Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
“วันแม่ปีนี้ ให้อะไรแม่ดี?” ติดต่อทีมงาน

“วันแม่ปีนี้ ให้อะไรแม่ดี?”
คำถามทำนองนี้น่าจะเป็นคำถามยอดฮิตที่สุดในช่วงนี้แล้วละมั้ง

…

สองอาทิตย์ก่อน

หลังจากผมเข้าไปนั่งปล่อยโฮ เป็นอุทกภัยแม่น้ำฮวงโหท่วมใบหน้าให้กับภาพยนตร์เรื่อง “พุ่มพวง” ตลอดสองชั่วโมงเต็ม วินาทีแรกที่ก้าวเท้าออกจากโรง ผมตั้งคำมั่นสัญญากับตัวเองในใจว่า จะต้องพาคุณพ่อกับคุณแม่มาดูเรื่องนี้ให้ได้ เพราะผมคิดว่าคุณแม่ผมต้องชอบเรื่องนี้เหมือนที่ผมชอบแน่ๆ ด้วยเหตุผลที่ว่า


หนึ่ง คุณแม่ผมเป็นนักร้องครับ และเป็นนักร้องที่สร้างเนื้อสร้างตัวมาสมัยเดียวกันกับคุณ “พุ่มพวง” เสียด้วย ผมเลยคิดว่า ถ้าคุณแม่ได้มาดูเรื่องนี้ น่าจะทำให้ท่านได้ย้อนกลับไปมีความสุขกับความทรงจำเก่าๆของท่านก็ได้ นี่เลยเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมร้องไห้หนักตลอดเรื่อง เป็นเพราะผมดูแล้วคิดถึงเรื่องราวการชีวิตที่แม่เคยเล่าให้ฟังมาตั้งแต่สมัยเด็ก

สอง คุณพ่อกับคุณแม่ผม ท่านเคยเปรยว่า ท่านห่างจากการไปนั่งดูหนังในโรงมานานกว่ายี่สิบปี ก็ตั้งแต่สมัยคลอดผมออกมาดูโลกนั่นแหละครับ โรงหนังล่าสุดก็ที่เคยไปดูกัน ก็เมื่อสมัยจีบกันใหม่ๆที่เฉลิมไทยรามาแถวพาหุรัดนู้น

ผมก็เลยคิดว่าอยากพาทั้งคู่กลับไปรำลึกความสุขกับจากดูหนังเหมือนแต่ก่อน


ว่าแล้วก็กดโทรศัพท์หาคุณแม่เลยทันที แล้วบอกกับท่านว่า

“วันเสาร์หน้าจะพาไปกินข้าวอร่อยๆข้างนอกนะ แล้วเดี๋ยวพาไปดูหนังด้วย เรื่องพุ่มพวง เตรียมตัวให้ว่างไว้กันนะป๊าม๊า”

บอกเสร็จ ผมนึกว่าคุณแม่จะดีใจนะ ที่ผมจะพาไปดูหนัง แต่ฟังน้ำเสียงแม่ดูไม่ดีใจเหมือนที่ผมคิดไว้

“...ได้บัตรมาเหรอลูก...” แม่ถามด้วยน้ำเสียงเกร็งๆ

“อืมมม ป่าวม๊า ไม่ใช่บัตรฟรี แต่ ... อืมมม เป็นบัตรลดราคา ” ผมหยุดคิดนิดหน่อย แล้วจึงตัดสินใจเลือกโกหกท่านเล็กๆ เพราะรู้ว่าโดยนิสัยแล้ว ถ้าต้องเสียเงินเสียทองมากมายให้กับเรื่องอะไรแบบนี้ ท่านจะไม่ยอมมาดูแน่ๆ

“ไม่เอาหรอกลูก เปลืองตัง แม่ไม่ดูหนังในโรงอะไรแบบนี้มานานมากแล้ว ไม่เอาหรอกลูก”

“ไม่เป็นไรหรอกม๊า มันไม่ได้เสียเงินเยอะแยะ อีกอย่างเรื่องนี้เรื่องพุ่มพวงนะม๊า ไม่อยากดูเหรอ” ผมเริ่มกล่อม

