลกๆจากต่างประเทศมาเปิดการแสดงให้พวกเราได้ดูกัน ดังนั้นถ้าจะบังเอิญรถพยาบาลเข้ามาในโรงเรียนตอนกลางคืนมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลยสำหรับโรงเรียนตรีชฎานุสรณ์
กระบองไม้เป็นอาวุธเพียงอย่างเดียวของยามคนขยันในค่ำคืนนั้น เมื่อเดินไปจนถึงประตูทางเข้าเขาก็ได้ยินเสียงโครมครามดังมาจากข้างใน
“เรือนพยาบาล เรียกส่วนกลาง มีเหตุต้องสงสัย ขอเจ้าหน้าที่มาเสริมด่วน” เขาพูด
“ส่วนกลางรับทราบ จะรีบจัดส่งเจ้าหน้าที่ไปที่ … เรือนน้ำทิพย์ เดี๋ยวนี้” ยามผู้โชคร้ายไม่ทันเอะใจเลยว่า เสียงจากปลายทางเอ่ยว่า เรือนน้ำทิพย์ ซึ่งเป็นชื่อที่แทบจะไม่มีใครในโรงเรียนนี้เคยรู้มาก่อนว่าคือเรือนไม้แห่งนั้น
เขาฉลาดพอที่จะไม่บุ่มบ่ามเข้าไปในนั้นคนเดียว โดยเลือกที่รออยู่ห่างๆพร้อมกับฉายไฟไปรอบๆ เพื่อสังเกตหาบุคคลน่าสงสัย
“เฮ้ ! ทางนี้ๆ” เขาตะโกน และรีบโบกมือเรียกยามคนหนึ่งที่กำลังเดินมาหาเขา
“มีอะไรเหรอ” ยามคนใหม่กล่าว
“ผมเห็น คนแต่งตัวเหมือนหมอ อยู่ในนั้น” ยามคนแรกตอบอย่างใจชื้นเมื่อได้พรรคพวกร่วมชะตากรรม
“พูดเป็นเล่น เรือนพยาบาล ปิดไปตั้งนานแล้วนะ จะมีใครเข้าไปได้ยังไง” ยามคนใหม่ค้าน
“อาจจะเป็นขโมยสวมชุดขาวล่ะมั้ง รีบไปกันเถอะ ถ้าเราจับได้นะ รับรอง ได้รางวัลจากผู้อำนวยการเพียบ”
ทั้งสองคนเปิดประตูเรือนไม้แล้วก้าวเท้าเข้าไป กลิ่นไม้เก่าๆโชยออกมาต้อนรับ ข้างในอาคารมืดสนิท เสียงรองเท้าหนังคอมแบทกระแทกพื้นดังเป็นเสียงสะท้อนอยู่ภายใน จนยามคนแรกไม่ทันสังเกตอีกเช่นกันว่า มีแต่เสียงฝีเท้าของเขาเพียงคนเดียวที่ดังขึ้นเท่านั้น
“ส่วนกลาง เรียก เรือนพยาบาล ” เสียงวิทยุของเขาดังขึ้น
“เรือนพยาบาลรับทราบ” เขาตอบ
“ทำไม ถึง ไม่อยู่ประจำจุดตรวจ” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจากส่วนกลางกล่าวตำหนิ
“หือ ! ผมแจ้งไปแล้วนี่ครับ ว่ามีเหตุต้องสงสัยในเรือนพยาบาล” เขาพูดเร็วๆแก้ตัว อย่างไม่พอใจนัก พลางหันมอง เพื่อนยามที่มาสมทบด้วยกัน วิทยุของยามที่มาสมทบไม่มีเสียงใดๆเล็ดลอดออกมาเลย ทั้งๆที่ยามทุกคนในโรงเรียนใช้คลื่นความถี่เดียวกัน
“ออกมา ประจำจุดตรวจเดี๋ยวนี้ มิฉะนั้น จะโดนลงโทษ” เจ้าหน้าที่ส่วนกลางตัวจริงย้ำ
เขาละความสนใจจาก หัวหน้างาน แล้วหันมาถามเพื่อนคนใหม่แทน “เฮ้ย ทำไม … วิทยุไม่ดังล่ะ”
“วิทยุนี่น่ะเหรอ … ดังซิทำไมจะไม่ดัง” บุคคลต้องสงสัยกล่าวพลางยก เครื่องวิทยุขึ้นพูด ของเหลวที่มีกลิ่นคาวเลือดพุ่งออกจากสิ่งที่เขาถืออยู่ในมือ ปากแสยะยิ้มอย่างน่าขนลุก
“รับทราบ จะส่งเจ้าหน้าที่ ไปเรือนน้ำทิพย์ เดี๋ยวนี้ … ” ยามตัวปลอมพูด
ยามผู้โชคร้ายจำเสียงนั้นได้ ในมือของคนแปลกหน้าไม่ใช่วิทยุแต่มีดที่มีคราบเลือดเปื้อน อยู่ ชุดที่สวมใส่เปลี่ยนเป็นชุดสีขาวเหมือนกับที่เห็นใครบางคนแถวๆนี้ก่อนจะเข้ามาในเรือนพยาบาล จากนั้นเสียงทุกอย่างเงียบลงก่อนจะแทนที่ด้วยเสียงกรีดร้องโหยหวนที่ไม่มีใครนอกเรือนไม้ได้ยิน เช้าวันรุ่งขึ้น ฝ่ายรักษาความปลอดภัยพบว่า ยามคนนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่ในเรือนพยาบาล และโชคดีที่เขารอดชีวิต …
เมื่อเช้าตอนผ่านเรือนพยาบาล ผมรีบปิดตาแทบตายกลัวจะมองเห็นอะไรเข้า
“เฮ้ย สิทธิ์ เที่ยงนี้ ไปตะลุยเรือนไม้กันดีกว่า” ดิว เพื่อนซี้ของผมเอ่ย
“เรือนไม้ !” ผมย้ำเสียงดัง “มรึงจะบ้ารึไง ไม่กลัวผีเหรอวะ”
“ไปกันเยอะเว้ย กลุ่มพี่กรูที่อยู่ ม.ต้น ก็จะไปด้วย”
“กรูไม่อยากไปเลยว่ะ” ผมบ่ายเบี่ยง
“เพื่อนเราก็ไปกันหลายคน จะกลัวอะไรวะ”
“ก็กรูกลัวผีนี่หว่า”
“ปอดแหกว่ะมรึง ขนาดไอ้ตุ๊ดตั้ม ขี้กลัวมันยังกล้าไป ทำไมเรื่องแค่นี้มรึงกลัววะ”
เออๆ ไอ้เพื่อนตัวแสบ เข้าใจหาคำพูดมาถากถางนะ เอาสิวะ บนโลกใบนี้ไม่มีอะไรที่ผมต้องกลัวนี่นา ผีเผอ อะไรกันไม่มีหรอก “เออๆ ไปก็ได้ แต่อย่านานนะเว้ย” ผมกล่าวแบ่งรับแบ่งสู้ “ดีมาก ไอ้เพื่อนรัก รับรองเที่ยงนี้สนุกชัวร์”
ไม่รู้เหมือนกันว่า ดิว หลอกผม หรือผมโง่เองที่ไปเชื่อมัน หลังกินข้าวเที่ยงเสร็จ เราก็ตรงดิ่งมาเรือนไม้ผีสิงกันแค่สามคน คือ ผม ดิว แล้วก็ ตั้ม พวกรุ่นพี่อะไรที่ว่าไม่เห็นมีสักคน ตั้งแต่โรงพละเก่าจนมาถึงลานกว้างหน้าเรือนไม้เงียบมากๆ บวกกับท้องฟ้าที่ยังอึมครึมอยู่ เกิดลมหมุนพาเศษใบไม้ที่กองอยู่บนพื้นลอยเคว้งคว้างอยู่บนอากาศเป็นระยะๆ ช่วยสร้างบรรยากาศน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างดี