“ไม่ดูๆ  แม่เคยดูมาหลายครั้งแล้ว พุ่มพวงเนี่ย ทีวีก็เคยเอามาฉายออกบ่อย” แม่ยังคงปิดตัวเองต่อ

“ไม่เหมือนกันหรอกน่า”

“ไม่เอา แม่ไม่ดู”

“อะไรกันม๊า นี่เม้งอุตส่าห์หยุดงานจะพาไปมีความสุขนะ ทำไมไม่ยอมไปล่ะ” ผมเริ่มหัวเสียเล็กๆ จากการถูกทำลายความตั้งใจดีๆที่อยากมอบให้

“ลูกกลับบ้านมากกินข้าวที่บ้านกันก็พอ แล้วไม่ต้องซื้ออะไรแพงๆมานะ เดี๋ยวแม่ทำแกงจืดวุ้นเส้นกับ ข้าวต้มปลาของอร่อยให้กิน เนี่ย เดี๋ยวทำหม้อหนึ่งแล้วแบ่งกันกินกับป๊าด้วย หนึ่งหม้อ กินได้ทั้งวันแล้ว”

ผมถอนหายใจให้กับความดื๊อของแม่

“โอเคๆ ไม่ดูก็ไม่ดู แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะกลับไปเจอรึเปล่านะ เดี๋ยวถ้าจะกลับไปแล้วโทรบอกแล้วกัน แค่นี้แหละ”

ผมเริ่มประชดแม่เล็กๆ ด้วยการไม่ยอมกลับบ้านไปกินอะไรง่ายๆตามที่แม่อยากให้กลับ เป็นเพราะนิสัยเด็กดื้ออยากเอาชนะแม่ด้วยที่แม่ไม่ยอมออกมาดูหนังตามที่ผมอุตส่าห์ตั้งใจมอบให้เป็นของขวัญวันแม่และวันเกิดแม่

“โถ่ อะไรกัน ไอ้เราอุตส่าห์ตั้งใจจะพาไปกินอาหารอร่อยๆ ดูหนังสบายๆ เงินเราก็ออกให้ นี่อะไร ไม่เอาอะไรซักอย่าง”

นั่งรวมสติอยู่ซักพัก อารมณ์เริ่มเย็นลง ก็ตกผลึกกับตัวเองได้ว่า โอเค ไม่เอาก็ไม่เอา แม่อยากให้กลับบ้านไปกินข้าวกันธรรมดากันง่ายๆ ก็เอาตามนั้นก็ได้ ถือว่าตามใจแล้วกัน

…

ระหว่างนั่งรถกลับบ้าน ก็นั่งคิดเรื่องนี้มาตลอดทาง เกี่ยวกับความตั้งใจของตัวเองตั้งแต่เรียนจบมหาวิทยาลัยมา ว่าอยากทำอะไรเพื่อครอบครัวบ้าง

ตั้งแต่เรียนจบมา ผมตั้งเป้าไว้แล้ว ว่าผมจะตั้งใจทำงานหาเงินเยอะๆมาให้ครอบครัว มีจ๊อบเสริมนู้น นี่ นั่น อะไรก็ตามแต่ที่เป็นเงิน ก็จะทำเพื่อหารายได้มาช่วยครอบครัวให้ได้มากที่สุด  

เคยมีอยู่ช่วงหนึ่ง เป็นช่วงที่ผมทำงานค่อนข้างหนัก รับงานสองสามที่ในเวลาเดียวกัน เข้างานหลักเก้าโมงเช้า เลิกหกโมงเย็น เสร็จแล้วไปต่องานรองสองสามทุ่มถึงตีหนึ่ง นอนคาหน้าจอคอมที่ออฟฟิส บ้านช่องไม่ได้กลับ ตื่นเช้ามาก็อาบน้ำแปรงฟันก็ไปทำงานหลักต่อทันที เรียกได้ว่าในหนึ่งสัปดาห์จะได้เจอหน้าพร้อมหน้ากันกับครอบครัวกันแค่วันเดียว