“ไหนวะ พวกพี่มรึงน่ะ” ผมโวยวาย
“โทษทีว่ะ พี่กรู เค้าไม่ว่าง ไปเตะบอลกับเพื่อน”
“เตะบอลบ้านป้ามรึงซิ โรงเรียนเราเตะบอลตอนเที่ยงได้ที่ไหนกัน มรึงโกหกกรูใช่มั้ย ไอ้ดิว”
“เฮ้ย เอาน่าๆ ไหนๆก็มากันแล้ว จะทะเลาะกันทำไมวะ” ตั้มเอ่ย ห้ามทัพ
“มรึงเงียบไปเลยป่ะ ไอ้ตั้ม !” ผมกับดิวประสานเสียง
สุดท้ายพวกเราก็พากันมาถึงหน้าประตูเรือนไม้จนได้ ผมหันหลังมองไปรอบๆอีกครั้ง มันดูเงียบจนผิดสังเกตจริงๆ แม้แต่ยามก็ยังไม่มีสักคน
“เฮ้ย จะเข้าไปจริงๆเหรอ กรูว่า มันอันตรายนะเว้ย” ผมค้าน
“แป็บเดียวน่า มาๆ” สองคนนั้น เปิดประตูแล้วลากผมเข้าไปข้างใน
แสงสว่างไม่ค่อยในนี้ไม่ค่อยมากนะแต่ไม่ถึงกับมืดสนิท ดิวเปิดไฟฉายหลอดแอลอีดีอันเล็กฉายไปรอบๆ
“นี่มันเตรียมมาจากบ้านนี่หว่า” ผมคิดในใจ
เราเดินไปเรื่อยๆแบบไม่รู้จุดหมายว่าตรงไหนเป็นตรงไหน มีกลิ่นไม้เก่าๆตลบอบอวลไปทั่ว มันไม่ใช่กลิ่นที่เลวร้ายอะไรนัก และผมคิดว่าได้กลิ่นขมๆของยาเม็ด ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้ เรือนไม้ไม่ใช่อาคารที่ใหญ่มากนัก น่าจะสร้างด้วยไม้ทั้งหลังยกเว้นหลังคาที่เป็นกระเบื้อง เท่าที่ประมาณด้วยสายตาขนาดน่าจะพอๆกับตึกแถวสสามสี่คูหา ผมได้ยินเสียงลมพัดแรงๆจากข้างนอก พวกเราหยุดเดินโดยอัตโนมัติเมื่อได้ยินเสียงหน้าต่างสั่นไหว หลังลมสงบเราเดินต่อไปจนถึงช่องประตูที่เปิดอยู่ ผมเริ่มภาวนาให้ทั้งดิวและตั้มน่าจะรู้สึกกลัวขึ้นมาบ้าง
มีเสียงของหนักๆตกกระแทกพื้นดังโครม เสียงมันดังมากๆอย่างกับเสียงระเบิด ผมทรุดลงกับพื้นด้วยความตกใจ เบื้องหน้าของผมขาวโพลนไปหลายวินาที
“โธ่เอ๊ย ! เศษไม้นี่เอง ตกใจหมดเลย” ไอ้ตั้มร้อง
“เดี๋ยวนะ ... ดิว ” ผมบอกเจ้าเพื่อนซี้พลางเดินไปยังวัตถุเจ้าปัญหา พอดูใกล้ๆถึงเห็นว่ามันไม่ใช่เศษไม้ แต่เป็นท่อนไม้ขนาดใหญ่ ผมแหงนหน้ามองขึ้นบนเพดาน อาศัยแสงไฟฉายที่สะท้อนจากบนพื้นทำให้พอมองเห็นคานไม้ผุๆดูน่ากลัวจะพังลงมาเสียเหลือเกิน
“ไปกันต่อเถอะ” ดิวละแสงไฟออกท่อนไม้ ผมต้องรีบเดินตามสองคนนั้นไปติดๆ แล้วก็ชนแผ่นหลังใครสักคนเข้า
“ทำไมไม่เดินต่อล่ะ” ผมเอ่ยถาม
ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา สองคนนั้นยืนตัวแข็งทื่อ ผมกดไหล่ดิวลงแล้วชะโงกหน้ามองตรงไปในห้อง ผมตกใจแทบหัวใจหยุดเต้น ขนลุกตั้งชันไปทั่วตัว เบื้องหน้าของเราสามคนเป็นห้องกว้างๆ มีเตียงซึ่งน่าจะเคยเป็นเตียงพยาบาลเรียงรายอยู่เต็มพรึ่บ ผมยังไม่เห็นผีสักตัว แต่บรรยากาศตอนนี้เลวร้ายเกินกว่าที่ผมจะทนไหวแล้ว
“เฮ้ย พวกมรึง กรูว่า ...” ผมพูดตะกุกตะกัก
“บรรยากาศสุดยอดเลยว่ะ เข้าไปข้างในกันต่อเถอะ” ดิวพูด
เวรกรรม นี่พวกมรึงไม่ได้กลัวเหมือนกรูหรอกเหรอวะ
ผมเริ่มได้ยินเสียงฝนตกอยู่ข้างนอก หน้าต่างที่ลงกลอนไว้แบบโบราณเริ่มสั่นไหวจากแรงลมอีกครั้ง สองคนนั้นยังคงเดินสำรวจไปมาด้วยท่าทีตื่นเต้น ส่วนผมขาแข็งจนก้าวเดินต่อไม่ไหว ได้แต่ยืนพิงกำแพงรอพวกมันอยู่หน้าห้อง
สายลมเย็นๆเล็ดลอดเข้ามาในห้องนี้ได้ตามช่องว่างเล็กๆของรอยต่อหน้าต่างได้พอสมควร ทำให้ผ้าคลุมเตียงสีขาวขุ่นหลายผืนไหวขึ้นลงอย่างกับมีคนสะบัดไปมาอย่างน่าสะอิดสะเอียน เสียงฝนเริ่มดังชัดมากขึ้นพร้อมๆกับเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดๆในอาคาร กำแพงที่ผมพิงอยู่โคลงเคลงเป็นจังหวะสอดคล้องกับเสียงไม้บนเพดานที่ขัดกันไปมา ผมเริ่มรู้สึกได้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องปกติ บางทีเรือนไม้แห่งนี้น่าจะกำลังมีปัญหา
“ดิว ตั้ม รีบกลับกันเถอะว่ะ ฝนตกแล้ว เดี๋ยวกลับ ไหมไทยไม่ทันจะซวยเอานะเว้ย” ผมเรียก
“ฝนตกเหรอวะ กรูไม่เห็นได้ยินอะไรเลย”
“:-)น มรึงเงียบแล้วฟังดูดีๆซิ” ผมย้ำ
“ไหนๆ … เออว่ะ ฝนตกจริงๆ ซวยแล้ว … ไอ้ตั้ม ไอ้สิทธิ์ รีบกลับกันเหอะว่ะ กรูว่า ฝ่ายปกครอง น่ากลัว ผีอีกนะ”
เศษไม้บนเพดานร่วงหล่นลงมาอีกสองสามครั้งระหว่างที่เรากำลังวิ่งออกจากเรือนพยาบาล โชคยังดีที่ฝนไม่ได้ตกหนักมากนัก พวกเราสามคนเลยกลับถึงไหมไทยทันเวลาเข้าแถวตอนบ่าย
แก้ไขเมื่อ 10 ส.ค. 54 18:21:36
จากคุณ |
:
FlowerSong
|
เขียนเมื่อ |
:
10 ส.ค. 54 16:54:13
|
|
|
|