ความคิดตอนนั้นคือไฟแรง คิดว่าอยากทำทุกอย่างตอนที่มีแรงอยู่ เพื่อที่จะได้เงินมาให้ที่บ้านเยอะๆ ฝันไว้แล้วล่ะว่าต้องมีบ้านใหญ่ๆให้พ่อแม่อยู่สบาย มีรถขับพาพ่อแม่ไปกินข้าว ซื้อของที่ท่านอยากได้ หรือวันหยุดก็พาพ่อแม่ไปเที่ยวทะเลบ้าง ภูเขาบ้าง ให้ท่านได้เปิดหูเปิดตากับโลกที่เราคิดว่าท่านน่าจะได้มีโอกาสได้พบเจอบ้าง

ความคิดในหัวตัวเอง ณ ตอนนั้น คือ การเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ จะต้องมีอะไรพวกนี้ให้ครบครัน คิดว่าอะไรพวกนี้แหละคือสิ่งที่แสดงว่าเรามีความรักให้พ่อและแม่มากน้อยแค่ไหน

จนเช้าวันหนึ่ง ผมแหกขี้ตาตื่นขึ้นมาเพื่อรีบไปทำงานแต่เช้า อาบน้ำ แต่งตัวเสร็จ เดินผ่านโต๊ะอาหาร เหลือบเห็นข้าวต้มกระดูกหมูของโปรด ที่แม่มักตื่นมาตุ๋นไว้ประจำตั้งแต่เช้ามืด อืมม ใจหนึ่งก็อยากกินนะเพราะรู้แน่ละว่าถ้าไม่กินนี่อาจจะมีปัญหาการงอนระหว่างแม่ลูกได้ แต่อีกใจหนึ่งก็ต้องตัดใจออกไปทำงานแล้วล่ะ เพราะถ้ามัวแต่นั่งกินข้าวเช้าชิวๆแบบนี้ ปัญหาการงอนอาจจะเปลี่ยนจากแม่เป็นเจ้านายที่บริษัทแทน  เลยบอกแม่ไปว่า

“ม๊า ไม่กินนะ วันนี้รีบมาก”

พูดเสร็จก็วิ่งออกจากบ้าน ขึ้นรถไปทำงาน ทันที ทิ้งข้าวต้มถ้วยนั้นให้เย็นชืดคาโต๊ะกินข้าวไป

ยืนโหนราวอยู่บนรถไฟฟ้าบีทีเอส ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา ก้มมองไปที่หน้าจอเห็นว่าเป็นสายจากแม่ ตอนแรกก็กะว่าจะไม่รับสายนะ เพราะเดาได้เลยว่าแม่จะต้องโทรมาง้องอนเรื่องไม่ยอมกินข้าวต้มอีกแน่ๆ เช้าๆแบบนี้ยังไม่มีอารมณ์จะง้องอนใครทั้งนั้น แต่คิดไปคิดมา ก็เอาวะ งอนก็งอน เราเองก็มีเหตุผลของเรานี่หน่า ก็เลยกดรับสายแม่ไป

ผิดคาด

ปรากฏว่า แม่ไม่ได้โทรมางอนเรื่องข้าวต้มอย่างที่คิดไว้ แต่แม่โทรมาย้ำว่า ไม่ได้กินข้าวต้ม ก็อย่าลืมไปหาเข้ากินนะลูก ผมได้ทีก็รับปากแม่ไปอย่างส่งๆว่าจะไปหาอะไรกินรองท้องนะ แม้ว่าจะรู้แกใจตัวเองว่าถ้าออกมาจากบ้านแล้วแทบจะไม่มีเวลามาคิดเรื่องกินข้าวเช้าอะไรนี่เลย แม่เลยชวนคุยต่อว่า ช่วงนี้ดูเหนื่อยๆ รีบๆนะลูก  ผมก็บอกว่าก็เหนื่อยแหละ รับหลายงาน ทำยังไงได้ ก็อยากหาเงินเยอะๆมาให้แม่นี่ไง รู้ตัวนะว่าบางทีแม่โทรมาแล้วไม่มีเวลาคุย หรือคุยได้แป๊ปเดียว ก็ขอโทษด้วยแล้วกัน

เค้าเลยบอกว่า  เค้าเข้าใจนะเรื่องความเครียดความกดดัน แต่ถ้าลูกเหนื่อยมากหรือทำไม่ไหว ก็ไม่ต้องทำอะไรให้มันมากมายแบบนี้ก็ได้ เรื่องเงินเราก็ไม่ได้ใช้อะไรกันมากมาย แม่ทำกินกันทีหนึ่งก็กินได้หลายมื้อแล้ว เราไม่ได้อยากกินของแพงๆ หรือใช้เงินซื้ออะไรมากซะหน่อย เอาเข้าจริง พ่อแม่หนะแก่แล้ว มีเวลาอยู่ได้อีกไม่กี่ปีหรอก แต่อยากให้มีเวลากลับบ้านมาคุยกัน มากินข้าวด้วยกันบ้าง

ฟังจบแล้วก็เหมือนได้สติอะไรบางอย่าง … จากมุมมองคนที่ผ่านความอยากได้อยากมีสิ่งต่างๆมากมายแล้ว

ยุคนี้ เราอาจยังเป็นเด็กที่เติบโตมากับกระแสการตลาดซึ่งมักกล่อมหัวให้เคลิ้มว่า ของขวัญดีๆสำหรับแม่ ต้องเป็น...

รังนกสีทองที่ถูกพิสูจน์โดยเครื่องตรวจเอกลักษณ์  ... แต่แม่เห็นแล้วถามว่า “กินแล้วมันมีประโยชน์ยังไง?”
การท่องเที่ยวแสวงบุญทัวร์พม่าราคาเหยียบหมื่นเพื่อคุณแม่ ...แต่แม่เห็นแล้วบอกว่า “ไม่ไปหรอก ตั้งไกล เดี๋ยวแม่นั่งรถไปโต๊ยโลงศพที่วัดหัวลำโพง แค่นี้ก็สบายใจแล้ว”

อาหารหรูๆจากร้านดังๆ …แต่แม่กินแล้วบ่นว่า “แพงนะ เดี๋ยวแม่ทำให้กินวันหลัง แม่ทำอร่อยกว่า ถูกกว่าด้วย”

หรือบ้านใหญ่ๆ ที่มีพื้นที่กว้างขวาง ...แต่แม่เห็นแล้วชิงบ่นก่อนเลยว่า “บ้านใหญ่ขนาดนี้ แล้วใครจะกวาด?”

หรืออะไรก็ตามที่ต้องใช้ “เงิน” จำนวนมากไปซื้อเพื่อนำมาแลกกับความสุขของคนที่เรารัก

...


นึกแล้วทำให้กลับมาตั้งคำถามกับตัวเองว่า ในขณะที่เรากำลังทุ่มเทวิ่งเข้าเส้นชัยเพื่อไปคว้ารางวัลสำคัญที่เราคิดว่าคนที่เรารักนั้นต้องการ ...แต่เราก็อาจลืมคิดไปว่า ความเป็นจริงแล้ว คนที่เรารักนั้นเค้าอยากได้สิ่งที่เราเสียเวลาไปบุกป่าฝ่าดงหามาให้เขา ....หรือเปล่า?

บางทีเราก็รับสื่อมากไป หรือดูทีวีมากจนสับสนว่า “อะไรกันแน่” คือ สิ่งที่คนที่เรารัก ต้องการ

หรือจริงแล้ว สิ่งที่เขาต้องการ อาจะเป็นสิ่งที่เราเองสามารถหามาได้ง่ายๆอยู่แล้ว อย่างเช่น

“เวลา”

...ก็เป็นได้นะ

จากคุณ : หนึ่งกระบี่ แปรสามแจ้ง
เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 54 21:06:00




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com